กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 476.1 น้ำที่ถูกกั้นไม่สู้น้ำไหล
หลังจากหยุดเสียงหัวเราะลงแล้ว เฉินผิงอันก็กุมหมัดเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่า เราได้เจอกันอีกแล้ว”
ผู้เฒ่ายังคงกระฉับกระเฉงเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนในอดีต ผู้ฝึกตน เวลาหลายปีที่ผ่านไปก็เหมือนการดีดนิ้วครั้งหนึ่งเท่านั้น ความเสื่อมโทรมของรูปร่างหน้าตาจึงไม่เด่นชัดนัก
เห็นมือกระบี่ชุดเขียวที่ปลดงอบลงผู้นั้น ผู้เฒ่าแห่งหอชิงฝูที่มีนามว่าหงหยางโปก็ยิ่งไม่เข้าใจ กิจการของหอชิงฝูถือว่าเจริญรุ่งเรืองที่สุดในท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาตี้หลง ผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ถือเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วเงินเทพเซียนจะไปหมุนเวียนอยู่ที่ชั้นหนึ่งเสียมากกว่า ลูกค้าที่จะขึ้นมายังชั้นสองนั้นมีไม่มาก คนที่จะนั่งลงทำการค้ากันก็ยิ่งน้อย หากเป็นแขกผู้มีเกียรติที่เคยผ่านมือผู้เฒ่ามาก่อน ตามหลักแล้วเขาก็น่าจะจำได้ แต่มองคนหนุ่มที่แต่งกายเป็นเหมือนจอมยุทธพเนจรตรงหน้านี้แล้ว เขาไม่คุ้นหน้าเลยจริงๆ แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ทำตัวเป็นกันเองถึงเพียงนี้?
เพียงแต่ทุกคนที่มาเยือนล้วนเป็นแขก อีกทั้งยังเรียกตนว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่า หงหยางโปจึงนั่งกุมหมัดคารวะกลับคืน จากนั้นก็ผายมือบอกเป็นนัยให้อีกฝ่ายนั่งลง ยิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าลูกค้ามาขายหรือว่ามาซื้อ?”
เฉินผิงอันยกเก้าอี้ไม้พุทราแดงที่โบราณเก่าแก่ตัวนั้นมาแล้วนั่งลง เดิมทีนี่ควรเป็นหน้าที่ของสตรีที่เป็นผู้นำทางของหอชิงฝู แน่นอนว่าการที่ให้พวกนางยกน้ำส่งชา ร้อยเข็มสนด้ายล้วนไม่ได้เป็นงานที่ลงแรงเปล่า หลังการค้าสำเร็จผลแล้ว พวกนางย่อมได้ส่วนแบ่งไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ลูกค้ากลับมาเป็นลูกค้าประจำ ทางหอชิงฝูก็จะมีเงินรางวัลเพิ่มเติมให้อีกก้อนหนึ่ง เฉินผิงอันจำได้ว่าปีนั้นสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นชื่อว่าชุ่ยอิ๋ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้เฉินผิงอันไม่คิดจะเอาของมาขายหรือมาซื้อ ไม่อย่างนั้นตอนอยู่ด้านล่างก็คงถามแล้วว่าชุ่ยอิ๋งอยู่หรือไม่ การพบเจอกันล้วนถือเป็นวาสนา แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อย้อนกลับไปนึกดู การค้าในปีนั้น พวกเขาสามคนกับหอชิงฝูแห่งนี้ต่างก็ถือว่าทุกคนปิติชื่นบาน ถือเป็นการเปิดประตูเจอเรื่องมงคล นี่จึงถือเป็นความสัมพันธ์ควันธูปครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ฝึกตนล้วนเชื่อในเรื่องเหล่านี้
เฉินผิงอันกำลังจะนั่งลงก็คิดได้ว่าควรจะไปปิดประตู แต่ผู้เฒ่ากลับโบกมือเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องปิดประตู”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังทำตามคำบอกของผู้เฒ่า นั่งลงไปบนเก้าอี้ ยิ้มกล่าวว่า “ข้ามาเยือนท่าเรือภูเขาตี้หลงครั้งนี้ก็เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมหาท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหง ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าอาจจะจำไม่ได้แล้ว ปีนั้นข้ากับชายฉกรรจ์เคราดกคนหนึ่ง และนักพรตหนุ่มอีกคนหนึ่ง พวกเราเอาของสองสามอย่างมาขายในห้องนี้ของท่านอาจารย์ผู้เฒ่า…”
