กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 472.4 ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่
บนใบหน้าแก่ชราที่ยับย่นของหยางเหล่าโถวปรากฏเป็นรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งอย่างที่หาได้ยาก ทว่าปากกลับไม่ได้เอ่ยคำพูดดีๆ อะไรออกมา “ทิ้งยาสูบเอาไว้ ส่วนคนไสหัวไป เจ้าลูกกระต่าย อายุยังไม่มาก แต่ไม่ยอมสวมกางเกงเปิดก้นแล้วหรือ? ไม่กลัวว่าเวลาขี้เยี่ยวจะลำบากหรือไร?”
หลี่ไหววิ่งตุปัดตุเป๋ไปอยู่ด้านหลังของผู้เฒ่า แล้วเงื้อฝ่ามือฟาดลงบนท้ายทอยของหยางเหล่าโถว “ปากสุนัขไม่งอกงาช้าง แน่จริงก็พูดจาเหลวไหลชวนให้ฟ้าผ่าพวกนี้ต่อหน้าท่านแม่ของข้าสิ? อยากโดนซ้อมหรือไง?”
หยางเหล่าโถวกลับไม่โกรธ เพียงแค่ยัดยาสูบลงกระบอกอย่างคล่องแคล่วแล้วเริ่มพ่นควันโขมง แต่จากนั้นสีหน้าของเขาก็มืดทะมึน ถ่มน้ำลายดังเพ้ย ด่าว่า “กลับไปเมื่อไหร่ไปทุบป้ายของร้านนั้นทิ้งเลย ของห่วยแตกอะไรอย่างนี้ ไม่คู่ควรกับราคาเลยสักนิด”
หลี่ไหวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าไม่กล้าหรอก สมบัติพิทักษ์ร้านราคาแปดเฉียนหนึ่งตำลึงแบบนั้น ข้าซื้อไม่ไหว ยังวางอยู่ในร้านนั่นแหละ ข้าเองก็อยากซื้อ แต่เขาไม่ขายนี่นา ข้าก็เลยพยายามอย่างสุดความสามารถ ซื้อไอ้ที่ถูกกว่ามาให้เจ้า ของขวัญเบาแต่น้ำใจหนักอย่างไรเล่า พกยาสูบพวกนี้มา ข้าต้องเดินทางมาไกลแค่ไหน? ตาเฒ่าหยางที่ชอบอยู่ในโปงผ้าห่มไม่ขยับตัวอย่างเจ้า ไหนเลยจะรู้ว่าพันภูเขาหมื่นแม่น้ำนั้นยาวไกลเท่าไหร่กันแน่? ตาเฒ่าหยาง ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้าจริงๆ นะ แต่เจ้าควรฉวยโอกาสตอนที่ยังพอมีเรี่ยวแรงออกไปเดินเที่ยวข้างนอกเสียบ้าง วันๆ เอาแต่อุดอู้อยู่ในนี้ หากวันใดออกไปนอกบ้านแล้วเห็นหญิงชราที่ถูกใจขึ้นมา นั่นก็เยี่ยมไปเลย ฟืนแห้งไฟแรง ข้าคงจะได้ดื่มเหล้ามงคลจากเจ้าแล้วสินะ?”
