กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 456.2 ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา
ทว่าตอนที่อยู่บนเนินเขา เฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดถึงคำเตือนที่หลิวเหล่าเฉิงใช้กระบี่บินส่งข่าวของหลิวจื้อเม่านำความมาบอกแม้แต่คำเดียว แล้วก็ไม่ใช่ว่าเป็นพันธมิตรกับหลี่ฝูฉวีแล้วเขาจะต้องเห็นสิ่งนี้เป็นยาสงบใจที่ไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดงแต่กลับเห็นผลทันตา แล้วจำเป็นจะต้องแสดงความเป็นมิตรต่อหลี่ฝูฉวี
เรื่องบางอย่างก็ทำไม่ได้
ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันคงจะต้องทบทวนตัวเองให้ดี พิจารณาชั่งน้ำหนักถึงมโนธรรมในใจตัวเองสักรอบว่าตนได้กลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วจริงๆ หรือไม่
เฉินผิงอันก็ดี หลี่ฝูฉวีก็ช่าง
พวกเขาต่างก็ไม่รู้เลยว่า หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายออกจากด่านไปแล้ว บนหัวกำแพงเมืองริมชายแดนมีริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก เกิดเป็นภาพมายาล่องลอยที่เห็นแค่เลือนๆ ก่อนที่สุดท้ายจะปรากฏเงาร่างของบุคคลที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้จัก
หากหลี่ฝูฉวีรู้เรื่องนี้ คาดว่าจิตแห่งเต๋าคงปริแตกเพราะความตกใจอย่างแน่นอน
เพราะแขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านนี้ก็คือบุคคลอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระของแจกันสมบัติทวีปที่หลังจากแย่งชิงเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสที่แม้แต่ฉีเจินเต้าจวินก็ยังต้องการไปได้แล้ว ก็ยิ่งมีหวังจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินอย่าง หลิวเหล่าเฉิง
เขาออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ เดิมทีควรจะไปปรึกษาหารือการใหญ่กับซูเกาซาน แน่นอนว่าเขาก็ได้ไปพบอีกฝ่ายมาแล้ว เพียงแต่ว่าจะกลับเกาะกงหลิ่วอย่างไร กลับเมื่อไหร่ ไม่มีใครที่จะมาควบคุมเขาหลิวเหล่าเฉิงได้
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่ย้ายจากสำนักใบถงมาอยู่สำนักกุยหยก อีกทั้งยังถือโอกาสขโมยสมบัติสำคัญชิ้นหนึ่งของศาลบรรพจารย์สำนักใบถงมาด้วยผู้นั้นก็ยังไม่กล้าเจ้ากี้เจ้าการกับหลิวเหล่าเฉิงมากเกินไป ยิ่งไม่กล้าลองหยั่งเชิงเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบน ต่อให้เป็นที่ใบถงทวีปซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลกว่าแจกันสมบัติทวีปมากนัก ก็ยังถือเป็นบุคคลที่ตอแยด้วยยากอย่างถึงที่สุด
