กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 460.2 ล้วนอยู่ในยุทธภพที่มีสุรา
จูเหลี่ยนพลันหันหน้าไปตะโกน “เจ้าตัวขาดทุน อาจารย์ของเจ้าจะต้องออกเดินทางไกลอีกแล้ว ยังจะมัวนอนหลับอยู่อีกรึ?!”
เผยเฉียนสะดุ้งทะลึ่งตัวขึ้นอย่างแรง พาทั้งตัวเองทั้งเก้าอี้ไม้ไผ่ล้มคว่ำ ระหว่างที่กำลังสะลึมสะลือก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยนั้น นางพุ่งตัวไปทันที ผลคือพอเห็นสภาพของเฉินผิงอัน หยดน้ำตาราวกับเม็ดฝนก็ร่วงเผลาะๆ ลงมาเป็นสาย ใบหน้าที่ดำเป็นถ่านยับยู่ ปากเบะลง พูดอะไรไม่ออกสักคำ ทำไมอาจารย์ถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้? ทั้งผอมทั้งดำขนาดนี้ มาเลียนแบบนางทำไมกัน? เฉินผิงอันขยับตัวนั่งตรงๆ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มาอยู่ภูเขาลั่วพั่วสามปี ทำไมเจ้าไม่สูงขึ้นเลยเล่า? ทำไม กินข้าวไม่อิ่มงั้นหรือ? หรือว่าเอาแต่เล่นอย่างเดียว? ยังคัดตัวอักษรอยู่อีกหรือไม่?”
เผยเฉียนพุ่งเข้ากอดเฉินผิงอัน ร้องไห้โฮดังลั่น เสียใจอย่างถึงที่สุด
ปีนั้นควรจะทำหน้าหนาติดตามอาจารย์ไปด้วย หากมีนางคอยดูแลเรื่องการกินอยู่ของอาจารย์ ต่อให้จะเงอะงะไม่คล่องแคล่วมากแค่ไหน จะดีจะชั่วก็ยังมีคนคอยพูดคุย คอยช่วยคลายความกลัดกลุ้มให้อาจารย์ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน
เฉินผิงอันถลึงตาใส่จูเหลี่ยนที่ทำสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่ข้างๆ
จูเหลี่ยนยกกาเหล้ากระดกดื่มลงโทษตัวเองอึกใหญ่ จากนั้นก็ฉวยโอกาสที่เฉินผิงอันกำลังปลอบใจเผยเฉียนหิ้วกาใบเล็กที่ยังมีเหล้าอีกาครวญเหลืออีกครึ่งหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป
ราวกับว่าต้องการยกแสงจันทร์และกาลเวลาให้กับอาจารย์และศิษย์ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหลังแยกจากกันไปนานคู่นี้
กว่าเผยเฉียนจะหยุดร้องไห้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางขยับไปนั่งบนเก้าอี้หินที่อยู่ด้านข้าง
ตัวสูงขึ้นมานิดหน่อย แต่เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก เด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ปีทั่วไป เวลานี้เรือนร่างควรจะต้องอรชนอ้อนแอ้นดุจกิ่งหลิวกิ่งหยางแล้ว และใบหน้าก็ควรจะเริ่มเรียวลง
แต่เผยเฉียนยังคงเป็นเหมือนเด็กหญิงตัวดำที่จากกันในเมืองหงจู๋ครานั้น
นางพูดจ้อถึง ‘คุณูปการอันใหญ่หลวง’ ของตัวเองในเขตการปกครองหลงเฉวียนตลอดหลายปีมานี้ให้อาจารย์ฟัง ทุกระยะเวลาช่วงหนึ่งนางจะต้องลงจากภูเขาไปเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงให้อาจารย์ เดือนหนึ่งและช่วงเทศกาลชิงหมิงของทุกปีก็จะต้องไปจุดธูปที่หลุมศพ คอยดูแลร้านทั้งสองที่อยู่ในตรอกฉีหลง ทุกวันนอกจากจะคัดตัวอักษรแล้วยังจะถือไม้เท้าเดินป่าขี่งูดำตัวนั้นออกไปลาดตระเวนทั่วอาณาเขตของภูเขาลั่วพั่ว ป้องกันไม่ให้พวกโจรแฝงตัวเข้ามาในเรือนไม้ไผ่ แล้วยังฝึกเดินนิ่งหกก้าว ปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ทุกวัน รวมไปถึงวิชาวานรขาวสะพายกระบี่และวิชาลากดาบที่พี่หญิงแม่ชีสอนนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิชากระบี่มารคลั่งที่นางยังต้องปรับปรุงแก้ไขอีกแค่เล็กน้อยก็สามารถบรรลุถึงจุดสุดยอดได้วิชานั้น…สรุปก็คือ นางยุ่งมาก ไม่ได้เอาแต่เล่นสนุกเหลวไหลเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยทำตัวไม่เป็นการเป็นงาน ฟ้าดินเป็นพยานให้ได้!
ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างขับไล่หมา เอาขนห่านมาเตะเป็นลูกขนไก่นั้น นางรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพูดให้อาจารย์ฟัง ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ เรื่องราวและวีรกรรมที่สร้างความสาแก่ใจเช่นนั้นเป็นเรื่องภายในของนางเอง ไม่จำเป็นต้องนำออกมาโอ้อวด
เฉินผิงอันรับฟังคำพูดที่ใส่เสริมเติมแต่งของเผยเฉียนด้วยความอดทนจนจบ ก่อนยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโสชุยไม่ได้สอนอะไรเจ้าเลยหรือ?”
ลูกตาของเผยเฉียนกลอกกลิ้งไปมา แล้วก็ส่ายหน้าอย่างแรง พูดอย่างน่าสงสารว่า “ท่านผู้เฒ่าสายตามองสูง ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาหรอก อาจารย์ท่านไม่รู้อะไร ท่านผู้เฒ่ามีมาดของยอดฝีมืออย่างยิ่ง ในฐานะผู้อาวุโสในยุทธภพ เขามีกลิ่นอายแห่งความเป็นเซียนยิ่งกว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาเสียอีก ข้ารู้สึกเคารพเลื่อมใสเขายิ่งนัก เฮ้อ น่าเสียดายที่ข้าไม่เข้าตาท่านผู้เฒ่า ไม่อาจขอให้ท่านผู้เฒ่าช่วยชี้แนะวิชากระบี่มารคลั่งของข้าได้ อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วก็มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นแหละที่ทำให้ข้ารู้สึกผิดต่ออาจารย์”
คงกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่เชื่อ เผยเฉียนที่พูดจาประจบเอาใจทั้งสองฝ่ายจึงใช้หมัดทุบฝ่ามือเสียงดังกังวาน พูดด้วยความขุ่นเคืองใจว่า “เป็นข้าที่ทำให้อาจารย์ต้องขายหน้า!”
เฉินผิงอันค้อมเอวโน้มตัวไปด้านหน้า ดีดหน้าผากเผยเฉียนหนึ่งที เผยเฉียนเจ็บจนต้องยกมือกุมหัว สูดลมเย็นๆ เข้าปอดดังเฮือก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทนความเจ็บปวดไม่ไหวก็บอกมาตามตรง สายตามองสูงอะไรกัน เจ้าคิดจะหลอกใคร?”
