กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 463.3 ถนนสายเล็กมีฝนอีกครั้ง
พอไปถึงประตูทิศใต้ของเขตการปกครองก็มีทหารบู๊ทำหน้าที่ตรวจสอบทะเบียนสำมะโนครัวอยู่ที่หน้าประตูเมือง เฉินผิงอันเองก็พกไว้ติดตัวตลอดเวลา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าทางฝ่ายนั้นเห็นต่งสุ่ยจิ่งแล้ว ต่งสุ่ยจิ่งก็แค่หยิบเอกสารสำมะโนครัวออกมาพอเป็นพิธี หัวหน้ากลุ่มเล็กของทหารบู๊ที่เฝ้าประตูไม่แม้แต่จะรับไปดู แค่ชำเลืองตามองผ่านๆ ก็คลี่ยิ้มพูดทักทายต่งสุ่ยจิ่งสองสามคำก็ปล่อยให้คนทั้งสองเข้าเมืองไปโดยตรง
เฉินผิงอันเห็นอยู่ในสายตา แต่ไม่ได้พูดอะไร
เห็นได้ชัดว่าต่งสุ่ยจิ่งมีชีวิตได้ดีกว่าที่ตนคิดไว้เสียอีก
เจ้าเมืองอู๋ยวน ลูกศิษย์ของราชครูชุยฉาน คนหนุ่มมากความสามารถแห่งวงการขุนนางที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจน ขุนนางผู้ตรวจการเงาเตาเผา ลูกหลานสกุลเฉา นายอำเภอ ลูกหลานสกุลหยวน สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเทพภูเขาที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเฟิงเหลียง เศรษฐีที่รอบเอวมีเงินหมื่นกว้าน (กว้านคือพวงเงิน ประโยคนี้จึงเปรียบเปรยถึงคนที่รวยมาก) หลายคนในเขตการปกครอง
ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตากับคนหนุ่มที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยการขายเกี๊ยวน้ำอย่างต่งสุ่ยจิ่ง
ต่งสุ่ยจิ่งพาเฉินผิงอันไปส่งยังถนนที่ตระกูลนั้นตั้งอยู่ จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันไป ต่งสุ่ยจิ่งบอกให้รู้ถึงที่อยู่ของตัวเอง และหากเฉินผิงอันมีเวลาว่างก็ยินดีต้อนรับตลอดเวลา
เฉินผิงอันมองแผ่นหลังสูงใหญ่ของคนหนุ่มที่อาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงอรุณ เปี่ยมไปด้วยพละกำลังและชีวิตชีวา
อิงตามคำบอกของต่งสุ่ยจิ่ง เขตการปกครองหลงเฉวียนในตอนนี้ ขอแค่ดูว่าอาศัยอยู่บนถนนหรือตรอกอะไรก็พอจะมองออกถึงความตื้นลึกของรากฐานตระกูลนั้นได้คร่าวๆ แล้ว
ถนนเส้นนี้ที่เฉินผิงอันยืนอยู่มีชื่อว่าถนนเจียเจ๋อ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นครอบครัวของคนปกติทั่วไปที่พอมีฐานะ การซื้อเรือนของที่แห่งนี้ ราคาที่ดินไม่ต่ำ แต่เรือนไม่ใหญ่ ไม่อาจเรียกได้ว่าคุ้มค่าคุ้มราคา แล้วยังอาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าตบหน้าตัวเองให้กลายเป็นคนอ้วนด้วย ต่งสุ่ยจิ่งเองก็บอกแล้วว่า ถนนที่ดูโอ่อ่าหรูหราซึ่งอยู่ไปทางแถบทิศเหนือของถนนเจียเจ๋อในทุกวันนี้ ครอบครัวที่มีเรือนหลังใหญ่ที่สุดก็คือมารดาของกู้ช่านที่มาจากตรอกหนีผิง ดูจากการที่นางซื้อเรือนแถบนั้นทั้งแถบแล้ว นางย่อมไม่ขาดเงิน เพียงแต่ว่ามาถึงช้าเกินไป ที่ดินที่ฮวงจุ้ยดีๆ ของเขตการปกครอง ต่อให้สตรีแต่งงานแล้วที่สวมอาภรณ์ผ้าแพรกลับคืนบ้านเกิดจะมีเงินก็ยังซื้อไม่ได้ ได้ยินมาว่าตอนนี้นางยังพยายามไปสานสัมพันธ์กับที่ว่าการเจ้าเมือง หวังว่าจะสามารถซื้อเรือนหลังใหญ่อีกเรือนหนึ่งบนถนนเส้นที่ต่งสุ่ยจิ่งอยู่อาศัยได้
