กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 468.1 เสียงนกบินผ่านประหนึ่งเสียงจูงใจ
วันนี้ในเรือนของจูเหลี่ยนคึกคักอย่างที่หาได้ยาก เว่ยป้อไม่ได้ไปจากภูเขาลั่วพั่ว แต่แวะมาเล่นหมากล้อมกับจูเหลี่ยน
บนโต๊ะวางโถเก็บเม็ดหมากงามประณีตไว้สองใบ เป็นของที่ใช้กันในพระราชวังซึ่งเฉินผิงอันควักเงินจ่ายมาระหว่างเดินทางไกล ราคาไม่ถือว่าถูกนัก แต่มองดูแล้วสะดุดตาชวนให้คนชื่นชอบ พอกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วจึงมอบมันให้กับจูเหลี่ยน เว่ยป้อเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ จึงมักจะมาเล่นหมากล้อมกับจูเหลี่ยนเป็นประจำ ปีนั้นจูเหลี่ยนชอบดูสุยโย่วเปียนกับหลูป๋ายเซี่ยงเล่นหมากล้อมกัน แสร้งทำเป็นว่าตัวเองเล่นหมากล้อมไม่เป็นแล้วยังชี้แนะคนอื่นส่งเดช แต่แท้จริงแล้วฝีมือของเขากลับไม่ธรรมดา นี่ไม่ใช่เรื่องที่เก็บซ่อนเป็นความลับอะไร เพราะสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วยังคงเป็นเพราะจูเหลี่ยนไม่เคยเห็นสุยหลูสองคนเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน แต่คิดดูแล้วพวกเขาสองคนเองก็คงจะเห็นจูเหลี่ยนเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ถึงแม้ว่ารากฐานเรือนกายและจิตวิญญาณของเจิ้งต้าเฟิงจะถูกทำร้ายตอนอยู่นครมังกรเฒ่า เส้นทางวิถีวรยุทธขาดสะบั้น แต่สายตาและลางสังหรณ์กลับยังคงมีอยู่ เขาเดาเอาว่านี่น่าจะเป็นความเคลื่อนไหวที่เฉินผิงอันชักนำให้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงรีบวิ่งตุปัดตุเป๋มาจากตีนเขา
เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็ยืนชมศึกอยู่ด้านข้าง ฝ่ายแรกช่วยวางแผนออกกระบวนท่าให้พ่อครัวเฒ่าส่งเดช จูเหลี่ยนเองก็ไม่มีใจคิดจะเอาชนะสักเท่าไหร่ เด็กชายชุดเขียวบอกให้วางลงตรงไหน เขาก็คีบเม็ดหมากไปวางลงตรงนั้นจริงๆ แน่นอนว่าจากสถานการณ์ที่สูสีจึงกลายเป็นเสียเปรียบ แล้วก็เปลี่ยนจากเสียเปรียบเป็นลางของความพ่ายแพ้ นี่ทำให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่รักษากฎวิญญูชนชมหมากล้อมไม่ส่งเสียงร้อนใจขึ้นมาทันควัน นางไม่อนุญาตให้เด็กชายชุดเขียวพูดจาเหลวไหล ในฐานะงูเหลือมไฟที่จำแลงกายมาจากโชคชะตาบุ๋นในหอเก็บหนังสือของสกุลเฉาจือหลัน หลังจากที่เริ่มมีสติปัญญา เวลาหลายร้อยปีที่อยู่ว่างๆ ไม่ทำอะไร นางก็ต้องพลิกตำราอ่านหนังสือแก้เบื่ออยู่ทุกวัน ไม่กล้าพูดว่าตัวเองเก่งกาจเท่าฉีไต้จ้าวหรือนักเล่นระดับประเทศอะไร แต่ทิศทางการดำเนินไปคร่าวๆ ของสถานการณ์บนกระดานหมาก นางยังพอมองออกอย่างกระจ่างชัด
เฉินยวนจีที่มีเวลาว่างหลังจากฝึกท่าหมัดเสร็จก็แวะมาร่วมความคึกคักเช่นกัน สำหรับท่านเว่ยที่เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งองค์เทพผู้นั้น นางมีความรู้สึกที่ดีด้วยอย่างยิ่ง ช่วยไม่ได้ ท่านเว่ยหน้าตาดีมากจริงๆ ความใกล้ชิดสนิทสนมนี้ของเฉินยวนจีไม่ใช่ความรู้สึกรักใคร่ของชายหญิง นางเพียงแค่รู้สึกว่าต่อให้ตัวเองมองเขานานอีกหน่อยก็ยังถือว่าได้กำไร ถือซะว่ากำลังชื่นชมทัศนียภาพอันงดงาม มองดูแล้วสบายตาอย่างไรล่ะ!
