กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 455.2 ดวงจันทร์กลางนภา
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้นิ้ววาดวงกลมลงบนผิวโต๊ะ “มีประโยคสุภาษิตของบ้านเกิดอยู่ประโยคหนึ่ง ใช้ไหกระเบื้องตักน้ำจากบ่อแตกง่าย แม่ทัพลงสนามรบบ่อยย่อมเลี่ยงเจอเรื่องไม่คาดคิดไม่ได้ ไปสมัครร่วมกองทัพ ลงสมรภูมิเข่นฆ่า ก็เท่ากับว่าเอาหัวไปผูกไว้บนสายรัดกางเกงแล้ว ก็เหมือนวัตถุหยินแม่ทัพในอารามหลิงกวานตนนั้น เจ้าคิดว่าหลังจากเขาตายไปแล้ว เขาจะเสียใจที่ต้องสละชีพเพื่อบ้านเมืองไหม? และยังมีพวกทหารแตกทัพของแคว้นสือหาวที่แย่งชิงอาหารกับชาวบ้านในอำเภอกลุ่มนั้น ทหารหนุ่มคนนั้น ต่อให้มีสหายร่วมรบตายไปตั้งมากมาย แต่เขาหรือจะเต็มใจหันคมดาบเข้าห้ำหั่นชาวบ้านจริงๆ”
เฉินผิงอันวาดวงกลมที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมอีกวงหนึ่ง “พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ตอนอยู่แคว้นสือหาว ข้าได้ขัดขวางเด็กหนุ่มที่เป็นภูตในภูเขาคนหนึ่งที่คิดจะฆ่าคนในร้านขายเนื้อหมา และยังมอบเงิน…เทพเซียนให้เขาหนึ่งเหรียญ ทว่าหากมีวันที่เผ่าพันธ์ปีศาจบุกเข้ามาในใต้หล้าไพศาลจริงๆ ต่อให้ข้าจะรู้ว่าในกลุ่มของเผ่าปีศาจมีภูตจิ้งจอกที่เคยพบเจอกันในวัดร้าง มีภูตเด็กหนุ่มที่สุดท้ายล้มเลิกความคิดจะฆ่าคนผู้นี้อยู่ด้วย แต่เมื่อข้าเผชิญหน้ากับกองทัพที่ยิ่งใหญ่ และมีเพียงข้าคนเดียวที่ขัดขวางอยู่เบื้องหน้าพวกมัน ด้านหลังข้าก็คือเมืองและชาวบ้าน เจ้าว่าข้าจะทำอย่างไร? เข้าไปในขบวนรบแล้วไล่สอบถามเผ่าปีศาจทีละคนว่าเหตุใดต้องฆ่าคน คิดจะล้มเลิกการฆ่าคนหรือไม่อย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมย “ในเมื่อข้าเลือกจะยืนขวางทางอยู่ตรงนั้นก็หมายความว่าข้าตัดสินใจมาดีแล้วว่าหากต้องตายก็คือต้องตาย ในเมื่ออีกฝ่ายบุกเข่นฆ่ามาถึงตรงนั้น ก็จะต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน อริยะสำนักการทหารเฝ้าบัญชาการณ์ซากปรักหักพังของสนามรบก็คือการพิทักษ์ปกป้องฟ้าดิน ก็เหมือนที่อริยะลัทธิขงจื๊อเฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษา เจินจวินลัทธิเต๋าเฝ้าพิทักษ์อารามเต๋า เหตุใดถึงต้องมีฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีเช่นนี้? คิดว่านี่น่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง ยามที่พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ คนนอกที่เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม”
เฉินผิงอันถาม “ข้าอธิบายอย่างนี้ พอจะเข้าใจได้ไหม?”
