กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 466.2 ภูเขาลั่วพั่วที่มีหรือไม่มีเฉินผิงอัน
ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ เอ่ยอย่างปลาบปลื้มว่า “ประโยคนี้ไม่ใช่คำประจบสอพลออะไรจริงๆ เห็นแก่ความจริงที่กล่าวได้อย่างยิ่งใหญ่งดงามประโยคนี้…หากไม่ประทานรางวัลด้วยหนึ่งหมัด ก็คงผิดต่อเจ้าเฉินผิงอันยิ่งนัก!”
เรือนกายและพลังอำนาจของผู้เฒ่าเหมือนขุนเขาที่กดลงมาเหนือศีรษะ เฉินผิงอันหน้ามืด ถูกหนึ่งหมัดต่อยให้สลบคาที่ไปทันที
ผู้เฒ่ากระทืบเท้า เฉินผิงอันที่นอนพังพาบอยู่บนพื้นร่างกระเด้งลอยขึ้นมา เพิ่งจะสะดุ้งตื่นกลางอากาศ ฝ่าเท้าอีกข้างของผู้เฒ่าก็พุ่งมาถึง
แล้วก็สลบเหมือดไปอย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
เฉินผิงอันโอดครวญไม่หยุด เหนื่อยล้าต่อการรับมือยิ่งนัก
ส่วนผู้เฒ่ากลับสนุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ออกแรงผ้าแนบรัด โจมตีใส่วัตถุส่งเสียงดัง (คือลักษณะพิเศษของหมัดหลังมือห้าธาตุ (อู่สิงทงเป้ยเฉวี้ยน) เป็นการการจู่โจมโดยมีจังหวะเป็นส่วนประกอบสำคัญ หมัดทงเป้ยหรือทงเป้ยเฉวี้ยนเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย ส่วนใหญ่มักจะเป็นการปล่อยหมัดรัวๆ ติดต่อกัน เนื่องจากมือสองข้างเคลื่อนไหวอยู่ในเส้นแนวเดียวกัน เสื้อผ้าจึงมักจะเสียดสีกันจนเกิดเสียง และเมื่อโจมตีเสร็จมือทั้งสองข้างจะแนบลงโดนต้นขาอย่างเป็นธรรมชาติ จึงทำให้เกิดเสียงโจมตีที่พิเศษขึ้นมา)
แน่นอนว่าไม่ใช่กระบวนท่าทั่วไปในยุทธภพที่แสวงหาในคำกล่าวว่า ‘ฝึกหมัดไม่ส่งเสียง พายเรือไม่มีไม้พาย’ บนตำราหมัดของตัวเอง นี่เป็นเพราะพายุหมัดในชายแขนเสื้อของชุยเฉิงรุนแรงเกินไป การออกหมัดทุกครั้งก็รวดเร็วเกินไป
สุดท้ายผู้เฒ่าเหวี่ยงเท้าฟาดเข้าที่ลำคอของเฉินผิงอัน เฉินผิงอันหมุนคว้างหลายตลบ พอร่วงลงพื้นแล้วก็เซถอยไปหลายก้าว แต่เนื่องจากพละกำลังไม่ได้มากเท่าก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ถึงขั้นล้มแล้วลุกไม่ขึ้น
เขาจึงตั้งท่าเดินนิ่งหกก้าวกลับหลัง โดยมีปณิธานหมัดท่าวานรช่วยเสริม ค้อมร่างถอยหลังไปหลายก้าว เฉินผิงอันไม่ได้ประมาทแม้แต่น้อย สายตาจ้องผู้เฒ่าเขม็ง
ถูกซ้อมจนสภาพอเนจอนาถเช่นนี้แล้ว อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นท่าหมัดหรือปณิธานหมัดของเขาก็ล้วนสั่นส่ายทั้งสิ้น
แต่บนร่างของเฉินผิงอันกลับมี ‘ความหมาย’ ที่พร่าเลือนมองเห็นได้ไม่ชัดเจนอย่างหนึ่งที่ตระหง่านนิ่งไม่กระดุกกระดิก ประหนึ่งภิกษุเฒ่านั่งเข้าฌาน
ชุยฉานยิ้มกล่าว “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ หากยังต่อยตีต่อไป กระดูกของเจ้าคงจะแยกร่างแล้วจริงๆ”
เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่ขยับ