หยางเหล่าโถวชำเลืองตามองหลี่ไหว กำลังจะเปิดปากด่าคน
หลี่ไหวกลับใช้สองมืออุดหู โคลงศีรษะพูดว่า “ตะพาบเฒ่าหยางเหล่าชอบท่องคัมภีร์ นายท่านใหญ่หลี่ไหวไม่ฟังๆ”
ภาพนี้ทำเอาเจิ้งต้าเฟิงที่มองดูอยู่หนังตาและมุมปากกระตุกสั่น
หลายปีมากแล้วจริงๆ ที่ไม่ได้ยินเสียงด่าทอของพี่สะใภ้และไม่ได้เห็นหลี่ไหวเดินฉี่ไปทั่ว
ซูเตี้ยนและสือหลิงซานก็ยิ่งใจสั่น เด็กหนุ่มยังกลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่าทางแข็งแรงมีชีวิตชีวาผู้นี้เป็นเทพเจ้าจากฝ่ายไหนกันแน่
ถึงอย่างไรตอนนี้สือหลิงซานก็รู้เพียงว่าในเมืองเล็ก ตัวเองมีเพียงศิษย์พี่ที่เป็นชายโสดขึ้นคานอย่างเจิ้งต้าเฟิงคนเดียว ส่วนหลี่เอ้อร์นั้น แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทว่าเด็กหนุ่มชุดลัทธิขงจื๊อที่ไม่รู้ความเป็นมาผู้นี้ก็ช่างกล้าพูดเสียจริง
สือหลิงซานรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ตนคงไม่มีความกล้านี้
นี่ยังเป็นเพราะสือหลิงซานอายุน้อย ไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์ของร้านยาในปีนั้นมาก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อมากกว่านี้
ปีนั้นตอนที่หลี่เอ้อร์ยังเป็นลูกจ้างอยู่ในร้านยา หลี่ไหวก็ชอบมาเล่นสนุกอย่างบ้าคลั่งอยู่ที่นี่ พอเจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจก็งอแงลงไปชักดิ้นชักงอ จนร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน พอกลับบ้านไป ขอแค่ท่านแม่ของเขาเห็นเข้าก็จะต้องเจ็บปวดใจอย่างถึงที่สุด ทั้งเสียดายเสื้อผ้า แล้วก็ยิ่งสงสารบุตรชายที่ตัวสกปรกมอมแมม จึงมักจะพาบุตรชายมาที่นี่แล้วร้องด่า ด่าฟ้าด่าดิน ไม่มีอะไรที่นางด่าไม่ได้ นี่ยังไม่นับเป็นอะไร ตอนที่หลี่ไหวยังสวมกางเกงเปิดก้น ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หากกลั้นฉี่ไม่อยู่ก็จะเดินฉี่ไปทั่วเรือนด้านหลังของหยางเหล่าโถว
แม้แต่น้ำเต้าตันที่ต่อให้เอาไม้แปดท่อนตีก้นก็ยังไม่ยอมผายลม (เปรียบเปรยถึงคนที่เงียบขรึม พูดไม่เก่ง) อย่างหลี่เอ้อร์ก็ยังรู้สึกผิดต่ออาจารย์ ต้องเปิดปากขอโทษอาจารย์ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เพียงแต่ว่าหยางเหล่าโถวไม่เคยถือสาก็เท่านั้น หลี่เอ้อร์จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย อย่างมากสุดหยางเหล่าโถวก็จะหยิบกระบอกยาสูบมาตีเจ้าลูกกระต่าย เจ้าตะพาบน้อยผู้นั้นทีหนึ่ง หลี่ไหวเองก็แปลก หากสะดุดล้มหรือทำให้ตัวเองเจ็บตัวจะต้องร้องไห้จนแผ่นดินแตกแยกภูเขาสะเทือน แต่หากถูกหยางเหล่าโถวด่าหรือหยิบกระบอกยาสูบมา ‘ตี’ เขากลับไม่เคยจดจำความแค้น ยังหัวเราะชอบอกชอบใจ แน่นอนว่าหากเล่นจนตัวเองเหนื่อยแล้วถึงจะยอมหยุดแต่โดยดี ไปยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งอยู่ด้านข้าง เอามือเท้าคางมองหยางเหล่าโถวนั่งพ่นควัน มองทีก็มองได้เป็นครึ่งๆ วัน
หลี่ไหวนั่งยองอยู่ข้างกายหยางเหล่าโถว พูดเบาๆ อยู่ข้างหูผู้เฒ่า “ตาเฒ่าหยาง เจ้ามีสมบัติสืบทอดที่มีมูลค่ามอบให้ข้าสักสองสามชิ้นบ้างไหม? ถึงอย่างไรก็ดูเหมือนว่าเจ้าไม่คิดจะแต่งงานมีลูกมีเมียอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยกให้ข้าเถอะ จะยกให้ช้าหรือเร็วก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “ส่วนที่เก็บไว้ให้เจ้ามีอยู่สองสามชิ้นจริง แต่เอาไว้ค่อยพูดกันวันหน้า”
