กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 459.2 ขึ้นเขาเข้าเรือนไปพบสหายเก่า
ในช่วงเช้าตรู่ของวันหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงตีนภูเขาลั่วพั่ว
ด้านหน้าภูเขาสร้างซุ้มประตูหินขึ้นมา เพียงแต่ว่าไม่มีป้ายใดๆ แขวนไว้ อันที่จริงตามหลักแล้วบนยอดเขาของภูเขาลั่วพั่วมีศาลเทพภูเขา ก็น่าจะควรแขวนป้ายเทพภูเขาไว้ป้ายหนึ่ง เพียงแต่ว่าเทพภูเขาที่ในอดีตเคยเป็นขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาผู้นั้นโชคไม่ดีนัก เขาไม่เพียงแต่ต้อง ‘อาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น’ บนภูเขาลั่วพั่วอันเป็นรากฐานกิจการของเฉินผิงอัน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเว่ยป้อยังแข็งค้างชะงักงัน บวกกับที่บนเรือนไม้ไผ่ยังมีปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่ลึกล้ำเกินจะหยั่งผู้หนึ่งอาศัยอยู่ นอกจากนี้ยังมีงูเหลือมยักษ์สีดำที่มักจะเลื้อยป้วนเปี้ยนอยู่แถวภูเขาลั่วพั่ว ปีนั้นหลี่ซีเซิ่งใช้เหล็กหมาดหิมะเขียนอักขระยันต์ไว้บนผนังเรือนไม้ไผ่ก็ยิ่งทำให้ตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่วลดระดับลงไปหลายส่วน ศาลเทพภูเขาจึงได้รับผลกระทบมากที่สุด ไปๆ มาๆ ในบรรดาศาลเทพภูเขาทั้งสามแห่งของเขตการปกครองหลงเฉวียน ศาลเทพภูเขาลั่วพั่วจึงมีควันธูปเบาบางที่สุด เรียกได้ว่าองค์เทพภูเขาที่ได้สร้างร่างทองหลังจากที่ตายไปผู้นี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของใครเลย
เว่ยป้อเดินลงมาจากภูเขาช้าๆ ด้านหลังมีสือโหรวติดตามมาไกลๆ
เฉินผิงอันพลิกตัวลงจากหลังม้า ยิ้มถามว่า “พวกเผยเฉียนล่ะ?”
เว่ยป้อกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ข้าจงใจบอกร่องรอยของเจ้าแก่พวกเขา เจ้าเด็กทั้งสามยังนึกว่าอาจารย์และนายท่านอย่างเจ้าจะกลับเข้าเขตการปกครองหลงเฉวียนผ่านทางเมืองหงจู๋ ตอนนี้คงกำลังรอคอยตาปริบๆ อยู่เลยล่ะ ส่วนจูเหลี่ยน ช่วงนี้ชอบไปเตร็ดเตร่อยู่แถวเขตการปกครอง บอกว่าเจอกับต้นกล้าที่ดีในการฝึกวรยุทธคนหนึ่งโดยบังเอิญ หากเป็นขอบเขตที่สูงมากคงไม่กล้าพูด แต่หากเป็นขอบเขตร่างทองกลับยังพอมีหวัง จึงอยากจะมอบโชคเปิดประตูต้อนรับนายท่านกลับบ้านเกิดสักหน่อย”
เฉินผิงอันเดินเคียงไหล่ไปกับเว่ยป้อ สือโหรวยังคงเดินตามมาด้านหลังอยู่ไกลๆ เพียงแค่ผงกศีรษะให้กับเฉินผิงอัน ถือเป็นการทักทายกันแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยขออภัย “เรื่องซื้อภูเขายืดเยื้อมาครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