เผยเฉียนนวดหน้าผากที่บวมแดงเล็กน้อย เบิกตากว้าง พูดด้วยสีหน้าตะลึงงัน “อาจารย์ท่านเดินทางไกลครั้งนี้คงไม่ได้ไปเรียนรู้วิชาอ่านใจของเทพเซียนมาหรอกกระมัง? อาจารย์ทำไมท่านทำอย่างนี้ ทำไมไม่ควบคุมความสามารถที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็เรียนรู้วิชาของที่นั่นได้อย่างเชี่ยวชาญบ้างเลย! แล้วจะให้ข้าที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่ตามอาจารย์ทันได้อย่างไร? หรือข้าจะต้องคอยกินฝุ่นอยู่ด้านหลังอาจารย์ไปตลอดชีวิต…”
เฉินผิงอันบิดหูเจ้าเด็กขี้ประจบ “เอ้า แต่งเรื่องต่อสิ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะแต่งไปได้ถึงไหน”
เผยเฉียนแสยะปากยิ้ม เพียงแต่พอเห็นใบหน้าของอาจารย์ น้ำตาก็คลอจวนเจียนจะหยดอีกครั้ง ไม่มีอารมณ์จะพูดล้อเล่นกับอาจารย์อีกแล้ว นางจึงก้มหน้าลง
เฉินผิงอันถอนหายใจ ตบศีรษะเล็กนั่นเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “จะบอกข่าวดีอย่างหนึ่งแก่เจ้า อีกไม่นานพวกภูเขาอย่างภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาจูซา และภูเขาหลังอ๋าวก็จะเป็นของอาจารย์เจ้าแล้ว แม้แต่ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาหนิวเจี่ยว อาจารย์ก็ยังได้ครอบครองครึ่งหนึ่ง วันหน้าเจ้าสามารถเก็บเงินค่าผ่านทางจากทุกคนที่สัญจรไปมาได้อย่างถูกต้องสมเหตุสมผลแล้ว”
เผยเฉียนร้องอ้อรับทีหนึ่ง ท่าทางไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองทัศนียภาพยามค่ำคืนของแถบทิศใต้ภูเขาลั่วพั่วต่อไป ได้ยินมาว่าช่วงเวลาที่อากาศปลอดโปร่ง ขอแค่สายตาดีพอก็จะสามารถมองเห็นเค้าโครงของเมืองหงจู๋และแม่น้ำซิ่วฮวาได้อย่างเลือนราง
เผยเฉียนฟุบตัวนอนคว่ำกับโต๊ะหิน ไล่นิ้วปาดผ่านเส้นสลักกระดานหมากล้อมไปเบาๆ ตามองอาจารย์ไม่กะพริบ
คนทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไป
เมื่อได้ข่าวจากจูเหลี่ยน เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็จับจูงกันมาจากจวนที่เพิ่งสร้างใหม่ เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ยิ้มพลางกวักมือเรียก บอกให้พวกเขานั่งลง เมื่อรวมกับเผยเฉียน คนก็นั่งกันครบโต๊ะพอดี
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูวิ่งตะบึงเข้ามาหา ประสานมือโค้งคำนับเฉินผิงอัน เอ่ยเรียกอย่างนอบน้อมว่า “นายท่าน”
เด็กชายชุดเขียวเองก็โค้งตัวคำนับอย่างเข้าท่าเข้าที พอเงยหน้าขึ้นแล้วก็ยิ้มกว้าง “นายท่าน ในที่สุดท่านก็ตัดใจกลับมาบ้านได้เสียที ไม่เห็นพาอาจารย์แม่ที่งดงามดุจบุปผาดุจหยกมาด้วยสักคนสองคนเล่า?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันมาถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล “ห้ามเจ้าพูดจาเหลวไหล!”
เด็กชายชุดเขียวแคะขี้มูก นั่งแปะลงบนเก้าอี้หินฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอัน แล้วก็ฟุบตัวนอนคว่ำเลียนแบบเผยเฉียน พูดด้วยสีหน้าสงสัย “นายท่าน ท่านสวมหน้ากากท่องอยู่ในยุทธภพใช่หรือไม่? ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ข้าขี้ขลาด เห็นแล้วขนลุกยิ่งนัก ท่านรีบปลดมันลงมาเถอะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่คงไม่อยากได้หงเปาแล้วใช่ไหม?”