ชุยเฉิงพยักหน้า “ไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ต้องโดนอีกหมัด เดินลงจากเรือนไปเองเถอะ ตามกฎเดิม ไปแช่ตัวในถังยา จำไว้ว่าไม่เหมือนเหมือนก่อน ห้ามปล่อยให้น้ำเย็น เมื่อใดที่เจ้าสามารถใช้ปราณที่แท้จริงต้มยาจนเดือดได้แล้วถึงจะไปได้ ไม่อย่างนั้นก็จงอยู่ในถังน้ำแต่โดยดี ถือซะว่าเป็นการฝึกไว้น้ำก็แล้วกัน เว่ยป้อเตรียมตัวยามาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ลงจากเรือนแล้วก็บอกให้นังหนูชุดชมพูไปต้มน้ำมาให้”
เฉินผิงอันถึงได้ฝืนประคับประคองลมปราณเฮือกนั้นเดินออกห้อง โซซัดโซเซลงจากเรือน ตอนที่เดินลงบันไดก็จำต้องยื่นมือไปจับราวบันได มีความรู้สึกคล้ายตอนยังเป็นเด็กหนุ่มที่ขึ้นเขาไปเผาถ่าน ขึ้นเขาไม่เหนื่อย แต่ลงเขากลับยากลำบาก
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเริ่มต้มน้ำรออยู่ที่ด้านล่างแล้ว
ฉวยโอกาสที่มีเวลาว่าง เฉินผิงอันไม่ได้กลับเข้าไปในห้องชั้นหนึ่งทันที แต่ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผา ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
รอจนเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูตะโกนเรียก เขาถึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง
ครึ่งชั่วยามต่อมา เฉินผิงอันก็เปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวสะอาดสะอ้าน ซึ่งก็คือหนึ่งในชุดที่อู๋ยวนแห่งจวนจื่อหยางมอบให้
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเริ่มเก็บกวาดซากที่หลงเหลืออยู่อย่างคุ้นเคยคล่องแคล่ว
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคา เขาคลี่ยิ้ม เอ่ยขอบคุณนางหนึ่งคำ เด็กน้อยคลี่ยิ้มหวาน ราวกับว่าการที่นางทำงานยิบย่อยจุกจิกพวกนี้ทำให้นางรู้สึกประสบความสำเร็จยิ่งกว่าการฝึกตนแล้วฝ่าทะลุขอบเขตเสียอีก
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยืดสองขาออกไป
ที่แท้เมื่อไม่ต้องถูกซ้อม ชีวิตของเขาก็ดุจดั่งเทพเซียนแล้ว
ห่างไปไกลจูเหลี่ยนพาเด็กสาวเฉินยวนจีเดินมาถึงช้าๆ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง
จูเหลี่ยนหยิบเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งมานั่งด้านข้าง เฉินยวนจียืนเก็บไม้เก็บมืออยู่ด้านหลังเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นายน้อย เรื่องการฝึกตนของเฉินยวนจี มีระเบียบข้อบังคับอะไรหรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “แค่เจ้านำพานางเริ่มการฝึกฝนก็พอแล้ว จะต้องให้อยู่ในนามของอาจารย์และลูกศิษย์หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของเจ้า”
จูเหลี่ยนรีบส่ายหน้า “แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน บ่าวเฒ่าต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่นก็ยังพอทำเนา สอนวิชาหมัดให้คนอื่นกลับห่างชั้นจากนายน้อยมากนัก เรื่องของการเป็นอาจารย์ นายน้อยอายุยังน้อย แต่กลับมีมาดของปรมาจารย์ใหญ่แล้ว…”
เฉินยวนจีโอดครวญอยู่ในใจ
น่าเสียดายที่ชายชาตรีวีรบุรุษดุจเทพเซียนผู้เฒ่าจูท่านนี้ต้องตกต่ำกลายมาเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นี้