สตรีแต่งงานแล้วเคยพาสาวใช้หลายคนไปจุดธูปกราบไหว้องค์เทพบนภูเขาเฟิงเหลียง ตอนที่ผ่านร้านขายเกี๊ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่ง ได้ยินว่าต่งสุ่ยจิ่งเคยเรียนหนังสือในโรงเรียนมาก่อนจึงพูดคุยกับคนหนุ่มสองสามคำ เพียงแต่ความเย่อหยิ่งในคำพูดนั้น ต่งสุ่ยจิ่งที่เป็นคนทำธุรกิจ ลูกค้าแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเปิดประตูต้อนรับลูกค้านับร้อยรูปแบบ แน่นอนว่าย่อมไม่ถือสา ทว่ากลับทำให้ลูกจ้างร้านสองคนโมโหแทบตาย ต่งสุ่ยจิ่งเองก็ปล่อยให้สตรีแต่งงานแล้ววางมาดของตัวเองอย่างเต็มที่ นางยังเป็นฝ่ายย้อนกลับมาถามต่งสุ่ยจิ่งด้วยว่ามีที่พักอยู่ในเขตการปกครองหรือไม่ หากกำลังเก็บเงิน นางสนิทกับทางจวนเจ้าเมืองอยู่มาก สามารถช่วยถามให้ได้ ต่งสุ่ยจิ่งเพียงบอกว่าเขามีที่พักแล้ว ถึงอย่างไรเขาตัวคนเดียวแค่กินอิ่มนอนหลับก็พอ บ้านหลังเล็กไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ตอนนั้นสายตาของสตรีแต่งงานแล้วก็เผยความเวทนาออกมาให้เห็น
ภายหลังขุนนางผู้มีอำนาจซึ่งรับผิดชอบดูแลเรื่องสำมะโนครัวในเขตการปกครองของจวนเจ้าเมืองได้มาเยือนด้วยตัวเอง ถามต่งสุ่ยจิ่งว่าจะขายบ้านหลังใหญ่ที่ว่างอยู่ได้หรือไม่ บอกว่ามีสตรีแต่งงานแล้วแซ่กู้คนหนึ่งใช้จ่ายเงินอย่างมือเติบ เป็นคนจำพวกเสียเปรียบคนอื่นแล้วยังไม่รู้ตัว การค้าครั้งนี้สามารถทำได้ เพราะย่อมได้กำไรมาไม่น้อย ต่งสุ่ยจิ่งเอ่ยประโยคเดียวปฏิเสธขุนนางที่มีชนชั้นสูงในเมืองหลวงหมายตาผู้นั้นไปอย่างละมุนละม่อม หากจะขายหรือไม่ขายก็ได้ ถ้าอย่างนั้นต่งสุ่ยจิ่งก็ไม่ขายแล้ว
คิดดูแล้วไม่ว่าอย่างไรสตรีแซ่กู้คงคิดไม่ถึงเลยว่า เหตุใดทั้งๆ ที่นางให้ราคาสูงถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังไม่อาจซื้อเรือนที่ว่างอยู่ได้
เขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้ ยิ่งนานวันต่งสุ่ยจิ่งก็ยิ่งมีทรัพย์สมบัติมากขึ้นเรื่อยๆ และเครือข่ายคนรู้จักก็ยิ่งกว้างขวางมากขึ้น แต่ที่น่าประหลาดอย่างยิ่งก็คือ ชื่อเสียงของ ‘ต่งครึ่งเมือง’ กลับค่อยๆ จางหายไป เวลาสั้นๆ เพียงปีสองปี ดูเหมือนว่าเขตการปกครองจะไม่มีเจ้าของที่ดินรายใหญ่ผู้นี้อยู่อีกแล้ว
อันที่จริงนี่ต่างหากจึงจะอธิบายได้ว่า ต่งสุ่ยจิ่งมีเงินจริงๆ แล้ว
กลับมาที่เรือนหลังขนาดไม่ใหญ่นักแห่งนั้น เฉินผิงอันอธิบายเรื่องราวให้คนเฝ้าประตูฟังอย่างชัดเจน บอกว่าตัวเองมาจากภูเขาลั่วพั่ว ชื่อเฉินผิงอัน มารับตัวเฉินยวนจี