เด็กชายชุดเขียวเงยหน้าขึ้น มองใบหน้าเฉินผิงอันซ้ายทีขวาที “คิดไม่ถึงว่าพอมองอย่างละเอียด นายท่านจะยิ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของบุรุษเพศแล้ว”
เฉินผิงอันเกาหัว ภูเขาลั่วพั่ว? เปลี่ยนชื่อเป็นภูเขาสอพลอดีไหม
จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบของสามชิ้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ได้แก่กล่องเก็บสมบัติเก้าช่องที่ผู้ฝึกตนเฒ่าของท่าเรือแคว้นเชียนเฮ้อมอบให้ แผ่นหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่ตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าชดใช้ให้ ยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกที่เขาเหลือติดตัวอีกแค่แผ่นเดียว โดยยกพวกมันให้กับเผยเฉียน เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู
เผยเฉียนเปิดกล่องออกแล้วเห็นของกระจุกกระจิกละลานตาเต็มไปหมด แต่ละชิ้นแม้จะเล็กแต่ก็ประณีตงดงาม ประเด็นสำคัญคือมีจำนวนมากด้วย
เด็กชายชุดเขียวลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังรับหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นมา
ส่วนเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ชื่นชอบกระดาษยันต์หนังจิ้งจอกแผ่นนั้นจนวางไม่ลง
เฉินผิงอันยิ้มอธิบายกับนางว่า “วันหน้าเวลาเก็บกวาดเรือน เจ้าไม่ต้องเหนื่อยคนเดียวแล้ว กรอกปราณวิญญาณเข้าไปก็สามารถให้ยันต์หุ่นเชิดตนหนึ่งช่วยเหลือเจ้าได้ มันมีสติปัญญาไม่ต่างจากเด็กสาวทั่วไป แถมยังคุยเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้ด้วย”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูลุกขึ้นยืนโค้งคำนับขอบคุณเฉินผิงอันอีกครั้งอย่างเอาจริงเอาจัง
เฉินผิงอันเองก็ห้ามไม่อยู่
เด็กชายชุดเขียวพลันเอ่ยขึ้นว่า “นี่ล้ำค่าเกินไปหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันพูดสัพยอก “พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือไร?”
เด็กชายชุดเขียวทอดถอนใจ คิดแล้วก็เอ่ยว่า “รับไว้ไม่ได้ ข้าเคยได้ยินมาโดยบังเอิญถึงความล้ำค่าหายากของหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนี้ แล้วมันก็ไม่ใช่หินดีงูที่เกี่ยวพันกับมหามรรคาที่จะมอบให้ข้ามากแค่ไหน ข้าก็รับไว้หมดไม่มีปฏิเสธเสียหน่อย…”
เด็กชายชุดเขียววางแผ่นหยกไว้บนโต๊ะ
เฉินผิงอันเห็นว่าสายตาของเขาเด็ดเดี่ยวจึงไม่ได้ดึงดันให้เขารับของขวัญชิ้นนี้ไว้ แล้วก็ไม่ได้เก็บมันใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เพียงแค่ยกเหล้าอีกาครวญขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก “ได้ยินมาว่าพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงของเจ้าคนนั้นมาเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนของเราด้วย?”
