กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 478.3 ในใจคนจำต้องมีตะวันจันทรา
เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเล่าถึงหมึกรมควันไม้สนที่เชื้อพระวงศ์ของแคว้นเสินสุ่ยใช้กันซึ่งวางขายในหอชิงฝูของท่าเรือภูเขาตี้หลง
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “หากเปิดราคาด้วยเงินร้อนน้อยห้าเหรียญก็นับว่าคุ้มมากแล้ว หอชิงฝูยังสายตาตื้นเขินเกินไป ไม่รู้จักดูของ แต่จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ ความมหัศจรรย์ของวัตถุชิ้นนี้ เกรงว่าทุกวันนี้คงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จริง เดี๋ยววันหน้าข้าจะสั่งให้คนรีบไปที่หอชิงฝูดูสักครั้ง”
เฉินผิงอันเอ่ย “การไปกลับครั้งนี้ก็มีค่าใช้จ่ายเหมือนกัน เงินเทพเซียนก้อนนี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น”
เว่ยป้อยิ้ม ถามว่า “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ไม่ใช่ข้าเป็นคนควักเงินสักหน่อย เจ้าเดาดูสิว่าอาณาเขตภูเขาเหนือในตอนนี้ คนที่อยากจะเดินทางไปกลับ จ่ายเงินโดยเสียเปล่าก้อนนี้ให้แทนข้ามีกี่มากน้อย? กี่สิบคน? กี่ร้อยคน? ในทางกลับกัน จ่ายเงินร้อนน้อยห้าเหรียญก็ดี สิบเหรียญก็ช่าง น้ำใจนี้ที่ข้ามอบให้ไปก็เหมือนยาสงบใจเม็ดหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ได้กำไรไปก้อนใหญ่แล้ว”
เฉินผิงอันในเวลานี้ แน่นอนว่าแค่ฟังคำชี้นำเล็กน้อยก็กระจ่างแจ้ง
เว่ยป้อทะยานร่างวูบหายไป ก่อนจะจากไปได้เตือนเฉินผิงอันว่าเรือข้ามทวีปลำนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว อย่าได้มัวเสียเวลาอยู่
มาถึงศาลเทพภูเขาใหญ่โตโอฬารที่อยู่บนยอดเขาพีอวิ๋น เว่ยป้อก็ไปนอนอยู่บนหลังคา ใช้ท้องฟ้าต่างผ้าห่ม แล้วจึงนอนหลับสนิทไป
จุดที่แม่น้ำและลำคลองสายใหญ่ตัดกัน กระแสน้ำหักมุมเปลี่ยนผัน ภูเขาสูงเคียงข้าง มังกรพันลี้มาพักพิง
เหวลึกรวมตัวปลา สกุณาเกาะร่มไม้ ภูเขาเขียวน้ำใส พื้นที่กำเนิดอัจฉริยะบุคคล
……
ฟ้าเริ่มสางแล้ว
เผยเฉียนที่ดวงตายังงัวเงียเดินมาเปิดประตู ในมือถือไม้เท้า หลังจากเดินอาดๆ ข้ามธรณีประตูมาก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า ตะโกนพูดเสียงดังว่า “สวรรค์ ข้าขอเดิมพันกับเจ้า วันนี้หากข้าฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกไม่สำเร็จ อาจารย์ก็จะมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าทันที ตกลงไหม? กล้าเดิมพันหรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ากับตัวเอง “ไม่พูดหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าตกลงแล้ว! หากเดิมพันแล้วเล่นแง่ไม่ยอมจ่ายก็จะไม่ใช่สวรรค์ที่ดีแล้วนะ!”
เผยเฉียนกระโดดเข้าไปในลานบ้าน ผลกลับกลายเป็นว่าต้องอึ้งงันอยู่กับที่
ใต้ชายคาห้องข้างของสือโหรว ดูเหมือนว่าอาจารย์กำลังนั่งมองตนจากตรงนั้น?
เฉินผิงอันมองใบหน้าดำเกรียมแล้วยังบวมเป่งเหมือนหมั่นโถว นี่ยังเป็นเพราะทายาลดบวมไปบ้างแล้ว แค่คิดก็พอจะรู้ได้ว่าตอนที่เพิ่งวิ่งจากภูเขาฉีตุนกลับมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนนั้นจะมีสภาพน่าเวทนาแค่ไหน
เผยเฉียนขยี้ตา “อาจารย์? ข้าคงไม่ได้ฝันไปหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ตบบ้องหูตัวเองหนึ่งที”
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ แล้วร้องหึ “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย”
นางหันไปทางห้องหลักแล้วตะโกนเสียงดัง “พี่หญิงเป่าผิง อาจารย์มาแล้ว!”