เว่ยป้อที่สวมชุดสีขาวเดินไปบนทางภูเขา ประหนึ่งองค์เทพแห่งทะเลสาบที่ก้าวเหยียบคลื่นน้ำเบาๆ หูข้างหนึ่งสวมต่างหูวงกลมสีทอง ช่างเป็นเทพเซียนในเทพเซียนอย่างแท้จริง เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงปลายปีรัชศกหย่งเจียที่สิบเอ็ด การค้าครั้งนี้เกือบจะหลุดมือไปแล้ว ราชสำนักต้าหลีใช้เหตุผลที่ว่าท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาหนิวเจี่ยวไม่สะดวกขายให้กับผู้ฝึกตน ต้องเก็บเข้ากองทัพต้าหลี นี่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนใจที่ชัดเจนแล้ว อย่างมากที่สุดก็คงจะขายภูเขาที่ตั้งอยู่ริมขอบที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ให้เจ้ากับข้าสักลูกสองลูก ถือเป็นการชดเชยที่แสดงออกภายนอกแล้ว และข้าเองก็ไม่อาจยืนกรานอะไรได้ ทว่าพอถึงสิ้นปี กรมพิธีการต้าหลีกลับวางเรื่องนี้ลงชั่วคราว เดือนหนึ่งผ่านไป รอจนเหล่านายท่านของกรมพิธีการต้าหลีทำธุระกันเสร็จสิ้น เฉลิมฉลองปีใหม่ กินดื่มกันอย่างเต็มคราบ แล้วกลับมาที่เขตการปกครองอีกครั้ง จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ บอกว่าสามารถรอได้อีกหน่อย ข้าเลยเดาเอาว่าน่าจะเป็นเพราะเจ้าปิดงานที่ทะเลสาบซูเจี่ยนได้อย่างราบรื่น”
เฉินผิงอันยิ้มขื่น “ไม่ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”
เว่ยป้อหันหน้ามามองสภาพของเฉินผิงอันในปัจจุบันก็หัวเราะร่าเสียงดัง “มองออกแล้วล่ะ ก็แค่ดีกว่าคำว่า ‘ผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก’ ที่คนธรรมดาต้องผ่านยามเข้าสู่วิถีเทพนิดหน่อยเท่านั้น สภาพเจ้าน่าสังเวชจนแทบจะทนมองไม่ได้เลย คาดว่าพวกเผยเฉียนมาเห็นเจ้าคงจะจำไม่ได้เป็นแน่”
เฉินผิงอันเกาหัว ถอนหายใจ “ต่อให้พูดคุยเรื่องซื้อภูเขาได้เรียบร้อยแล้ว ข้าก็ยังติดหนี้อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนอีกบานเบอะ”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ “ก็แค่ต้องปวดหัวกับเรื่องเงินทองเท่านั้น ถึงอย่างไรดีว่าช่วงแรกเริ่มสุดที่สภาพจิตใจไม่อยู่นิ่ง ไม่ว่าทำอะไรก็เหมือนจะผิดไปหมดทุกอย่างกระมัง?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มกว้าง พยักหน้ารับ “เหตุผลนี้เลย”
เว่ยป้อพลันเอ่ยว่า “แต่ข้าไม่มีเงินให้เจ้ายืมหรอกนะ ก็มีแต่มาดเปล่าๆ ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาเหนือเท่านั้น แต่หากเจ้าสามารถอาศัยสิ่งนี้ไปหลอกเอาเงินเทพเซียนจากคนอื่นได้ ก็ตามสบาย ได้ไปเท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นความสามารถของเจ้า”
เฉินผิงอันถูมือเบาๆ พลางหัวเราะหึหึ “แบบนั้นจะดีหรือ”
เว่ยป้ออึ้งตะลึง ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่เหมือนเฉินผิงอันในอดีตคนนั้นเลย ดูเหมือนว่าหากตนไม่ระวังสักเพียงนิด ไอ้หมอนี่ก็จะฉวยโอกาสหาทางลงให้ตัวเอง จะห่มหนังพยัคฆ์ขององค์เทพขุนเขาเหนือไปหาเงินจากคนอื่นจริงๆ ? เว่ยป้อรีบตบไหล่เฉินผิงอัน ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ในเมื่อไม่ดีก็ช่างมันเถิด ข้าหรือจะกล้าทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี ก็เพื่อนกันนี่นะ ต้องเข้าอกเข้าใจกันและกัน…”
