กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 471.4 ไม่เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนหรือ?
เขาเช็ดปาก จากนั้นก็เอาไปเช็ดลงบนหน้าอกของสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างไม่ใส่ใจ “วันหน้าข้าผู้เป็นนายท่านจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเจ้าสามคนเฉกเช่นสตรีอ่อนแอล่างภูเขาเหล่านั้นเด็ดขาด อีกอย่างพวกนางก็ทนรับความรุนแรงอะไรไม่ไหวจริงๆ น่ารังเกียจนักที่พอตายไปแล้วยังไม่กลายเป็นผี ไม่โชคดีเหมือนพวกเจ้า ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็จะได้มีพี่น้องเพิ่มมาอีกหลายคน ที่ศาลเทพภูเขาของนายท่านอย่างข้าจะครึกครื้นเพียงใดกัน?”
สุดท้ายเขาเก็บผ้าเช็ดหน้าที่มอบให้กับผีสาวซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของสตรีโตเต็มวัยผู้นั้นมา แล้วก็เพราะอาศัยสิ่งนี้ เขาถึงสามารถ ‘ตามเบาะแส’ มาดักสตรีเจ้าเล่ห์ที่เขาน้ำลายสออยากครอบครองมานานผู้นั้นได้ ไม่อย่างนั้นหากไปอยู่ที่จวนของนาง ต่อให้โจมตีได้อย่างไม่ง่ายนัก แต่ก็คงได้ไม่คุ้มเสีย ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้อะไรมาเลยด้วยซ้ำ ต้องรู้ว่าตอนนี้เขามีจิตใจทะเยอทะยานอย่างยิ่ง คาดหวังว่าตัวเองจะได้เป็นองค์เทพห้าขุนเขาของแคว้นซูสุ่ย ต่อให้ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของสกุลซ่งต้าหลี ตำแหน่งขององค์เทพห้าขุนเขาในวันหน้าไม่อาจเทียบเท่าอดีตได้ แต่อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า อยู่ในถิ่นของตัวเองอย่างแคว้นซูสุ่ยนี้ อย่าว่าแต่สตรีบ้านป่าหรือผีสาวหน้าตางดงามเลย ต่อให้เป็นแม่ย่าลำคลองที่ในอดีตไม่เคยกล้าคิดถึง แล้วจะแตกต่างจากเทพวารีที่ระดับขั้นสูงกว่าตรงไหน? คิดจะครอบครองก็แค่กระดิกนิ้วเรียกมาเท่านั้น
เฉินผิงอันเติมฟืนเข้าไปในกองไฟเพิ่มอีกเล็กน้อย ต่อให้เขาจะทำอย่างเบามือแค่ไหนก็ยังมีเสียงแว่วมาให้ได้ยินอยู่ดี
เห็นได้ชัดว่าเทพภูเขาท่านนั้นไม่ได้ดูมุทะลุวู่วามอย่างที่แสดงออกภายนอก เขาจึงหันมาจับจ้องบัณฑิตแปลกหน้าที่ท่องเที่ยวเดินทางไกลมาถึงที่นี่ทันควัน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอโทษที พวกเจ้าคุยกันต่อเถอะ”
เทพภูเขาที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นใหม่ของแคว้นซูสุ่ยซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นภูตภูเขาระงับความรู้สึกประหลาดและสงสัยในใจไว้ก่อน ครั้นจึงหันไปยิ้มพูดกับเด็กสาวดวงตารูปผลซิ่งผู้นั้น “เหวยเว่ย เจ้ายอมติดตามข้าแต่โดยดีเถอะ ตกลงไหม? ใช่ข้าว่าจะปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีเสียหน่อย ตำแหน่งฐานะก็มีให้ รับรองว่าจะทำให้เหมือนเทพภูเขาสู่ขอภรรยา ยกเกี้ยวแปดคนหามมาแบกเจ้ากลับภูเขา ถึงขั้นที่ว่าขอแค่เจ้าเปิดปาก ต่อให้ต้องบอกให้เทพอภิบาลเมืองของอำเภอเป็นคนเปิดทาง ให้เทพเจ้าที่มาหามเกี้ยวให้ ข้าก็สามารถทำให้เจ้าได้!”