เฉินผิงอันถามเบาๆ “เจิ้งต้าเฟิงมีความเห็นอะไรหรือไม่?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้าอย่างเสียดาย “พี่ใหญ่เจิ้งผู้นั้น ตอนนี้ในใจคิดแต่ว่าควรจะสร้างกระท่อมอยู่ตรงหน้าประตูภูเขาอย่างไร ทั้งต้องดูสวยงาม ไม่อาจทำให้ภูเขาลั่วพั่วเสียหน้า แล้วยังต้องไม่เปลืองเงิน ให้นายน้อยต้องสิ้นเปลืองเงินทองเปล่าๆ ด้วย พี่ใหญ่เจิ้งไม่มีเวลาแบ่งสมาธิมาสนใจเรื่องนี้ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันเริ่มรู้สึกปวดหัว
ชุยเฉิงเดินออกจากมาชั้นสอง “ให้ฝึกท่าเดินของหมัดเขย่าขุนเขานั่นก่อนสองแสนรอบ แล้วค่อยมาคุยกันถึงเรื่องฝึกวรยุทธ”
เฉินผิงอันเกิดลังเลเล็กน้อย
แต่จูเหลี่ยนกลับรู้สึกว่าใช้ได้ เขาจึงหันไปยิ้มกล่าวกับเฉินยวนจี “เจ้าช่างมีวาสนาใหญ่เทียมฟ้าซะจริง ท่าหมัดนี้คือสุดยอดวิชาที่หาได้ยากยิ่งของโลก ประหนึ่งคนฉลาดล้ำที่แสร้งทำตัวเป็นคงโง่ ซุกซ่อนปณิธานหมัดอย่างไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ แม่หนูเฉิน นับจากวันนี้ไปเจ้าต้องมีจิตใจแน่วแน่ ตั้งใจเดินฝึกไปทีละรอบ”
จูเหลี่ยนหันหน้ากลับมายิ้มแต้มองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันกล่าว “ท่าเดินนิ่งหกก้าว ใช่ว่าเจ้าจะสอนไม่ได้เสียหน่อย”
จูเหลี่ยนเอ่ยอย่างละอายใจ “ท่าเดินนิ่งของบ่าวเฒ่า ต่อให้เดินถูกต้องแค่ไหนก็ไม่สง่างามมีเสน่ห์มากพอ ย่อมจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเดินท่าเป็ดให้คนดูไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจส่งผลให้เฉินยวนจีดูแคลนท่าหมัดล้ำโลกท่านี้ หากนายน้อยเป็นคนเดิน ย่อมดุจเมฆคล้อยน้ำไหล กำซาบชื่นมื่น ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางลมวสันต์…”
เฉินผิงอันทนฟังคำประจบเอาใจของเจ้าหมอนี่ไม่ไหวจริงๆ จึงยกเอาประโยคที่ชุยเฉิงเอ่ยมาพูดคร่าวๆ เพียงแค่ละเว้นคำกล่าวประเภทที่ว่าขอบเขตร่างทองไป จูเหลี่ยนย่นหน้าอย่างขมขื่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม
จูเหลี่ยนพาเฉินยวนจีกลับไปยังที่พัก
ตลอดทางที่เดินกันมา เฉินยวนจีค้นพบว่าดูเหมือนอารมณ์ของเทพเซียนผู้เฒ่าจะหนักอึ้งอย่างยิ่ง
ตอนนั้นที่อยู่ในจวนเฉิน เทพเซียนผู้เฒ่าพูดจาอย่างจริงใจตรงไปตรงมา บอกว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่กำลังจะเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง และยังบอกอีกว่าในอนาคตนางมีหวังจะประสบความสำเร็จเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด
หรือว่าผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ชอบซ่อนตัวอยู่ในเรือนไม้ไผ่คือปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตร่างทอง? ไม่อย่างนั้นการที่เขาเอาแต่พร่ำพูดว่าจะต่อยเทพเซียนผู้เฒ่าให้ตายก็หน้าไม่อายเกินไปแล้ว
จูเหลี่ยนสอนท่าเดินนิ่งหกก้าวให้แก่เฉินยวนจีด้วยสีหน้าจริงจังตั้งใจ ทำซ้ำอยู่สามรอบ เฉินยวนจีก็พอจะฝึกฝนจนคล้ายคลึงในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว
จูเหลี่ยนเอ่ยเพียงว่านางต้องขยันฝึกเดินนิ่ง รีบฝึกให้ครบสองแสนรอบ จำเป็นต้องเร็วและมั่นคง