สือโหรวเดินตามด้านหลังคนทั้งสองอยู่ไกลๆ บอกตามตรง ตอนที่เห็นเฉินผิงอันครั้งแรกตรงหน้าประตูภูเขาลั่วพั่ว นางตกใจจนสะดุ้งโหยงจริงๆ
ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี เขาเปลี่ยนแปลงไปมากเกินไปแล้ว
หรือว่าพอไม่มีสุยโย่วเปียน หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยนอยู่ข้างกาย จำต้องบุกตะลุยอยู่ในยุทธภพของทะเลสาบซูเจี่ยนเพียงลำพัง ก็เลยถูกทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีผู้ฝึกตนอิสระนับไม่ถ้วนเล่นงานจนกลับคืนสภาพเดิม เลยมีสารรูปน่าอเนจอนาถเช่นนี้? สามารถมีชีวิตออกมาจากสถานที่ที่อันตรายซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้นได้ก็เลยพึงพอใจมากแล้ว? สือโหรวไม่ได้รู้สึกดูแคลนเฉินผิงอันเพราะเหตุนี้ เพราะถึงอย่างไรหลังจากที่ได้ฟังจูเหลี่ยนกับเว่ยป้อองค์เทพใหญ่แห่งขุนเขาพูดคุยกันถึงความไร้ขื่อไร้แปของทะเลสาบซูเจี่ยน นางก็พอจะเข้าใจเรื่องวงในได้บ้างแล้ว เข้าใจดีว่าเฉินผิงอันคนเดียว ต่อให้ข้างกายมีจูเหลี่ยน ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่สามารถอาศัยหมัดบุกสังหารเปิดเส้นทางสายเลือดขึ้นที่ทะเลสาบซูเจี่ยนได้ เพราะแค่หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินคนเดียวก็มากพอจะทำให้คนต่างถิ่นทุกคนสะอึกได้มากพอแล้ว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าภายหลังยังมีหลิวเหล่าเฉิงที่ย้อนกลับไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนเลย นั่นคือผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงคนเดียวในแจกันสมบัติทวีปเชียวนะ
เฉินผิงอันเอ่ย “บอกกับพวกเผยเฉียนสักหน่อยเถิด อย่าปล่อยให้พวกเขาเสียเวลารออยู่ในเมืองหงจู๋อย่างโง่งมเลย”
เว่ยป้อยิ้มอย่างเข้าใจพลางพยักหน้ารับ ก่อนจะเป่าปากหนึ่งครั้ง จากนั้นก็พูดว่า “รีบกลับมาเถอะ เฉินผิงอันอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว”
ประหนึ่งมีจอกแหนล่องลอยใบหนึ่งที่หมุนคว้างกลางสายน้ำวน แล้วพุ่งวาบหายไป
จากนั้นเสียงที่คุ้นเคยของเว่ยป้อก็ดังขึ้นข้างหูของเด็กทั้งสามอย่างพวกเผยเฉียนที่อยู่บนหลังคาเรือนหลังหนึ่งของเมืองหงจู๋
เผยเฉียนที่กำลังเท้าคางเบิกตากว้าง “จริงหรือหลอก?”
เด็กชายชุดเขียวที่กำลังนอนอาบแดดอยู่บนหลังคาลูบคลำปลายคาง “ข้าว่าเว่ยป้อกำลังหลอกพวกเรา กินอิ่มแล้วก็ว่างงาน เลยหาเรื่องแกล้งพวกเราเล่น”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่นั่งอยู่ข้างกายเผยเฉียนพูดขึ้นเสียงเบา “ท่านเว่ยคงไม่หลอกกันด้วยเรื่องแบบนี้หรอกกระมัง?”