หลี่ไหวถอนหายใจเฮือกๆ “อย่าช้าเกินไปนะ สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าวันใดพี่สาวข้าต้องแต่งงานมีสามี บ้านของเรายากจน ไม่แน่ว่านางอาจจะถูกว่าที่แม่สามีดูแคลน ข้าคงต้องอาศัยเจ้ามากอบกู้ศักดิ์ศรีแล้ว”
หยางเหล่าโถวกระตุกมุมปาก
หลี่ไหวหันขวับกลับมา “ตาเฒ่าหยาง วันหน้าสูบยาให้น้อยๆ หน่อยเถอะ อายุตั้งปูนนี้แล้ว ไม่รู้จักรักษาสุขภาพซะบ้าง ต้องกินอาหารรสจืดให้มาก ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ่อยๆ วันๆ เอาแต่อุดอู้รอความตายอยู่ในนี้ ข้าว่าดูจากร่างกายเจ้าแล้วก็ยังแข็งแรงดี ปีนเขาขึ้นไปเก็บสมุนไพรก็น่าจะไม่มีปัญหา เอาเถอะ คุยกับเจ้านี่น่าเบื่อที่สุดเลย ไปล่ะ ในห่อสัมภาระล้วนเป็นเสื้อผ้า รองเท้าผ้าที่ซื้อมาใหม่ เปลี่ยนใส่ซะด้วยล่ะ”
หลี่ไหวนึกจะไปก็ไป
แน่นอนว่ายังไม่ลืมด่าเจิ้งต้าเฟิงไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยลาสือหลิงซานและซูเตี้ยน
ใครใกล้ชิดใครห่างเหิน แสดงให้เห็นชัดเจนอย่างยิ่ง เพียงแค่ว่าสลับตำแหน่งกันก็เท่านั้น
……
วัดร้างห่างจากหมู่บ้านวารีกระบี่แคว้นซูสุ่ยไปประมาณระยะทางภูเขาเจ็ดร้อยลี้
ปีนั้นเดินเท้า แน่นอนว่าย่อมช้า เพียงแต่ว่าเมื่อเฉินผิงอันขี่กระบี่เดินทางก็เร็วอย่างยิ่ง
เขาไม่ได้ตรงไปที่หมู่บ้าน หรือแม้แต่เมืองเล็กที่เจริญรุ่งเรืองก็ไม่ได้ไป ยังอยู่ห่างอีกประมาณร้อยกว่าลี้ เฉินผิงอันก็บังคับกระบี่ให้ลดระดับลงบนยอดเขาสูงลูกหนึ่ง ก้มหน้าลงมองภูเขาแม่น้ำที่อยู่เบื้องหน้าก่อน จึงพอจะมองเห็นเบาะแสบางอย่าง ไม่เพียงแค่ภูเขาเขียวน้ำใสเท่านั้น ยังมีไอเมฆไอหมอกล่องลอยบางเบา ประหนึ่งมีผ้าคลุมบางๆ ปกคลุมยอดเขาหนึ่งในนั้นเอาไว้ เฉินผิงอันเพิ่งจะพลิ้วกายลงบนยอดเขาและเก็บกระบี่กลับเข้าฝักก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่น่าจะเป็นเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ปรากฏตัว ประสานมือโค้งคำนับเฉินผิงอัน เรียกเขาคำหนึ่งว่าเซียนซือ
เฉินผิงอันปลดงอบลง รีบกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มกล่าวว่า “ข้าแค่ผ่านทางมาเท่านั้น ท่านเทพแห่งผืนดินไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ประเพณีนิยมของบ้านเกิดอย่างเขตการปกครองหลงเฉวียน หลังจากที่ญาติตายไปจะต้องเลือกภูเขาที่ตั้งสุสานแล้วเริ่มทำการขุดหลุมฝังศพ ซึ่งนี่จำเป็นต้องใช้ก้อนหินวางทับกระดาษเงินแล้วนำไปวางตรงตำแหน่งที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วบนภูเขา ถือว่าเป็นการเช่าภูเขาจากเทพแห่งผืนดิน นับตั้งแต่ยกโลงไปจนเอาโลงลงดิน ระหว่างทางที่เดินไปจะต้องโปรยกระดาษเงิน ตามคำบอกของคนเฒ่าคนแก่ในอดีต นี่ก็คือการใช้เงินซื้อทางนำพาญาติที่ตายไปให้สามารถผ่านด่านประตูผีและผ่านเส้นทางสู่น้ำพุเหลืองได้อย่างราบรื่นโดยผ่านทางเทพแห่งผืนดิน
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันจดจำได้ลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าครั้งแรกที่ออกจากเมืองเล็ก เทพแห่งผืนดินที่ได้เจอเป็นคนแรกก็คือเว่ยป้อที่ตอนนั้นยังถูก ‘กักขัง’ อยู่บนภูเขาฉีตุน อันที่จริงเวลานั้นเฉินผิงอันผิดหวังอยู่เป็นนาน
ตอนนี้เทพแห่งผืนดินที่มีลักษณะเป็นชายวัยกลางคนไม่กล้ารั้งรออยู่นาน หลังจากทักทายปราศรัยสองสามประโยคด้วยสีหน้านอบน้อมแล้ว เขาที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเส้นทางภูเขาและผืนดินของพื้นที่นี้ก็เตรียมจะบอกลาจากไป