คนเฝ้าประตูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เฉินผิงอันจึงได้แต่เอาเอกสารผ่านด่านฉบับนั้นออกมา เพียงแต่ว่าไม่ได้ยื่นส่งให้กับคนเฝ้าประตู แค่เปิดออกให้อีกฝ่ายเห็นชื่อแซ่และสัญชาติของตัวเองชัดๆ เท่านั้น ไม่อย่างนั้นหากอีกฝ่ายได้เห็นตราทางการของหลายแคว้นในสองทวีป อาจจะตกใจก็เป็นได้
คนเฝ้าประตูถึงได้เข้าไปรายงานด้านใน
เพียงไม่นานก็มีคนสี่คนเร่งรุดมาทางประตูใหญ่
เห็นเฉินผิงอันที่ยืนจูงม้าอยู่นอกประตู พวกเขาก็รีบข้ามธรณีประตูออกมา
ชายสามหญิงหนึ่ง ชายวัยกลางคนกับบุตรชายสองคนบุตรสาวหนึ่งคนของเขายืนอยู่ด้วยกัน แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ชายวัยกลางคนเองก็ถือว่าเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่ง ส่วนสองพี่น้องที่อายุประมาณห้าหกปีก็ดูหล่อเหลาสง่างามเช่นกัน ตามคำบอกของจูเหลี่ยน เด็กสาวเฉินยวนจีผู้นี้ ตอนนี้เพิ่งจะอายุสิบสามปี ทว่าเรือนกายของนางกลับสะโอดสะอง อรชรอ้อนแอ้น มองแล้วเหมือนสตรีอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ความงามก็เริ่มฉายชัด อีกทั้งหน้าตาก็มองดูคล้ายสุยโย่วเปียนจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ได้เย็นชาอย่างสุยโย่วเปียน กลับกันคือมีความงามเย้ายวนตามธรรมชาติมากกว่าอีกฝ่ายหลายส่วน มิน่าเล่าอายุน้อยๆ ก็ถูกคนปรารถนาในความงาม เดือดร้อนให้คนทั้งตระกูลต้องย้ายออกมาจากเมืองหลวง
เฉินผิงอันบอกชื่อแซ่ของตนอีกครั้ง เขาใช้ภาษาทางการต้าหลี ไม่ได้ใช้ภาษาถิ่นของหลงเฉวียน
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นประสานมือคารวะ “เฉินเจิ้งคารวะเซียนซือเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่ว”
หลังจากยืดเอวขึ้นตรง บุรุษก็เอ่ยขออภัย “นี่เป็นเรื่องใหญ่เกินไป เฉินเจิ้งมิกล้าเอ่ยถึงนามของเซียนซือกับคนอื่นๆ ในตระกูลโดยพลการ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางเด็กสาวคนนั้น “มีอะไรจะพูดกับคนในครอบครัวหรือไม่? พอไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว เจ้าจะไม่สามารถลงเขาเข้าเมืองมาได้ตามใจชอบอีก ต่อให้มีการเขียนจดหมายถึงกันก็จะต้องเคารพกฎของบนภูเขา ดังนั้นหากเจ้ามีเรื่องจะพูด ข้าสามารถรอให้เจ้าพูดจบก่อนได้”
เฉินยวนจีส่ายหน้า
เฉินผิงอันจึงจูงม้าหมุนตัวกลับ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถิด”
ทั้งไม่ได้เข้าไปดื่มน้ำร้อนน้ำชาในเรือน แล้วก็ไม่ได้มอบยาสงบใจใดๆ ให้แก่บุรุษตระกูลเฉิน เฉินผิงอันพาเด็กสาวออกมาจากถนนทั้งอย่างนี้
พอไปถึงถนนอีกเส้นหนึ่ง ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากพูดประโยคแรก เขาบอกให้เด็กสาวเฝ้าม้ารออยู่ข้างนอก
