กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 456.3 ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา
ขยับเข้าใกล้ช่วงปลายปี ทะเลสาบซูเจี่ยนในตอนนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วก็มีสภาพน่าอนาถยิ่งกว่าร้านขายซาลาเปาเสียอีก เมื่อปลายปีของปีก่อนมีหิมะใหญ่เท่าขนห่านตกติดต่อกันถึงสามครั้ง ปราณวิญญาณในทะเลสาบซูเจี่ยนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ผู้ฝึกตนที่เฉยชากับเรื่องของการเฉลิมฉลองปีใหม่ก็ยังเหมือนได้เฉลิมฉลองปีที่ดีกันไปรอบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าปีนี้ยังไม่ทันสิ้นสุดก็ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว เกาะนับพันแห่งซึ่งรวมถึงเกาะชิงเสียล้วนจำเป็นต้องมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เป็นของบรรณาการแก่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีใต้บังคับบัญชาของซูเกาซาน เกาะบางแห่งที่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์จูอิ๋ง รวมไปถึงแคว้นใต้อาณัติอย่างแคว้นสือหาว แคว้นเหมยโย่วก็ต้องเรียกว่าลำบากยากแค้นอย่างที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ ไม่เพียงแต่เสียพลังต้นกำเนิดอย่างใหญ่หลวง ยังไม่เป็นที่ชื่นชอบของทั้งสองฝ่ายด้วย
ที่น่ากลัวที่สุดยังคงเป็นถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ เถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลิน และผู้ถวายงานอย่างอวี๋กุ้ยที่ร่วมมือกับเกาะทั้งหมดที่มีบรรพจารย์เป็นผู้ฝึกตนเซียนดิน ยกตัวอย่างเช่นคู่รักเซียนดินแห่งเกาะหวงหลีที่จับมือเป็นพันธมิตรกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีข้อถกเถียงโต้แย้งใดๆ กลับกันยังร่วมมือกันอย่างซื่อสัตย์จริงใจเป็นพิเศษ พวกเขาเป็นฝ่ายลากเส้นโอบล้อมโดยมีสี่นครใหญ่รอบทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างนครน้ำบ่อ นครลวี่ถงเป็นหนึ่งในนั้นให้เป็น ‘หน้าด่าน’ ไม่ว่าผู้ฝึกตนคนใดกล้าพกพาทรัพย์สินของเกาะหนีไปโดยพลการแล้วถูกจับได้ จะมอบตัวให้คนของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ซึ่งมีทั้งแม่ทัพบู๊ม้าเหล็ก ขุนนางบุ๋นหนึ่งคน และผู้ฝึกตนติดตามกองทัพสองคน คนทั้งสี่แยกกันปักหลักอยู่ในนครทั้งสี่แห่ง ประหนึ่งตาข่ายสวรรค์ที่แผ่ปกคลุมผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนไว้ด้านใน ออกไปไหนไม่ได้ ได้แต่แข็งใจกรีดเนื้อบนร่างตัวเอง เงินเทพเซียนหีบแล้วหีบเล่าถูกส่งออกไปนอกนครน้ำบ่อไม่ขาดสาย ระหว่างนี้ก็มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงและความขัดแย้งเกิดขึ้นมากมาย หลังจากที่ผู้ฝึกตนอิสระตายกันไปเกือบร้อยคน ในที่สุดผู้ฝึกตนโอสถทองสองคนในบรรดานั้นก็ยอมสงบลง เก็บหางเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างว่าง่าย
ว่ากันว่านี่เป็นแค่รอบแรกเท่านั้น
ลำดับถัดมายังมีเกาะใหญ่บางแห่งที่ได้รับคำอนุญาตจากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีจึงคิดทำตัวเป็นปลาใหญ่ที่กินกุ้งหอยปูปลา พากันบุกเบิกเกาะใต้อาณัติอย่างกำเริบเสิบสาน สุดท้ายมีความเป็นไปได้ว่าเกาะนับพันเกาะของทะเลสาบซูเจี่ยนในทุกวันนี้จะมีศาลบรรพจารย์น้อยใหญ่หายไปสามส่วน ควันธูปขาดสะบั้น ต้องตกอยู่ใต้อาณัติคอยพึ่งพาเกาะใหญ่อย่างสิ้นเชิง ท่ามกลางขั้นตอนที่อบอวลไปด้วยคาวเลือดนี้ ผู้ฝึกตนทุกคนที่กล้าต่อต้าน มีเพียงจุดจบเดียวที่รอพวกเขาอยู่ เล่าลือกันว่าใต้บังคับบัญชาของซูเกาซานจะมีการตั้งตำแหน่งที่ไม่มีระดับขั้นอย่างใหม่ขึ้นมา นั่นคือผู้ฝึกตนจูงม้า ความหมายก็คือให้ทำหน้าที่เป็นข้ารับใช้คอยจูงม้าให้กับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลี