กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 472.1 ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่
ริมฝั่งแม่น้ำเถี่ยฝู อาจารย์ผู้เฒ่าหลายท่านที่สวมกวานสูง สวมเสื้อชายแขนกว้างเดินนำอยู่ด้านหน้า ด้านหลังคือชายหนุ่มหญิงสาวที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อ เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ
ขบวนนี้มองดูคล้ายงูเขียวตัวยาวตัวหนึ่ง แต่ละคนกำลังท่องบท ‘เชวี่ยนเสวี๋ยเพียน’ เสียงดัง
น้ำในแม่น้ำไหลริน เสียงท่องตำราดังกังวาน
ในขบวนนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสีแดง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าใบเล็กสีเงินที่บรรจุน้ำใสไว้จนเต็ม ด้านหลังของนางยังสะพายหีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กๆ อีกหนึ่งใบ หลังจากผ่านเมืองหงจู๋และภูเขาฉีตุนมา นางเคยปรึกษากับเจ้าขุนเขาเหมาเป็นการส่วนตัวว่าอยากเดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียนเพียงลำพัง จะได้ตัดสินใจได้เองว่าตรงไหนควรจะเดินเร็วหน่อย ตรงไหนควรจะเดินช้าหน่อย เพียงแต่อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ตกลง บอกว่าขึ้นเขาลงห้วย ไม่ใช่หลักของการเรียนรู้ ต้องอยู่รวมกันเป็นหมู่ขณะ
ระหว่างนี้ได้เดินทางผ่านศาลเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝู หยางฮวาเทพวารีที่ระดับขั้นสูงสุดของต้าหลี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แทบไม่เคยปรากฎตัว กลับมาปรากฏกายให้อาจารย์และลูกศิษย์ของสำนักศึกษากลุ่มนี้ได้เห็นอย่างที่หาได้ยาก นางกอดกระบี่ยาวห้อยพู่ทองเล่มหนึ่งไว้ในอ้อมอก มองส่งเมล็ดพันธ์บัณฑิตของทั้งต้าสุยและต้าหลีกลุ่มนี้จากไป ตามหลักแล้ว ตอนนี้สำนักศึกษาซานหยาถูกถอดยศหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาไปแล้ว ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำอันดับต้นๆ ของต้าหลี หยางฮวาไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทนี้ก็ได้
แต่สำนักศึกษาซานหยาที่ย้ายไปอยู่ภูเขาตงหัวของเมืองหลวงต้าสุยเคยเป็นอดีตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของบัณฑิตต้าหลีทุกคน และทุกวันนี้เจ้าขุนเขาเหมาเสี่ยวตงก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองกรมอย่างกรมพิธีการและกรมกลาโหมต่างก็ให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง
และตอนที่หยางฮวายังเป็นสาวใช้ถือกระบี่อยู่ข้างกายเหนียงเนียงในวังท่านนั้น นางก็เลื่อมใสสำนักศึกษาซานหยาที่ยังอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีมานานแล้ว และยังเคยติดตามเหนียงเนียงเดินทางไปสำนักศึกษา เคยได้พบหน้าอาจารย์ผู้เฒ่าเหมาที่เรือนกายสูงใหญ่คนนั้นมานานแล้ว ดังนั้นวันนี้นางถึงได้ปรากฏตัว
ตรงน้ำตกที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำเถี่ยฝูกับลำคลองหลงซวี มีคนมารออยู่นานแล้ว
เจ้าขุนเขาทั้งหลายของสำนักศึกษาหลินลู่แห่งภูเขาพีอวิ๋น และยังมีเจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอหยวน ผู้ตรวจการเฉา ต่างก็อยู่ในกลุ่มคนนี้ด้วย
