กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 471.2 ไม่เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนหรือ?
จ้าวหลวนเอามือเท้าคางมองสองคนที่อยู่ในลานบ้าน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน ตนก็ดี พี่ชายอย่างจ้าวซู่เซี่ยก็ช่าง หรือแม้แต่อาจารย์ก็เหมือนกัน แท้จริงแล้วล้วนต้องพบเจอเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจมากมาย
ยกตัวอย่างเช่นตนจะหวาดกลัวสายตาของคนนอกทั้งหลาย เพราะอันที่จริงนางเป็นคนที่ขี้ขลาดอย่างมาก ส่วนพี่ชายหากเห็นคนฝึกตนวัยเดียวกันก็มักจะอิจฉาแล้วก็ผิดหวัง อันที่จริงเขาปิดบังไว้ได้ไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนอาจารย์ก็มักจะนั่งเหม่อเพียงลำพัง กลัดกลุ้มเรื่องการกินอยู่ เป็นทุกข์เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของคนในตระกูลจนหัวคิ้วขมวดมุ่นไม่ยอมคลาย
จ้าวหลวนรู้สึกว่าตนไม่ใช่แม่นางน้อยที่ไม่รู้ประสาอะไรอีกแล้ว
ทางฝั่งของลานบ้าน ท่านเฉินที่เหมือนบัณฑิตยิ่งกว่าในอดีตยังคงม้วนชายแขนเสื้อขึ้น ถ่ายทอดวิชาหมัดให้แก่พี่ชาย ตอนที่เขาเดินท่าหมัดหรือออกกระบวนท่าหมัด แท้จริงแล้วสำหรับในใจของนางล้วนไม่แย่ไปกว่าการที่เขาขี่กระบี่เดินทางไกลก่อนหน้านี้เลย
แต่หลังจากที่ได้กลับมาพบกับท่านเฉินอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขายังเห็นนางเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง นางดีใจมาก แต่ก็เริ่มไม่ดีใจนิดๆ
ตอนบ่ายจ้าวซู่เซี่ยเป็นคนทำอาหาร เฉินผิงอันก็คอยช่วยอยู่ด้านข้าง
อาจารย์สั่งสอนท่านเฉินไปหนึ่งคำว่าวิญญูชนต้องอยู่ให้ห่างจากห้องครัว แต่เวลากินข้าว เขากลับกินไปไม่น้อย แล้วก็ดื่มเหล้าไปไม่น้อยเช่นกัน ดื่มจนใบหน้าแดงก่ำ
ตอนบ่าย ท่านเฉินยังคงฝึกวิชาหมัด แสดงท่าหมัดให้พี่ชายดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย
เมื่อเข้าใกล้ช่วงสนธยา
เฉินผิงอันมองสีทองฟ้าแล้วยิ้มกับจ้าวซู่เซี่ย “เอาล่ะ ถึงแค่นี้พอ จำไว้ว่า เดินนิ่งหกก้าวก็ไม่ควรทิ้งให้เสียเปล่า พยายามปล่อยหมัดให้ถึงห้าแสนหมัดให้ได้ ตามวิธีการที่ข้าบอกเจ้า ก่อนจะออกหมัดให้ตั้งท่าหมัดก่อน หากรู้สึกว่าความหมายยังไม่ถึงขั้น มีความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็อย่าออกหมัดก้าวเดินเด็ดขาด และเวลาที่ฝึกเดินจนเหนื่อยแล้ว ช่วงเวลาที่พักผ่อนก็ใช้คาถาที่ข้าสอนเจ้ามาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู พวกเราสองคนต่างก็เป็นคนโง่ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้วิธีฝึกหมัดที่โง่เง่าเช่นนี้แหละ สักวันหนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง จู่ๆ เจ้าจะรู้สึกเข้าใจขึ้นมาในฉับพลัน ต่อให้วันเวลาที่ว่านี้จะมาถึงช้า ก็ไม่ต้องร้อนใจไป”
เฉินผิงอันคลี่ชายแขนเสื้อลง ลูบให้เรียบเบาๆ จากนั้นก็ตบไหล่จ้าวซู่เซี่ย เอ่ยว่า “เอาล่ะ ข้าคงพูดแค่นี้แหละ”
จ้าวซู่เซี่ยเช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก
จ้าวหลวนลุกขึ้นยืนแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ข้าจะไปคุยธุระกับท่านอู๋สักเล็กน้อย จากนั้นก็จะไปแล้ว”