ผีสาวที่มีนามว่าเหวยเว่ยยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นสูงแล้วแกว่งรองเท้าปักลายบุปผา “เห็นหรือไม่ว่ามันสะอาดแค่ไหน เจ้าลองฉี่แล้วส่องมองตัวเองใหม่ดีไหม?”
ภูตภูเขาจึงผลักสตรีงดงามในอ้อมอกออก เอามือล้วงเข้าไปในกางเกง หัวเราะหึหึกล่าวว่า “ข้าชอบนิสัยอย่างเจ้าเสียจริง ช่วยไม่ได้ คงได้แต่ใช้วิชาอภินิหารของเทพภูเขามาลักพาตัวเจ้าสาวไปทำเรื่องเป็นการเป็นงาน แล้วในอนาคตค่อยจัดงานแต่งอย่างเป็นทางการให้ก็แล้วกัน อย่าได้โทษข้าเลย เจ้ารนหาที่เองแท้ๆ ด้วยนิสัยสมควรถูกฟาดเช่นนี้ของเจ้า ชื่นชอบก็ส่วนชื่นชอบ ถึงเวลาอยู่บนเตียงเข้าจริงๆ หากไม่ขัดเกลาเจ้าให้ดีสักหน่อย วันหน้าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?!”
เหวยเว่ยตบอกกล่าวว่า “โอ้ย ข้ากลัวจะแย่อยู่แล้ว”
ความคิดในหัวของผีสาวร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้างกายนางตีกันอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าว “ข้ายินดีเป็นอนุภรรยาของเจ้า เจ้าปล่อยเจ้านายของข้าไปได้ไหม?”
เหวยเว่ยสีหน้าไม่สบอารมณ์ สะบัดชายแขนเสื้อตบให้ผีสาวตนนี้ปลิวกระเด็นไปกระแทกกำแพง ดูจากแรงและท่าทางที่นางใช้ อีกฝ่ายย่อมลอยทะลุกำแพงออกไปเป็นแน่
ภูตภูเขาร่างกำยำกระตุกมุมปาก กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง แม่น้ำและภูเขาพลันพลิกหมุนอย่างว่องไว
ผีสาวร่างสูงโปร่งเหมือนกระแทกลงบนกำแพงเหล็ก จากนั้นก็ร่วงลงพื้นอย่างแรง ชุดสีสันสดใสงดงามที่เกิดจากการใช้เวทอำพรางตัวบนร่างล่องลอยกลายเป็นผุยผง เศษผงส่วนหนึ่งปลิวสลายหายไป นางขดตัวอยู่ในมุม ใช้มือบดบังเรือนกายงดงามส่วนหนึ่งที่เปิดโล่งเอาไว้
ภูตภูเขาหัวเราะเสียงเย็น “เหวยเว่ย วันนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว ยังไม่ยอมรับชะตากรรมอีกหรือ? คิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้อาวุโสคือคนโง่ที่ยอมให้เจ้าปั่นหัวเยาะเย้ยเหมือนในปีนั้น?! เจ้ารู้หรือไม่ ในอดีตทุกครั้งที่เจ้าเอ่ยเยาะเย้ยข้า ในใจข้าก็เหมือนถูกสตรีอย่างเจ้าฟาดแส้โบยใส่หนึ่งครั้ง! หลังจากนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่า อะไรที่เรียกว่าตีก็เพราะรัก!”