เจิงเย่ส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา
หม่าตู่อี๋เอ่ยถาม “หลักการเหตุผลคร่าวๆ ข้าพอจะเข้าใจ แต่ก็ยังมีคำถามอีก ถ้าหากคนนอกสามารถบุกฝ่าเข้าไปในฟ้าดินของอริยะล่ะ? นี่ไม่ได้หมายความว่าหลักการเหตุผลเดิมทีที่มีอยู่ไม่ถูกต้องหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “นี่หมายความว่าเจ้ายังคิดได้ไม่กระจ่าง เหตุใดอริยะถึงสามารถเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดิน นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานที่แท้จริง นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นสาย จุดเริ่มต้นของลำดับขั้นตอน หลังจากนั้นก็ค่อยมาสงสัยว่าเหตุใดถึงยังถูกกำลังภายนอกทำลาย ถูกคนนอกที่มองดูเหมือนไร้เหตุผลใช้หมัดต่อยเอาชนะไปได้ ส่วนเหตุใดข้าถึงต้องพูดว่า ‘ดูเหมือน’ นี่ก็ยิ่งซับซ้อนเข้าไปอีก วันหน้ามีโอกาสได้พบเจอเรื่องที่ตรงตามคำกล่าวนี้ ข้าค่อยอธิบายให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียดอีกที ไม่อย่างนั้นพวกเจ้ามีแต่จะยิ่งสับสนมึนงง มองดูเหมือนว่าทุกจุดล้วนมีเหตุผล แต่ผลกลับกลายเป็นว่าไม่มีใครใช้เหตุผลสักคน”
หม่าตู่อี๋พยักหน้ารับ “ตกลง ข้าจะคอยดู”
เฉินผิงอันกลับยิ้มกล่าวว่า “แต่ข้าหวังว่าจะไม่มีโอกาสนั้น”
หม่าตู่อี๋ยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “พวกเราเคยได้เห็นความโชคร้ายของแคว้นสือหาวมากับตาตัวเอง มีเพียงนักประพันธ์และวีรบุรุษเท่านั้นที่โชคดี เสียงของแคว้นที่ล่มสลาย ถ้อยคำของความเจ็บแค้นเศร้าโศก กับขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ที่ยอมพลีชีพเพื่อชาติซึ่งง่ายที่จะถูกบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์มากที่สุด และพวกเราก็ได้เดินทางผ่านแคว้นเหมยโย่ว ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวบ้านที่ขยันขันแข็ง นักประพันธ์นักกวีผู้ชอบพร่ำบ่นที่มีชีวิตซึ่งนับว่าสงบสุข เจ้าว่าแคว้นสือหาวกับแคว้นเหมยโย่ว ใครโชคดีกว่ากัน?”
คำตอบเห็นได้ชัดอยู่แล้ว
กระโจนเข้าหาความตายอย่างห้าวหาญ ถึงท้ายที่สุดแล้วก็เป็นการกระทำที่ไม่มีทางเลือก ไม่เสียใจภายหลัง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสียดายเลย ส่วนการที่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ต่อให้ไม่ได้สุขสบายมากนัก แต่ถึงกระนั้นก็เป็นความปรารถนาที่เรียบง่ายที่สุดของคนบนโลก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายที่พวกเราไม่รู้อยู่อีกมาก พวกเรายากจะรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานร่วมไปกับคนอื่นได้ แต่นี่ก็ไม่ใช่ความโชคดีของพวกเราหรอกหรือ?”