เผยเฉียนลุกพรวดขึ้นยืน สองมือกำหมัดกระทบกันเบาๆ “อาจารย์ของข้าทำตัวลับๆ ล่อๆ เสียจริง มาถึงอย่างเงียบเชียบโดยไม่ให้พวกเราสามคนรับมือได้ทันแม้แต่น้อย พวกเจ้าว่าร้ายกาจหรือไม่!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูปิดปากหัวเราะคิก
เด็กชายชุดเขียวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ร้ายกาจกะผีน่ะสิ ปล่อยให้พวกเรารอเก้ออยู่ที่นี่ตั้งหลายวัน คอยดูเถอะ หากเจอหน้ากันข้าจะต้องทวงหงเปาจากเขาทันที ถ้าขาดไปแม้แต่ซองเดียว ข้าจะเอาเรื่องเฉินผิงอันแน่”
เผยเฉียนหันขวับมามองเด็กชายชุดเขียว มือเล็กๆ ข้างหนึ่งกดลงบนด้ามดาบและด้ามกระบี่ของเตาเจี้ยนชว่อที่ห้อยเอวไว้ในเวลาเดียวกัน พูดตักเตือนด้วยความหวังดีว่า “สหายก็ส่วนสหาย ทว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ อาจารย์ของข้าใหญ่ที่สุด หากเจ้ายังไม่เคารพกฎ วันๆ คิดแต่จะเอาเปรียบอาจารย์ของข้าเช่นนี้ ข้าคงต้องปลิดหัวสุนัขของเจ้าแล้ว”
พูดจาเหมือนคนแก่ คือนิสัยที่เผยเฉียนชอบทำเป็นประจำ
บางทีอาจเป็นเพราะอายุยังไม่มาก แล้วก็ชอบพูดจาประหลาดอยู่บ่อยๆ ดังนั้นจึงยากที่จะทำให้คนแยกแยะได้ว่าประโยคไหนเป็นความรู้สึกจริงๆ ของเผยเฉียน ประโยคไหนไม่ตั้งใจพูดและสามารถทำเป็นลมที่พัดผ่านข้างหูไปได้
เด็กชายชุดเขียวกลอกตามองบน “อาศัยความสามารถงูๆ ปลาๆ ของเจ้านั่นน่ะหรือ?”
เผยเฉียนส่ายหน้า “ข้าสนิทกับพ่อครัวเฒ่ามาก ขอให้เขาลงมือฆ่าเจ้า แล้วข้าค่อยปลิดหัวสุนัขของเจ้า ที่ข้าพูดก็ไม่ได้ผิดสักหน่อย”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเริ่มเครียด กลัวว่าเด็กทั้งสองที่พูดจาไม่เข้าหูกันจะลงไม้ลงมือกันขึ้นมา
แม้ว่าพวกเขาสองคนมักจะเถียงกันเป็นประจำ แต่กลับไม่เคยลงมือต่อยตีกันจริงๆ มาก่อน คนทั้งสองมักจะชอบขยับฝีปาก ‘ประชันความรู้’ พูดถึงวิชาเทพเซียนที่สามารถพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทรใส่กัน เพื่อประชันว่าใครฝีมือสูงส่งกว่ากันมากกว่า
เด็กชายชุดเขียวชั่งน้ำหนักของผู้ฝึกยุทธเดินทางไกล รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อครัวเฒ่ากับเผยเฉียนอยู่ครู่หนึ่ง นอกจากนี้ก็ดูเหมือนว่าเว่ยป้อคนที่เห็นแต่ผลประโยชน์อยู่ในสายตาผู้นั้นจะโปรดปรานเผยเฉียนอย่างมาก ในใจเขาพลันกลัดกลุ้ม กระโดดผลุงลุกขึ้นยืน เพียงแต่ว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบเอาใจ “จอมยุทธหญิงเผย เหตุใดถึงพูดล้อพูดเล่นกันไม่ได้เลยเล่า เฉินผิงอันคืออาจารย์ของเจ้า แต่เขาก็เป็นนายท่านผู้เฒ่าของข้าเหมือนกันนะ คนในครอบครัวปรองดอง เงินทองก็ไหลมาเทมา หัวสุนัขไม่หัวสุนัขอะไรกัน อีกอย่างข้าเองก็ไม่ใช่สุนัขสักหน่อย ข้าเป็นถึงเจียวหลงตัวใหญ่ที่เคยตบไหล่เจ้าลัทธิสามของลัทธิเต๋ามาหลายครั้งแล้ว