เด็กสาวผู้นี้คงไม่รู้เลยว่า บนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ นอกจากเจ้าภูเขาหนุ่มที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดจนน่าตกใจแล้ว เทพเซียนผู้เฒ่าจูที่นางเชื่อใจมากที่สุดไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกขั้นสูงสุดอะไรเลย แต่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง ส่วนชายฉกรรจ์ที่หลังค่อมยิ่งกว่าเทพเซียนผู้เฒ่าจู หรือพี่น้องต้าเฟิงคนนั้น ในอดีตเคยเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา ส่วนผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ก็ยิ่งเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ที่นี่มีครบทั้งขอบเขตแปด เก้า และสิบ
ภายใต้การช่วยให้เสียเรื่องของเด็กชายชุดเขียว จูเหลี่ยนจึงแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูบ่นไม่หยุด เด็กชายชุดเขียวชำเลืองตามองสถานการณ์หมากบนกระดานที่ถูกสังหารมังกรใหญ่จนสภาพอเนจอนาถแล้วก็จุ๊ปากพูดว่า “พ่อครัวเฒ่าจู แม้ว่าจะแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติ”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ ชูมือขึ้นเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้จริง คราวหน้าพวกเราสองพี่น้องต้องพยายามให้มากหน่อย พี่น้องร่วมแรงร่วมใจกัน แม้ทองก็ยังฟันให้แตกได้”
เด็กชายชุดเขียวยิ้มหน้าบาน หลังจากจูเหลี่ยนยกมือขึ้นมาเขาก็รีบเข้าไปนวดแขนให้จูเหลี่ยน “พ่อครัวเฒ่า เจ้าอาจจะไม่รู้ มือนี้ของข้ามีไอเซียนด้วยนะ! ใช่ไหม เว่ยป้อ?”
ย้อนนึกถึงเรื่องในอดีต เขาเคยใช้ฝ่ามือตบไหล่ของเจ้าลัทธิลู่เฉินไปสองที หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงหอป๋ายอวี้จิง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเซียนหรือเทียนจวินอะไร ใครบ้างที่กล้าไม่ยกนิ้วโป้ง ชมว่าเขาเป็นวีรบุรุษชายชาตรี?!
เว่ยป้อยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คันหนังอีกแล้วใช่ไหม?”
เด็กชายชุดเขียวกลอกตามองบน
สำหรับองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีที่แล้งน้ำใจอย่างเว่ยป้อนี้ เด็กชายชุดเขียวไม่เคยคิดจะปิดบังความไม่พอใจของตัวเองแม้แต่น้อย ปีนั้นเพื่อพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงผู้นั้น เขาเคยทดลองไปขอป้ายสงบสุขปลอดภัยมาจากต้าหลี แต่กลับต้องไปชนตอทุกครั้ง โดยเฉพาะกับเว่ยป้อที่ทำให้เขาผิดหวังอย่างยิ่ง ดังนั้นพอมีการเล่นหมากล้อมกันเมื่อไหร่ เด็กชายชุดเขียวก็จะยืนอยู่ข้างจูเหลี่ยนคอยชูธงร้องให้กำลังใจ ไม่อย่างนั้นก็แข็งขันบีบแขนนวดไหล่ให้จูเหลี่ยน ต้องการให้จูเหลี่ยนนำพละกำลังออกมาสิบสองส่วน นึกอยากจะให้เขาเข่นฆ่าตัวหมากของเว่ยป้อจนต้องโยนหมวกทิ้งเสื้อเกราะ จะได้สอนให้เว่ยป้อรู้จักคุกเข่าร้องขอวิงวอน พ่ายแพ้ยับเยินจนชั่วชีวิตนี้ไม่ยินดีแตะต้องหมากล้อมอีกแล้ว
สรุปก็คือขอแค่มีเขาอยู่ด้วย การประลองฝีมือระหว่างจูเหลี่ยนกับเว่ยป้อก็หาคำว่าสงบสุขไม่ได้เลย
จูเหลี่ยนพลันเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนตัดสินใจแล้วจริงๆ หรือ?”