หากซูเกาซานฉีกแนวเส้นป้องกันของแคว้นเหมยโย่วไปได้ บวกกับกองทัพใหญ่ของเฉาผิง กองทัพม้าเหล็กสองกองแบ่งทหารออกเป็นห้าจุด ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็จะผนึกกำลังกันโอบล้อมราชวงศ์จูอิ๋งเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ผู้ฝึกตนจูงม้ากลุ่มนี้มีโชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือ สามารถอาศัยการเข่นฆ่าในสนามรบกับกองทัพจูอิ๋งมาสะสมคุณความชอบทางหารทหาร มีหวังจะเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพระดับขั้นต่ำที่สุด เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนจูงม้าสิบคนจะสามารถมีชีวิตรอดสักสองสามคน กลายมาเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพได้หรือไม่ก็คงมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ ต่อให้กลายเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ แล้วถ้ากองทัพม้าเหล็กต้าหลียังจะเคลื่อนพลลงใต้ต่อไปอีก จะทำอย่างไร?
คำกล่าวนี้เล่าลือกันอย่างสมจริงสมจัง เพราะได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า ซูเกาซานคนเถื่อนต้าหลีที่บ้าเงินผู้นั้นสามารถทำเรื่องประเภทฆ่าไก่ชิงเอาไข่ได้จริงๆ
แต่ตอนนี้จิตใจของคนแตกแยก ขั้วอำนาจใหญ่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ นานแล้ว ใครเล่าจะกล้าชูธงลุกฮือต่อต้านขึ้นมาก่อน?
เวลานี้ผู้ฝึกตนอิสระในทะเลสาบซูเจี่ยนกลับคิดถึงความดีของหลิวจื้อเม่าขึ้นมา ปีนั้นแต่ละคนกลัวว่าหลิวจื้อเม่าจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ตอนนี้กลับเจ็บใจที่หลิวจื้อเม่าไม่ตั้งใจฝึกตนมากพอ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นตกเป็นนักโทษของเกาะกงหลิ่ว ไม่อาจช่วยขยับขยายที่ทางให้แก่ทะเลสาบซูเจี่ยนได้เลย
เฉินผิงอันขึ้นเกาะชิงเสีย เขานั่งอยู่ในห้องตรงหน้าประตูภูเขาพักหนึ่ง พบว่าด้านในไม่มีฝุ่นเกาะก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างมาก นี่น่าจะเป็นฝีมือของกู้ช่าน
มองดูเหมือนผิดต่อข้อตกลงของสองฝ่าย แต่อันที่จริงแล้วนี่คือเรื่องดี
เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง ชำเลืองตามองทัศนียภาพของทะเลสาบแวบหนึ่ง
ระหว่างทางผ่านเกาะมาไม่น้อย คิดดูแล้วป่านนี้พวกคนมีใจคงรู้ข่าวนี้แล้ว
เพียงแต่เวลานี้ไม่เหมือนในอดีตจึงไม่มีแขกขึ้นเกาะมาเยี่ยมเยียนอีก อันที่จริงคราวก่อนที่เฉินผิงอันออกจากแคว้นสือหาวกลับมายังทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้เจอกับสภาพการณ์ที่เงียบเหงาเช่นนี้แล้ว
พวกเจ้าเกาะอย่างอวี๋กุ้ย เจ้าเกาะไผ่ม่วง หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชต่างก็ทยอยกันมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย ครึกครื้นจนราวกับว่าเฉินผิงอันต่างหากที่เป็นเจ้าแห่งยุทธภพของทะเลสาบซูเจี่ยน
หากร่ำรวยต่อให้อยู่ในภูเขาลึกก็ยังมีญาติมาเยี่ยมเยียน แต่หากยากจนต่อให้อยู่ในตลาดครึกครื้นก็ยังไร้คนถามหา
เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณกาล
เฉินผิงอันชื่นชอบความเงียบสงบเช่นนี้ เขายังคงไปเยือนซากปรักหักพังของจวนเหิงโปพักหนึ่ง มองมันให้นานหน่อย จะได้ยิ่งเข้าใจความอันตรายของการฝึกตนบนภูเขามากอีกหน่อย
ครั้งนี้เพียงไม่นานกู้ช่านก็ตามมาที่ซากของจวนเหิงโป เขามายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “ยังนึกว่าเจ้าจะกลับมาหลังปีใหม่เสียอีก”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างสะท้อนใจ “หลังจากนี้ยังต้องไปที่กลุ่มเทือกเขาทางใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน อาจจะต้องเสียเวลามากกว่านี้”
กู้ช่านพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันถาม “เถียนหูจวินเคยมาหาเจ้าหรือไม่?”