เขายื่นมือออกมากวักหนึ่งครั้ง ในมือก็มีแส้ยาวมีชีวิตชีวาเหมือนเกิดจากการรวมตัวกันของปรอทเงินเข้มข้นเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น และในแส้นั้นยังมีเส้นแสงสีทองที่เล็กบางราวกับเส้นผมอยู่เส้นหนึ่ง ทว่านี่กลับเป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานะเทพภูเขาที่ได้รับการสืบทอดอย่างถูกต้องของเขา
เหวยเว่ยไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงชี้ไปยังบัณฑิตชุดเขียวที่อยู่ด้านหลัง “สัตว์เดรัจฉานสกปรกที่ขนยังร่วงไม่หมดอย่างเจ้าเห็นแล้วหรือยัง นั่นคือคนรักที่ข้าเตรียมจะรับเข้ามุ้ง วันนี้ผีอย่างข้าได้ฆ่าตัวตายเพื่อบูชารักกับบัณฑิตในวัดร้างก็ไม่ขาดทุนแล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่อนุญาตให้เจ้าลากข้าลงน้ำก่อนตายนะ เป็นผีแต่ไร้คุณธรรมแบบนี้ มิน่าเล่าคืนนี้ถึงต้องเจอหายนะนี้”
เหวยเว่ยหัวเราะหยันไม่หยุด ไม่สนใจเจ้าคนน่าสงสารด้านหลังที่ต้องตายอย่างมิต้องสงสัยผู้นั้น
อยู่บนภูเขาลูกนี้ เทพภูเขามีความหมายว่าอย่างไร ไม่ต้องอธิบายก็รู้ได้
ฝ่ามือที่ตบออกไปก่อนหน้านั้นถือว่าเมตตาสาวใช้ที่ขายาวแต่ไร้สมองผู้นั้นมากแล้ว เพื่อสาวใช้คนหนึ่ง จะให้ข้าเหวยเว่ยพูดจาโง่ๆ ทำนองว่ายินดีติดตามเจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้นี้ ขอเพียงให้เขาปล่อยสาวใช้คนหนึ่งไปน่ะหรือ ไม่มีทางเด็ดขาด นางเหวยเว่ยไม่ใช่พระโพธิสัตว์จิตใจดีงามสักหน่อย ส่วนคนหนุ่มด้านหลังที่มาหาที่ตายถึงที่ อยู่ดีไม่ว่าดีก็พาตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางก็ยิ่งไม่มีทางสนใจเขา สมควรแล้วที่เขาต้องมาตายอยู่ด้วยกันที่นี่คืนนี้ ฆ่าตัวตายเพื่อบูชารัก ฆ่าตัวตายเพื่อบูชารักกับผายลมน่ะสิ ข้าผู้อาวุโสมีหน้ามีตามาหลายร้อยปี อยู่ดีๆ จะมอดม้วยไปได้อย่างไร ต่อให้เจ้าสัตว์เดรัจฉานไม่ฆ่าเขา นางก็อยากจะตบเขาให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวอยู่แล้ว ตอนที่เขาถูกเจ้าภูตภูเขานั่นถลกหนังดึงเส้นเอ็นโยนลงกระทะน้ำมันเดือดจะได้ไม่ต้องมาขอบคุณที่นางช่วยให้เขาตายเร็วหน่อย
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ท่านเทพภูเขาท่านนี้ เจ้าได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพภูเขาได้ เพราะใช้เส้นสายของขุนนางบุ๋นในกองทัพม้าเหล็กต้าหลีบางคนที่อยู่เฝ้าพิทักษ์เมือง หรือว่าเป็นขุนนางแคว้นซูสุ่ยที่รับเงินไปแล้วช่วยติดสินบนให้เจ้า?”