ต่อให้จะเป็นคนดีที่ดีมากแค่ไหนก็ไม่อาจรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดทรมานราวกับหัวใจถูกคว้านของคนอื่นได้อย่างแท้จริง
ปีนั้นที่เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี จ้าวซู่เซี่ยเด็กหนุ่มที่ในมือถือมีดผ่าฝืนคอยปกป้องเด็กหญิงคนนั้นอย่างสุดชีวิต แต่เหตุใดเขาถึงยินยอมเชื่อใจเฉินผิงเพียงคนเดียว เพราะว่าเด็กมักจะมีจิตใจที่บริสุทธิ์มากกว่า มีสัมผัสที่เฉียบไวต่อความยากลำบากและต้านทานมันได้ยากมากกว่า เด็กหญิงที่มีชื่อเล่นว่าหลวนหลวนคนนั้น นางสัมผัสได้ถึงความสุขความทุกข์และการพบพรากจากลาจากบนตัวของเฉินผิงอันที่เคยผ่านสภาพการณ์ใกล้เคียงกับนางมาก่อนมากกว่า ไม่ใช่เพราะว่าในสายตาของเด็กหญิง เฉินผิงอันจะต้องดีกว่าเด็กสาวข้างกายของเขาที่เป็นคนดีเหมือนกัน
เวลานี้หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่หันมามองหน้ากันเอง
สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ทว่าความโชคดีที่อยู่รายล้อมรอบกายโดยที่ตัวเราไม่รับรู้นี้ มันมาจากที่ใดกันแน่ แล้วเราไม่ควรจะรับรู้และทะนุถนอมเห็นค่าหรอกหรือ? ในช่วงเวลาที่ทุกคนไม่ยินดีสืบสาวเรื่องนี้ให้ลึกลงไป ยามที่หายนะใหญ่มาเยือนก็ไม่ต้องร่ำร้องขอความเป็นธรรมแล้ว เพราะสวรรค์คงไม่มีทางได้ยินกระมัง? ดังนั้นถึงได้มีพระโพธิสัตว์ที่นั่งอยู่บนแท่นบูชาตำหนักหลังใช่ไหม? (หมายถึงรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่ไม่ได้อยู่ในใจกลางตำหนักหลัก แต่ไปอยู่ด้านหลังของตำหนัก เปรียบเปรยว่าเจ้าแม่กวนอิมผ่านความทุกข์ความสุขอย่างใหญ่หลวงของสรรพชีวิตมาหมดแล้ว และจะไม่ยอมหันหลังกลับไปอีก) แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่า ในช่วงเวลาเช่นนี้บัณฑิตควรจะแสดงความรับผิดชอบบางอย่าง อ่านตำรามามากกว่าชาวบ้าน มีคุณงามความชอบติดตัว มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง ได้เสวยสุขมากกว่าชาวบ้านทั่วไป ก็ควรจะแบกภาระหน้าที่ที่มากกว่า”
เฉินผิงอันวางสองมือลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ
เวลาที่ทุกคนนั่งตัวไม่ตรง คิดจะนั่งอย่างไรก็ได้ให้สบายตัวเอง ร่องและเดือยบนเก้าอี้ย่อมคลายตัวออก เก้าอี้ก็โยกคลอน วิถีทางโลกก็จะไม่ค่อยสงบสุข ดังนั้นลัทธิขงจื๊อถึงได้เน้นย้ำในเรื่องการอบรมปลูกฝังตัวเอง จะต้องนั่งตัวตรงอย่างสำรวม วิญญูชนต้องระมัดระวังตนแม้ยามอยู่เพียงลำพัง
เห็นทะเลสาบซูเจี่ยนมาก่อนแล้ว และก็ผิดหวังถึงเพียงนั้น
แต่เมื่อเฉินผิงอันออกจากทะเลสาบซูเจี่ยน เดินทางมาไกลมากขึ้น คิดเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น เขากลับไม่ได้รู้สึกผิดหวังขนาดนั้นอีกแล้ว