เด็กชายชุดเขียวเชิดจมูกขึ้นฟ้า แค่นเสียงหยันในลำคอ “หากยังไม่รีบย่อมต้องตกหลุมพรางอันอำมหิตของเฉินผิงอันอย่างแน่นอน!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูพยักหน้ารับเบาๆ
ที่แท้ตอนนี้พวกเขาก็มีชื่อเป็นของตัวเองกันแล้ว ไม่ใช่ชื่อแห่งชะตาชีวิต แต่เป็นชื่อที่ตั้งโดยอิงตามคำบอกของเฉินผิงอัน ซึ่งวันหน้าอาจจำเป็นต้องบันทึกลงไปบนทำเนียบศาลบรรพจารย์
เด็กชายชุดเขียวตั้งชื่อให้ตัวเองว่าเฉินหลิงจวิน ส่วนเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูตั้งชื่อให้ตัวเองว่าเฉินหรูชู
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยสัพยอก “เฉินหลิงจวิน ชื่ออะไรของเจ้า?! ข้าว่าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวชิงชิง (เจ้าเขียวน้อย) นั่นแหละ คล่องปากกว่ากันเยอะ”
เด็กชายชุดเขียวเองก็ไม่คิดจะเกรงใจเจิ้งต้าเฟิง “พี่น้องต้าเฟิง เจ้าจะเข้าใจกะผายลมอะไร”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะร่า “ข้าเข้าใจเจ้า”
เด็กชายชุดเขียวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เลิกพูดมากได้แล้ว แน่จริงพวกเราก็มาแสดงฝีมือให้เห็นกันบนกระดานหมากสิ!”
เว่ยป้อเอ่ยเสียดสี “หาเรื่องให้ตัวเองอับอายโดยแท้”
เจิ้งต้าเฟิงถูมืออย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “มาลองเดิมพันเล็กๆ หาของรางวัลกันสักหน่อยดีไหม? แต่ว่าความสามารถในการเล่นหมากล้อมของเจ้าสูงเพียงนี้ ให้วางก่อนก็ยังไม่ได้อยู่ดี ต้องต่อเม็ดหมากให้ ต่อให้ข้าสักสองเม็ดแล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่เดิมพันกับเจ้า”
เด็กชายชุดเขียวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ขมวดคิ้วพูดว่า “ต่อให้สองเม็ด? นี่ไม่ใช่ว่าดูแคลนพี่น้องต้าเฟิงอย่างเจ้าหรอกหรือ ต่อให้เม็ดหนึ่งเป็นอย่างไร?”
เว่ยป้อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
จูเหลี่ยนตบหน้าผากตัวเอง เจิ้งต้าเฟิงขุดหลุมไว้ชัดเจนขนาดนี้ ยังจะกระโดดลงไปเต็มแรงอีก
เจิ้งต้าเฟิงกลั้นยิ้ม ไม่คิดจะรังแกเจ้าตัวน้อยทึ่มทื่อผู้นี้ต่อ จึงโบกมือเอ่ยว่า “ช่างเถิด ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง”
ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของเจิ้งต้าเฟิงเป็นอย่างไร ง่ายดายมาก ทุกครั้งที่จูเหลี่ยนเล่นหมากล้อมกับเว่ยป้อ เจิ้งต้าเฟิงช่วยใคร คนนั้นก็ชนะ
บางทีอาจพูดไม่ได้ว่าเจิ้งต้าเฟิงคมในฝัก แต่หากจะบอกว่าในบรรดาคนที่ฉลาดที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจูปีนั้น เจิ้งต้าเฟิงต้องมีคุณสมบัติพอที่จะยึดครองตำแหน่งหนึ่งไว้ได้อย่างแน่นอน
เด็กชายชุดเขียวชำเลืองตามองเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู ฝ่ายหลังส่ายหน้าให้เบาๆ
เขาถึงเพิ่งจะกระจ่างแจ้ง มารดามันเถอะ เจ้าเจิ้งต้าเฟิงผู้นี้ก็เจ้าเล่ห์เสียจริง เกือบจะทำลายภาพลักษณ์วีรบุรุษผู้เลื่องชื่อของตนเสียแล้ว
เฉินยวนจีจากไปเงียบๆ กลับไปฝึกหมัดของนางต่ออีกครั้ง
ช่วงเวลากลางวัน นางจะเลือกภูเขาเขียวน้ำใสของบนภูเขาลั่วพั่วฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวเพียงลำพัง
ทว่าเมื่อยามค่ำคืนมาถึง นางจะฝึกอยู่ในเรือน อย่างน้อยที่สุดก็อยู่ให้ใกล้กับที่พักของเทพเซียนผู้เฒ่าจูเสียหน่อย จะได้ไม่ต้องกังวลว่ายามที่ถูกคนล่วงเกินแล้วเรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบรับ
เด็กชายชุดเขียวมองสีท้องฟ้าแล้วก็คิดว่าจะไปเที่ยวเล่นหาเผยเฉียนในเมืองเล็กสักหน่อย เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็ประสานมือโค้งคำนับพวกจูเหลี่ยนเพื่อบอกลาตามไปด้วย นางบอกให้เด็กชายชุดเขียวรอนาง เพราะเมล็ดแตงในกระเป๋านางเหลือไม่พอแล้ว
หลังจากที่เฉินยวนจีและเด็กน้อยทั้งสองจากไป เจิ้งต้าเฟิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าทะลุขอบเขตครั้งนี้ ก็น่าจะได้ลงจากภูเขาอีกแล้ว คนหนุ่มนี่ดีจริงๆ ไม่ว่ายุ่งวุ่นวายแค่ไหนก็ไม่รู้สึกเหนื่อย”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “พี่น้องต้าเฟิงก็ยังหนุ่มเหมือนกัน อีกทั้งยังหล่อเหลา ขาดแค่ภรรยาอย่างเดียวเท่านั้น”
เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมากดลงกลางอากาศสองที “พี่ใหญ่จู คำพูดที่เป็นความจริงเช่นนี้ อย่าพูดติดปากบ่อยนัก ง่ายที่จะทำให้คนเกลียดแค้น”
“ข้าว่าเฉินผิงอันรีบร้อนอยากออกเดินทางขนาดนี้ พวกเจ้าสองคนมีคุณความชอบไม่น้อยเลย”
เว่ยป้อลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปจัดการเรื่องงานเลี้ยงท่องราตรีนั่นต่อแล้ว ผ่านไปอีกสิบวันก็ต้องยุ่งวุ่นวาย ปัญหามากมายยิ่งนัก”
เรือนเล็กกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
จูเหลี่ยนเริ่มเก็บหมากที่เหลืออยู่ เจิ้งต้าเฟิงนั่งลงตรงตำแหน่งเดิมของเว่ยป้อ ช่วยเก็บเม็ดหมากใส่โถ
จูเหลี่ยนเอ่ย “ลองเดาดูสิว่าหลังจากนายน้อยของข้าฝ่าทะลุขอบเขตแล้วจะไปพูดคุยกับเจ้าหรือไม่? หากพูดคุย จะคุยด้วยเรื่องอะไร?”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะไปหาข้าที่ตีนเขา คงอยากให้ข้าทำใจให้สบาย ไม่อยากให้ข้ารู้สึกลำบากใจ แต่ไม่น่าจะพูดคุยอะไรมาก คงจะแค่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้า อันที่จริงข้ากลับหวังว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่มาหาข้ามากกว่า เจ้าว่าตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วเพิ่งมีคนกี่คนเอง? เขากลับต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจขนาดนี้ วันหน้าหากมีคนมาเพิ่มเยอะเข้าจริงๆ มีสำนักมีพรรคขึ้นมาแล้ว เขาจะยังมีเวลามาดูแลได้หวาดไหวหรือ? ยังจะฝึกตนอยู่อีกไหม? พี่ใหญ่จู เรื่องโน้มน้าวคน เจ้าถนัดที่สุด มีโอกาสก็คุยกับเฉินผิงอันหน่อยเถอะ”
จูเหลี่ยนเก็บกระดานหมากเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ยาก”
อยู่ดีๆ เจิ้งต้าเฟิงก็เอ่ยขึ้นว่า “การเล่นหมากล้อมของเว่ยป้อ กะจังหวะได้อย่างพอดิบพอดี ยามใดที่ควรห่างก็ห่าง ยามใดที่ควรประชิดก็ประชิด”
จูเหลี่ยนอืมรับหนึ่งคำ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “เฉินผิงอันฝ่าทะลุขอบเขตคราวนี้ ศิษย์น้องหญิงที่จิตใจทะเยอทะยานในร้านยาผู้นั้นของข้า คาดว่าคงต้องทุกข์ทรมานไม่น้อย”
จูเหลี่ยนหัวเราะ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเสียดายนิดๆ “เฉินยวนจีก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่”