เด็กสาวพยักหน้ารับเงียบๆ จวนแห่งนี้มีชื่อว่าจวนกู้
ตอนนี้มีชื่อเสียงในเขตการปกครองหลงเฉวียนมาก ได้ยินว่าเป็นสตรีแต่งงานแล้วที่มีเงินมากคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีที่พึ่งที่ใหญ่มากอยู่ในต้าหลีด้วย
พอคนเฝ้าประตูได้ยินชื่อ ‘เฉินผิงอัน’ ก็รีบพาคนหนุ่มชุดเขียวที่หน้าตาไม่สะดุดตาเดินเข้าไปในจวนทันที
เฉินผิงอันได้พบกับสตรีแต่งงานแล้วที่มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายคนนั้น เขาดื่มชาร้อนหนึ่งถ้วย แล้วก็ถูกสตรีแต่งงานแล้วรั้งตัวไว้ นางบอกให้อดีตสาวใช้ของจวนชุนถิงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพหวาดเกรงรินชาให้อีกถ้วย ละเอียดดื่มชาช้าๆ จนหมดพลางเล่าประสบการณ์การเดินทางไปยังกลุ่มเทือกเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยนของกู้ช่านอย่างละเอียด นี่ทำให้สตรีแต่งงานแล้วสบายใจขึ้นมาก แล้วถึงลุกขึ้นยืนบอกลาจากมา สตรีแต่งงานแล้วเดินมาส่งถึงหน้าประตูจวนใหญ่ด้วยตัวเอง เฉินผิงอันจูงม้าแล้ว สตรียังถึงขั้นเดินข้ามธรณีประตูออกมา เดินลงบันไดมาอีก เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าวว่าท่านอาหญิงไม่ต้องมาส่งแล้วจริงๆ สตรีแต่งงานแล้วถึงได้ยอมหยุดแต่โดยดี
หนึ่งชายหนึ่งหญิงค่อยๆ จากไปไกล สตรีแต่งงานแล้วมองแผ่นหลังของเด็กสาวที่นางไม่รู้จักคนนั้นก็ทำท่าคล้ายกระจ่างแจ้ง หันหน้าไปชำเลืองตามองสาวใช้หน้าตางดงามที่นางพามาจากเกาะชิงเสียซึ่งยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ด้านหลังนาง ก่อนนางจะเดินนวยนาดกลับเข้าไปในประตูใหญ่ บิดหูสาวใช้หนึ่งที สบถยิ้มๆ ว่า “เจ้าเด็กไม่ได้เรื่อง สู้เด็กสาวบ้านป่าคนหนึ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
อันที่จริงสาวใช้อายุน้อยผู้นี้ก็มีรูปโฉมโดดเด่น เวลานี้จึงรู้สึกคล้ายได้รับความอยุติธรรมอยู่บ้าง
เฉินผิงอันพาเด็กสาวจากเมืองหลวงที่มีชื่อว่าเฉินยวนจีเดินทางลงใต้กลับไปที่กลุ่มเทือกเขาด้วยกัน ระหว่างทางไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก
อันที่จริงเด็กสาวคอยแอบลอบมอง ‘เจ้าของภูเขาลั่วพั่ว’ ตามคำบอกของเทพเซียนผู้เฒ่าจูผู้นี้อยู่ตลอดเวลา
เพียงแต่นางมองไปมองมาก็ยังมองอะไรไม่ออกอยู่ดี
จึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เดิมทีนึกว่าจะเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียนท่านหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นบุรุษท่าทางสุภาพสง่างามมีมาดแห่งปัญญาชน
ไหนเลยจะคิดว่าจะเป็นคนหนุ่มสีหน้าท่าทางอิดโรยคนหนึ่ง ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่านางแค่ไม่กี่ปี