หลังจากผ่านการพักผ่อนเป็นเวลาสั้นๆ สองวัน พวกเขาก็ออกจากโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน มุ่งหน้าไปยังอาณาเขตทางทิศใต้สุดของแคว้นเหมยโย่ว
ระหว่างทางที่มุ่งหน้าลงใต้ เฉินผิงอันพบกับบัณฑิตตกอับคนหนึ่ง ไม่ว่าจะคำพูดคำจาหรืออาภรณ์ที่สวมใส่ก็ล้วนแสดงให้เห็นถึงพื้นฐานต้นตระกูลที่ไม่ธรรมดา
ตอนนั้นบัณฑิตแคว้นเหมยโย่วรู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตในวันข้างหน้า อีกทั้งยังไม่ขาดแคลนเงินทอง จึงจ้างรถม้าเดินทางพร้อมกับสารถีข้ารับใช้ ร่วมผจญภัยอันตรายท่ามกลางแม่น้ำและภูเขาไปด้วยกัน ผลกลับกลายเป็นว่ามีคนหนึ่งในขบวนเกิดใจละโมบในทรัพย์สิน จึงสมคบคิดกับคนอีกสองคนหวังฆ่าคนชิงทรัพย์ พวกเขาเกือบจะผลักบัณฑิตที่ชอบท่องบทกวีพูดจ้อไม่หยุดผู้นี้ตกไปจากสะพานไม้เลียบหน้าผาได้สำเร็จ หากไม่เป็นเพราะคนยกของที่มีจิตใจดีงามพยายามขัดขวางไว้อย่างสุดชีวิต คาดว่าคงไม่ทันรอให้เฉินผิงอันได้ลงมือ บัณฑิตก็คงตายไปแล้ว และหลังจากจบเรื่องครอบครัวเขาก็คงหาไม่พบแม้แต่ซากกระดูก
หลังจากเฉินผิงอันขัดขวางไว้แล้วก็ถามบัณฑิตว่าจะจัดการกับข้ารับใช้ที่จ้างมาพร้อมกับรถม้าอย่างไร บัณฑิตก็เป็นคนประหลาด ไม่เพียงแต่มอบเงินเดือนที่พวกเขาสมควรได้รับ ยังให้พวกเขาเอาเงินจากไป บอกว่าจดจำสำมะโนครัวของพวกเขาเอาไว้แล้ว ขอแค่วันหน้ากล้าทำเรื่องชั่วร้ายอีก และหากเขารู้เรื่องก็จะคิดบัญชีเก่าใหม่รวมกัน ลงโทษประหารตัดหัว จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่รั้งตัวคนยกของผู้นั้นเอาไว้
แล้วเขาก็ยืนกรานจะเดินทางร่วมกับเฉินผิงอัน เปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าลงใต้ไปพร้อมกัน
บัณฑิตตกหลุมรักหม่าตู่อี๋ตั้งแต่แรกเห็น
เฉินผิงอันไม่ได้ตาบอด ขนาดเจิงเย่ก็ยังมองออก
อีกทั้งการแสดงความรู้สึกของบัณฑิตยังค่อนข้างจะเปิ่นเชยไปสักหน่อย เขาจะคอยหาเรื่องมาชวนคุย จงใจทำเป็นว่าพูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างถูกคอ หากไม่พูดถึงปัญหาบ้านเมืองปัจจุบันและพยายามหาทางแก้ไข ก็จะแต่งกลอนให้กับภูเขาสายน้ำแสดงพรสวรรค์ของตัวเองออกมา
หม่าตู่อี๋รำคาญใจยิ่งนัก นี่เป็นครั้งแรกที่นางบอกให้เฉินผิงอันเก็บยันต์กระดาษหนังจิ้งจอกของตนใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตาไม่เห็นก็จะได้สงบสุข หูไม่ได้ยินก็จะได้ไม่หงุดหงิด
หากไม่เป็นเพราะบัณฑิตคนนั้นยังไม่ได้ทิ้งมารยาทของคนเรียนหนังสือไปเสียหมด ไม่กล้าป่าวประกาศชื่อแซ่ของตัวเอง และไม่ได้จงใจโอ้อวดภูมิหลังของตระกูลตัวเองแก่พวกเฉินผิงอัน หม่าตู่อี๋ก็คงเปิดปากด่าคน บอกให้บัณฑิตรีบเก็บน้ำหมึกที่อัดแน่นไว้เต็มท้องของเขาไปนานแล้ว