ผู้เฒ่าตบโต๊ะดังป้าบ ยิ้มกล่าว “จำได้แล้ว ตะเกียบคู่นั้นก็คือของที่พวกเจ้าขายให้ข้าผู้อาวุโส! เจ้าหนุ่ม พวกเจ้าถือว่าทำให้ความปรารถนาใหญ่ในอดีตของข้าผู้อาวุโสเป็นจริงแล้ว เวลาปกติอยู่ว่างๆ ก็มักจะหยิบมันมาเล่นในมือ พอลูบตะเกียบคู่นั้นก็เหมือนได้ลูบเส้นผมสีนิลของไห่จู๋ฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสิน…”
ผู้เฒ่าไม่ได้พูดต่อ คงเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำตัวเป็นกันเองมากเกินไป
ปีนั้นจางซานเฟิงเอาตะเกียบไม้ไผ่จากภูเขาชิงเสินคู่หนึ่งมาขายที่นี่ อาจารย์ผู้เฒ่ารับเข้าไปเก็บเป็นของในกระเป๋าตัวเองด้วยราคาสูง เนื่องจากผู้เฒ่ามีจิตใจดี จึงได้กำไรมาไม่น้อย
ผู้เฒ่าอารมณ์ดีอย่างยิ่ง พอนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ลุกขึ้นตะโกน “ฉิงฉ่าย รีบยกชาดีๆ มาเร็วเข้า!”
เพียงไม่นานก็มีสตรีสวมชุดกระโปรงยาวทำจากผ้าแพรสีสันงดงามคนหนึ่งเดินนวยนาดมาบนพรมปูพื้นที่มาจากแคว้นไฉ่อี นางนำชารสดีที่ไอร้อนลอยกรุ่นมาวางให้คนทั้งสอง จากนั้นสตรีที่เรือนกายอ้อนแอ้นก็เดินออกไปจากห้อง แต่ไม่ได้ไปไหนไกล ไปยืนรออยู่ตรงหน้าประตู
ผู้เฒ่าคือคนเก่าคนแก่ของหอชิงฝู อยู่ที่นี่มาเป็นเวลาห้าสิบปีแล้ว หากเจอกับลูกค้าที่ไม่ถูกชะตาก็มักจะไม่เคยทำหน้าดีๆ ให้เห็น อยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากขายก็ไม่ต้องขาย แต่สำหรับคนที่ตัวเองถูกชะตาแล้วมักจะมีนิสัยใจกว้างและกระตือรือร้นเสมอ ไม่อย่างนั้นปีนั้นก็คงไม่มีทางเดิมพันเล็กๆ กับสวีหย่วนเสียหลังจากพูดคุยกันอย่างถูกคอแล้ว
ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีถามว่า “ชายฉกรรจ์เคราดกที่สายตามีเอกลักษณ์เฉพาะคนนั้นล่ะ ทำไมถึงไม่มาด้วยกัน การเดิมพันของปีนั้น เป็นข้าผู้อาวุโสที่แพ้แล้ว คราวนั้นเจ้าซื้อถ้วยห้าขุนเขาของแคว้นกู่อวี๋ใบนั้นไป ทำให้หอชิงฝูขาดทุนไปไม่น้อย แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ การค้าย่อมมีทั้งกำไรและขาดทุนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างข้าผู้อาวุโสก็เชี่ยวชาญในด้านการตรวจสอบเครื่องทองสัมฤทธิ์ ตัวอักษรภาพและวัสดุไม้งาม หากเป็นอย่างอื่น บางครั้งจะมองพลาดไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ว่าติดค้างเหล้าชายฉกรรจ์ผู้นั้นไว้หนึ่งมื้อ จะให้ค้างต่อไปแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องกระมัง เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดเล่า? ข้าผู้อาวุโสไม่ชอบติดค้างใครหรอกนะ เพราะจะต้องคอยพะวงคอยนึกถึงอยู่ไม่มากก็น้อย ไม่สู้ให้ข้าผู้อาวุโสหาสถานที่ดีๆ นอกหอชิงฝูเลี้ยงเหล้าเจ้าสักมื้อดีไหม? ถือซะว่าเป็นการชดใช้คืนแล้ว?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “สุรานี้รอให้วันหน้าเพื่อนข้ามาขอกับท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหงเองดีกว่า”