และยังมีผู้เฒ่าสกุลหลี่คนหนึ่ง เขาก็คือเจ้าประมุขสกุลหลี่ที่ถนนฝูลวี่ ท่านปู่ของสามพี่น้องหลี่ซีเซิ่ง หลี่เป่าเจินและหลี่เป่าผิง ทุกวันนี้ผู้เฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดได้กลายเป็นผู้ถวายงานลำดับต้นของต้าหลีแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ป่าวประกาศให้ภายนอกรับรู้เท่านั้น
ปีนั้นสกุลซ่งต้าหลีก็เคยมีบุญคุณพิเศษกับสี่แซ่ใหญ่สิบสกุลที่ได้ครอบครองเตาเผามังกรจำนวนมากโดยที่ไม่มีใครรู้ สกุลซ่งเคยลงนามสัญญาลับกับอริยะว่า สกุลซ่งอนุญาตให้แต่ละครอบครัว ‘กักเก็บ’ เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนหนึ่งถึงสามคนเอาไว้ได้ อนุญาตให้พวกเขาแหกกฎฝึกตนอยู่ภายใต้เปลือกตาของอริยะแต่ละรุ่นที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ อีกทั้งยังสามารถมองเมินตราผนึกวิชาลับและการสยบกำราบตามธรรมชาติของถ้ำสวรรค์หลีจูได้อีกด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากฝึกตนแล้วก็ไม่ต่างจากการวาดกรงขังให้กับตัวเอง พวกเขาจะไม่สามารถออกจากขอบเขตของถ้ำสวรรค์ได้โดยพลการ แต่ทุกๆ ร้อยปีสกุลซ่งต้าหลีจะมีรายนามที่กำหนดมาแน่นอนแล้วสามชื่อซึ่งจะถูกพาออกไปจากถ้ำสวรรค์อย่างเงียบเชียบได้ ส่วนเหตุใดทั้งๆ ที่ปีนั้นเจ้าประมุขสกุลหลี่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองแล้ว แต่กลับไม่ถูกสกุลซ่งต้าหลีพาออกไปเสียที คิดดูแล้วความลับเรื่องนี้คงเกี่ยวพันเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรผู้เฒ่าสกุลหลี่ก็เป็นเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่ง เขาจึงมองเห็นหลานสาวที่รักมาตั้งแต่ไกล ทันใดนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าอย่างไรก็ปกปิดไม่อยู่
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เขาถึงได้รู้สึกว่าหลานสาวของตนยังคงไม่เข้าพวก ชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพังเหมือนอย่างในอดีต แต่ก็คล้ายว่าจะมีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ผู้เฒ่าพลันรู้สึกปลาบปลื้มใจ แต่ในขณะเดียวกันก็อดผิดหวังไม่ได้
ถึงอย่างไรเป่าผิงน้อยก็โตแล้ว ไปแอบเติบโตอยู่ภายนอกทั้งอย่างนี้ จริงๆ เลย ไม่คิดจะบอกท่านปู่ที่รักและเอ็นดูนางสักคำ นางก็เติบโตขึ้นมาทั้งอย่างนี้แล้ว
คำว่าสนิทข้ามรุ่น (หมายถึงคนแก่ที่เลี้ยงหลานมาด้วยตัวเอง จึงจะรักและเอ็นดูหลานมากกว่าลูก) นั้น ในตระกูลหลี่ ชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักที่ผู้เฒ่ามีต่อหลานสาวอย่างหลี่เป่าผิงที่อายุน้อยที่สุดที่ควรเรียกว่าต่อให้เอาความรักที่มีต่อหลานชายสองคนมารวมกันแล้วก็ยังมากกว่า ประเด็นสำคัญคือต่อให้ระหว่างหลานชายคนโตอย่างหลี่ซีเซิ่งกับหลานชายคนรองอย่างหลี่เป่าเจินที่เนื่องจากมารดาของพวกเขาลำเอียงชัดเจนเกินไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงคล้ายจะค่อนข้างคลุมเครือในสายตาของข้ารับใช้ ทว่าความรักและเอ็นดูที่ทั้งสองมีต่อน้องสาวกลับไม่เคยกักเก็บไว้
สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่ยังคงเล็กกะทัดรัดใบเก่า หลี่เป่าผิงเดินอยู่ริมตลิ่งลำคลองหลงซวีที่น้ำตื้น แต่เสียงน้ำกลับดังยิ่งกว่าน้ำในแม่น้ำเพียงลำพัง