กู้ช่านกล่าว “เคยมา นางพูดจาค่อนข้างจะจริงใจ แถมยังเกลี้ยกล่อมให้ข้าวางมาดใหญ่โตลง บอกว่าในเมื่อข้ามีชาติกำเนิดมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียน นี่ก็คือต้นทุนที่ไม่เล็กก้อนหนึ่ง ไม่สู้ไปที่นครน้ำบ่อ ตามหาผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอายุไม่มากท่านหนึ่ง ยังบอกว่าคนที่อายุเท่านี้แต่มาเฝ้าพิทักษ์นครน้ำบ่อได้ แสดงว่าต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ พยายามตีสนิทใกล้ชิดกับคนผู้นี้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้มีชีวิตที่สงบสุขมั่นคง เพียงแต่ข้าไม่ค่อยกล้าเชื่อนาง ตอนนี้นางกับหันจิ้งหลิงและหวงเฮ้อค่อนข้างจะสนิทกันมาก”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เหตุผลที่นางเกลี้ยกล่อมให้เจ้าไปนครน้ำบ่อ ไม่ถือว่าโกหก เพียงแต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างที่นางบอก เจ้าไม่ได้ตอบรับนางโดยการไปหาผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีผู้นั้นที่นครน้ำบ่อก็ไม่ถือว่าผิด เพราะเจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่าผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาคนนั้นมีนิสัยอย่างไรกันแน่ จะถูกหันจิ้งหลิงและหวงเฮ้อวางแผนเล่นงานเจ้าไว้แต่แรกแล้วหรือไม่ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ข้ากลับสามารถพูดถึงนิสัยบางอย่างของคนทั่วไปได้ ยกตัวอย่างเช่นหากผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นมีชาติกำเนิดจากตระกูลชนชั้นสูงของต้าหลีจริง การที่เขาได้เข้าร่วมกองทัพ รับผิดชอบเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่จำเป็นต้องลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรู นี่ก็หมายความว่าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีจิตใจหยิ่งทระนง ไม่ยินดีอาศัยตระกูลมาก่อร่างสร้างตัว นี่คือข้อแรก อีกทั้งลูกหลานตระกูลขุนนาง ส่วนใหญ่แล้วต่อให้จะเข้าใจการกระทำที่เจ้ากู้ช่านเคยทำลงไปในทะเลสาบซูเจี่ยนก่อนหน้านี้แค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางจะยอมรับได้ เพราะพวกเขาเคยชินกับกฎเกณฑ์ในวงการขุนนาง และยอมรับในมาตรฐานชุดนั้นมากกว่า ดังนั้นข้าไม่พูดว่าการที่เจ้าไม่ไปเยือนนครน้ำบ่อเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่อย่างน้อยก็ไม่ผิดแน่นอน”
กู้ช่านหันมามองเฉินผิงอัน ยิ้มถามว่า “เจ้าเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง ก่อนจะชี้ไปที่สมองของตัวเอง “มองให้มากคิดให้มาก ก็จะผิดน้อยลงไปอีกนิด อีกทั้งยังสามารถพร้อมรับมือกับการทำผิดแล้วรู้จักแก้ไขได้ตลอดเวลา นอกจากความเป็นความตายแล้ว ต้องรู้จักเว้นที่ว่าง เว้นทางถอยไว้ให้กับตัวเองในทุกๆ เรื่อง เส้นทางไม่ควรยิ่งเดินก็ยิ่งแคบลง ไม่อย่างนั้นวันใดอาจค้นพบกะทันหันว่าพาตัวเองไปอยู่ในซอยตันทางหัวขาดแล้วก็เป็นได้”