เห็นได้ชัดว่าบัณฑิตคือลูกหลานของชนชั้นสูงในแคว้นเหมยโย่ว ไม่อย่างนั้นความภาคภูมิใจที่เผยออกมาในคำพูดก็คงไม่ใช่การที่ตัวเองสอบติดจ้วงหยวนด้วยอายุเพียงแค่ยี่สิบปี แต่เป็นประสบการณ์สามปีที่ได้อยู่ในสำนักฮั่นหลินของเมืองหลวงและที่ว่าการกรมการคลัง จากนั้นก็ออกมาเป็นขุนนางท้องถิ่นนอกเมืองหลวง ซึ่งเขาได้กำหนดมาตรการแก้ไขกลโกงรูปแบบต่างๆ ในวงการขุนนางอำเภอแห่งหนึ่ง
เขาอยากเป็นขุนนางที่ดีที่ได้รับชื่อเสียงว่าเป็นนายท่านชิงเทียนจริงๆ (ชิงเทียนหรือเปาชิงเทียน เปาบุ้นจิ้น เป็นตัวแทนของขุนนางผู้เที่ยงธรรม)
น่าเสียดายก็แต่หลังออกจากตำแหน่ง อย่าว่าแต่ร่มหมื่นประชาคันหนึ่งเลย (คือร่มที่คนในสมัยก่อนมอบให้เพื่อเชิดชูคุณธรรมของข้าราชการท้องถิ่น) นี่ยังมีแต่คำด่าหาว่าเขาเป็นพวกขนไก่เต็มพื้น (เปรียบเปรยถึงความเละเทะ ไม่เป็นระเบียบ) ลูกน้องใต้บังคับบัญชาในที่ว่าการอำเภอต่างก็ด่าเขาลับหลังว่าคร่ำครึเกินไป ไม่รู้จักช่วงชิงผลประโยชน์มาให้ที่ว่าการอำเภอ เอาแต่หาเรื่องหาราวมาให้พวกเขา เหล่าชนชั้นสูงในพื้นที่ก็ด่าว่าเขาทำงานไม่เป็น ชาวบ้านก็ด่า ด่าว่าเขาแสวงหาลาภยศและคำสรรเสริญเยินยอ ทำให้ชาวบ้านต้องสิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและกำลังคน
วันใดพูดถึงเรื่องที่เสียใจก็จะดื่มเหล้ามากหน่อย บัณฑิตถึงกับน้ำตาคลอ ไม่สนใจจะแสร้งวางท่าเป็นปัญญาชนผู้ภาคภูมิต่อหน้าหม่าตู่อี๋อีกแล้ว
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
แค่พูดถึงความคิดที่ตนมีต่อขุนนางน้ำดีและขุนนางตงฉินคร่าวๆ นั่นคือพูดถึงความดีของฝ่ายแรก และพูดถึงความลำบากใจของฝ่ายหลัง
บัณฑิตฟังแล้ว เขาที่เมามายก็ให้ขุ่นเคืองเป็นกำลัง บอกว่าในวงการขุนนางจะมีพวกคนที่ทำตัวไหลไปตามกระแสอีกไม่ได้แล้ว หากยังร่วมมือกันกระทำความชั่ว จะยังเป็นบัณฑิต เป็นขุนนางไปทำไม บัณฑิตที่แท้จริงก็ควรอาศัยความสามารถและความรู้ที่แท้จริงเดินมาอยู่ใจกลางสำคัญ จากนั้นค่อยชำระล้างความสกปรกขุ่นมัวออกไป นี่ต่างหากถึงจะถือว่าเป็นการอบรมบ่มเพาะตนให้ดีเพื่อช่วยปกครองบ้านเมือง ไม่อย่างนั้นก็อย่าเป็นขุนนางอีกเลย เพราะนี่จะผิดต่อหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในตำราเสียเปล่าๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่ามีเหตุผล
ไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมอะไรอีกแม้แต่ครึ่งคำ
หาใช่เฉินผิงอันรู้สึกว่าหลักการเหตุผลของตนไม่มีน้ำหนักมากพอ หรือรู้สึกว่าความคิดของบัณฑิตไร้เดียงสาเกินไปไม่
แต่เรื่องวุ่นวายใจประเภทนี้ของบัณฑิต
เฉินผิงอันเคยเห็นเองกับตามาก่อน
อู๋ยวนที่อยู่ในฐานะของลูกศิษย์ราชครู ช่วงแรกเริ่มสุดหลังจากเป็นนายอำเภอในเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วก็ต้องไปชนตอกับทุกเรื่อง จะบอกว่าแซ่สกุลใหญ่เหล่านั้นไม่หวาดเกรงชุยฉานอย่างนั้นหรือ?