อันที่จริงในขบวนห่างไปไม่ไกล หลี่ไหวที่อยู่กับสหายสองคน และยังมีหลินโส่วอีที่กำลังพูดคุยอยู่กับอาจารย์คนหนึ่งของสำนักศึกษาต่างก็สะพายหีบไม้ไผ่แบบเดียวกันนี้
หีบไม้ไผ่ทั้งสามใบล้วนมาจากฝีมือของคนคนเดียวกัน ไม่เหมือนกันสิถึงจะแปลก เพียงแต่ว่าใบของหลี่เป่าผิงนั้นทำขึ้นก่อนใคร วัสดุจึงเป็นเพียงไม้ไผ่เขียวธรรมดาที่หาได้ง่ายที่สุด ส่วนของหลินโส่วอีกับของหลี่ไหวนั้น เป็นเพราะผ่านภูเขาฉีตุนมาแล้ว เฉินผิงอันจึงใช้ไม้ไผ่เฟิ่นหย่งของเว่ยป้อมาทำ แม้จะผ่านไปนานหลายปีก็ยังคงเป็นสีเขียวปลั่งราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้อยู่เหมือนเดิม
ส่วนอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยที่เพิ่งจะได้พบกับเฉินผิงอันครั้งแรกที่ด่านของต้าหลีนั้น ไม่ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกันนี้
เว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีไม่ได้ปรากฏตัว อริยะหร่วนฉงก็ไม่ได้เผยกายเช่นกัน
รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาคนหนึ่งที่เคยตบโต๊ะใส่เหมาเสี่ยวตง จากนั้นก็ถูกชุยตงซานพาไปพูดเปิดใจ เวลานี้ขมวดคิ้วน้อยๆ ต้าหลีทำเช่นนี้ สมเหตุแต่กลับไม่สมผล
คนสองคนที่มีน้ำหนักมากที่สุดอย่างแท้จริงกลับเมินข้ามสำนักศึกษาซานหยาเช่นนี้
ประเด็นสำคัญก็คือจะสำนักหลินลู่ก็ดี หรือเจ้าเมืองอู๋ยวนก็ช่าง ดูเหมือนว่าจะไม่มีท่าทีจะอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดเจน
ในใจของรองเจ้าขุนเขาที่มีชาติกำเนิดมาจากต้าสุยผู้นี้อดทอดถอนใจอยู่ในใจไม่ได้ ถึงอย่างไรแล้วยังคงเป็นเพราะกองกำลังของสองฝ่ายที่ฝ่ายหนึ่งด้อยลง ฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งขึ้น หวนนึกถึงในอดีต บนอาณาเขตของต้าสุยเราและราชวงศ์สกุลหลู มีบัณฑิตต้าหลีมากมายเท่าไหร่ที่มาเยือนด้วยความเคารพเลื่อมใส เพื่อที่จะได้มาแต่งกลอนร่ายบทกวีด้วยความรู้สึกยินดีและมีเกียรติกับปัญญาชนของสองแคว้น?
กลุ่มคนหยุดเดิน เหล่าอาจารย์ของสำนักศึกษาและคนของต้าหลีต่างก็ทักทายปราศรัยกัน
หลี่เป่าผิงเห็นท่านปู่ของตัวเอง นางถึงได้มีท่าทีเหมือนตอนยังเล็ก ชักเท้าวิ่งตะบึงไปหาจนหีบไม้ไผ่กับน้ำเต้าใบเล็กสีเงินแกว่งกระเทือนเบาๆ
ผู้เฒ่าตะโกนบอกด้วยรอยยิ้ม “เป่าผิงน้อย ช้าๆ หน่อย”
หลี่เป่าผิงหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่าอย่างกะทันหัน นางหัวเราะ เรียกเสียงดังว่าท่านปู่ ก่อนจะคลี่ยิ้มเจิดจ้า
ผู้เฒ่าอดบ่นไม่ได้ “โตเป็นสาวแล้ว ไม่เข้าท่าเลย”
ห่างออกไปไกล หม่าเหลียนที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงของต้าสุยเห็นว่าในที่สุดแม่นางคนนั้นก็ยิ้มออกแล้ว เขาพลันโล่งอก อารมณ์ก็ดีตามไปด้วย
หลิวกวานมองเห็นภาพนี้แล้วก็ส่ายหน้าไม่หยุด เจ้าห่านทึ่มอย่างหม่าเหลียนผู้นี้นับว่าไร้ทางเยียวยาแล้ว ตอนอยู่สำนักศึกษาก็เป็นเช่นนี้ พอไม่เห็นเงาร่างคนผู้นั้นสองสามวันก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอเจอโดยบังเอิญระหว่างทางกลับไม่เคยกล้าทักทาย หลิวกวานคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เจ้าหม่าเหลียนเป็นทายาทตระกูลชนชั้นสูงอันดับหนึ่งของต้าสุย คนแต่ละรุ่นในครอบครัวล้วนเป็นขุนนาง เหตุใดพอถึงเวลาเข้าจริงๆ กลับไม่กล้าแม้แต่จะชอบแม่นางคนหนึ่ง?