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้ากวนโอ้ย “ตอนนั้นที่อยู่บนภูเขาพีอวิ๋น หากเฉินผิงอันพูดอย่างนั้นจริงๆ เจ้าเด็กคิ้วยาวตระกูลเซี่ยต่างหากที่ถึงจะเป็นคนที่หงุดหงิดใจที่สุด”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ในพื้นที่มงคลดอกบัว สำนักในยุทธภพที่ใหญ่สักหน่อย มีบุรุษสักกี่คนที่ตอนเป็นหนุ่มไม่เคยเสียใจเพราะศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงมาก่อน ดูท่าแล้วใต้หล้าไพศาลก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ดีๆ เจิ้งต้าเฟิงก็หวนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าในร้านยาฮุยเฉินนครมังกรเฒ่า ทุกวันไม่มีอะไรทำก็ได้แต่เปิดตำราอ่านหนังสือ นั่งอาบแดด
เขาสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย หวนนึกไปถึงเด็กสาวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนหนึ่ง แล้วก็ให้รู้สึกเหมือนดื่มยาดองไหใหญ่ที่ทั้งขมจนแทบทนไม่ไหว แต่ก็อดใจไม่ดื่มไม่ได้
เพียงแค่สุดท้ายความคิดกลับวนไปถึงสตรีที่มักจะมาเดินเตร็ดเตร่ผ่านหน้าเขาเป็นประจำผู้นั้น ทำเอาเจิ้งต้าเฟิงตกใจตัวสั่น กลืนน้ำลายลงคอ ยกสองมือขึ้นพนมคล้ายกำลังขอโทษใคร พึมพำว่า “แม่นางเป็นคนดี แต่ข้าเจิ้งต้าเฟิงไม่มีวาสนาจะได้เสวยสุขจริงๆ”
จูเหลี่ยนมองไปทางเรือนไม้ไผ่
เจิ้งต้าเฟิงถาม “เดิมพันกันดีไหมว่าเฉินผิงอันจะเดินออกมาหรือนอนออกมา?”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “นายน้อยของข้ามีวิชายุทธล้ำเลิศ ปราดเปรื่องกล้าหาญ…แน่นอนว่าย่อมนอนออกมา”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างระอาใจ “งั้นจะเดิมพันกันกะผายลมอะไร”
……
แต่สุดท้ายแล้วกลับอยู่เหนือการคาดการณ์ของจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิง เฉินผิงอันกลับเดินออกมาจากเรือนไม้ไผ่อย่างปลอดภัย
จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผาตลอดทั้งคืน จนกระทั่งฟ้าสางถึงได้กลับไปนอนในชั้นหนึ่ง
สองวันต่อมา จูเหลี่ยนก็ไปเสวยสุขที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ต่อ เฉินผิงอันไปหาเจิ้งต้าเฟิงจริงๆ เพียงแต่ไม่ได้พบเจิ้งต้าเฟิง เขาลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะกลับมาบนภูเขา
จากนั้นทางห้องกระบี่ของท่าเรือข้ามฟากภูเขาหนิวเจี่ยวก็มีกระบี่บินส่งข่าวทยอยนำข่าวมาส่งให้กับเฉินผิงอัน
ฉบับแรกเป็นจดหมายตอบกลับจากหลิวจื้อเม่า บอกว่าหงซูของจวนชุนถิง ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นสาวใช้ของจวนแห่งนั้นแล้ว แต่กลับไปเป็นคนเฝ้าประตูของจวนจูเสียนดังเดิม สำหรับเรื่องนี้หลิวเหล่าเฉิงแค่เอ่ยว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เกาะชิงเสียแค่ต้องรับรองว่าชั่วชีวิตนี้นางจะไม่ต้องเจอกับหายนะที่ไม่ทันตั้งตัวอีกก็พอ นอกจากนี้จวนเหิงโปก็เริ่มถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่จางเย่เหมือนคนกินยาผิดขนาน ถึงได้ไปจากเกาะชิงเสีย แค่ขอป้ายหยกผู้ถวายงานระดับล่างแผ่นหนึ่ง วิชาลับตระกูลเซียนหนึ่งเล่มกับสมบัติอาคมอีกหนึ่งชิ้นไปจากเขา จากนั้นก็ปิดบังชื่อแซ่ไปทำหน้าที่เป็นเค่อชิงให้กับสำนักเล็กๆ ไร้ชื่อไร้นามของภูเขาหูลั่วแห่งนั้น สุดท้ายหลิวจื้อเม่าให้ทางเลือกสองทางแก่เฉินผิงอัน ตอนนั้นเขารับปากว่าหากผ่านด่านยากนี้ไปได้จะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เฉินผิงอัน ดังนั้นหากเฉินผิงอันไม่รอให้เขาส่งคนนำของขวัญไปเยี่ยมเยียนที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ก็ให้ถือซะว่าบัญชีสองก้อนที่เฉินผิงอันติดค้างคลังลับเกาะชิงเสียได้หมดสิ้นกันไปนับแต่นี้