ไม่ว่าหลิวเหล่าเฉิงจะปรากฏตัวที่นั่นเวลานั้นด้วยเหตุผลใด หลิวเหล่าเฉิงแค่โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งก็สลายวิชาอภินิหารมองแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือของคนที่มีตบะใกล้เคียงขอบเขตเซียนเหรินไปได้ ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนอิสระก็ต้องมีวิชาที่ถนัดหนึ่งอย่าง หรือมีฝีมือที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อยู่หลายชนิด รวมไปถึงกระบวนท่าสังหารหรือไม่ก็สมบัติอาคมที่พลังพิฆาตรุนแรงแต่กลับลึกล้ำอำพรางอย่างถึงที่สุด ยังมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สามารถปกป้องจิตหยินจิตหยางได้เหมือนกระดองเต่า ช่วยให้หลบหนี สำรวจตรวจสอบ มีประโยชน์มากมาย กลเม็ดเคล็ดลับหลากหลาย ความสามารถสารพัดอย่าง แต่ล้วนเชี่ยวชาญทุกอย่าง ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีที่พึ่งจึงจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนาน
หลี่ฝูฉวีทะยานตัวขึ้นฟ้ากลายร่างเป็นสายรุ้งจากไปไกล กลางอากาศเหนือด่านสั่นสะเทือนเหมือนฟ้าผ่าฤดูหนาว ส่งเสียงดังครืนครั่น
หลังจากนั้นหลิวเหล่าเฉิงจึงปรากฏตัว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าตัวดี ถือว่าพอจะมีคุณธรรมในยุทธภพอยู่บ้าง นับว่าเจ้าฉลาด ไม่อย่างนั้น…หึหึ”
ร่างของหลิวเหล่าเฉิงพุ่งวูบหายไป
ชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย ด่านประตูผีที่ซ่อนอยู่บนเส้นทางด่านคนเป็นประเภทนี้ ต่อให้เฉินผิงอันไปเยือนมาด้วยตัวเองรอบหนึ่ง เขาก็ไม่มีทางรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
คนและเรื่องราวบนโลกก็มักจะเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าหลายๆ ครั้งจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ตัดสินเป็นตาย จะเปลี่ยนมาเป็นเรื่องราวบางอย่างที่เบามากกว่า ยกตัวอย่างเช่นโชควาสนาที่พบเจอโดยไม่คาดคิด การสูญเสียอำนาจอย่างไม่มีลางบอกเหตุ การแก่งแย่งช่วงชิงอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ โชคดีเทียมฟ้าที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ละเรื่องแต่ละราวล้วนทำให้คนสับสนมึนงง บ้างก็ปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง บ้างก็คร่ำครวญหวนไห้อย่างทุกข์ระทม
มองดูเหมือนทุกอย่างล้วนมีตัวแปร แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้อยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิต แต่อยู่ที่การกระทำของคน
คนลงมือทำ สวรรค์คอยจ้องมอง ต่อให้สวรรค์ไม่มอง คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ก็กำลังมองอยู่เช่นกัน