เด็กชายชุดเขียวไหล่ลู่คอตก “ก็ใช่น่ะสิ”
เฉินผิงอันกล่าว “อย่าได้รู้สึกว่าตัวเองโง่ เป็นเพราะพี่น้องเทพวารีคนนั้นของเจ้าไม่ฉลาดพอต่างหาก วันหน้าหากเขามาอีก ควรจะทำอย่างไรก็ทำไป ไม่อยากพบหน้าก็แค่หาสถานที่แห่งหนึ่งปิดด่านไปซะ บอกให้เผยเฉียนช่วยขวางไว้ให้ หากยังยินดีจะพบหน้าเขาก็จัดงานเลี้ยงรับรองต่อไป หากไม่มีเงินซื้อเหล้า เงินก็ดี เหล้าก็ช่าง ล้วนมาขอยืมจากข้าได้”
เด็กชายชุดเขียวทำสีหน้าเหยเก “ข้ายังนึกว่าท่านจะโน้มน้าวข้าไม่ให้ไปพบเขาอีก”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เป็นสหายในยุทธภพกันมาหลายร้อยปี คิดจะแยกย้ายก็แยกย้าย คงน่าเสียดายไปหน่อยกระมัง แต่แม้จะเป็นเพื่อนกันต่อไป ธุระบางอย่างที่เจ้าช่วยไม่ได้ก็ควรบอกกับเขาไปตามตรง คนที่เป็นเพื่อนกันจริงๆ จะต้องเข้าใจเจ้า”
เด็กชายชุดเขียวพึมพำ “ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ หากบอกกับพี่น้องของตัวเองว่าตนไร้ความสามารถ จะไม่น่าอายหรอกหรือ”
เด็กชายชุดเขียวพูดประโยคนี้จบก็ยิ่งรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาเถิด ขอแค่เกี่ยวกับเงิน ต่อให้เจ้ายังคิดจะตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วน ยังดึงดันจะพูดว่าทำได้ทั้งๆ ที่ตัวเองทำไม่ได้ต่อหน้าพี่น้องเทพวารีคนนั้น ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นก็มายืมเงินจากข้า รับรองว่าเจ้าจะยังคงเป็นมือวางอันดับสองแห่งแม่น้ำอวี้เจียงที่ใจกว้างองอาจเหมือนในปีนั้นอย่างแน่นอน”
คราวนี้เด็กชายชุดเขียวอึ้งตะลึงไปอย่างสิ้นเชิง โพล่งชื่อของเฉินผิงอันออกมาตรงๆ โดยลืมไปเสียสิ้นว่าต้องเรียกนายท่าน “เฉินผิงอัน ออกเดินทางไกลคราวนี้ ถูกคนตบหัวจนสมองเสื่อมไปแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งสงบ สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ลมเย็นๆ โชยมาปะทะใบหน้า “วันใดรอให้เจ้าคิดจนเข้าใจได้เองแล้ว พี่น้องไม่ใช่พี่น้องอีกต่อไป ต่อให้เป็นสหายกันไม่ได้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยเจ้าถามใจตัวเองแล้วก็ไม่ละอาย รู้ดีว่าไม่เคยมีครั้งใดที่ตนทำผิดต่อพี่น้องของตัวเอง อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีข้าวให้กินเสียหน่อย ถ้าเช่นนั้นขอแค่คนในยุทธภพอยู่ในยุทธภพแล้วยังมีเหล้าให้ดื่ม เงินทองจะนับเป็นอะไรได้? เจ้าไม่มี ข้ามี เจ้ามีไม่มาก ข้ามีเยอะมาก”
เด็กชายชุดเขียวคว้าหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนั้นขึ้นมา ลูบใบหน้าหนึ่งที ไม่พูดไม่จาก็เผ่นหนีไปทันใด
เผยเฉียนกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมองหน้ากันเอง
อันที่จริงยังมีคำพูดบางอย่างที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดกับเด็กชายชุดเขียว
ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินผิงอันก็ไม่ต้องการให้เด็กชายชุดเขียวที่ในใจมีแต่ยุทธภพแห่งนั้น ผิดหวังจนเกินไป
เว่ยป้อพลันมาปรากฏตัวที่ริมหน้าผา กระแอมเบาๆ เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน มีข่าวหนึ่งที่ข้าต้องบอกเจ้า”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “มีอะไรหรือ?”
เว่ยป้อชี้ไปทางประตูภูเขา “มีแม่นางที่ดีคนหนึ่งมาเยี่ยมเยือนเจ้าที่ภูเขาลั่วพั่วยามค่ำคืน”
—–