นอกจากนี้คือวันหน้าจะคอยฝึกให้เฉินยวนจีดูอีกวันละสามครั้งทุกวัน ให้เฉินยวนจีสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง หลีกเลี่ยงไม่ได้นางเดินทางผิด
เฉินยวนตีเปี่ยมไปด้วยปณิธานห้าวหาญ รับปากจูเหลี่ยนเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่แอบอู้เด็ดขาด
จูเหลี่ยนเดินสองมือไพล่หลังออกมาจากเรือน
อันที่จริงการทดสอบแรกของเฉินยวนจีได้เปิดฉากขึ้นอย่างเงียบเชียบแล้ว
เพียงแต่ว่าเด็กสาวไม่รู้ตัวก็เท่านั้น
หลังจากนี้ก็ต้องดูว่าเฉินยวนตีจะฝึกเดินนิ่งสองแสนรอบได้สำเร็จเมื่อไหร่ และช่วงเวลาระหว่างที่เดินนิ่งนี้ ใช้เวลานานเท่าไหร่ที่เปลี่ยนจากคล้ายภายนอกไปคล้ายทางจิตวิญญาณ หลังจากคล้ายทางจิตวิญญาณแล้ว ปณิธานหมัดมีอีกกี่สวน หรือเพื่อความว่องไว นางจะทำให้ท่าหมัดหละหลวมหรือไม่ โดยไม่ทันรู้ตัวก็เลือกเดินทางลัด เป็นคนฉลาดที่ต้องพลาดท่าเพราะความฉลาด ทำให้เส้นทางการฝึกวรยุทธของตัวเองกลายไปเป็นทางหัวขาดเสียแต่เนิ่นๆ
การฝึกวรยุทธ สำนึกรู้ ความอดทน สภาพจิตใจ เฉินยวนจีล้วนต้องมีครบถ้วนไม่ขาดไปแม้แต่อย่างเดียว
และความสำเร็จในอนาคตของเฉินยวนจี จะเป็นขอบเขตร่างทองที่เดิมทีก็เป็นของในกระเป๋านางอยู่แล้ว หรือพอจะมีหวังได้เป็นขอบเขตเดินทางไกล หรือแม้กระทั่งขอบเขตยอดเขาที่เดิมทีความเป็นไปได้น้อยนิด อันที่จริงก็ล้วนอยู่ท่ามกลางการฝึกเดินนิ่งสองแสนรอบนี้
นี่ก็น่าจะเป็นดั่งคำว่าสามขวบเห็นไปจนถึงตอนแก่
ทุกอย่างนี้มาจากแค่ประโยคเดียวของผู้เฒ่าเปลือยเท้าเท่านั้น
อันที่จริงจูเหลี่ยนไม่ค่อยเต็มใจอยากเข้าร่วมการป้อนหมัดระหว่างเฉินผิงอันกับผู้เฒ่าแซ่ชุยเท่าใดนัก
เพราะนี่จะทำให้การเลือกหนังสือมาเก็บรักษาไว้ของเขาล่าช้าไปอีก
……
ห้าวันต่อมา จูเหลี่ยนถูกซ้อมจนร่อแร่เกือบตายอยู่หลายครั้ง ส่วนเฉินผิงอันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่
แต่ไม่เหมือนกับเฉินผิงอันที่อาศัยการกัดฟันยืนหยัดอดทน จูเหลี่ยนที่แรกเริ่มไม่ค่อยใส่ใจ ถึงท้ายที่สุดกลับเหมือนติดใจการถูกซ้อมไปเสียแล้ว ไม่เสียแรงที่เขาคือคนบ้าวรยุทธที่คิดจะสังหารคนเก้าคนเพียงลำพังแห่งพื้นที่มงคลดอกบัว การฝึกหมัดของเขาหลังจากนั้นกลับอยู่เหนือการคาดการณ์ของชุยเฉิงไปอีก จูเหลี่ยนเป็นผู้ฝึกยุทธเดินทางไกลคนหนึ่ง แต่กลับพยายามคิดหาวิธีมาท้าทายปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางขอบเขตสิบขั้นสูงสุดอย่างชุยเฉิง ผลกลับเป็นเหมือนที่ชุยเฉิงพูดไว้ จูเหลี่ยนไม่อาจฆ่าเฉินผิงอันได้จริงๆ แต่เขาสามารถบีบให้จูเหลี่ยนลงมือลงมือ ถึงอย่างไรมีเขาคอยดูอยู่ข้างๆ ก็ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดอะไรได้ แต่เมื่อจูเหลี่ยนวางท่ากวนโอ้ยว่าข้าอยากตาย หากเจ้าไม่ฆ่าข้า เจ้าก็ไม่ใช่ยอดฝีมือให้เห็น เขาชุยเฉิงจะสามารถสังหารจูเหลี่ยนได้จริงๆ หรือ? ก็ไม่ใช่ว่าได้แค่ซ้อมให้จูเหลี่ยนร่อแร่ใกล้ตายครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้นหรือไร?