ทว่าตะปูอ่อนแต่ละตัว (เปรียบเปรยถึงการปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมด้วยสีหน้าเป็นมิตร) ได้ถูกแอบฝังไว้ทั้งในและนอกที่ว่าการ ทำให้อู๋ยวนยุ่งจนหัวหูไหม้ อนาคตการงานไม่ราบรื่น สุดท้ายก็จำต้อง ‘ย้ายออก’ จากเมืองเล็ก หลีกทางให้กับทายาทจากเฉาหยวนสองแซ่ เมื่อหลงเฉวียนเลื่อนจากอำเภอเป็นเขตการปกครอง แน่นอนว่าอู๋ยวนก็ต้องได้เลื่อนขั้นจากนายอำเภอเป็นเจ้าเมือง เพียงแต่เฉินผิงอันกล้าพูดเลยว่า ภาพลักษณ์ความประทับใจที่อู๋ยวนมีอยู่ในราชสำนักต้าหลีได้ดิ่งลงก้นเหวแล้ว มีภูมิหลังมีที่พึ่ง คิดจะราบรื่นไปช่วงเวลาหนึ่งย่อมไม่ยาก แต่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจราบรื่นไปได้ตลอด ความยากลำบากที่ซ่อนอยู่ในนั้น คนมีเงินก็ดี ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงก็ช่าง ล้วนต้องรู้สึกทุกข์ใจที่ต้องเผชิญกันทั้งนั้น
ในความเป็นจริงแล้วปีนั้นอู๋ยวนก็เคยเอ่ยถ้อยคำจากใจจริงกับลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงในเมืองหลวงคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขา เขาพูดกับเลขาธิการฝ่ายบุ๋นคนนั้นอย่างชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างการเชิญนักประพันธ์ใหญ่ให้มาเขียนกรอบป้ายของศาลบุ๋นบู๊ กับการรบกวนให้ตระกูลช่วยทำลายสถานการณ์ตึงเครียดในหลงเฉวียน ความสัมพันธ์ควันธูปไม่ได้มีแค่ระหว่างสหายเท่านั้น แม้แต่ในตระกูลตนเองก็สามารถใช้ได้หมดสิ้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่านำมาใช้ส่งเดช
หากเฉินผิงอันในเวลานี้ได้ยินคำกล่าวนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะนั่งลงดื่มเหล้ากับอู๋ยวนดีๆ สักมื้อ ลำพังเพียงแค่ประโยคนี้ก็มีค่ามากพอกับเหล้าดีๆ หนึ่งกาแล้ว
ในพื้นที่มงคลดอกบัว เฉินผิงอันได้เห็นขุนนางที่บรรดาศักดิ์ตกทอดรุ่นสู่รุ่นมามากมาย จนกระทั่งมาถึงขุนนางในท้องถิ่น พวกเขาต่างก็คิดว่าสามารถทำได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีคนไม่น้อยที่เปลี่ยนจากความรุ่งโรจน์มาเป็นความตกอับ แล้วก็กลายเป็นการเงียบหายไปอย่างสิ้นเชิง ระหว่างนี้ก็มีทางลัดที่ทำลายกฎเกณฑ์ให้เดิน หลังจากได้ผลประโยชน์มาชั่วครั้งชั่วคราวแล้ว ต่อให้เป็นขุนนางท้องถิ่นก็ยังต้องฝืนใจยอมรับความเสียเปรียบ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่มักจะเกิดการต่อต้านเงียบๆ ยิ่งนานวันก็ยิ่งเกาะกลุ่มกันผลักไสพวกลูกหลานขุนนางที่มาจากเมืองหลวง วิธีการที่ใช้ก็ยิ่งอำมหิตมากขึ้นเรื่อยๆ ปั่นหัวพวกเขาราวกับพวกเขาเป็นคนโง่
ดังนั้นตอนนี้เฉินผิงอันจึงกริ่งเกรงซูเกาซานที่เปลี่ยนจากเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนมาเป็นแม่ทัพใหญ่ในกองทัพ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่คิดจะดูแคลนเฉาผิงที่มาจากแซ่สกุลอันสูงศักดิ์ มีจุดเริ่มต้นในวงการขุนนางด้วยสภาพเงื่อนไขแวดล้อมที่ดี