หลี่ไหวรู้เรื่องวงในครั้งนี้ ก่อนหน้านั้นทางสำนักศึกษาได้รับจดหมายฉบับหนึ่งที่เฉินผิงอันส่งมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียน หลี่เป่าผิงจึงคิดจะลาหยุดเพื่อกลับบ้านเกิด เพียงแต่ว่าตอนนั้นอาจารย์ของสำนักศึกษาไม่อนุญาต และในขณะที่หลี่เป่าผิงเตรียมจะปีนกำแพงหนีออกไปนั้นเอง จู่ๆ ก็มีข่าวหนึ่งแพร่ออกมาว่าเจ้าขุนเขาเหมาจะเป็นผู้นำทางพาลูกศิษย์ส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาเดินทางไปยังภูเขาพีอวิ๋นของต้าหลี หาประสบการณ์การท่องเที่ยวไประหว่างทาง และจากนั้นก็จะไปแลกเปลี่ยนความรู้กับทางสำนักศึกษาหลินลู่ นอกจากนี้ยังจะได้ร่วมชมเหตุการณ์หายากที่องค์เทพนับร้อยนับพันจับมือกันมาเยี่ยมเยือนขุนเขายามราตรีด้วย
นี่ต้องโทษตัวเป่าผิงเองที่บอกว่านางอยากจะมอบความประหลาดใจให้กับอาจารย์อาน้อยของนาง ก่อนหน้านี้จึงไม่ยอมบอกแก่ทางภูเขาลั่วพั่วว่าพวกเขาสามารถกลับบ้านเกิดได้แล้ว
ผลคือเดินทางมาได้ครึ่งทาง ก็ไม่รู้ว่าหลี่เป่าผิงไปได้ข่าวมาจากไหน อาจจะได้ข่าวจากจดหมายจากทางบ้านหรืออะไรก็ตาม สรุปก็คือนางเริ่มไม่มีชีวิตชีวา ยิ่งนานวันก็ยิ่งพูดน้อยเงียบขรึม กลับคืนสู่สภาพเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่นางเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษา ทุกวันนี้เนื่องจากหลี่เป่าผิงอ่านหนังสือของสำนักศึกษาต้าสุยมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็อ่านได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ จำนวนครั้งที่นางขอความรู้จากคนอื่นและคำถามที่นางถามออกไปกลับยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ พวกอาจารย์ของสำนักศึกษาที่ก่อนหน้านั้นจะต้องถูกคำถามของนางทำให้อึ้งงันถึงขั้นรู้สึกเงียบเหงา พอไม่มีความลำบากใจเช่นนั้น พวกเขากลับรู้สึกไม่คุ้นชินขึ้นมาเสียนี่ ทำให้อดคิดถึงแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ชอบคำถามประหลาดกับพวกเขาด้วยสีหน้าจริงจังไม่ได้
สำนักศึกษาซานหยาจำเป็นต้องไปที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นก่อน ถึงจะมีเวลาอิสระให้ทุกคนสองวัน แล้วจากนั้นค่อยไปรวมตัวกันที่ภูเขาหลินลู่อีกครั้งเพื่อร่วมชมงานเลี้ยงท่องราตรีแห่งภูเขาสายน้ำที่ขุนเขาเหนือของต้าหลีจัดขึ้น