ในถ้ำสวรรค์หลีจูและเขตการปกครองหลงเฉวียนของพวกเรา ใครบ้างที่จะกล้าทำเช่นนี้? แค่จิตใจที่กล้าหาญดุจวีรบุรุษนี้ของข้า เจ้าก็ควรต้องให้ความเคารพข้าหลายส่วนแล้ว วันหน้าอย่าได้พูดจาน่าโมโหที่ทำลายความสามัคคีเช่นนี้อีก เหมือนเด็กเกินไป ไม่ดีหรอกนะ”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้า คนในยุทธภพอย่างพวกเรา น้ำลายหนึ่งคำหนักแน่นดุจตะปูหนึ่งตัว!”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะหน้าเป็น “รู้แล้วน่าๆ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถอนหายใจโล่งอก
ยังดีที่พวกเขาไม่ได้แตกคอกัน ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยอย่างไร
คนทั้งสามกระโดดอยู่บนชายคาของเรือนแต่ละหลังราวกบกระโดดแตะผิวน้ำ เพียงไม่นานก็ออกจากเมืองหงจู๋เข้าไปในภูเขา งูเหลือมใหญ่สีดำตัวหนึ่งที่นอนขดตัวอยู่ในมุมไร้ผู้คนเลื้อยออกมา หน้าท้องของมันบดพื้นดินให้เกิดร่องลึก พลังอำนาจน่าหวาดเกรง เผยเฉียนกระโดดขึ้นไปบนหัวของงูดำภูเขาลั่วพั่วก่อน ครั้นจึงนั่งขัดสมาธิ วางดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่ทับซ้อนกันไว้บนหัวเข่า
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั่งอยู่บนกระดูกสันหลังของงูดำ
เด็กชายชุดเขียวยืนอยู่บนหางงูดำ ร่างแกว่งส่ายไปมา เพียงแต่ว่าพอเขามองไปยังแผ่นหลังบอบบางของเด็กผิวดำเกรียมผู้นั้น ในใจก็เกิดพยับหมอกบดบัง เสี้ยววินาทีก่อนหน้านี้ ตนถึงขั้นเกิดความรู้สึกกดดันบีบคั้นซึ่งเป็นความรู้สึกตามสัญชาตญาณต่อเด็กหญิงผิวดำเกรียม
ความรู้สึกที่ทำให้คนไม่สบายตัวเช่นนี้ ทำให้เขาไม่คุ้นชินอย่างยิ่ง
ครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบนร่างเผยเฉียนก็คือครั้งที่พวกเขาไล่กวดหมาพื้นบ้านที่เฉลียวฉลาดอยู่บนกลุ่มภูเขา ทั่วร่างของเผยเฉียนเต็มไปด้วยเศษกิ่งไม้ใบหญ้า บนใบหน้ายังมีรอยคราบเลือดเส้นเล็กๆ ที่เกิดจากกิ่งไม้ขีดข่วน กว่าจะดักทาง ‘หมาเร่ร่อน’ ตัวนั้นไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางไม่รู้สึกรู้สากับอาการบาดเจ็บที่ไม่เจ็บไม่คันบนร่างตัวเองแม้แต่น้อย ในสายตามีแต่หมาที่จนตรอกตัวนั้น ดวงตาของนางส่องประกายเจิดจ้า นิ้วหัวแม่มือกดอยู่บนด้ามดาบ ค่อยๆ ผลักดาบออกจากฝักเบาๆ แล้วนางก็ค้อมตัวลง จ้องหมาตัวนั้นเขม็ง ดาบไม้ไผ่ออกจากฝักมาหนึ่งชุ่น ดวงตาก็สาดประกายร้อนแรงหนึ่งส่วน
นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เด็กชายชุดเขียวก็ไม่เคยมองเผยเฉียนเป็นเพียงเด็กหญิงที่ไม่รู้ความอีกเลย
เขาถึงขั้นเกิดความสงสัยว่า เฉินผิงอันที่เป็นวิญญูชนผู้เที่ยงตรง ไปหาตัวประหลาดน้อยผู้นี้มาเป็นลูกศิษย์ได้อย่างไร? หนำซ้ำยังเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาด้วย?