ผู้เฒ่ารู้สึกจนใจเล็กน้อย แต่แล้วจู่ๆ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายจ้า “คราวก่อนเจ้ามีแต่ของมาขายที่นี่ อันที่จริงที่ข้าผู้อาวุโสยังมีของขายดี ของพิเศษที่เวลาปกติข้าไม่ชอบเอาออกมาให้คนอื่นดู เจ้าอยากจะลองดูสักหน่อยไหม? ไม่ต้องซื้อเสมอไป ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่คนประเภทนั้น ก็แค่ยากนักที่จะได้เจอกับคนคุ้นเคยที่ยินดีคบค้าสมาคมกัน เลยอยากเอาออกมาอวดสักหน่อย จะได้ให้พวกลูกรักได้ออกมาสูดอากาศเสียบ้าง อีกอย่างก็ไม่ใช่สมบัติล้ำค่าอะไรที่เอาออกมาให้คนดูไม่ได้ด้วย”
ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยอะไร ผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มพลิกค้นหาสิ่งของ เพียงไม่นานก็นำกล่องผ้าแพรสามกล่องที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันออกมาวางบนโต๊ะ
หลังจากผู้เฒ่าเปิดออกอย่างระมัดระวังแล้วก็เห็นว่าใบหนึ่งบรรจุหมึกรมควันไม้สนก้อนหนึ่งที่เชื้อพระวงศ์ใช้กัน เจว็ดรูปสตรีสวมผ้าคลุมหน้าหนึ่งตัว และอักษรภาพที่เขียนแบบหวัดหนึ่งภาพ
ใบหน้าผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความลำพองใจ “ของสามอย่างนี้ ต่อให้อยู่บนชั้นสองของหอชิงฝูก็ยังถือว่าเป็นของหายาก เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณ ไม่พูดถึงเจว็ด ของอีกสองชิ้นที่เหลือยังมีชะตาบุ๋นเข้มข้น อย่าว่าแต่นำไปมอบให้กับขุนนางชนชั้นสูงที่ตามีแววของราชวงศ์ในโลกมนุษย์เลย ต่อให้มอบให้ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษากวานหูก็ยังไม่มีทางรู้สึกว่าของขวัญนี้เบาไป!”
ผู้เฒ่าใช้นิ้วชี้ไปยังหมึกรมควันไม้สน “หมึกรมควันไม้สนที่ทำขึ้นเพื่อให้เชื้อพระวงศ์ของแคว้นเสินสุ่ยใช้ก้อนนี้ ไม่เพียงแต่เอามาจากต้นสนโบราณพันปีต้นหนึ่ง อีกทั้งยังมีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ ถูกราชสำนักแต่งตั้งให้เป็น ‘ท่านมู่กง’ อีกทั้งต้นสนโบราณต้นนั้นยังมีชื่อว่า ‘สนไม่เมา’ เคยมีเรื่องราวหนึ่งเล่าสืบทอดต่อกันมาบอกว่า มีนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเมามายอยู่ในผืนป่า เจอว่า ‘มีคน’ มาขวางทาง จึงใช้มือผลักแล้วบอกว่าเขายังไม่เมา น่าเสียดายที่หลังจากแคว้นเสินสุ่ยล่มสลาย ต้นสนโบราณก็ถูกโค่นลงไปด้วย เป็นเหตุให้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าหมึกรมควันต้นสนก้อนนี้จะเป็นของเพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ในโลก”
ผู้เฒ่าชี้นิ้วไปที่เจว็ดดินเผา สายตาของเขาฉายประกายเร่าร้อนยิ่งกว่าเดิม “ชิ้นนี้ข้าผู้อาวุโสซื้อมาจากผู้ฝึกตนอิสระตกอับคนหนึ่ง ถือเป็นการเก็บของดีได้ชิ้นใหญ่ ตอนนั้นจ่ายไปแค่สองร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น ผลพอถูกผู้อาวุโสท่านหนึ่งของชั้นสามตรวจสอบถึงเพิ่งรู้ว่าตุ๊กตาดินเหนียวนี่เคยอยู่รวมกันเป็นชุด หนึ่งชุดมีสิบสองตัว มาจากมือของเทพเซียนห้าขอบเขตที่ฝีมือเลิศล้ำคนหนึ่งของนครจักพรรดิขาวแผ่นดินกลาง ถูกคนรุ่นหลังขนานนามว่าเป็นเจว็ดเทพธิดา ‘สิบสองสะคราญ’ ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ตรงที่หมวกคลุมหน้าซึ่งเดิมทีก็เป็นสมบัติอาคมชิ้นเล็กกะทัดรัดอย่างหนึ่ง มีเพียงแตะโดนกลไกเท่านั้นถึงจะปรากฎรูปโฉมที่แท้จริง น่าเสียดายก็แต่จนถึงทุกวันนี้ข้าผู้อาวุโสก็ยังคิดหาวิธีทำลายกลไกไม่ได้ จึงไม่อาจพิสูจน์สถานะที่แท้จริงของเจว็ดดินเผาชิ้นนี้ ไม่อย่างนั้นวัตถุชิ้นนี้ก็สามารถกลายมาเป็นสินค้าที่เป็นหน้าเป็นตา เป็นตัวแทนของทั้งหอชิงฝู คือสมบัติพิทักษ์ร้านอย่างสมชื่อได้เลย! ต้องรู้ว่าของสะสมบนโลกใบนี้ยากที่จะเก็บรวบรวมได้ครบถ้วนมากที่สุด นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้คนชื่นชอบที่จะสะสมให้ครบถ้วนมากที่สุด”