กู้ช่านทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบเศษหินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วขว้างทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ “นี่ก็ไม่ได้หมายความว่ายอมเป็นหยกแตก ดีกว่าเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์หรอกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นั่นต้องเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีทางเลือกแล้ว สำหรับข้อนี้เจ้าต้องคิดให้เข้าใจชัดเจนว่าอะไรที่เรียกว่าไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ แล้วเหตุใดถึงต้องก้าวไปบนเส้นทางที่อับจนหนทางเส้นนั้น จากนั้นค่อยคิดว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่สวรรค์จะไม่ไร้ทางให้คนเดิน อันที่จริงยังมีทางเลือกอย่างอื่นอยู่อีก”
เฉินผิงอันเองก็ทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบเศษกระเบื้องแก้วสีเขียวชิ้นหนึ่งที่หากอยู่ในราชวงศ์โลกมนุษย์จะถือว่าเป็นวัสดุปลูกสร้างที่เกินสถานะขึ้นมา “ตอนนี้เจ้าอาจจะรู้สึกว่ามันค่อนข้างซับซ้อน นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่สามารถประกอบเส้นสายนี้ขึ้นมาได้ ก็เลยรู้สึกหงุดหงิด รู้สึกว่ายุ่งยากมาก อันที่จริงมันไม่ได้ยากขนาดนั้น นี่ก็เหมือนที่คนคนหนึ่งเดินท่องอยู่ท่ามกลางภูเขาแม่น้ำ เวลาเจอภูเขาก็ปูเส้นทาง เจอน้ำก็สร้างสะพาน ขอแค่เจ้ารู้ว่าควรจะปูถนนสร้างสะพานอย่างไร เจ้าก็จะค้นพบว่า อันที่จริงแล้วอุปสรรคขวางทางที่เจอระหว่างภูเขาแม่น้ำและด่านยากในชีวิตคน ไม่ได้ข้ามผ่านไปได้ยากขนาดนั้น แน่นอนว่าเมื่อรู้วิธีปูถนนสร้างสะพานแล้ว การรู้ว่าต้องหาวัสดุแบบใดก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยยากมากเหมือนกัน ต้องเก็บก้อนหินเอง ต้องขึ้นเขาไปตัดต้นไม้เอง ถ้าไม่มีเงินก็ยังต้องติดหนี้เพื่อน หรืออาจจะยังถึงขั้นต้องนอบน้อมถ่อมตน ไปขอยืมเงินจากคนที่ตัวเองไม่ชอบ ถึงจะสร้างถนนและสะพานที่ดีขึ้นมาได้ แต่เมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำ ขึ้นภูเขามาแล้ว เจ้าก็จะค้นพบว่าทุกอย่างล้วนคุ้มค่า หากแย่ยิ่งกว่านั้นก็คือถึงท้ายที่สุดแล้วเจ้ายังไม่สามารถทำได้สำเร็จ ทว่ามีเพียงถึงเวลานั้นเท่านั้น เจ้าถึงจะเอ่ยประโยคที่ว่า ต่อให้ยังอยู่ในทางตัน แต่ข้าถามใจตัวเองแล้วก็ไม่ละอายได้ จากนั้นค่อยมาพูดถึงประโยคที่ว่ายอมเป็นหยกแตกดีกว่าเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์อย่างที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ นี่จึงจะสอดคล้องกับทฤษฎีลำดับขั้นตอน”
กู้ช่านก้มหน้าพึมพำ “ตอนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เจ้าก็ทำแบบนี้สินะ”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงเป่าฝุ่นที่ติดอยู่บนกระเบื้องแก้วใสสีเขียวชิ้นนั้น แล้วอืมรับหนึ่งที “พูดประโยคหนึ่งที่เจ้าอาจไม่อยากฟังนัก เมื่อข้ามาถึงเกาะชิงเสียแล้วรู้สึกผิดหวังในตัวเจ้าอย่างมาก ข้าถึงตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างพวกเรา คำพูดไม่น่าฟัง แต่ก็ถือเป็นคำพูดจากใจจริงของข้า เจ้าลองฟังดูก่อน นั่นก็คือตอนที่พวกเราเดินออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูเป็นครั้งแรก พวกเราต่างก็หวาดกลัวต่อโลกใบนี้เป็นอย่างมาก ใช่ไหม?”