นั่นเป็นเพราะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคือเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง เทพผืนดินเล็กๆ อย่างเขาไม่กล้าอาจเอื้อม หากเป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางคนหนึ่ง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ยินดีปล่อยผ่านไปแน่นอน
เฉินผิงอันหยิบเหล้าอีกาครวญไหหนึ่งออกมายื่นส่งให้เทพแห่งผืนดินที่มีท่าทางระมัดระวังผู้นั้น “เหล้ากานี้ถือเป็นของขวัญพบหน้าที่ข้าละลาบละล้วงมาเยือนภูเขาลูกนี้”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปลายแถวที่ยังไม่มีคุณสมบัติจะฝากชื่อเข้าไว้ในทำเนียบภูเขาสายน้ำของแคว้นซูสุ่ยพลันตื่นตระหนก รีบปรี่ขึ้นหน้าค้อมเอวไปรับเหล้าหมักตระกูลเซียนกานั้นมา ลองชั่งน้ำหนักภาชนะบรรจุเหล้าใบนี้ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาในโลกมนุษย์
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าต้มที่ท่านยายของจวนโบราณเป็นผู้หมักเอง แล้วถามว่า “ท่านเทพผืนดิน ข้าจะเดินทางไปเยี่ยมเยือนสหายที่หมู่บ้านวารีกระบี่ ไม่ทราบว่าสิบกว่าปีมานี้ สถานการณ์ของหมู่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เทพแห่งผืนดินใคร่ครวญหาคำพูดอย่างระมัดระวัง เขาไม่ขอให้ตัวเองมีความดีความชอบ แต่ขอว่าอย่าผิดพลาดก็พอ แล้วจึงตอบเนิบช้าว่า “เรียนเซียนซือ ตอนนี้หมู่บ้านวารีกระบี่ไม่ใช่สำนักใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยอีกแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นหมู่บ้านเหิงเตาของหวังอี้หรานปรมาจารย์วิชาดาบแทน คนผู้นี้แม้จะเป็นเด็กรุ่นหลังของอริยะกระบี่ซ่ง แต่กลับพอจะมีเค้าลางว่าจะได้เป็นผู้นำแห่งยุทธภพในแคว้นซูสุ่ยแล้ว หากอิงตามคำกล่าวของคนในยุทธภพเวลานี้ ขาดก็แค่การต่อสู้ตัดสินระหว่างหวังอี้หรานกับอริยะซ่งเท่านั้น หนึ่งเพราะหวังอี้หรานฝ่าทะลุขอบเขตสำเร็จ กลายเป็นปรมาจารย์ใหญ่อันดับหนึ่งที่แท้จริง วิชาดาบเลิศล้ำเป็นเอก สองก็เพราะบุตรสาวของหวังอี้หรานแต่งงานกับทายาทชนชั้นสูงแคว้นซูสุ่ย นอกจากนี้ตอนที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ หมู่บ้านเหิงเตาก็เป็นผู้ที่สวามิภักดิ์ก่อนใคร หันกลับมามองหมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราที่มีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีมากกว่า ไม่ยินดีพึ่งพาใคร ในด้านบารมีชื่อเสียงจึงเริ่มค่อยๆ ตกเป็นรอง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เทพแห่งผืนดินลังเลเล็กน้อย ราวกับว่ามีคำพูดบางอย่างที่ลำบากใจจะกล่าว
เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “เชิญท่านเทพแห่งผืนดินพูดได้ตามสบาย”
บุรุษจึงกดเสียงลงต่ำกล่าวว่า “ทางฝ่ายของราชสำนักคิดจะให้หมู่บ้านวารีกระบี่ย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะจะสร้างศาลเทพภูเขาที่มีขนาดใหญ่สุดเป็นรองห้าขุนเขาขึ้นที่นั่น ได้ยินมาว่าแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวคิดจะกระตุ้นให้เรื่องนี้สำเร็จในเร็ววัน”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วยิ้มกล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่ฉู่ ฉู่หาวที่บอกว่ากลวิชาศึกถูกรับเข้ากลับวงศ์วานของอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีน่ะหรือ?”