สุดท้ายผู้เฒ่าชี้ไปที่อักษรภาพแล้วเอ่ยอย่างเสียดายว่า “เมื่อเทียบกับสองอย่างแรก วัตถุชิ้นนี้ไม่ถือว่ามีค่าอะไร เป็นลายมือของผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นคนหนึ่งของแคว้นสู่โบราณที่เขียนขึ้นก่อนจะเริ่มฝึกตน แม้จะถือว่าเป็นต้นฉบับ แต่น่าเสียดายที่เป็นดั่งจักจั่นลอกคราบ แทบจะไม่เหลือความมหัศจรรย์ที่แท้จริงใดๆ อยู่อีก มีนามว่า ‘ภาพน่าเสียดาย’ เนื่องจากประโยคแรกของอักษรภาพนี้มาจากประโยค ‘น่าเสียดายที่เวทกระบี่ห่างชั้น’ อักษรภาพชิ้นนี้ ลายมือสวยงามอย่างยิ่ง เนื้อหาก็ดีอย่างถึงที่สุด น่าเสียดายที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานจึงไม่อาจคงความสมบูรณ์เอาไว้ได้อีก ปราณวิญญาณไหลหายไปมาก ประหนึ่งวีรบุรุษในวัยแก่ชรา ดุจแสงเทียนริบหรี่ท่ามกลางสายลม สมกับคำกล่าวนี้จริงๆ น่าเสียดายหนอน่าเสียดาย”
สำหรับหมึกไม้สนรมควันที่ใช้ในราชวงศ์ของแคว้นเสินสุ่ยกับเจว็ดรูปสตรีสวมหมวกคลุมหน้า เฉินผิงอันไม่ได้มีความสนใจสักเท่าไหร่ ได้เห็นแล้วก็ปล่อยผ่านไป แต่อักษรภาพแบบหวัดที่เป็นสำเนาต้นฉบับชิ้นสุดท้ายนี้ เขากลับพิศมองอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรหรือวิธีการตวัดพู่กัน เฉินผิงอันล้วนให้ความสนใจมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าตัวอักษรที่เขาเขียนออกมานั้นก็พอๆ กับการเล่นหมากล้อม ล้วนไม่มีชีวิตชีวา อยู่ในกฎในระเบียบ ตายตัวอย่างยิ่ง แต่ถึงแม้จะเขียนตัวอักษรได้ไม่ดี ทว่ายามที่มองตัวอักษรของคนอื่นว่าเขียนออกมาเป็นอย่างไร เฉินผิงอันยังพอจะตามีแววอยู่บ้าง นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับตัวอักษรที่สลักบนตราประทับทั้งสามชิ้นของอาจารย์ฉี อักษรภาพจำนวนมากที่ชุยตงซานเขียนอย่างไม่ใส่ใจ รวมไปถึงตำราตราประทับโบราณเล่มหนึ่งที่ซื้อมาระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว หลังจากนั้นภายในเวลาสามร้อยปีของพื้นที่มงคลดอกบัว เขาก็ได้เห็นผลงานภาพเขียนพู่กันของยอดฝีมือมากมายที่มีตำแหน่งสูงอยู่ในราชสำนัก แม้ว่าทุกครั้งจะเป็นเพียงภาพที่วูบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏแค่วูบเดียวก็จางหายไป แต่เฉินผิงอันก็ยังคงจดจำความหมายคร่าวๆ ของพวกมันได้อย่างลึกซึ้ง
ดังนั้นเฉินผิงอันที่เดิมทีไม่คิดจะจ่ายเงินในหอชิงฝูจึงเริ่มหวั่นไหว ถึงอย่างไรฟังจากน้ำเสียงของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหงแล้ว หมึกไม้สนรมควันที่ใช้ในราชวงศ์กับเจว็ดรูปสตรีสวมหมวกคลุมหน้าก็ล้วนมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ต้องไม่ใช่ถูกๆ แน่นอน มีเพียงอักษรภาพชิ้นนี้ที่น่าจะไม่แพงเท่าไหร่
เฉินผิงอันจึงถามราคา ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาส่ายเบาๆ
ห้าเหรียญเงินร้อนน้อย
ตอนนั้นตะเกียบไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินคู่นั้นก็ราคาเท่านี้
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ซื้อไม่ไหว”
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่เป็นเพราะตัดใจจ่ายเงินร้อนน้อยห้าเหรียญนี้ไม่ลง เพราะหากนำไปวางไว้ในตลาดของโลกมนุษย์ก็เท่ากับเงินห้าแสนตำลึงเชียวนะ!