ส่วนเรื่องที่ว่าควรจะทำอย่างไร แต่ละคนต่างมีวิธีการเป็นของตัวเอง ก็หนีไม่พ้นทางเลือกที่แตกต่างไปตามสภาพแวดล้อมของแต่ละคน การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ การคิดแสวงหาผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว การทำแบบขอไปที สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถกลายมาเป็นต้นทุนในการหยัดยืนได้ทั้งสิ้น จุดเดียวที่น่าขันก็คือ ทั้งคนดีและคนเลวส่วนใหญ่ล้วนไม่รู้หลักการที่ตื้นเขินเหล่านี้ ต่อให้รู้แล้วก็ยังคงไร้ประโยชน์ ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าวิถีทางโลกก็เป็นเช่นนี้ หลักการเหตุผลนั้นไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะถึงอย่างไรเมื่อทุกคนเดินมาถึงก้าวปัจจุบันก็ล้วนมีหลักการเหตุผลที่อยู่นอกเหนือจากตัวอักษรคอยประคับประคองอยู่ ความคิดและเส้นสายที่เป็นรากฐานที่สุดของแต่ละคนก็เหมือนเสาคานแต่ละต้นที่สำคัญที่สุด คำว่าเปลี่ยนแปลง แค่พูดก็ไม่ง่ายแล้ว และหากคิดจะปฏิบัติก็ยิ่งยาก ก็เหมือนการซ่อมแซมบ้านเรือนเติมอิฐต่อกระเบื้องที่ต้องใช้เงิน แต่หากเสาคานเอนเอง เรือนก็ย่อมไม่มั่นคง บางทีหากแค่ต้องเปลี่ยนแผ่นกระเบื้อง ซ่อมแซมหน้าต่างก็ยังพอทำเนา แต่หากคิดจะพยายามเปลี่ยนเสาคานเล่า? แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากลำบากที่ต้องบาดเจ็บถึงเส้นเอ็นและกระดูก หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวอย่างไม่ต้องสงสัย น้อยคนนักที่จะสามารถทำได้ ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ ประสบการณ์ก็ยิ่งโชกโชน นี่หมายความว่าในเมื่อมีบ้านอยู่แล้วจึงเคยชินที่จะอยู่อาศัยแบบนั้นแล้ว จึงเป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงได้ยาก หากหายนะมาเยือน ตัวเองตกอยู่ในสภาพจนตรอก ถึงเวลานั้นก็ไม่สู้คิดแค่ว่าวิถีทางโลกก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนก็เป็นกันอย่างนี้ แล้วค่อยยืมประโยคมีชื่อเสียงสักสองสามประโยคมาใช้ปนกันส่งเดชเพื่อให้ตัวเองสบายใจได้ชั่วคราว หรือไม่ก็เลือกมองคนอื่นที่ต้องเผชิญกับเรื่องน่าสงเวชยิ่งกว่า แล้วก็จะคิดว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว
เฉินผิงอันขยับเข้าใกล้ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว แต่จู่ๆ เขากลับชักหัวม้าหันกลับ ควบตะบึงไปยังทิศทางของแคว้นเหมยโย่ว
ทว่าไม่ได้ไปรวมตัวกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ แต่สละพาหนะของตัวเอง เอามันไปปล่อยไว้ในป่า ส่วนวันหน้าจะได้พบเจอกันอีกครั้งหรือไม่ก็ให้อยู่ที่วาสนา
เฉินผิงอันเดินเท้าออกมาจากทางเส้นเล็กเงียบสงัดที่มีเฉพาะคนตัดต้นไม้เท่านั้นที่ใช้เดิน เดินข้ามอาณาเขตของเทือกเขาไปพบคนผู้หนึ่ง
ภิกษุหนุ่มที่สามารถกำราบวานรในใจตัวเองได้
พอไปถึงใต้หน้าผาแห่งนั้น เฉินผิงอันก็หยุดเดิน พนมมือทั้งสิบคารวะไปทางโพรงหินที่อยู่บนจุดสูง
ภิกษุหนุ่มลุกขึ้นมาจากเบาะนั่ง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้แปลกใจ เพียงคารวะกลับคืน จากนั้นผายมือข้างหนึ่งบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันป่ายปีนขึ้นหน้าผามาตามสบาย