ไปหาอู๋ซั่วเหวินที่กำลังฝึกคัดตัวอักษรอยู่ในห้อง เฉินผิงอันก็ถอนหายใจ คิดว่าจะพูดทุกอย่างไปตามความจริง พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ถ้อยคำที่ตระเตรียมมาเป็นอย่างดีล้วนไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย “ท่านอู๋ หลวนหลวนคือลูกศิษย์ของท่าน ตามหลักแล้วข้าไม่ควรจะเจ้ากี้เจ้าการ แต่ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการฝึกตนของจ้าวหลวน การที่ผู้ฝึกลมปราณได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตในเร็ววันถือเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ดังนั้นข้าจึงเตรียมเงินเทพเซียนก้อนหนึ่ง…”
อู๋ซั่วเหวินเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันจึงได้แต่แข็งใจพูดต่อว่า “และยังมียันต์อีกสองสามแผ่น ถือเป็นของขวัญจากลา แน่นอนว่ายังมี ‘คัมภีร์ดั้งเดิมวิชากระบี่’ ที่คัดลอกมาเองอีกหนึ่งฉบับ รวมไปถึงกระบี่อาคมที่ซื้อมาจากร้านตระกูลเซียนเล่มหนึ่ง มีชื่อว่าฉวีหวง แน่นอนว่าเป็นของเลียนแบบ ระดับขั้นไม่ถือว่าสูง ข้าจะมอบให้ซู่เซี่ยทั้งหมด ไว้ให้เป็นเครื่องป้องกันกาย เพียงแต่เรื่องการฝึกกระบี่ของซู่เซี่ย ข้าหวังว่าท่านอู๋จะช่วยดูให้ข้าหน่อย หากรู้สึกว่ายามใดเขาพอจะฝึกวิชาหมัดจนประสบความสำเร็จนิดๆ แล้ว ค่อยมอบ ‘คัมภีร์ดั้งเดิมวิชากระบี่’ และเลียนแบบฉวีหวงให้แก่จ้าวซู่เซี่ย บอกตามตรง หากท่านอู๋ยอมตกลง ข้าก็อยากจะรับซู่เซี่ยไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ วันหน้าหากมีวาสนาต่อกัน อีกทั้งซู่เซี่ยยังยินดี และท่านอู๋เองก็ไม่คัดค้าน ข้ากับซู่เซี่ยค่อยกลายมาเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันอย่างเป็นทางการ”
อู๋ซั่วเหวินผายมือบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันนั่งลง รอจนเฉินผิงอันนั่งลงแล้ว เขาถึงได้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำไม กังวลว่าข้าจะกลัวเสียหน้า? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดูแคลนน้ำหนักของซู่เซี่ยและหลวนหลวนในใจข้าเกินไปหน่อยกระมัง?”
อู๋ซั่วเหวินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ซู่เซี่ยยังดีหน่อย ไม่จำเป็นต้องให้ข้าทำอะไรมากมาย และในความเป็นจริงแล้วข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้นเจ้ายินดีรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ รอไปอีกสักหลายๆ ปี ค่อยตัดสินใจว่าจะรับเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการหรือไม่ แน่นอนว่านี่คือความโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าของเขาซู่เซี่ย ข้าไม่มีความเห็นต่างใดๆ แต่บอกตามตรง การนำพาแม่หนูหลวนหลวนฝึกตน ก็ยากลำบากสำหรับข้ามากจริงๆ เงินอีแปะเดียวก็ทำให้วีรบุรุษล้มคว่ำได้ ก็คือหลักการนี้นี่เอง หาใช่ว่าต้องการจะขอความดีความชอบจากเจ้า หรือร้องทุกข์ให้เจ้าฟังไม่ หลายปีที่ผ่านมานี้ เพื่อไม่ให้ถ่วงรั้งการฝึกตนของหลวนหลวน ลำพังเพียงแค่ไปยืมเงินจากเพื่อนบนภูเขาก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว”
อาจารย์ผู้เฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ “พูดเรื่องน่าอับอายในครอบครัวเหล่านี้กับเจ้า ก็จะทำให้เจ้ามอบเงินเทพเซียนให้กับพวกเราสองอาจารย์และศิษย์ได้อย่างสบายใจแล้วใช่ไหม? ให้มากหน่อยก็ไม่เป็นไร ข้าแก่ปูนนี้แล้ว ไม่มีปัญญาจะไปรบราฆ่าฟันกับใครอีกแล้ว แต่หากจะแบกเงินเทพเซียนไว้บนตัว กลับไม่ใช่เรื่องยาก”