ตลอดทางที่ผ่านมา เฉินผิงอันเดินนำอยู่ด้านหน้า เขาปล่อยเชือกจูงม้า ทบทวนเนื้อความในจดหมายที่ชุยตงซานทิ้งไว้ให้ตนฉบับนั้นซ้ำไปซ้ำมา
เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง บวกกับมีเรื่องบางอย่างที่หากไล่ตามเส้นสายเบาะแสบางอย่างไปก็จะสามารถทอดยาวไปได้ไกลนับพันนับหมื่นลี้ เป็นเหตุให้เขาลืมเด็กสาวด้านหลังที่กำลังเท้าอ่อนด้อยไปอย่างสิ้นเชิง
รอจนเฉินผิงอันคืนสติกลับมา พวกเขาก็มาอยู่ในภูเขาใหญ่แล้ว เฉินผิงอันหันหน้าไปมองก็เห็นว่าเด็กสาวเดินกะโผลกกะเผลก หัวคิ้วขมวดแน่น ทว่ากลับไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ
เฉินผิงอันหยุดเดิน หันกลับไปเอ่ยขออภัย “ขอโทษด้วย ข้ามัวคิดเรื่องบางอย่างจนใจลอยไปหน่อย”
เฉินยวนจีเม้มปาก ยังคงไม่เอ่ยอะไร
ในใจนางขุ่นเคือง คิดว่าเจ้าหมอนี่ต้องใช้วิธีการเฮงซวยอย่างการถอยเพื่อรุกเช่นนี้จงใจมาเหยียบย่ำตนก่อน จะได้แสร้งวางตัวว่าตัวเองแตกต่างจากพวกอันธพาลเหล่านั้นได้
นางต้องระวังตัวให้มาก! พอไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วต้องพยายามอยู่ข้างกายเทพเซียนผู้เฒ่าจูเท่านั้น อย่าได้หลงกลตกหลุมพรางชั่วร้ายของคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นี้เด็ดขาด!
ขอแค่ได้เจอกับเทพเซียนผู้เฒ่า นางก็น่าจะปลอดภัยแล้ว
เฉินผิงอันเห็นว่านางไม่เอ่ยอะไรจึงได้แต่ถามว่า “ขี่ม้าเป็นหรือไม่?”
นางส่ายหน้า
แล้วก็ไม่คิดจะขี่ด้วย! สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าอันธพาลที่มองดูเหมือนเป็นคนซื่อ แต่แท้จริงแล้วเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนผู้นี้จะอาศัยโอกาสนี้แอบลอบมองภาพบางอย่างที่บุรุษบางคนต้องการจะเห็นหรือไม่?
คนบนภูเขาเต็มไปด้วยอุบายลึกล้ำจริงๆ เทียบกับพวกบ้าตัณหาในเมืองหลวงที่ความคิดตื้นเขินเหล่านั้นแล้ว ก็ต้องเรียกว่าตบะสูงส่งกว่ามากนัก
เด็กสาวบอกเตือนตัวเองอย่างต่อเนื่อง เฉินยวนจี เจ้าต้องระวังตัวให้มาก
เฉินผิงอันหรือจะรู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าคิดไปไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้แล้ว เขาจึงเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เดินกันให้ช้าหน่อย หากเจ้าต้องการพักก็บอกข้ามาได้เลย”
เห็นไหม ทำตัวน่าโมโหก่อน จากนั้นก็ค่อยทำเป็นอ่อนโยน วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน แผนการมีให้ใช้ไม่หมดไม่สิ้น
เด็กสาวยิ่งแน่ใจว่า เจ้าหมอนี่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าสายตาที่เด็กสาวใช้มองตนออกจะแปลกๆ อยู่บ้าง
หมุนตัวกลับ จูงม้าเดินต่อ เฉินผิงอันนวดคลึงข้างแก้มของตัวเอง อะไรกัน หรือจะเป็นอย่างที่จูเหลี่ยนบอกไว้จริงๆ? ตอนนี้ยามที่ตนท่องอยู่ในยุทธภพต้องระวังว่าจะเจอกับหนี้รักหนี้เสน่หาแล้ว?