ตลอดทางที่เดินมานี้ ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่ได้รู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามมา แต่เขาก็ยังเดินไม่เร็วนัก แล้วก็ยังแสร้งทำเป็นว่าลมหายใจไม่คล่องเหมือนเวลาปกติ ส่วนภาพปราฎการณ์ภายในก็ย่อมมีวิชาลับเฉพาะของหลี่ฝูฉวีช่วยอำพรางให้ แต่กระนั้นก็ยังต้องคอยระวังทุกก้าวย่าง เขาไม่อาจทำร้ายคนอื่นและยังทำร้ายตัวเอง ทั้งเดือดร้อนหลี่ฝูฉวี แล้วยังพาตัวเองไปตกอยู่ในอันตรายด้วย
เฉินผิงอันประหนึ่งวานรในป่าที่ป่ายปีนไปบนหน้าผา
ภิกษุหนุ่มยืนอยู่ตรงโพรงหินเล็กแคบ หลังจากเฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งแล้ว เขาถึงได้เดินไปนั่งขัดสมาธิด้านใน แต่กลับยกเบาะนั่งใบนั้นให้แก่แขกผู้มาเยือน
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังนั่งลงไปบนเบาะ
ส่วนวานรในใจตนนั้นก็หลับตาอยู่ตลอดเวลาคล้ายกำลังนิทรา
ภิกษุหนุ่มเปิดปากเอ่ย “อาตมามาจากใบถงทวีป ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้า อาตมาพูดได้ไม่คล่องนัก ส่วนหลักพระธรรม เดิมทีอาตมาก็รู้แค่ผิวเผิน อีกทั้งยังมีอุปสรรคทางด้านภาษาสองอย่าง หนึ่งคือถ้อยคำระหว่างเจ้าและอาตมา อีกหนึ่งคือความห่างระหว่างหลักพระธรรมและถ้อยคำในพระคัมภีร์ อาตมาจึงยิ่งไม่กล้าตัดสินเอาเอง”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยด้วยภาษาทางการของใบถงทวีป “ยังดีที่ข้าเคยไปท่องเที่ยวที่ใบถงทวีป จึงสามารถพูดภาษาทางการของที่นั่นได้ พอจะถือว่าทำลายอุปสรรคเล็กๆ ไปได้บ้าง”
ภิกษุหนุ่มที่เรือนกายผอมแห้งยิ้มบางๆ “ประสกรู้หรือไม่ว่าใบถงทวีปมีคำกล่าวที่ว่า ‘อย่าเป็นพวกหัววัว’?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้ เกี่ยวกับหลักพระธรรม ข้ารู้อย่างตื้นเขิน หลายครั้งที่ออกเดินทางก่อนหน้านี้ก็ไม่มีโอกาสจะได้สัมผัสกับพระคัมภีร์”
ภิกษุหนุ่มยกฝ่ามือข้างหนึ่งตั้งตรงเบื้องหน้าตัวเอง “ไม่รู้ก็ดี ปัญหาและอุปสรรคในใจจะได้น้อยลง”
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของเฉินผิงอัน แต่เขากลับสะกดมันไว้เบาๆ
ถึงอย่างไรเรื่องการกำราบวานรในใจก็เป็นโชควาสนาบนมหามรรคาของภิกษุที่อยู่ตรงหน้า คนนอกไม่ควรพูดถึงง่ายๆ เขาจึงเปลี่ยนความคิดว่าจะถามถึงข้อสงสัยบางอย่างที่อยู่ในใจแทน
ทว่าภิกษุหนุ่มกลับคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ประสกมีวาสนากับพระธรรม เจ้าและอาตมาก็มีวาสนาต่อกัน อย่างแรกสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อย่างหลังก็พอจะมองเห็นได้เลือนๆ คิดดูแล้วตอนที่ประสกท่องไปทางเหนือของใบถงทวีปคงจะเคยผ่านภูเขาลูกหนึ่ง แล้วก็ได้เห็นภูตน้อยที่เหมือนจะเสียสติ คอยพร่ำถามว่า ‘จิตใจเช่นนี้จะบรรลุเป็นพุทธะได้อย่างไร’ ถูกหรือไม่?”