หม่าตู่อี๋โมโหแทบตาย นางอดทนอยู่นาน ทนจนทนไม่ไหว กำลังจะอ้าปากพูด แต่กลับเห็นว่าเฉินผิงอันส่ายหน้าบอกเป็นนัยไม่ให้นางพูด
อันที่จริงเฉินผิงอันก็เข้าใจความลำบากใจที่บัณฑิตผู้นี้ต้องเผชิญ
เมื่อเทียบกับสภาพการณ์ของเขาที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่
เขาเต็มใจเป็นพันธมิตรที่เหมือนการฝากเนื้อไว้กับเสือกับหลิวจื้อเม่าที่เดิมทีก็เป็นศัตรูคู่แค้น หากไม่ตายก็ไม่ควรยอมเลิกราหรือไม่? ร่วมกันตั้งกฎเกณฑ์ให้กับทะเลสาบซูเจี่ยน? ไม่ทำ แน่นอนว่าย่อมประหยัดแรงกายแรงใจ หากทำแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ในใจของตัวเองก็ไม่สบอารมณ์แล้ว บางครั้งเวลาดึกสงัดไร้ผู้คน เขายังต้องถามใจตัวเองว่ามโนธรรมในใจหายไปสองส่วนแล้วหรือไม่ สักวันหนึ่งเขาเองก็จะกลายมาเป็นเหมือนกู้ช่านที่เดินผิดไปก้าวเดียวก็ไม่อาจหวนกลับ โดยไม่ทันรู้ตัวก็จะกลายเป็นคนประเภทที่ตนไม่ชอบที่สุดในปีนั้นเลยหรือไม่?
เฉินผิงอันเคารพในการเลือกของบัณฑิต
บางทีหากไม่เป็นขุนางแล้ว ในเมื่อมีความสามารถเป็นถึงจ้วงหยวน อีกทั้งตระกูลยังมีทรัพย์สินเงินทอง ตั้งใจศึกษาเหล่าเรียนมาหลายสิบปี ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้าน แล้วนี่จะไม่ใช่วิธีทำลายสถานการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ?
ทำไมจะไม่ใช่
ความเป็นไปได้ที่งดงามนั้นวางอยู่บนเส้นทางเบื้องหน้าของบัณฑิตแล้ว
แล้วเฉินผิงอันจะตัดใจเอ่ยประโยคที่เกินความจำเป็นด้วยการบอกบัณฑิตว่า เจ้าผิดแล้ว เจ้าควรจะต้องทำเพื่อความผาสุกของปวงประชาในหนึ่งพื้นที่และในหนึ่งช่วงเวลา ต้องเป็นบัณฑิตที่ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย ในราชสำนักมีขุนนางที่ดีมาเพิ่มหนึ่งคน แต่บ้านเมืองกลับขาดอาจารย์ที่แท้จริงไปคนหนึ่งน่ะหรือ? การเลือกและการสละ ผลได้และผลเสียของเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่กล้าตัดสินใจเอง
ความคิดที่วกไปวนมา อ้อมค้อมเวียนวนเหล่านี้ เฉินผิงอันล้วนอ่านมาจากตำรา เห็นมาจากนอกตำราและนำมาขบคิดใคร่ครวญ
ถ้อยคำมากมายหลายอย่างที่แค่เคยรู้ว่าเป็นหลักการเหตุผลที่ดี แต่กลับไม่เคยรู้ว่าดีตรงไหน อาจารย์ฉี อาเหลียง ผู้เฒ่าเหยา บนแผ่นไม้ไผ่แต่ละแผ่น คนหลากหลายรูปแบบ หลักการเหตุผลที่พวกเขาทิ้งไว้บนโลกใบนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งชัดเจน ราวกับว่าเมื่อถูกคนรุ่นหลังจับต้นสายปลายเหตุได้แล้ว ทุกอย่างก็กระจ่างแจ้งแจ่มชัด
มีพบก็ต้องมีจาก
ต่อให้บัณฑิตจะชอบหม่าตู่อี๋มากแค่ไหน ต่อให้เขาจะไม่ถือสาความห่างเหินเย็นชาที่หม่าตู่อี๋มีให้ แต่ก็ยังต้องกลับไปยังเมืองหลวง ถึงอย่างไรการท่องเที่ยวอยู่ตามแม่น้ำภูเขาก็ไม่ใช่หน้าที่ที่แท้จริงของคนเป็นบัณฑิต