คนทั้งกลุ่มเดินทะลุผ่านเมืองเล็กกันไปอย่างเอิกเกริก
ผู้เฒ่าสกุลหลี่ไม่ได้ไปที่บ้านบรรพบุรุษบนถนนฝูลวี่ แต่คิดจะขึ้นเขาไปพร้อมกับเป่าผิงน้อย แน่นอนว่าในฐานะผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งและผู้ถวายงานลำดับต้นของต้าหลี อีกทั้งความรู้ด้านลัทธิขงจื๊อของเขาเองก็ลึกซึ้ง ผู้เฒ่าจึงไม่ได้เดินอยู่ข้างกายหลี่เป่าผิง เพราะนั่นมีแต่จะยิ่งทำให้หลานสาวห่างเหินกับเพื่อนร่วมเรียนจากต้าสุยมากขึ้น
และในขณะที่คนของสำนักศึกษาต้าสุยเพิ่งจะออกไปจากเมืองเล็ก แล้วต้องผ่านภูเขาเจินจู เด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านคนหนึ่งที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ตรงเอวห้อยทั้งดาบและกระบี่ ข้างกายมีสุนัขสีเหลืองท่าทางปราดเปรียวตัวหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงไปพร้อมกับนาง นางตัวเตี้ย มองไม่เห็นชุดสีแดงที่อยู่ท่ามกลางคณะนั้น จึงวิ่งขึ้นไปบนภูเขาของอาจารย์ตนเอง ถึงได้มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย ครั้งจึงโบกมือแรงๆ ตะโกนสุดเสียงเต็มพลัง “พี่หญิงเป่าผิง! ข้าอยู่ตรงนี้ ตรงนี้!”
หลี่เป่าผิงหันขวับกลับไป มองเห็นเงาร่างของเผยเฉียนที่กำลังกระโดดเหยงๆ นางจึงรีบออกจากกลุ่ม วิ่งไปทางภูเขาลูกเล็กนั่นทันที
หลี่ไหวอารมณ์ดีโดยพลัน หยุดเดินไปข้างหน้าต่อ รั้งอยู่ท้ายขบวนสุด สุดท้ายตะโกนเสียงดังว่า “เผยเฉียน! ข้าล่ะ ข้าล่ะ?”
เผยเฉียนกลอกตามองบน ไม่ได้สนใจเขา
หลิวกวานกับหม่าเหลียนหัวเราะฮ่าๆ อย่างสมน้ำหน้าหลี่ไหว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เผยเฉียนคอยเขียนจดหมายส่งไปที่สำนักศึกษาต้าสุยบ่อยๆ บางครั้งในจดหมายก็พูดถึงหม่าเหลียนกับหลิวกวานที่เป็นทหารม้าทัพหน้าในใจของนาง ถึงอย่างไรนางก็นัดหมายกับหลี่ไหวไว้แล้วว่าวันหน้าจะท่องยุทธภพไปด้วยกัน ช่วยกันขุดหาสมบัติ แล้วแบ่งกันคนละครึ่ง แต่หากข้างกายไม่มีลูกสมุนคอยโบกธงร้องให้กำลังใจก็คงไม่อาจโอ้อวดสถานะของนางได้ หม่าเหลียนค่อนข้างโง่ แต่ก็จงรักภักดี หลิวกวานฉลาด พอจะเป็นกุนซือหัวสุนัขได้
หลี่เป่าผิงวิ่งไปทางภูเขาเจินจู เผยเฉียนวิ่งลงมาจากภูเขา คนทั้งสองจึงมาพบกันที่ตีนเขา
หลี่เป่าผิงยื่นมือไปวางบนศีรษะเผยเฉียน ทำมือวัดความสูง แล้วถามว่า “เผยเฉียน ทำไมเจ้าตัวไม่สูงเลยเล่า?”