เฉินผิงอันปากอ้าตาค้าง
ภิกษุหนุ่มยิ้มบางๆ “ใช่แล้ว”
ภิกษุหนุ่มมองไปนอกช่องโพรงหินราวกับมองเห็นไปถึงอีกทวีปหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลนับหมื่นลี้ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ถามถูกแล้ว อาตมาไม่มีทางให้คำตอบ”
แล้วภิกษุหนุ่มก็เอ่ยต่ออีกว่า “ปีนั้นบนเส้นทางไปอัญเชิญพระคัมภีร์ อาตมาเป็นทั้งอาจารย์ แล้วก็เป็นทั้งลูกศิษย์ หนึ่งร่างแยกเป็นห้าส่วนโดยไม่ทันรู้ตัว หลงยึดติดงมงาย บางครั้งเจอกับภูตตามป่าเขาที่ทำดีต่อมนุษย์ ช่วยชี้ทางให้อาตมาด้วยความหวังดี บอกว่าภายหลังจะเจอคลื่นมรสุม แต่กลับถูกอาตมายกไม้ฟาดลงไป สังหารไปนับไม่ถ้วน ระหว่างเส้นทางไปอัญเชิญพระคัมภีร์ อันที่จริงตอนนั้นก็ขาดสะบั้นไปแล้ว ขาดแล้วขาดอีก เดินมุ่งไปไม่หันย้อนกลับ ยังคงไม่รู้ตัว ท่องไปหนึ่งทวีปแล้วก็อีกทวีป ผ่านความยากลำบากแสนเข็ญ ไปจากใต้หล้าแห่งนี้ และในที่สุดก็ได้พบเจอแดนสุขาวดีของพุทธศาสนา แต่พออาตมาหันหน้ากลับมา ทั้งบนมือและทั้งในหัวใจกลับว่างเปล่า”
ภิกษุหนุ่มถอนหายใจหนึ่งที แล้วมองมาทางเฉินผิงอัน “ประสก ถามมาเถิด”
เฉินผิงอันจึงบอกข้อสงสัยในใจของตัวเองออกมาช้าๆ มีทั้งความยากที่พบเจอในพระคัมภีร์ลัทธิพุทธ แล้วก็มีทั้งข้อสงสัยในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก
ภิกษุหนุ่มจึงใช้หลักพระธรรมไขข้อข้องใจให้เขา
เฉินผิงอันแค่เคยอ่านคัมภีร์ดั้งเดิมลัทธิพุทธที่ชุยตงซานแนะนำให้ไม่กี่เล่ม เขาไม่เข้าใจระบบสืบทอดและสายที่ค่อนข้างซับซ้อนของลัทธิพุทธเลย แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาก็ไม่ค่อยให้ความสนใจสิ่งเหล่านี้สักเท่าไหร่
ล้วนเป็นการถามคำถามที่สงสัยอย่างแท้จริง และรับฟังคำตอบจากภิกษุที่เดินทางไกลมาจากใบถงทวีปผู้นี้อย่างตั้งใจ
แล้วก็มีอยู่หลายจุดที่เฉินผิงอันประทับใจอย่างถึงที่สุด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของศาสตร์แห่งตรรกะ
คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ นอกจากจะตอบคำถามแล้ว ภิกษุหนุ่มยังขยายเรื่องที่พูดออกไปอีก คำพูดบางอย่างถึงขั้นแฝงร่องรอยของคำสอนลัทธิขงจื๊อลัทธิเต๋าและความรู้ของเมธีร้อยสำนักเอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งภิกษุหนุ่มไม่ถือสาในเรื่องนี้แม้แต่น้อย
เมื่อเฉินผิงอันถามจนหมดคำถามแล้ว ภิกษุหนุ่มจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อย่ากลัวว่าเมื่อถามปัญหาธรรมแล้วจะหลุดพ้นจากโลกมนุษย์เดินเข้าสู่หนทางแห่งพระธรรม นี่คือความเข้าใจผิดของคนบนโลก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เขาเคารพในพระธรรมก็จริง แต่ไม่คิดจะไปเป็นภิกษุอย่างจริงจัง
หลังจากนั้นก็พูดคุยเรื่องประสบการณ์ที่พบเจอในวัดซินซือของพื้นที่มงคลดอกบัวให้ภิกษุหนุ่มฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทสนทนาที่มีกับภิกษุเฒ่าคนนั้น เฉินผิงอันก็เอามาเล่าด้วย