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลาที่เฉินผิงอันสะใจที่สุดนับตั้งแต่ฝึกหมัดมา
แน่นอนว่ายามที่จูเหลี่ยนประมือกับเขา อีกฝ่ายก็ใจดำอำมหิตจริงๆ
แต่ทุกครั้งที่เฉินผิงอันนอนหายใจรวยรินอยู่ในมุมห้อง มองเห็นจูเหลี่ยนโดนผู้เฒ่าซ้อมจนกระเซอะกระเซิง เขาก็รู้สึกทันทีว่าอันที่จริงถือว่าตนโชคดีแล้ว
แต่ยามที่จูเหลี่ยนซ้อมฝึกหมัดอย่างเข้าถึงอารมณ์เต็มที่ สภาพแห่งการหลงลืมตนเองซึ่งใกล้เคียงกับคำว่า ‘ธาตุมารเข้าแทรก’ แต่จิตใจกลับยังใสสะอาดไร้มลทินเช่นนั้นของจูเหลี่ยน ก็ทำให้เฉินผิงอันได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ
คิดดูแล้วทุกครั้งที่ถึงช่วงท้ายของการฝึก ชุยเฉิงจงใจไม่ทำให้เขาสลบเหมือดไปก็เพราะต้องการให้ตนคอยชมศึก
หากไม่เป็นเพราะความต่างด้านอายุ รวมไปถึงการที่จูเหลี่ยนยืนกรานจะให้พวกเขาเป็นนายบ่าวกัน คนทั้งสองก็คงเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากกันจริงๆ แล้ว
กลางดึกของวันนี้ คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองไปทางเรือนไม้ไผ่ ท่าทางหมายมั่นปั้นมือ กว่าจะยับยั้งตัวเองไม่ให้หันไปสถบด่าใส่ทางนั้น เพื่อจะได้กินหมัดให้อิ่มอีกหนึ่งมื้อได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไร้คำพูดได้
อย่างมากสุดอย่างตนก็แค่พอจะเรียกได้ว่าทนรับความยากลำบากได้ดี แต่จูเหลี่ยนนี่กลับต้องเรียกว่าเห็นความยากลำบากเป็นการเสวยสุขจริงๆ
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ผู้อาวุโสใช้ขอบเขตร่างทองมาสู้กับขอบเขตเดินทางไกลอย่างข้า แต่ก็ยังทำให้ข้าร้องเรียกหาบิดามารดาได้ ปีนั้นนายน้อยก็ใช้ขอบเขตห้าต้านทานการลงมือด้วยขอบเขตร่างทองของข้า ผู้อาวุโสกับนายน้อยสมกับเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้จริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “อย่าดึงข้าไปมีส่วนด้วย”
จูเหลี่ยนพลันเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านผู้อาวุโสลำบากทำด้วยใจจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เพราะหวังว่าข้าจะรู้ถึงท่าทีที่ควรปฏิบัติต่อการฝึกวรยุทธ บนโลกยังมีบุคคลอย่างเจ้าจูเหลี่ยนอยู่ ลำพังเพียงแค่ความเด็ดเดี่ยวน้อยนิดแค่นี้ของข้า ไม่นับว่าเป็นอะไรได้เลยจริงๆ”
จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าละเอียดใจ “ทุกครั้งที่ออกหมัดต่อยลงบนร่างของนายน้อย ความเจ็บปวดกลับปรากฎอยู่ที่ใจของบ่าวเฒ่า”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “พอเถอะน่า”