เผยเฉียนเหมือนถูกฟ้าผ่า อารมณ์บูดทันที
พี่หญิงเป่าผิงไม่รู้จักพูดเอาเสียเลย ใครเขาเปิดปากก็พูดแทงใจดำคนอื่นแบบนี้กันบ้าง
หลี่เป่าผิงพลันเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ปณิธานไม่ได้อยู่ที่ส่วนสูง”
เผยเฉียนอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย “ใช่ๆๆ ปณิธานของข้าสูงส่งยาวไกล คนทั้งภูเขาลั่วพั่วต่างก็รับรู้ ขนาดอาจารย์ยังยอมรับ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็หันหน้าไปชำเลืองตามองหมาพันธ์พื้นบ้านที่นอนหมอบอยู่ห่างไปไม่ไกล
ฝ่ายหลังหูลู่หางตก ไม่กล้ามองประสานสายตากับเจ้าคนที่ถือไม้เท้าเดินป่าผู้นี้
พูดถึงอาจารย์ เผยเฉียนก็เอ่ยปลอบใจว่า “พี่หญิงเป่าผิง ไม่ต้องเสียใจนะ อาจารย์ของข้าไม่รู้ว่าพวกท่านจะมา เขาถึงได้ไปท่องยุทธภพเพียงลำพังแล้ว อย่าได้เสียใจเด็ดขาดเลย วันหน้าเมื่อข้าได้เจออาจารย์ ข้าจะช่วยท่านด่าเขา…อืม ตำหนิเขาสักสองสาม…สักคำก็แล้วกัน”
หลี่เป่าผิงที่สูงกว่าเผยเฉียนเกือบหนึ่งศีรษะยิ้มถาม “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่เมืองเล็ก ไม่ได้ฝึกวิชากระบี่มารคลั่งนั่นอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วหรอกหรือ?”
เผยเฉียนยืดอก เขย่งปลายเท้า “พี่หญิงเป่าผิงไม่รู้อะไร ตอนนี้ข้าช่วยดูแลกิจการของร้านทั้งสองในเมืองเล็กให้แทนอาจารย์ สองร้านนั้นใหญ่มากๆ เลยล่ะ!”
หลี่เป่าผิงทำหน้าตะลึงงัน “เจ้าร้ายกาจขนาดนี้แล้วหรือ?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “หากพี่หญิงเป่าผิงไม่เชื่อ ข้าสามารถพาท่านไปตรอกฉีหลงตอนนี้ได้เลย! กลอนคู่ ภาพเทพทวารบาล ตัวอักษรฝู ตัวอักษรชุนของที่นั่น ล้วนเป็นข้าที่แปะด้วยมือตัวเอง”
หลี่เป่าผิงอืมรับหนึ่งคำแล้วเอ่ยชมว่า “ไม่เลว ตัวไม่สูง แต่สามารถแบ่งเบาภาระให้อาจารย์อาน้อยได้แล้ว”
เผยเฉียนหัวเราะปากกว้าง พี่หญิงเป่าผิงไม่ใช่จะชมใครง่ายๆ หรอกนะ
หลี่เป่าผิงหันกลับไปมองขบวนเดินทางแล้วพูดกับเผยเฉียนว่า “ข้าจะต้องไปที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นเสียก่อน หากเข้าที่เข้าทางแล้วจะลงจากภูเขามาเล่นกับเจ้า”
เผยเฉียนมองพี่หญิงเป่าผิงที่ตัวสูง ใบหน้าผอมซูบลงแล้วก็คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ แม่หนูน้อยที่เมื่อครู่ยังมีแต่ความปิติยินดีพลันร้องไห้โฮออกมา นางก้มหน้าลง ใช้หลังมือเช็ดน้ำตา พูดสะอึกสะอื้นว่า “พี่หญิงเป่าผิง อาจารย์กลับบ้านมาคราวนี้ผอมมากเลย! ผอมกว่าท่านเสียอีก ผอมจนข้าแทบจะจำไม่ได้ อาจารย์ไม่ได้พูดอะไร แต่ข้ารู้ว่าสามปีที่อาจารย์อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนต้องไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายแม้แต่น้อย พี่หญิงเป่าผิง ท่านเรียนหนังสือมามาก ความสามารถก็เยอะ ทั้งยังกล้าหาญ แถมอาจารย์ยังชอบท่านขนาดนั้น ทำไมหลายปีมานี้ถึงไม่ไปหาอาจารย์บ้าง หากอาจารย์ได้เห็นท่านต้องดีใจยิ่งกว่าได้เห็นข้าแน่…ไม่แน่ว่าอาจจะไม่รู้สึกเหนื่อยขนาดนั้นอีก”
—–