หวังอี้หรานก็ดี ฉู่หาวก็ช่าง ล้วนเป็นคนคุ้นเคย
หวังอี้หรานนิสัยไม่เลว แม้ว่าบุตรสาวอย่างหวังซานหูจะอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับบิดาของนางได้ติด แต่การกระทำและคำพูดของหวังอี้หรานในคลื่นมรสุมในปีนั้น อันที่จริงก็คู่ควรกับคำว่าวีรบุรุษแล้ว
ส่วนฉู่หาวที่ปีนั้นเฉินผิงอันเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้อาวุโสซ่ง และตัดสินเป็นตายกับอีกฝ่ายบนสนามรบมาก่อน เฉินผิงอันไม่ถึงขั้นต้องจดจำความแค้นอะไร สนามรบกับยุทธภพ บุญคุณและความแค้นล้วนมีอยู่ทั้งสองที่
แต่เมื่อพูดถึงเขาในเวลานี้ เฉินผิงอันย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว
เทพแห่งผืนดินหัวเราะหึหึ พูดมากไปย่อมทำให้เสียเรื่อง ขอแค่แสดงเจตจำนงของตนให้รู้ก็พอแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นแค่เทพแห่งผืนดินเล็กๆ ของแคว้นซูสุ่ย แต่ฉู่หาวกลับเป็นบุคคลที่อยู่ใต้คนคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่นในราชสำนักแคว้นซูสุ่ยทุกวันนี้ แน่นอนว่าต้องไม่นับรวมขุนนางบุ๋นของต้าหลีที่ปักหลักอยู่ในแคว้นซึ่งเป็นดั่ง ‘ไท่ซ่างหวงแห่งแคว้นซูสุ่ย’ กลุ่มนั้น
เฉินผิงอันสวมงอบ รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อยแล้วกุมหมัดเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
เทพแห่งผืนดินรีบประคองไหเหล้านั้นขึ้นสูง ค้อมเอวกล่าวว่า “ของขวัญชิ้นใหญ่จากเซียนซือ เทพน้อยมิกล้ารับไว้”
เฉินผิงอันขี่กระบี่ไปจากภูเขาลูกนี้
เทพแห่งผืนดินสะกดกลั้นความหวาดผวาในใจ เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ถึงอย่างไรซ่งอวี่เซาก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่ง เขาไปรู้จักกับเซียนกระบี่ผู้นี้ได้อย่างไร?”
นอกเมืองเล็กที่อยู่ติดกับหมู่บ้านวารีกระบี่ บนภูเขาลูกเล็กที่ห่างไกล เฉินผิงอันเก็บกระบี่กลับเข้าฝัก ลงจากเขา เดินไปบนถนนทางหลวงช้าๆ
ผ่านเมืองเล็กไปแล้วก็มาหยุดอยู่นอกประตูใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่
เฉินผิงอันปลดงอบลง ยิ้มเอ่ยกับผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูที่อายุมากคนหนึ่งของหมู่บ้าน “รบกวนช่วยไปแจ้งอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งสักคำ บอกว่าเฉินผิงอันมาเลี้ยงหม้อไฟเขาแล้ว”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูลังเลเล็กน้อย มองคนหนุ่มแวบหนึ่ง สะพายกระบี่ห้อยกาเหล้า น่าจะเป็นคนในยุทธภพ เพียงแต่หน้าไม่คุ้น ชื่อก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน น่าจะไม่ใช่สหายเก่าของหมู่บ้าน อีกทั้งดันมาเยือนหมู่บ้านในเวลานี้ ช่างไม่ประจวบเหมาะเอาเสียเลย และก็ยิ่งไม่สมควรด้วย ดังนั้นผู้เฒ่าจึงเอ่ยอย่างขออภัยว่า “คุณชายท่านนี้ ช่วงนี้หมู่บ้านของเราไม่รับแขก คุณชายกลับไปเถิด”