จูเหลี่ยนถอนหายใจ “เรื่องของการเดินนิ่งของเฉินยวนจี ยังคงช้าไป”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้จงใจพูดแต่เรื่องดีๆ เกี่ยวกับเฉินยวนจี แต่ก็ยังเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมว่า “จะเอาแต่คาดหวังให้คนอื่นเป็นเหมือนเจ้าไปหมดไม่ได้ ต่อให้เป็นข้า ปีนั้นที่ไม่เกรงต่อความยากลำบากก็เพื่อต่อชีวิตให้ตัวเอง”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “นายน้อยอย่าพูดอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อการที่นายน้อยต่อยหมัดหนึ่งล้านครั้งหลังจากที่มีชีวิตรอดอยู่มาได้”
เฉินผิงอันถาม “มีวิธีไหนที่ทั้งไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเฉินยวนจี แล้วก็ทั้งเป็นวิธีที่คล้อยไปตามธรรมชาติซึ่งช่วยยกระดับปณิธานหมัดของนางให้สูงขึ้นได้หรือไม่?”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ก็พอจะมีอยู่วิธีหนึ่ง แต่ว่านายน้อยอาจต้องเสียสละค่อนข้างมาก”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ไหนลองว่ามาสิ”
จูเหลี่ยนกดเสียงลงพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าพิพักพิพ่วน “นายน้อยสามารถแสร้งทำตัวเป็นเจ้าของภูเขาไร้คุณธรรมที่เกิดปรารถนาในสาวงาม แต่ขอบเขตวิถีวรยุทธจะสูงมากไม่ได้ ในค่ำคืนมืดมิดลมพัดแรงคืนหนึ่ง หลังจากที่นางดิ้นรนต่อสู้ ขณะที่นายน้อยกำลังจะได้สมใจปรารถนานั้นเอง บ่าวเฒ่าก็พลันปรากฎตัวอย่างบังเอิญ ช่วยโขกหัวขอร้องแทนนาง นายน้อยกลัวเสียหน้าจึงจากไปอย่างขุ่นเคือง เพียงแต่ว่าชั่วขณะที่ก้าวเท้าของออกจากธรณีประตูนั้นเอง ได้หันกลับมามองที่เตียงแวบหนึ่ง สายตายังคงมีแววไม่ยอมแพ้ จากนั้นบ่าวเฒ่าก็เอ่ยปลอบใจนางไปคำรบหนึ่ง สอนให้เฉินยวนจีรู้สึกว่ามีเพียงนางตั้งใจฝึกหมัดเท่านั้นถึงจะสามารถเอาชนะนายน้อยได้ในเร็ววัน หลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องพบเจอกับความทุกข์ทรมานจากการถูกล่วงละเมิด…”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าระงับความตกใจอยู่หลายที
สุดท้ายถามว่า “แล้วทำไมเจ้ากับข้าไม่เปลี่ยนบทบาทกัน?”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างระอาใจ “เฉินยวนจีไม่ใช่คนโง่จริงๆ เสียหน่อย นางไม่มีทางเชื่อหรอก อีกทั้งขอแค่แม่นางน้อยเชื่อจริงๆ เกรงว่าต่อให้ต้องสู้ตายก็คงต้องแอบหนีลงจากภูเขาไปให้ได้”
เฉินผิงอันถามอีก “ข้าแปลกใจนัก ทำไมเฉินยวนจีถึงได้รู้สึกว่าเจ้าเป็นคนดี แล้วคิดว่าข้าเป็นคนเลวได้นะ?”
จูเหลี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “หากบุรุษไม่เลว สตรีก็ไม่รัก?”