ปีนั้นที่เขาซื้ออักษรภาพปึกใหญ่มาจากเสี้ยนเหว่ยขี้เมาสติเลอะเลือนของที่ว่าการอำเภอแคว้นเหมยโย่วก็จ่ายด้วยเหล้าหมักตระกูลเซียนแค่ห้ากาเท่านั้น ลองคำนวณราคาเต็มๆ ก็ไม่ถึงหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยด้วยซ้ำ
เรื่องของการซื้อขายย่อมกลัวการนำสิ่งของมาเปรียบเทียบกับเสมอ!
หากไม่มีประสบการณ์ใช้เงินซื้อภาพจากเสี้ยนเหว่ยขี้เมาครั้งนั้น ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันอาจจะทำเหมือนตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าได้เห็นตะเกียบไม้ไผ่ กัดฟันซื้อมันเอาไว้
ผู้เฒ่าเองก็ไม่บังคับ รู้ดีว่าอีกฝ่ายติดขัดในเรื่องราคา ไม่ว่าจะอย่างไร การที่จอมยุทธพเนจรสะพายกระบี่ผู้นี้สามารถชื่นชอบอักษรภาพแบบลายมือหวัดนี้ได้ ก็ถือว่าไม่เสียแรงเปล่าที่ตนเอาออกมาให้ดูแล้ว
และเวลานี้เอง สตรีที่สวมชุดสีสันสดใสซึ่งยืนอยู่นอกประตูผู้นั้นก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหง ทำไมไม่เอาสิ่งของที่เป็นสมบัติก้นกรุที่สุดของห้องนี้ออกมาเล่า?”
ผู้เฒ่าหัวเราะอย่างฉุนๆ “ฉิงฉ่าย เจ้าไม่ได้เป็นคนพาลูกค้ามาสักหน่อย ต่อให้ข้าขายของออกไปจากห้องนี้ได้ เจ้าก็ไม่มีทางได้เงินเหรียญทองแดงแม้แต่ครึ่งเหรียญ จะมาหลอกล่ออะไรส่งเดช!”
เห็นได้ชัดว่าสตรีสนิทกับผู้เฒ่าไม่น้อย นางเอ่ยหยอกเย้าว่า “อาศัยบารมีของลูกค้า ได้มองสมบัติหลายทีหน่อยก็เป็นเรื่องดีเหมือนกันนี่นา”
นางยิ้มกล่าวกับเฉินผิงอันว่า “คุณชายท่านนี้ มาที่ห้องนี้แล้วจะต้องดูของที่ดีที่สุดของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าหงให้ได้ หากไม่ดูก็จะถือว่ามาเสียเที่ยว”
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้มีความต้องการเช่นนั้น แต่หงหยางโปกลับคลี่ยิ้มแล้วยื่นนิ้วชี้หน้านาง “เข้าข้างคนอื่นมากกว่าหรือ รีบหาบุรุษสักคนแต่งงานด้วยเถอะ เวลาอยู่ว่างๆ จะได้ไม่ต้องคอยหลอกต้มคนแก่อย่างพวกเรา เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็ได้ดูของดีสามชิ้นไปแล้ว เอาของที่ดีที่สุดออกมาอีกสักชิ้นจะเป็นไรไป”
ในที่สุดผู้เฒ่าก็หยิบกล่องผ้าแพรสี่เหลี่ยมปักด้ายทองชิ้นหนึ่งออกมา พอเปิดออก ทันใดนั้นไอเย็นก็โชยมาปะทะใบหน้า ไม่ได้ให้ความรู้สึกอึมครึมน่าสะพรึงกลัว แต่เป็นความรู้สึกเปิดเผยตรงไปตรงมาเหมือนวันที่หิมะตกหนักในเหมันตฤดู
—–