ภิกษุหนุ่มรับฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งที่ได้ยินคำพูดตรงใจก็จะท่องภาษาธรรมออกมาเบาๆ
สุดท้ายเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ถอยไปจากเบาะหนึ่งก้าว สิบนิ้วประนมก้มศีรษะไหว้ภิกษุหนุ่มผู้นี้อีกครั้ง “ข้าหายสงสัยแล้ว”
ภิกษุหนุ่มลุกขึ้นตาม เขาเองก็ก้มศีรษะพึมพำภาษาธรรมเบาๆ ว่า “มีไปมีมา เสินซิ่วเชิญประทับ”
เฉินผิงอันถอยออกมาจากช่องโพรงหิน แล้วย้อนกลับทางเดิมลงไปจากหน้าผา
ภิกษุหนุ่มมองเบาะรองนั่งใบนั้นแล้วประนมมืออีกครั้ง พูดประโยคหลังซ้ำว่า “เสินซิ่วเชิญประทับ”
เฉินผิงอันไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งที่ซุกซ่อนอยู่
แค่พอจะนึกขึ้นได้ว่า ที่บ้านเกิดมีภูเขาสูงลูกหนึ่งที่บนหน้าผาสลักคำว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’ ช่วงแรกเริ่มสุดตอนที่ขึ้นเขาลงห้วยไปกับคนอื่นก็เคยเดินไปถึงที่นั่น เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันสายตาไม่ดี บวกกับที่มีไอเมฆหมอกล้อมเวียนวน ต่อให้แหงนหน้ามองไปก็ยังเห็นได้ไม่ชัดอยู่ดี ภายหลังยังคงเป็นเว่ยป้อที่พาเขาเดินเที่ยวในอาณาเขตของขุนเขาเหนือถึงได้มองเห็น ตอนนั้นรู้สึกว่าการที่ช่างหร่วนเลือกภูเขาลูกนั้นไว้เป็นภูเขาที่ตั้งสำนัก ก็น่าจะเป็นเพราะในชื่อของแม่นางหร่วนมีอักษรคำว่า ‘ซิ่ว’
เฉินผิงอันย้อนกลับไปที่ชายแดนแคว้นเหมยโย่ว แล้วเขาก็ดันเจอเข้ากับม้าตัวนั้นในผืนป่า พอมันเห็นเฉินผิงอันก็วิ่งห้อมาหาด้วยท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมอย่างถึงที่สุด
เฉินผิงอันตบหลังม้าเบาๆ พูดหยอกล้อว่า “เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าพวกเราต่างก็ผอมกันทั้งคู่ แต่เจ้ายังดีกว่าหน่อย แม้มองดูเหมือนจะผอมแห้ง แต่พอเคาะลงบนกระดูกยังได้ยินเหมือนเสียงโลหะ แต่ข้านี่เรียกว่าผอมจนหนังหุ้มกระดูก มีเนื้อแค่ไม่กี่จิน แค่ลมพัดก็ปลิวแล้ว”
พลิกตัวขึ้นหลังม้า มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน
ตรงเอวห้อยทั้งดาบและกระบี่ อีกฝั่งห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
หากตอนที่อยู่ในจวนจื่อหยางเฉินผิงอันมีสภาพอย่างในเวลานี้ คืนนั้นก็คงไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูที่แสดงให้รู้ว่ายุทธภพอันตราย
ก็ไม่แปลกที่มือกระบี่ผู้เฒ่าในยุทธภพที่ด่านหลิวเซี่ยจะบอกว่า ไม่ใช่คนสวมชุดเขียวทุกคนต้องเป็นเซียนกระบี่
เฉินผิงอันเข้าทะเลสาบซูเจี่ยนโดยผ่านนครลวี่ถงอีกครั้ง เขายังคงเอาม้าไปฝากไว้ที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น แล้วก็ยังคงไปซื้อซาลาเปาไส้เนื้อที่เป็นของดีราคาถูกสี่ลูกมาจากตรอกนั้น เพียงแต่ดูเหมือนว่าเมื่อเทียบกับเมื่อครึ่งปีก่อน กิจการของร้านจะซบเซาไปมาก เถ้าแก่หนุ่มมีสีหน้าอิดโรย มักจะทอดถอนใจบ่อยๆ เฉินผิงอันเดินกินซาลาเปาไปตลอดทาง พอเจอเรือข้ามฝากที่จอดไว้ตรงท่าเรือก็ทำความสะอาดรอบหนึ่ง ก่อนจะถ่อเรือกลับไปเกาะชิงเสีย
—–