เฉินผิงอันลังเลว่าจะเชิญเจี้ยนเซียนออกจากฝักมาฟันจูเหลี่ยนให้ขาดครึ่งท่อนดีหรือไม่
จูเหลี่ยนไม่ล้อเล่นอีก เขายิ้มแป้นขอเหล้าจากเฉินผิงอันหนึ่งกา บอกว่าในฐานะบ่าวเฒ่าผู้ซื่อสัตย์ภักดี อดทนข่มกลั้นกับแมลงขี้เหล้าที่ร้องประท้วงอยู่ในท้องมานานแล้ว ตอนที่เอาเหล้าไปฝัง เขาก็ไม่กล้าแอบเก็บเหล้าดีๆ ไว้กับตัวเลยสักไห ตอนนี้เสียใจจนไส้เขียวแล้ว เฉินผิงอันบอกให้เขาไสหัวไป
จูเหลี่ยนรู้ว่าหมดหวังจริงๆ ก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “นายน้อย ท่านยังหนุ่มขนาดนี้ แต่กลับหัวโบราณกับเรื่องชายหญิงขนาดนี้ จะคร่ำครึน่าเบื่อเกินไปหน่อยหรือไม่? มีบุรุษดีๆ ที่ไหนบ้างที่ไม่มีสตรีผู้รู้ใจสักสองสามคน?”
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองไปไกล เอ่ยเบาๆ ว่า “วันหน้าเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ หากมีสตรีมาชอบข้าจริงๆ ข้าก็จะไม่ห้ามปราม แต่ชั่วชีวิตนี้ข้าจะชอบแค่คนคนเดียวได้หรือไม่ ข้าสามารถทำได้ แล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วย”
จูเหลี่ยนเกาหัว ไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันรออยู่นาน สุดท้ายก็หันหน้ามาเอ่ยสัพยอกเขา “หาคำประจบไม่เจอเลยหรือ?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า พึมพำว่า “บนโลกมีเพียงคนลุ่มหลงในรักเท่านั้นที่คนอื่นไม่ควรหัวเราะเยาะเย้ย”
เฉินผิงอันเอ่ยออกมาจากความรู้สึก “ไม่ใช่คนลุ่มหลงในรัก ย่อมเอ่ยประโยคแบบนี้ออกมาไม่ได้”
จูเหลี่ยนตบโต๊ะดังป้าบ “นายน้อยถึงจะเป็นยอดฝีมือที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำจริงๆ ด้วย การพูดเยินยอระดับนี้ ไร้ร่องรอยให้จับต้องได้ บ่าวเฒ่าห่างชั้นไกลนัก!”
เฉินผิงอันรู้สึกหมั่นเขี้ยว พูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้งว่า “จูเหลี่ยนเจ้ารอก่อนเถอะ รอวันใดที่ข้าเป็นขอบเขตเดียวกับเจ้าแล้ว พวกเรามาคอยดูกัน”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ไม่แน่ว่าอาจเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ ง่ายจะตายไป”
มองสีหน้าประมาณว่าหากบ่าวเฒ่าพูดปดแม้ครึ่งคำก็ขอให้ฟ้าผ่าของจูเหลี่ยนแล้ว เฉินผิงอันก็สะอึกอึ้งจนพูดไม่ออก
เงียบกันไปครู่หนึ่ง
เฉินผิงอันก็ถามว่า “มองออกว่าเผยเฉียนเข้ากับเจ้าเด็กน้อยทั้งสองได้ดีมาก เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้ข้าล้วนไม่อยู่บ้าน มีปัญหาอะไรที่ข้ามองไม่ออกแล้วปล่อยให้หลุดพลาดไป ส่วนเจ้าก็รู้สึกว่าไม่เหมาะที่จะพูดหรือไม่? หากมีจริงๆ จูเหลี่ยนเจ้าสามารถพูดได้”
จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้ม “อยู่กับนายน้อย ไม่มีอะไรที่ข้าพูดไม่ได้”
เฉินผิงอันทอดถอนใจ รู้สึกจนใจน้อยๆ ยื่นนิ้วมาชี้หน้าจูเหลี่ยนแสดงท่าทีให้รู้ว่าตนไร้คำจะกล่าวแล้ว
—–