งูดำที่มีชาติกำเนิดมาจากภูเขาฉีตุนเลื้อยไปบนทางภูเขากลับบ้านอย่างคุ้นชินเส้นทาง
เผยเฉียน เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างคนต่างคิดไปคนละเรื่อง
เผยเฉียนใช้ปลายด้ามดาบเคาะลงบนหัวงูดำเบาๆ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “อย่าแอบอู้สิ รีบเลื้อยให้เร็วหน่อย ไม่อย่างนั้นหากวันใดที่ข้าฝึกวิชากระบี่มารคลั่งได้สำเร็จแล้วจะจับเจ้ามาเป็นคู่ซ้อมเสียเลย”
งูดำที่เป็น ‘ที่นั่ง’ ของนางจึงได้แต่เพิ่มความเร็วให้มากขึ้น
ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันที่ได้กลับคืนมายังเรือนไม้ไผ่อีกครั้ง ความรู้สึกนับร้อยก็ประดังประเดกันเข้ามา
ตลอดทางที่เดินกันมานี้ เว่ยป้อเล่าเรื่องที่สมควรเล่าให้เฉินผิงอันฟังจนหมดแล้ว จากนั้นก็ใช้วิชาแห่งชะตาชีวิตขององค์เทพแห่งขุนเขาและสายน้ำย่อพื้นที่ให้เล็กลง กลับไปที่ภูเขาพีอวิ๋นของตัวเอง
สือโหรวมองแผ่นหลังของเฉินผิงอันที่เดินขึ้นชั้นสอง นางลังเลอยู่เล็กน้อยก็ยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งมานั่งอยู่ใต้ชายคา สงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าระหว่างเฉินผิงอันกับผู้เฒ่าแซ่ชุยคนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกันกันแน่
ผู้เฒ่าไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่เหมือนกับชาวลัทธิขงจื๊อที่ถอนตัวออกจากสังคมมาอยู่ในป่าลึกมากกว่า เว่ยป้อและจูเหลี่ยนก็เหมือนนัดหมายกันมา พวกเขาต่างก็ไม่พูดอะไรให้นางฟังมากนัก แล้วก็ทำราวกับว่าผู้เฒ่าไม่มีตัวตน
แรกเริ่มผู้เฒ่ามีใจคิดอยากจะอบรมเผยเฉียน เพียงแต่ว่าเขาแค่จับกระดูกนางเบาๆ เผยเฉียนก็ลงไปกลิ้งชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อน มองผู้เฒ่าอย่างน่าสงสาร ตอนนั้นผู้เฒ่ามีสีหน้าพิพักพิพ่วนเหมือนตัวเองเดินไปเหยียบขี้หมา เผยเฉียนฉวยโอกาสที่ผู้เฒ่ากำลังเหม่อแอบย่องหนีออกมา หลังจากนั้นก็ไม่เข้าใกล้เรือนไม้ไผ่อยู่หลายวัน เอาแต่เที่ยวเล่นไปทั่วกลุ่มภูเขา ภายหลังก็ถึงขั้นออกไปจากภูเขาใหญ่แถบทิศตะวันตก ไปอยู่ที่ร้านขายขนมในตรอกฉีหลง ทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่น้อย ให้ตายก็ไม่ยอมพบหน้าผู้เฒ่าอีก นับจากนั้นมาผู้เฒ่าแซ่ชุยก็ตัดใจจากเผยเฉียนอย่างสิ้นเชิง บางครั้งที่ยืนชมทัศนียภาพอยู่บนชั้นสองแล้วชำเลืองตาไปเห็นเผยเฉียนก็รู้สึกเหมือนเห็นลูกหงส์ที่หมกตัวอยู่ในเล้าไก่ทั้งวัน โดยที่เจ้าตัวเล็กนั่นยังมีความสุขอย่างมาก นี่ทำให้ผู้เฒ่าที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อรู้สึกจนใจเล็กน้อย
—–