ภูตภูเขาหัวเราะเสียงแปร่งหูชวนขนลุก “รอให้เจ้าตายไปแล้ว หากสามารถกลายมาเป็นผีชางได้ ข้าค่อยบอกเจ้าก็แล้วกัน”
เหวยเว่ยหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน “เขาน่ะหรือจะกล้าไปหาคนเถื่อนต้าหลี? คาดว่าทุกวันนี้แค่ได้ยินสองคำว่าต้าหลี ขาที่สามก็อ่อนปวกเปียกแล้วกระมัง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
ภูตภูเขาตวาดกร้าว “เหวยเว่ย! ฝากไว้ก่อนเถอะ ไม่ถึงสิบวัน ข้าผู้อาวุโสจะต้องทำให้เจ้าเลิกนิสัยชอบถูคันฉ่อง (คำเปรียบเปรยสมัยโบราณหมายถึงผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วยกัน ภาษาปัจจุบันก็คือเลสเบี้ยน) ให้จงได้!”
ผีสาวร่างสูงโปร่งที่อยู่ตรงมุมกำแพงและผีสาวหน้าตางดงามต่างก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน
เหวยเว่ยกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย นางเริ่มใคร่ครวญว่าจะทำให้จุดจบจากการใช้ไข่กระทบหินกลายมาเป็นพินาศกันไปทั้งสองฝ่ายได้อย่างไร
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนช้าๆ เอามือปัดฝุ่นบนชุด
พอสมควรแล้ว
โชคไม่เลว ยังมีหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยมารนหาที่ตายถึงที่ด้วย
แต่ดูจากเส้นสีทองที่อยู่ในแส้ยาวเปี่ยมพลังอำนาจก่อนหน้านั้น น่าจะเป็นเพราะร่างทองยังไม่มั่นคง ควันธูปไม่โชติช่วงมากพอ
เฉินผิงอันค้อมตัวไปเปิดหีบหนังสือ
ภูตภูเขาขมวดคิ้ว
เหวยเว่ยเองก็อดไม่ได้ต้องถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าว แล้วถึงได้หันหน้ากลับไปมอง ไม่รู้ว่าเจ้าคนที่ปีนั้นก็สะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นเขาเข้ามาในวัดร้างเช่นเดียวกับตอนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นพยายามจะเอากระบี่ยาวที่เดิมทีวางไว้ในหีบหนังสือมาสะพายไว้ด้านหลัง
พอเห็นสายตาสำรวจตรวจตราของเหวยเว่ย เฉินผิงอันก็ยิ้มตอบว่า “อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง ไม่เคยเห็นมาก่อนหรือ? ขึ้นเขาลงห้วย หากไม่มีสมบัติติดกายเลย จะเป็นไปได้อย่างไร”
เหวยเว่ยขำคำพูดวางโตไร้ยางอายของเจ้าหมอนี่ยิ่งนัก นางที่ยิ้มจนตาหยีพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่า “เคยเห็นๆ เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนมาหลายสิบชิ้นเกือบร้อยชิ้นเลยล่ะ”
ภูตภูเขาพลันวางใจลงได้ หากเป็นผู้ฝึกตนที่มีฝีมือจริงๆ ไหนเลยจะต้องแสร้งทำเป็นเล่นผีหลอกเจ้า วางมาดใหญ่โตข่มขวัญให้คนกลัวด้วยเล่า
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน “สถานที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของลัทธิพุทธแห่งนี้ ไม่เหลือทั้งภิกษุและพระคัมภีร์แล้ว ทว่าบางทีธรรมะอาจยังคงอยู่ ดังนั้นปีศาจจิ้งจอกที่ปีนั้นมีจิตใจดีงามถึงได้รับโชควาสนาที่ไม่เล็ก ได้ติดตาม ‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ออกเดินทางไปทั่วทิศ แล้วพวกเจ้าเล่า?”