ตอนที่จากลากันเขาถึงเพิ่งจะบอกให้รู้ถึงตระกูลของตัวเอง เพราะวันหน้าหากท่านเฉินต้องการมาหาเขาเพื่อร่ำสุราด้วยกัน เวลาถามทางก็ควรต้องรู้จุดหมายปลายทางไม่ใช่หรือ
ที่แท้บัณฑิตก็คือหลานชายของเจ้ากรมโยธาธิการแคว้นเหมยโย่ว
พบเจอแล้วถูกชะตากันจึงดื่มเหล้าอย่างสำราญ ยามจากลาก็ค่อยนัดร่ำสุรากันใหม่ นี่ก็คงจะเป็นยุทธภพที่ดีกระมัง
อันที่จริงเจิงเย่ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าเหตุใดท่านเฉินถึงยินดีเสียเวลาอยู่กับบัณฑิตตกอับคนหนึ่ง ยอมเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นชมภูเขาแม่น้ำไกลถึงร้อยกว่าลี้อย่างเปล่าประโยชน์
ต่อให้บัณฑิตจะเป็นหลานชายของท่านเจ้ากรมผู้เฒ่าคนหนึ่ง แล้วอย่างไร? เจิงเย่ไม่รู้สึกว่าท่านเฉินจำเป็นต้องจงใจผูกสัมพันธ์กับบุคคลเช่นนี้ในโลกมนุษย์
เพราะไม่คุ้มค่า
อย่าว่าแต่ท่านเฉินเลย ต่อให้เป็นเขาเจิงเย่ ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ยังไม่เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลาง นี่ไม่เกี่ยวกับความหยิ่งทระนงโอหังของผู้ฝึกตนบนภูเขา แต่เป็นเพราะต่อให้เจิงเย่เจอกับคนแบบเดียวกันและสถานการณ์เดียวกันนี้ อย่างมากสุดก็แค่ช่วยคนดื่มเหล้าแล้วก็แยกย้ายกันไปเท่านั้น
แต่พอคิดว่าในเมื่อนี่คือท่านเฉิน เจิงเย่ก็พลันเข้าใจ หม่าตู่อี๋ก็เคยพูดต่อหน้าท่านเฉินไม่ใช่หรือว่า เขาทำอะไรไม่คล่องแคล่วฉับไว อันที่จริงเจิงเย่ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีความต่างจากหม่าตู่อี๋อยู่บ้าง เจิงเย่รู้สึกว่าท่านเฉินที่เป็นแบบนี้ ดีมากๆ ไม่แน่ว่าในอนาคตรอให้ตนมีตบะและสภาพจิตใจเฉกเช่นท่านเฉินในทุกวันนี้ แล้วได้พบเจอกับบัณฑิตผู้นั้นอีกครั้ง ก็อาจจะพูดคุยกับเขามากหน่อยกระมัง?
โดยไม่ทันรู้ตัวจิตแห่งการฝึกตนของเจิงเย่ก็ได้เปลี่ยนจากช่วงแรกเริ่มสุดที่ต้องคว้าชายแขนเสื้อของท่านเฉินไว้ให้แน่นแล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป กลายมาเป็นต่อให้วันหน้าต้องไปจากท่านเฉิน ก็ต้องมีชีวิตที่มีรสชาติขึ้นมาหน่อย มีชีวิตที่ไม่เหมือนกับเหล่าผู้ฝึกตนอิสระอาวุโสทุกคนบนเกาะเหมาเยว่ หรือแม้แต่กระทั่งคนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน
ยกตัวอย่างเช่นมีความอดทนต่อคนธรรมดาล่างภูเขาให้มากหน่อย?
ตอนนี้เจิงเย่ย่อมคิดได้ไม่กระจ่างนัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็เริ่มคิดบ้างแล้ว
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คงไม่รู้เลยว่า ปีนั้นเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงก็ก้าวเดินมาแบบเดียวกันนี้ ถึงได้มีนักบัญชีอย่างในทุกวันนี้
—–