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ลังเลว่าควรจะให้เฉินยวนจีขึ้นเขาลั่วพั่วไปเพียงลำพังก่อนดีหรือไม่ ส่วนตัวเขาจะไปที่ร้านยาในเมืองเล็กสักหน่อย
พอเห็นคนผู้นั้นดื่มเหล้า เด็กสาวก็กวาดตามองไปรอบด้าน ที่นี่คือป่าชานเมืองที่เงียบสงัดไร้ผู้คน นางรู้สึกอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เจ้าหมอนี่คงไม่ได้ใช้ข้ออ้างว่าเมามายแล้วทำเรื่องชั่วช้าเช่นนั้นกระมัง?
เฉินผิงอันที่มีบทเรียนมาแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ไม่เป็นระเบียบและฝีเท้าที่ไม่มั่นคงของเด็กสาวด้านหลังก็หันกลับไป แล้วก็เห็นว่านางหน้าซีดเผือดจริงๆ เขาจึงผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วกล่าวว่า “หยุดพักสักครู่เถอะ”
เฉินยวนจีที่พอเห็นว่าไอ้หมอนี่ดื่มเหล้าแล้วก็เก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงไป ท่าทางเขาจะลงมือแล้วจริงๆ ด้วย
นางพลันปล่อยเสียงร้องไห้โฮ หมุนตัวกลับได้ก็วิ่งหนีสะเปะสะปะไม่เลือกหนทางทันที
เฉินผิงอันเกาหัว พึมพำว่า “เดินมาได้ครึ่งทางก็คิดถึงบ้านแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ได้แต่จูงม้าเดินไปช้าๆ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรทิ้งนางไว้ในภูเขาลึกเพียงลำพัง เลยคิดจะพานางไปส่งที่ถนนหลวงนอกภูเขา ให้นางกลับบ้านไปเพียงลำพังก่อน หากคิดได้เมื่อไหร่ก็ค่อยให้คนที่บ้านเดินทางไปที่ภูเขาลั่วพั่วเป็นเพื่อนนางแล้วกัน
เฉินผิงอันกำลังจะเตือนให้นางเดินช้าๆ หน่อย ผลกลับเห็นว่าเฉินยวนจีสะดุดล้มหน้าทิ่ม หลังจากนั้นก็นอนคว่ำแผดเสียงร้องไห้อยู่ตรงนั้น พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าอย่าเข้ามานะ สุดท้ายนางพลิกตัวกลับ ลุกขึ้นนั่ง หยิบหินขว้างปาเฉินผิงอัน ด่าเขาว่าเป็นพวกบ้าตัณหา หน้าไม่อาย เป็นอันธพาลที่มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มหัว นางจะสู้ตายกับเขา ต่อให้ตายเป็นผีก็จะไม่ละเว้นเขา
เฉินผิงอันนั่งกุมขมับอยู่ห่างๆ
ก่อนจะลุกขึ้นยืน กระทืบเท้าเบาๆ กล่าวอย่างจนใจว่า “เว่ยป้อ มาช่วยกันหน่อย! ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังมองดูอยู่ ชมเรื่องสนุกพอแล้วหรือยัง?”
เพียงชั่วพริบตา
เว่ยป้อที่สวมชุดขาว สวมต่างหูทรงกลมสีทองก็ปรากฏตัวอย่างสง่างาม ลมเย็นบนภูเขาพัดโชยคลอเคลียให้ชายแขนเสื้อพลิ้วไสวราวกับคลื่นน้ำ
เฉินผิงอันไม่มองเด็กสาวคนนั้นอีก เพียงกล่าวกับเว่ยป้อว่า “รบกวนเจ้าพานางไปส่งที่ภูเขาลั่วพั่วที แล้วก็ส่งข้าไปที่ภูเขาเจินจู ฉวีหวงนี่ก็เอากลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วย ไม่ต้องให้ตามข้ามา”
เว่ยป้อกลั้นยิ้ม แล้วดีดนิ้วสองที
เฉินผิงอันมาถึงยอดเขาเจินจูเพียงลำพัง
ส่วนเว่ยป้อก็พาเด็กสาวที่เสียใจสุดขีดคนนั้นไปส่งที่ตีนเขาภูเขาลั่วพั่ว ส่วนฉวีหวงก็ออกวิ่งนำขึ้นไปบนภูเขาก่อน
เด็กสาวที่ทั่วร่างเปรอะไปด้วยดินยังหวาดผวาไม่คลาย อีกทั้งยังเวียนหัวตาลาย จึงก้มตัวอาเจียนแห้ง
เว่ยป้อไม่มองนางแม้แต่หางตา เขาเงยหน้ามองไปยังจุดสูงของภูเขาลั่วพั่ว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เฉินยวนจี สามารถมองเฉินผิงอันเป็นอันธพาลไปได้ ก็เห็นจะมีแต่เจ้าคนเดียวนี่แหละ”
เด็กสาวถอยหลังไปหลายก้าว ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านคือ?”