เฉินผิงอันหยิบ ‘คัมภีร์ดั้งเดิมวิชากระบี่’ ที่เขียนด้วยลายมือตัวเอง กระบี่ฉวีหวง และยันต์กระดาษสีทองสามแผ่นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ จากนั้นก็ควักเงินเทพเซียนกำหนึ่งมาวางลงบนโต๊ะหนังสือเบาๆ
แรกเริ่มอู๋ซั่วเหวินยังลูบหนวดยิ้ม แต่พอเห็นเงินเทพเซียนเหล่านั้นอย่างชัดเจน เขากลับเงียบงันไปนาน ในที่สุดก็อดไม่ไหวถามว่า “เจ้าเปิดโรงรับเงินบนภูเขาหรือไร? เงินร้อนน้อยก็แล้วไปเถิด เหตุใดยังต้องมีเงินฝนธัญพืชอีกตั้งสามเหรียญ?!”
เฉินผิงอันทำหน้าอึ้งตะลึง “นี่ยังรังเกียจว่าน้อยไปอีกหรือ? ข้าต้องทุบหม้อขายเหล็กแล้วจริงๆ นะ”
อู๋ซั่วเหวินไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะ ‘เล่นแง่’ เช่นนี้ ผู้เฒ่าเลือกเงินฝนธัญพืชสามเหรียญออกมา พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เอากลับไป นี่ไม่จำเป็นจริงๆ ในอนาคตเมื่อหลวนหลวนเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต เจ้าจะมอบให้นางมากกว่านี้ ข้าก็ไม่ขัดขวาง แต่ตอนนี้ไม่ได้”
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ยืนกราน
เฉินผิงอันเก็บเงินฝนธัญพืชสามเหรียญที่เดิมทีคิดไว้ว่าจะนำมาเป็นสมบัติก้นกรุในการลงภูเขาครั้งนี้กลับไป กุมหมัดแล้วเอ่ยลา “ท่านอู๋ไม่ต้องไปส่งแล้ว”
อู๋ซั่วเหวินลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นก็ไปส่งถึงหน้าประตู มารยาทเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องมีอยู่บ้าง”
ออกจากห้อง มาที่ลานบ้าน จ้าวหลวนถืองอบของเฉินผิงอันรอไว้อยู่แล้ว
จ้าวซู่เซี่ยยิ้มกล่าว “ข้ากับหลวนหลวนจะไปส่งท่านเฉินถึงที่หน้าประตูเมือง”
เฉินผิงอันรับงอบมา แล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าคิดว่าจะรีบออกเดินทางให้เร็วสักหน่อย”
จ้าวซู่เซี่ยเกาหัว
จ้าวหลวนกล่าวอย่างขลาดๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปส่งถึงหน้าประตู”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
อู๋ซั่วเหวินเดินกลับเข้าไปในห้อง มองสิ่งของและเงินเทพเซียนที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม รู้สึกถึงเพียงความเหลือเชื่อ แต่พออาจารย์ผู้เฒ่าเห็นยันต์สีทองสามแผ่นนั้นก็พลันโล่งใจ
ยังคงเป็นคนเดิมของในปีนั้น เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มมาเป็นคนหนุ่มก็เท่านั้น
อู๋ซั่วเหวินลูบหนวดยิ้ม “พึ่งใบบุญของหลวนหลวน ในที่สุดชีวิตนี้ก็ได้เห็นเงินฝนธัญพืชมากกว่าหนึ่งเหรียญแล้ว”
ด้านนอกเรือน
เฉินผิงอันสวมงอบ เตรียมจะขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านวารีกระบี่ของแคว้นซูสุ่ย ที่นั่น เขายังติดค้างหม้อไฟใครคนหนึ่งไว้หนึ่งมื้อ
จ้าวซู่เซี่ยยังดีหน่อย เพราะเขาไม่ได้แสดงความเสียใจออกมาสำหรับการจากลาในครั้งนี้
เขาคอยพูดคุยกับเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา
แต่แม่นางน้อยกลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ
จ้าวซู่เซี่ยพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ บอกว่าจะกลับไปก่อน ให้หลวนหลวนบอกลากับท่านเฉินเองก็แล้วกัน
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ความฉลาดของเจ้าเด็กนี่เอามาใช้ผิดที่หรือเปล่า?