เฉินผิงอันจึงได้แต่อธิบายว่าตนเป็นสหายของผู้อาวุโสซ่งจริงๆ ปีนั้นยังเคยมาพักอยู่ในหมู่บ้านช่วงหนึ่ง แล้วก็เคยฝึกหมัดที่น้ำตกตรงศาลาภูเขาแม่น้ำแห่งนั้น
หมู่บ้านวารีกระบี่มีกฎเข้มงวด ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูได้แต่เฝ้าอยู่ในพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้ อีกทั้งยังไม่ชอบสืบข่าวใดๆ บวกกับที่ก่อนหน้านั้นตอนที่เฉินผิงอันไปฝึกหมัดที่น้ำตก ซ่งอวี่เซาก็ได้ปิดพื้นที่ศาลาภูเขาแม่น้ำให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม ดังนั้นคนเฝ้าประตูจึงไม่เคยได้ยินชื่อของเฉินผิงอันมาก่อน ประเด็นสำคัญก็คือผู้เฒ่าคิดว่าแม้ตัวเองจะอายุมาก แต่สายตากลับยังดี และความจำก็ยิ่งไม่แย่ หากเป็นสหายในยุทธภพที่เขาเคยเจอมาก่อน ต่อให้แค่ไม่กี่ครั้งก็ต้องจำได้ ทว่าคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ คนเฝ้าประตูจำไม่ได้จริงๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน!
ดังนั้นผู้เฒ่าจึงค่อยๆ ขยับเท้าหนีไปหลบอยู่ตรงประตูด้านข้างอย่างเงียบเชียบ หลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กรุ่นหลังในยุทธภพที่พูดจาไม่น่าเชื่อถือผู้นี้ฝืนบุกเข้าไป ตอนนี้ในหมู่บ้านไม่ค่อยสงบสุขนัก หายนะจากด้านนอกน่าตกใจเกินไป แต่ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูก็เชื่อว่าครั้งนี้ก็จะเหมือนคราวก่อนที่ถูกกองทัพใหญ่ของราชสำนักกดดัน ขอแค่เจ้าประมุขผู้เฒ่าอยู่ด้วย ก็จะสามารถกลับเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้เสมอ
เพียงแต่ส่วนลึกในใจของผู้เฒ่ากลับเต็มไปด้วยความกังวลใจ เพราะถึงอย่างไรฉู่หาวที่ชอบงัดข้อกับหมู่บ้านผู้นั้นก็ไม่เพียงแต่ได้เลื่อนขั้น อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับปีนั้นที่เขายังเป็นแค่แม่ทัพบู๊ทั่วไปซึ่งมีชาติกำเนิดมาจากชายแดนแล้ว ตอนนี้เขาได้กุมอำนาจอยู่ในราชสำนัก นอกจากนี้ก็ยังมีหมู่บ้านเหิงเตาที่ลุกผงาดอย่างรวดเร็ว เดิมทีพวกเขาควรจะเป็นสหายของหมู่บ้านวารีกระบี่ถึงจะถูก แต่ยุทธภพก็น่าจนใจเช่นนี้ ทุกคนล้วนชอบช่วงชิงความเป็นหนึ่ง ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวแคว้นซงซีสังหารหลินกูซานปรมาจารย์วิชากระบี่แคว้นกู่อวี๋ด้วยการโจมตีเดียว ‘ไข่มุกมรกต’ อาวุธเทพที่ซูหลางห้อยไว้ตรงเอวก็คือหลักฐานชั้นดี ตอนนี้วิชากระบี่ของซูหลางทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว จึงจะมาช่วงชิงอันดับหนึ่งในด้านวิชากระบี่กับเจ้าประมุขผู้เฒ่า ส่วนหวังอี้หรานนั้นก็ต้องการช่วงชิงอันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธในแคว้นซูซุ่ยกับเจ้าประมุขผู้เฒ่า และหมู่บ้านทั้งสองแห่งนี้ก็เหมือนกับพรรคสองพรรคที่ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้
ทว่าต่อให้เป็นคนในหมู่บ้านด้วยกันเอง ไม่ว่าจะบนหรือล่างก็ล้วนไม่อาจพูดว่าเซียนกระบี่ไผ่เขียวซูหลาง และหวังอี้หรานแห่งหมู่บ้านเหิงเตาผู้นั้นคือคนเลวอะไร
—–