มองรอยยิ้มเสียดสีของคนหนุ่มที่สะพายกระบี่
อยู่ดีๆ เหวยเว่ยก็ใจหายอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เฉินผิงอันสะบัดข้อมือหนึ่งที หีบไม้ไผ่หายวับไป ถูกเขาเก็บไปไว้ในวัตถุฟางชุ่น
บิดข้อมืออีกครั้ง ในมือก็มีงอบใบหนึ่งโผล่มา เขาสวมมันลงบนศีรษะ ประคองจับให้เข้าที่
ไม่รู้ว่าเหตุใด ภูตภูเขาที่ถูกรับเข้าสู่ทำเนียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำของแคว้นหนึ่งแล้วกลับรู้สึกว่าสองเข่าปวดปร่าขึ้นมา วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตเหมือนถูกวิชาเซียนสูงสุดข่มกำราบจนมิอาจโคจรได้เลย
เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับปีนั้นที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มภูเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว
หลังจากฝึกวิชาหมัดบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเริ่มเก็บเจตจำนงแห่งจิตวิญญาณไว้ภายในได้แล้ว
แม้จะยังไม่สามารถปล่อยและเก็บได้ดังใจปรารถนา แต่ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่หลั่งไหลออกมาภายนอกโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ไม่อย่างนั้นการเดินทางมาเยือนวัดโบราณครั้งนี้ เฉินผิงอันหรือจะยังได้พบเจอกับเหวยเว่ยและสาวใช้ที่เป็นวัตถุหยินทั้งสอง ป่านนี้พวกมันคงตกใจเผ่นหนีไปนานแล้ว
นาทีถัดมา
ดวงตารูปผลซิ่งที่งดงามของผีสาวเหวยเว่ยพลันเบิกกว้าง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นไปยืนอยู่ตรงจุดที่ห่างจากเทพภูเขาร่างกำยำหนึ่งกระบี่
ระยะห่างหนึ่งกระบี่พอดี
เพราะไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนผู้นั้นชักกระบี่ออกจากฝัก ปลายกระบี่ตวัดขึ้นด้านบน แทงเข้าที่ใต้กรามของภูตภูเขาตนนั้น แล้วตวัดอีกฝ่ายยกลอยขึ้นจากพื้นดิน
ร่างทองของเทพภูเขาเริ่มเกิดรอยร้าวปริแตกลามไปจำนวนนับไม่ถ้วน
เฉินผิงอันแหงนหน้าขึ้นน้อยๆ “ปีนั้นสังหารปีศาจปลาไหลในลำคลองที่สร้างพิบัติภัยให้แก่คนในพื้นที่ไปตัวหนึ่ง ถึงได้มีเวรกรรมตามติดตัว ถ้าเช่นนั้นหากฆ่าองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำไปองค์หนึ่ง เวรกรรมนั้นก็คงมีแต่จะมากขึ้น ไม่มีน้อยลง”
เหวยเว่ยตระหนกลนทำอะไรไม่ถูก
รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินเงียบสงัด มีเพียงเสียงของมือกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นที่ดังขึ้นเนิบช้า
“ไม่เป็นไร ผลกรรมครั้งนี้ ข้ารับไว้แล้ว”
……
ผีสาวเหวยเว่ยถึงขั้นไม่รู้เลยว่าคนผู้นั้นจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผ่านไปนานมากกว่าสติจะกลับคืนเข้าร่างของนาง สมองพอจะแล่นได้แล้ว แต่กลับต้องเหม่อลอยอีกครั้ง ด้วยไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงไม่ฆ่าตน
แน่นอนว่าถึงท้ายที่สุดแล้วนางก็ยังไม่รู้ว่ากระบี่เล่มนั้นใช่อาวุธกึ่งเซียนจริงๆ หรือไม่
ในวัดร้าง กลับเป็นผีสาวร่างอวบอิ่มที่เริ่มคุกเข่าโขกหัวร้องอ้อนวอน