จ้าวหลวนก้มหน้าลง
ราวกับว่าหากไม่เปิดปากพูด ก็ไม่ต้องจากลากัน
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ เรียกนางคำหนึ่งว่าหลวนหลวน
จ้าวหลวนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย
เฉินผิงอันไม่ได้โง่
สายตาที่แม่นางน้อยมองตน ไม่เหมือนคนอื่น
บางครั้งคำว่าชอบนั้น ต่อให้ปากไม่พูด แต่ก็เขียนไว้ในดวงตา
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “หลวนหลวน ข้าจะพูดความในใจบางอย่างกับเจ้า ถือซะว่าเป็นสัญญาเล็กๆ ระหว่างพวกเรา ตกลงไหม?”
จ้าวหลวนรู้สึกตื่นตระหนก แต่ก็อดคาดหวังนิดๆ ไม่ได้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าชอบข้า ถูกไหม?”
จ้าวหลวนหน้าแดงแปร๊ดทันใด
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ข้าเองก็ชอบเจ้า แต่ว่า ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ เพราะว่าในใจข้ามีแม่นางที่ชอบอยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าในตอนนี้ยังสามารถชอบข้าได้ ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องผิดเสมอไป เชิญชอบเฉินผิงอัน ท่านเฉินในใจเจ้าผู้นั้นได้ตามสบาย แต่ข้าหวังว่าในอนาคต เมื่อเจ้าเติบโตขึ้นแล้ว อาจจะผ่านไปอีกสักสามปี ห้าปี หรือนานยิ่งกว่านั้น สิบปี บางทีวันใดวันหนึ่งเจ้าอาจจะได้เจอกับเด็กหนุ่มหรือคนหนุ่มที่เจ้ารู้สึกว่าเขาดีมากๆ ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องกลัว หลังจากคิดใคร่ครวญอย่างจริงจังแล้ว และเจ้าค้นพบว่าอันที่จริงตัวเองชอบเขาจริงๆ ก็อย่าได้ปล่อยให้เขาหลุดมือไปเด็ดขาด ตกลงไหม?”
จ้าวหลวนกะพริบตาปริบๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาล่ะ ไม่พูดก็จะถือว่าเจ้าตกลงแล้วกัน”
เฉินผิงอันประคองงอบ “ไปล่ะ”
เจี้ยนเซียนออกจากฝัก ขี่กระบี่ทะยานไป
จ้าวหลวนเงยหน้าขึ้น
ศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาจากตรงประตูใหญ่อย่างเงียบเชียบ
เพียงแต่เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าด้านหลังตัวเองมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์โชกโชนกว่าเขาเยอะ ชายชราลัทธิขงจื๊อหมุนตัวกลับไปเงียบๆ
จ้าวหลวนหันหน้ากลับไปก็เห็นแผ่นหลังของอาจารย์และศีรษะของจ้าวซู่เซี่ยเข้าพอดี
จ้าวหลวนก้มหน้าลง ยกมือสองข้างปิดหน้า วิ่งกลับเข้าไปในเรือนอย่างรวดเร็ว
จ้าวซู่เซี่ยวิ่งตามจ้าวหลวนพลางพูดจาหนักแน่นน่าเชื่อถือ “หลวนหลวน ข้าไม่ได้ยินเลยสักคำ! หากไม่จริงข้าจะยอมเปลี่ยนไปใช้แซ่เดียวกับเจ้าเลย”
ด้านหน้ามีเสียงหนึ่งดังลอยมา “อาจารย์ต่างหากที่ไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรเลย ในฐานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ อะไรที่ไม่สมควรมองต้องไม่มอง ไม่สมควรฟังต้องไม่ฟัง แต่ซู่เซี่ยนั่นกลับไม่แน่เสมอไปหรอก อาจารย์เห็นกับตาว่าเขาโก่งก้นเงี่ยหูฟังอยู่ตั้งนาน”