กู้ช่านพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “แต่พวกเราเลือกหลักการที่ไม่เหมือนกัน ข้าสำรวจโลกที่แปลกประหลาดใบนี้ด้วยความระมัดระวัง สำหรับทุกคนที่ปรากฏตัวอยู่ข้างกายข้า ข้าจะพยายามมองไปยังความคิดที่แท้จริงของพวกเขา เรียนรู้ในข้อดีของพวกเขา ครุ่นคิดว่าพวกเขากลายมาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้อย่างไร ส่วนเจ้า เจ้าเลือกจะเดินไปบนทางลัดที่สามารถประหยัดแรงกายแรงใจได้มากที่สุด ข้าเข้าใจความลำบากยากเข็ญนานาประการที่เจ้าต้องเผชิญบนเกาะชิงเสีย รวมไปถึงการปกป้องที่เจ้ามีต่อแม่ของเจ้า ขนาดข้ายังรู้สึกเลื่อมใสนับถือเจ้า แต่เรื่องบางอย่าง ไม่ใช่ว่าข้าสนิทกับเจ้า รู้ถึงความยากลำบากของเจ้าแล้วจะสามารถพูดกับเจ้ากู้ช่านได้ว่า กู้ช่าน เจ้าทำไม่ผิด อันที่จริงเรื่องราวบนโลกมีการแบ่งแยกถูกผิดอย่างชัดเจน ห้ามรู้สึกเด็ดขาดว่าจิตใจคนซับซ้อน แม้แต่ถูกผิดที่เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดก็ยังปะปนกันมั่วซั่ว สำหรับตัวข้าแล้ว หากจะให้พูดประโยคที่เลวระยำมากกว่าเดิมก็คือ ต่อให้เป็นคนเลว ก็ควรจะรู้ว่าสรุปแล้วตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ทำผิดกฎไปกี่มากน้อยแล้ว คนเลวแบบนี้ถึงจะสามารถสร้างหายนะได้นานนับพันปี เรื่องพวกนี้เจ้าไม่เข้าใจ อีกทั้งเมื่อก่อนยังชอบแสร้งทำเป็นเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ”
กู้ช่านถอนหายใจ พูดตำหนิว่า “ก็ยังต้องโทษเจ้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ เพิ่งจะมาทะเลสาบซูเจี่ยนเอาป่านนี้ หากเจ้าพูดเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังตั้งแต่แรก ข้าต้องฟังเข้าหูแน่”
เฉินผิงอันไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย นี่ก็คือนิสัยปากแข็งของเด็กคนหนึ่ง ในทางกลับกันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในใจอย่างหนึ่ง
เมื่อเทียบกับอาหารมื้อแรกที่กินในจวนชุนถิง รวมไปถึงคืนนั้นที่กู้ช่านยอมรับว่าตัวเอง ‘ชอบฆ่าคน’ แล้ว ก็คือความแตกต่างราวฟ้ากับเหว
เฉินผิงอันลูบศีรษะของกู้ช่าน
กู้ช่านก้มหน้าลง
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงแผ่วเบา “หากหลังจากนี้มีวันใดที่แม่ของเจ้าแอบมาบอกเจ้าว่า ต้องแสร้งวางแผนลอบสังหารที่จวนชุนถิงสักครั้งหนึ่ง จะได้ให้ข้าอยู่ต่อบนเกาะชิงเสีย ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลให้พวกเจ้าสองแม่ลูก เจ้าอย่าได้รับปากนางเป็นอันขาด เพราะไม่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่ต้องไปเถียงนาง เพราะไม่มีประโยชน์เช่นเดียวกัน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า คนที่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดบางอย่างของแม่เจ้าได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่พ่อของเจ้า แต่เป็นตัวเจ้าเอง?”