คนธรรมดาไหนเลยจะมีคุณสมบัติได้รู้ชื่อแซ่ขององค์เทพแห่งขุนเขาต้าหลีท่านหนึ่ง
เว่ยป้อเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด แล้วจึงเดินขึ้นเขาไปก่อน
เด็กสาวลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเดินตามไปด้านหลังเทพเซียนชุดขาวโดยทิ้งระยะห่างช่วงหนึ่งเงียบๆ
พอไปถึงเรือนของเจิ้งต้าเฟิงกับจูเหลี่ยน เว่ยป้อก็เล่าเรื่องนี้อย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เจิ้งต้าเฟิงกุมท้องหัวเราะก๊าก จูเหลี่ยนลูบหน้าตัวเอง ความเศร้าพลันผุดขึ้น คิดว่าตนต้องซวยไปด้วยแน่ๆ
เฉินยวนจีที่ได้พบกับเทพเซียนผู้เฒ่าจูซึ่งนางคุ้นหน้าคุ้นตาที่สุดก็วางใจลงได้เสียที
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดยอดฝีมือนอกโลกทั้งสามท่านนี้ถึงได้มีสีหน้าแตกต่างกันอย่างชัดเจนเช่นนี้
เฉินผิงอันเดินลงมาจากภูเขาเจินจู ไปที่เมืองเล็ก คราวนี้ในที่สุดก็ไม่ต้องกินน้ำแกงประตูปิด เขาถูกเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าสือหลิงซานผู้นั้นพาไปที่เรือนด้านหลัง
หยางเหล่าโถวนั่งอยู่บนขั้นบันได ยังคงสูบยา พ่นควันโขมงอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็คิดว่า ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ของผู้เฒ่าเป็นมากี่ร้อยปี กี่พันปี หรือว่ากี่หมื่นปีแล้ว?
ตอนนั้นที่ตนเลือกภูเขาลั่วพั่ว เหตุใดพอพูดถึงผู้เฒ่าเหยา ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ถึงได้เผยสีหน้าเช่นนั้นออกมา?
ในใจเฉินผิงอันมีคำถามอยู่มากมายที่อยากจะถามผู้เฒ่าตรงหน้า
เพราะหยางเหล่าโถวต้องรู้คำตอบอย่างแน่นอน เพียงแต่อยู่ที่ว่าผู้เฒ่าจะยินดีพูด หรือควรจะพูดอีกอย่างว่ายินดีจะทำการค้าหรือไม่
ทว่าพอถึงท้ายที่สุดแล้ว เฉินผิงอันกลับเปิดปากเอ่ยเพียงว่า “วันหน้าเจิ้งต้าเฟิงจะทำอย่างไร?”
หยางเหล่าโถวเอ่ยอย่างเฉยเมย “รอดูกันไปเถอะ”
เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่นั่งอยู่เงียบๆ
ผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้ไล่เขา
สุดท้ายฝนโปรยปรายก็ตกลงมาพาให้บรรยากาศขมุกขมัว แต่ว่าไม่นานก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันขอยืมร่มกันฝนคันหนึ่งไปจากเด็กหนุ่มร้านยาที่ทำท่าไม่เต็มใจจะให้ยืม
เขายืนอยู่ใต้ชายคาหน้าประตูร้านยา ยืนนิ่งมองถนนที่เงียบสงัดอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าว เดินเข้าไปท่ามกลางสายฝน
—–