จ้าวซู่เซี่ยหยุดฝีเท้าดังเอี๊ยด แล้วหันหัวกลับวิ่งไปทางประตูใหญ่โดยไม่ลังเล ทุกครั้งที่หลวนหลวนถูกเขาพูดแซวจนอับอายแล้วพานโกรธขึ้นมา นางลงมือทีก็ไม่รู้จักหนักรู้จักเบา แถมเขายังเอาคืนนางไม่ได้อีกด้วย
บนทะเลเมฆ เฉินผิงอันปาดเหงื่อ รู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าตอนเทียวไปเทียวกลับภูเขาเหมิงหลงสองรอบเสียอีก
จูเหลี่ยนสมควรโดนซ้อมจริงๆ สวมงอบไว้แล้วจะมีประโยชน์กะผายลมอะไร
เพียงแต่ว่าหลังจากบ่นจบแล้ว
เฉินผิงอันที่ใช้ท่านั่งนิ่งนั่งอยู่บนเจี้ยนเซียนก็ยิ้มอย่างเข้าใจ
ถึงอย่างไรเขาก็ยังเห็นหลวนหลวนเป็นเพียงแม่นางน้อยคนหนึ่ง การที่นางชอบใครสักคนก็เหมือนเด็กที่น้ำลายสอ อยากกินถังหูลู่สักไม้ หรืออยากกินขนมสักชิ้น ความชอบนั้นทำไมจะไม่ใช่ความชอบจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นความรู้สึกฉันท์ชู้สาวอย่างแท้จริง ความรู้สึกที่มากกว่านั้นน่าจะเป็นความรู้สึกเชื่อใจ อยากพึ่งพา ผสมปนเปไปกับความสุขความทุกข์ภายใต้โชควาสนาที่นำพาให้มาเจอกันในปีนั้นเสียมากกว่า
และความชอบเช่นนี้ก็บริสุทธิ์ไร้เดียงสา แล้วจะมีอะไรที่ไม่ดีเล่า
ต่อให้ในอนาคตจะไม่ได้ถูกชอบอีกต่อไป แม่นางน้อยมีบุรุษที่ตัวเองรักจากใจจริง อันที่จริงแล้วนั่นก็เป็นความงดงามอีกแบบหนึ่ง
เฉินผิงอันพูดเสียงดัง “ไป! ไปให้สูงยิ่งกว่านี้!”
ทว่าเจี้ยนเซียนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ากลับดิ่งฮวบลงเบื้องล่าง
……
บนถนนเส้นเล็กกลางภูเขาที่เป็นชายแดนเชื่อมต่อระหว่างแคว้นไฉ่อีกับแคว้นซูสุ่ย
บุรุษชุดเขียวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ด้านหลังสะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าที่ตัดมาจากข้างทางแล้วทำขึ้นหยาบๆ เขาเดินบนทางภูเขามาร้อยกว่าลี้แล้ว สุดท้ายยามค่ำคืนของวันหนึ่งก็เดินเข้าไปในวัดร้างเก่าโทรมที่เต็มไปด้วยหยากไย่ เทวรูปท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ของลัทธิพุทธยังคงล้มเค้เก้อยู่บนพื้นเหมือนในปีนั้น ยังคงมีลมพัดลอดห้องโถงใหญ่เข้ามาในวัดเก่าแก่เป็นระยะ บรรยากาศอึมครึมวังเวง
คนหนุ่มก่อกองไฟขึ้นมาหนึ่งกอง หลังจากนั้นก็หลับตางีบหลับ ราวกับกังวลว่าภูตผีปีศาจที่กล่าวถึงในตำราจะปรากฎกาย อยากหลับแต่ก็ไม่กล้าหลับไปจริงๆ
ผ่านยามจื่อไปก็มีเสียงหัวเราะต่อกระซิกดังแว่วจากไกลมาใกล้
บุรุษชุดเขียวที่เหมือนบัณฑิตสะพายหีบหนังสือออกทัศนศึกษาก้มหน้าลง มุมปากยกยิ้ม เพียงแต่ว่าตอนที่เงยหน้ามองไปข้างนอก เขากลับทำสีหน้ามึนงงและอึ้งตะลึง
—–