เฉินผิงอันส่งกระบี่บินตอบกลับไปด้วยประโยคที่กระชับเรียบง่าย เพียงแค่สามคำ ให้หายกันไป
ส่วนจุดจบของพวกคนอย่างเถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลินเป็นอย่างไรนั้น เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยถาม
จดหมายฉบับที่สองมาจากหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช นางบอกความลับเรื่องหนึ่ง หมัวมัวเซียนดินโอสถทองผู้นั้น เดิมทีโอสถทองก็เสื่อมสภาพ ได้แต่อาศัยลมปราณเฮือกหนึ่งมาประคับประคองชีวิต เส้นหัวใจของนางขึงตึงมานานเกินไป รอจนกระทั่งสถานการณ์ใหญ่ของทะเลสาบซูเจี่ยนมั่นคงดีแล้ว อีกทั้งเกาะจูไชยังไม่ต้องเจอกับหายนะ กลับกันยังได้ผลประโยชน์มหาศาล เส้นเอ็นหัวใจนั้นก็พลันคลายตัวลง หลังจากความกังวลกลัดกลุ้มและความดีใจล้นพ้นผ่านไป นางก็เหมือนตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอดหมดสิ้น ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ นางจึงได้ลาจากโลกนี้ไป หลิวจ้งรุ่นบอกในจดหมายอย่างตรงไปตรงมาว่า หมัวมัวได้โน้มน้าวนางว่าอย่าได้ถือสาเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นค่ายาลับของตำหนักวารีนั้นอีกเลย ดังนั้นนางจึงหวังว่าจะสามารถทำการค้ากับเฉินผิงอันได้อีกครั้ง เกาะจูไชเองก็จะเลียนแบบสำนักกุยหยกที่สูงส่งเหนือผู้ใดแห่งนั้น โดยการส่งตัวลูกศิษย์ส่วนหนึ่งให้ย้ายมาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนของราชวงศ์ต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุดของทวีป อยู่ให้ห่างจากปัญหาวุ่นวาย ตั้งใจฝึกตนให้ดี ดังนั้นไม่ว่าเฉินผิงอันจะให้เช่าพื้นที่ฮวงจุ้ยดีๆ แห่งหนึ่ง หรือจะขายให้แก่เกาะจูไช ก็ขอให้เสนอราคามาได้เลย ต่อให้นางต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องรับปากให้จงได้ แน่นอนว่าจะจ่ายให้เฉินผิงอันโดยไม่ขาดไปแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว
เฉินผิงอันส่งจดหมายตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน บอกว่าตนไม่ขายภูเขา แต่สามารถให้เช่าได้ ทว่าต่อให้หลังจากนางได้รับจดหมายแล้วเดินทางมาต้าหลีทันที ตอนนั้นเขาก็คงออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว นางแค่ต้องมาหาคนที่ชื่อจูเหลี่ยนของภูเขาลั่วพั่วเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ก็พอ
กู้ช่านเองก็ส่งจดหมายมาให้
เล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงพัฒนาการในการฝึกตนของเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ในทุกวันนี้ รวมไปถึงเงินเทพเซียนที่จำเป็นต้องใช้สำหรับค่าประเมินการงานพิธีบวงสรวงเทพเจ้าขับไล่เสนียดเคราะห์ภัยใหญ่ของลัทธิเต๋าในครั้งแรก แต่ละขั้นตอนจำเป็นต้องใช้เงินมากน้อยเท่าไหร่ ล้วนเขียนมาไว้อย่างชัดเจน
เฉินผิงอันตอบกลับไปบอกว่า เงินเทพเซียนก้อนแรก เขาจะให้คนนำไปให้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ให้พวกเขาสามคนเดินทางกันต่ออย่างสบายใจ ส่วนที่เหลือก็อดไม่ไหวเอ่ยเตือนในเรื่องจุกจิกหยุมหยิมบางอย่าง หลังจากเขียนจบแล้วอ่านทวนหนึ่งรอบ ตัวเฉินผิงอันยังรู้สึกว่าตัวเองจู้จี้เกินไปหน่อย สอดคล้องกับมาดของนักบัญชีเกาะชิงเสียในปีนั้นอย่างยิ่ง
—–