ส่วนผีสาวร่างสูงโปร่งก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเหวยเว่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ถามเสียงสั่นว่า “นายหญิงตกอยู่ในภวังค์ไม่คืนสติเสียที เซียนซือท่านนั้นเรียกท่าน ท่านก็ไม่ขานรับ เขาจึงให้บ่าวนำความมาบอกแก่นายหญิงว่า วันหน้าพวกเราห้ามมาที่วัดร้างแห่งนี้อีก หากสามารถสะสมบุญในปรโลกได้มากหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร บอกว่าไม่แน่พระโพธิสัตว์ที่อยู่ในวัดแห่งนี้อาจจะกำลังมองดูอยู่ก็เป็นได้”
เหวยเว่ยเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสภาพการณ์ตัวเอง นางลองฝืนโคจรคาถาก็เหมือนคนที่ฝืนชักเท้าสองข้างออกมาจากปลักโคลนได้สำเร็จ สติของนางจึงกลับมาแจ่มชัดดังเดิม นางหอบหายใจเฮือกใหญ่ เป็นผีสาว แต่กลับเหงื่อแตกท่วมร่าง ต้องรู้ว่าทั้งเสื้อผ้าและรองเท้าปักลายบุปผาของนางล้วนไม่ได้เกิดจากเวทอำพรางตาชั้นต่ำเหมือนสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย
เหวยเว่ยชำเลืองตามองพื้นว่างเปล่าที่เดิมทีควรมีร่างของภูตภูเขานอนอยู่ กลับเห็นว่าบนพื้นนั้นสะอาดสะอ้าน ไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว จึงขมวดคิ้วถาม “คนผู้นั้นล่ะ?”
ผีสาวร่างสูงโปร่งส่ายหน้า “พูดจบก็จากไปทันที”
เหวยเว่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจะเตะให้นังสาวใช้แพศยาที่กำลังโขกหัวผู้นั้นสลายกลายเป็นผุยผง เพียงแต่จู่ๆ ก็ดึงรองเท้าปักลายบุปผากลับมา พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “จะเว้นชีวิตเจ้าสักครั้ง! กลับจวนไปรับโทษ!”
นางโบกมือเป็นวงกว้าง “ไป รีบไปซะ!”
เพียงแต่ว่าก่อนจะออกมาจากวัดร้างเก่าโทรม นางที่เดินมาถึงธรณีประตูกลับหมุนตัวกลับ ยกสองมือขึ้นพนม ผีอำมหิตชั่วร้ายที่ไม่เคยเชื่อในพุทธศาสนาตนนี้กลับก้มหน้าลงพึมพำว่า “พระโพธิสัตว์ปกป้องคุ้มครอง พระโพธิสัตว์ปกป้องคุ้มครอง…”
สุดท้ายเหวยเว่ยชำเลืองตามองกองไฟที่ยังส่องสว่างด้วยไฟยังไม่มอดดับกองนั้น
แล้วพวกนางก็จากไป กลับไปที่จวนของตัวเอง
หลังจากผีสาวสามตนอย่างเหวยเว่ยจากไป
ผ่านไปนานเท่าไหร่ เงาร่างชุดเขียวก็กลับมาที่วัดโบราณอีกครั้ง ปลดงอบลง ยังคงนั่งลงตรงข้ามกับกองไฟ บางครั้งก็เพิ่มกิ่งไม้เข้าไป เหมือนคนกำลังนั่งเฝ้าคืน
ระหว่างนั้นเขาลุกขึ้นยืนหนึ่งครั้ง จากนั้นมายืนอยู่ในมุมหนึ่งของวัด หลับตาหลง ใช้ท่าจับกระบี่หลอกๆ โบกตวัดกระบี่ไปด้านหน้าเบาๆ หนึ่งที
ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว
เขาเดินออกจากประตูใหญ่ของวัด มาหยุดอยู่ที่หน้าผา แล้วฝึกเดินนิ่งช้าๆ
หลังออกหมัดเสร็จก็ยืนนิ่ง หันหน้ากลับไปคลี่ยิ้ม
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา แล้วทอดสายตามองไปไกล
ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ ทัศนียภาพงดงามดุจภาพวาด
เชื่อว่าฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าจะต้องมีดอกท้อผลิบานแดงสะพรั่ง ดอกหลีขาวโพลน ดอกน้ำมันเหลืองอร่ามสดใสอีกครั้ง
—–