กู้ช่านเงยหน้าขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทำไม นางพูดกับเจ้าแล้วหรือ?”
กู้ช่านทอดถอนใจ พึมพำว่า “ข้าเริ่มกลัวเจ้าแล้วนะ เฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันวางกระเบื้องแก้วในมือชิ้นนั้นลง พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “นั่นเป็นเพราะปีนั้นตอนที่อยู่ในเมืองเล็ก ข้าเก็บซ่อนอารมณ์ได้ดี เรื่องราววุ่นวายใจมากมายล้วนไม่เคยเล่าให้เจ้าฟัง”
กู้ช่านหัวเราะ “ก็จริงนะ ตอนนั้นข้าหรือจะคิดถึงเรื่องพวกนี้ วันๆ คิดแต่อยากจะให้เจ้าซื้อนั่นซื้อนี่ให้ ทุกครั้งที่เจ้าเอาเงินเหรียญทองแดงกลับจากเตาเผามังกรมาที่ตรอกหนีผิง ข้าก็จะต้องทำเหมือนเฉลิมฉลองปีใหม่ ใช่แล้ว เจ้าไม่เสียดายเงินพวกนั้นจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ข้าต้องเสียดายแน่ แต่กับเจ้า ข้าไม่เคยเสียดายเลยสักครั้ง แรกเริ่มก็เพราะอยากจะตอบแทนบุญคุณ แต่ตอนหลังไม่ใช่แล้ว มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว”
จู่ๆ กู้ช่านก็ถามคำถามหนึ่ง “แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เพื่อนของเจ้าอาจจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ?”
เฉินผิงอันหัวเราะ “คำถามนี้ถามได้ดี”
กู้ช่านหัวเราะหึหึ
เฉินผิงอันยกมือขึ้นวาดเส้นยาวๆ เส้นหนึ่ง แล้วพูดกับกู้ช่านอย่างจริงจังว่า “ข้อแรก ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป มีความเป็นไปได้มากว่าชีวิตของพวกเราจะยาวนาวกว่าชาวบ้านทั่วไป ดังนั้นพวกเราต้องมองการณ์ให้ไกลสักหน่อย คิดถึงแต่คนดีๆ เรื่องดีๆ ให้มากหน่อย เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ ไปเห็นภูเขาแม่น้ำหมื่นลี้ บนเส้นทางของชีวิตคน ข้าเองก็เคยเจอหลุมที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ เจอเรื่องที่คิดไม่ตก ถึงเวลานั้น ข้าจะมาหาพวกเจ้าเพื่อให้ช่วย แต่จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจ ดังนั้นก่อนหน้านี้ถึงได้บอกกับเจ้าว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหายที่ดีก็เหมือนเหล้าเก่าแก่ที่เก็บไว้ในห้องใต้ดิน เก็บค้างไว้ปีหนึ่งก็หอมหวานขึ้นอีกส่วนหนึ่ง”
เฉินผิงอันกำหมัดเบาๆ “ข้อสอง กู้ช่าน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ข้าเองก็เคยพบเจอคนมากมายที่ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้พวกเขาไม่ได้เหมือนกัน? เคยสิ แล้วก็ไม่ใช่แค่คนสองคนด้วย ต่อให้เป็นที่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังมีพวกซูซินไจและโจวกั้วเหนียน ต่อให้ไม่นับรวมความสัมพันธ์ที่มีต่อเจ้า ขอแค่ได้พบเจอกับพวกเขาก็ยังทำให้จิตใจของข้าไม่สงบได้อยู่ดี เพราะจะรู้สึกว่าเหตุใดบนโลกถึงได้มีคน…ผี…ที่ดีแบบนี้ได้?”
เฉินผิงอันมองกู้ช่าน มองการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จากสีหน้าและดวงตาของเขา
อีกทั้งยังไม่ปกปิดการสำรวจตรวจตราของตัวเองแม้แต่น้อย
—–