แม่นางชุดแดงเรือนกายสะโอดสะองคนหนึ่งเดินเร็วๆ ออกมาจากในห้อง บนใบหน้าบวมแดงยิ่งกว่าเผยเฉียนเสียอีก ดังนั้นพอมองปราดๆ จึงไม่ได้เห็นความงามสักเท่าไหร่
อีกทั้งนางเองก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใดๆ กับการที่ใบหน้าตัวเองอยู่ในสภาพนี้ กลับกันยังสะบัดแขนวิ่งเหยาะๆ มาหาเฉินผิงอัน แล้วพลันหยุดยืนนิ่ง คลี่ยิ้มเจิดจ้า “อาจารย์อาน้อย!”
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้าคนสองคนที่อยู่ในวัยเดียวกัน ยื่นมือสองมือออกไปวัดระดับความสูง
เผยเฉียนหน้าบูด
เหตุใดพี่หญิงเป่าผิงทำอย่างนี้ อาจารย์ก็ทำอย่างนี้เหมือนกันด้วยเล่า
อันที่จริงครั้งแรกที่เฉินผิงอันเห็นหลี่เป่าผิง เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเท่าไหร่
เหตุใดเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมในปีนั้นถึงได้ตัวสูงขนาดนี้แล้ว?
สือโหรวยกม้านั่งสองตัวมาให้ เผยเฉียนอยากนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกับอาจารย์ แต่กลับถูกพี่หญิงเป่าผิงที่นั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองมาเสียก่อน เผยเฉียนจึงรีบยกก้นขึ้น ขยับไปนั่งข้างหลี่เป่าผิงทันที
เฉินผิงอันมองใบหน้าบวมแดงของคนทั้งสองแล้วก็กลั้นยิ้ม ถามว่า “พวกหลี่ไหวติดตามเจ้าขุนเขาเหมาเดินทางขึ้นเหนือไปแล้วหรือ?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับอย่างแรง “เดี๋ยวหลังจากนี้ท่านปู่จะพาข้าเร่งเดินทางไปให้ทันขบวนใหญ่เอง อาจารย์อาน้อยท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
เฉินผิงอันถาม “เจอกับต่งสุ่ยจิ่งหรือยัง?”
หลี่เป่าผิงยิ้มกล่าว “ข้ากับเผยเฉียนไปที่ภูเขาเฟิงเหลียงมาแล้ว เกี๊ยวน้ำของที่ร้านรสชาติพอใช้ได้ ไม่อร่อยเหมือนฝีมือของอาจารย์อาน้อย”
เผยเฉียนตีหน้าเคร่ง นั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก
เจ้าถ่านดำน้อยผู้นี้บ่นอยู่ในใจตัวเอง นางจำได้ว่าตอนนั้นที่อยู่ในร้านเกี๊ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่ง พี่หญิงเป่าผิงกินไปตั้งสองชามใหญ่
เพียงแต่ว่านางหรือจะกล้าพูดต่อหน้าพี่หญิงเป่าผิง หากในอนาคตพี่หญิงเป่าผิงรังเกียจที่นางพูดมาก ไม่พานางไปเที่ยวเล่นด้วยกันแล้ว จะทำอย่างไรเล่า?
เฉินผิงอันเอ่ยกำชับ “ตอนที่เดินทางผ่านเมืองหลวง จะต้องไปหาสือชุนเจียด้วย”
หลี่เป่าผิงอืมรับหนึ่งที “เขียนจดหมายส่งไปให้นางแล้ว เจ้าเด็กผมแกละกำลังรอข้าอยู่เลยนะ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันหน้ามามองเผยเฉียน “คิดได้แล้วหรือยัง จะไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนหรือไม่?”
เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก “คิดได้แล้ว พี่หญิงเป่าผิงต้องการให้ข้าไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน ยังลากข้าไปที่โรงเรียนนั่นมารอบหนึ่งด้วย ไปมาตั้งหลายวัน บอกว่าจะไปตรวจสอบสถานการณ์ดูก่อน ต้องรู้เขารู้เรา ต้องรู้นิสัยของอาจารย์แต่ละท่านอย่างชัดเจน วันหน้าถึงจะได้โดนตีและโดนทำโทษให้คัดตัวอักษรน้อยลง พี่หญิงเป่าผิงยังไม่อนุญาตให้ข้าเอาหีบหนังสือใบนั้นไปโอ้อวดกับคนอื่นด้วย แล้วก็ไม่อนุญาตให้ข้าแปะแผ่นยันต์ไปเรียน แล้วก็ยังมีกฎเกณฑ์อีกมากมาย พี่หญิงเป่าผิงเขียนใส่กระดาษไว้ให้แล้ว ต้องให้ข้าคัดตามทุกวัน วันละรอบ”
หลี่เป่าผิงตบศีรษะเผยเฉียน “นี่เรียกว่ายากมาก่อนง่าย พอไปถึงโรงเรียนแล้วก็ไม่ต้องกลัวพวกอาจารย์ที่สอนหนังสือ มีคำถามก็ถาม เวลาอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน หากถูกรังแกก็ไม่ต้องดีแต่ร้องไห้กลับมาฟ้องพี่หญิงสือโหรว จะต้องอาศัยความสามารถของตัวเองแก้ไขปัญหาตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน พอไปถึงโรงเรียนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่สุดเลยคืออะไร คืออะไร?”
เผยเฉียนตอบอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “คือต้องเรียนรู้หลักการเหตุผลในการวางตัวจากเหล่าอาจารย์ เนื้อหาที่เป็นรายละเอียดในตำราเป็นเพียงแค่วิชา ไม่ใช่วิถีทาง หากมีทั้งสองอย่างได้พร้อมกันย่อมดีที่สุด หากทำไม่ได้ ก็ต้องเลือกวิถีทางสละวิชา ห้ามเลือกเมล็ดงาแต่ทิ้งแตงโมเด็ดขาด”
หลี่เป่าผิงถึงได้พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ยู่หน้ามองเฉินผิงอันอย่างน่าสงสาร เรียกด้วยน้ำเสียงเหมือนคนได้รับความอยุติธรรม “อาจารย์”
หลี่เป่าผิงยื่นมือไปกดศีรษะของเผยเฉียน เผยเฉียนรีบเค้นรอยยิ้มส่งมาให้ทันที “พี่หญิงเป่าผิง ข้ารู้แล้ว ข้าความจำดีนักล่ะ!”
เฉินผิงอันหยิบแท่นฝนหมึกและตราประทับคู่ออกมามอบให้เผยเฉียน จากนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นของขวัญที่ซื้อไว้ให้เจ้าระหว่างเดินทาง ส่วนของเป่าผิง ไม่เจออะไรที่เหมาะกับเจ้า อาจารย์อาน้อยก็ขอติดเจ้าไว้ก่อน”
เผยเฉียนชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย นางที่ในมือหนึ่งถือแท่นฝนหมึก อีกมือหนึ่งกำตราประทับคู่ก็หันหน้าไปถามหลี่เป่าผิง “พี่หญิงเป่าผิง ท่านเลือกชิ้นหนึ่งสิ? ข้ายกให้ท่าน!”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าชอบอ่านบันทึกการท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำมากกว่า”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที ท่าทางผิดหวังเล็กน้อย
เฉินผิงอันพลันหยิบตำราโบราณเล่มหนึ่งออกมายื่นส่งให้หลี่เป่าผิง “เลือกมาจากร้านที่ถนนชมน้ำของเมืองหงจู๋ ไม่แพง อย่าได้รังเกียจ”
หลี่เป่าผิงสีหน้าสดใส เอามากอดไว้ในอ้อมอก ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “อาจารย์อาน้อยท่านโกหกคนอื่น”
ยิ้มกว้างโดยไม่รักษาภาพลักษณ์ของสตรีผู้เรียบร้อยเอาเสียเลย
ไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันเริ่มวางมาดของอาจารย์และอาจารย์อาน้อย “วันหน้าไม่ใช่ว่าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าไปแหย่รังผึ้งอีก แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นต้องหาทางหนีทีไล่ให้ดีเสียก่อน หากไม่ได้จริงๆ ก็ควรพกยาสมุนไพรติดตัวไปด้วย”
หลี่เป่าผิงยกสองมือกอดอก พยักหน้ารับอย่างแรง
เผยเฉียนทอดถอนใจ ทิ่มไม้เท้าลงกับพื้น “ต้องโทษข้า อานุภาพของวิชากระบี่มารคลั่งนี้ยังน้อยเกินไป”
สือโหรวไปเปิดประตูร้านต้อนรับลูกค้าแล้ว ตอนที่เดินเข้ามาในลานบ้านก็เห็นว่าเฉินผิงอันกำลังพยักหน้าบอกให้รู้ว่าตัวเองเข้าใจแล้ว
สือโหรวไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย
นายน้อยของนางเชี่ยวชาญการใช้เวลามองดูส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุดของสภาพจิตใจคน จิตใจของเขากว้างใหญ่ดุจภูเขาแม่น้ำ ทว่าจุดที่สายตามองไปล้วนเห็นส่วนที่เล็กจ้อยดุจเมล็ดงา
นี่คือคำประจบของจูเหลี่ยน
สือโหรวรู้สึกว่าไม่ถือเป็นคำยกยอปอปั้นทั้งหมด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “เป่าผิง ท่านปู่ของเจ้ามาแล้ว”
หลี่เป่าผิงลุกขึ้นตาม นางกระโดดผลุงขึ้นมา “อาจารย์อาน้อย เจอกันคราวหน้า ข้าน่าจะสูงเท่านี้แล้ว”
เผยเฉียนอ้าปากกว้าง คำพูดประเภทนี้นางสอดปากไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาเรื่องอับอายให้ตัวเองเลย
เฉินผิงอันหยิบเจว็ดรูปสตรีสวมผ้าคลุมหน้าชิ้นนั้นออกมา ยิ้มกล่าวว่า “เอานี่มอบให้หลี่ไหว”
หลี่เป่าผิงรับมาเก็บไว้อย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันพาพวกนางเดินไปถึงหน้าประตูร้าน เห็นบรรพบุรุษสกุลหลี่ที่มีขอบเขตเซียนดินก่อกำเนิดแล้วก็กุมหมัดกล่าวว่า “คารวะท่านปู่หลี่”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยอย่างปลาบปลื้มว่า “ดีมากๆ ได้ดิบได้ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคนข้างนอกอาจจะนึกว่าถ้ำสวรรค์หลีจูของพวกเรามีเพียงเจ้าลูกหมาป่าอย่างหม่าขู่เสวียนคนเดียวเท่านั้น นี่จะไม่ทำให้คนหัวเราะเยาะหรอกหรือ!”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป บ้านเรือนแต่ละหลังล้วนมีแบ่งแยกเล็กใหญ่ แต่เรื่องขนบธรรมเนียมประจำตระกูลนั้น มีเพียงเที่ยงตรงกับไม่เที่ยงตรงเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับว่าประตูเรือนกว้างแคบหรือสูงต่ำ ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของพวกเราสองครอบครัวล้วนไม่เลว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราสองฝ่ายทำอย่างไรแล้วสบายใจก็ทำไปอย่างนั้น วันหน้าหากมีเรื่องต้องขอร้องกัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือข้า ถึงเวลานั้นก็แค่เปิดปากได้ตามสบาย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับตอบรับ หากเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าดีที่สุดสำหรับสองฝ่าย
หลี่เป่าผิงจากไปพร้อมกับท่านปู่ แต่นางเดินถอยหลังพร้อมโบกมืออำลา
เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือตอบกลับเบาๆ
อยู่ดีๆ เผยเฉียนก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมาคล้ายปลงอนิจจังอย่างยิ่ง “พระจันทร์มีมืดมีสว่าง มีกลมมีเสี้ยว คนเรามีพบมีจากลา ช่างน่ากลัดกลุ้มจนคนต้องขยุ้มผมจริงๆ”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง
คราวนี้ไม่มัวมาสนแล้วว่ากลุ้มหรือไม่กลุ้ม เผยเฉียนแยกเขี้ยวร้องว่าเจ็บ
……
ตอนที่เฉินผิงอันพาเผยเฉียนไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
เผยเฉียนห้อยเตาเจี้ยนฉว่อ ถือไม้เท้าเดินป่า วิ่งวนไปวนมาอยู่รอบกายอาจารย์พลางเล่าถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของตนในช่วงที่ผ่านมาด้วย แน่นอนว่าเรื่องแหย่รังผึ้งนั้นไม่นับ นั่นเป็นเพราะนางประมาทเอง
ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่ว จูเหลี่ยนกำลังวาดภาพสาวงามภาพหนึ่ง สตรีที่อยู่ในภาพวาดคือเทพน้อยองค์หนึ่งที่เขาเหลือบไปเห็นโดยบังเอิญตอนอยู่ในงานเลี้ยงท่องราตรี
เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ด้านข้างคลี่ยิ้มเหยเก
เด็กสาวที่จูเหลี่ยนพาขึ้นเขามาด้วยกลับรู้สึกเพียงว่าไม่ว่าเรื่องอะไรเทพเซียนผู้เฒ่าจูก็ชำนิชำนาญ นี่ทำให้นางยิ่งเลื่อมใสเขามากกว่าเดิม
ชายแดนทิศใต้ของแคว้นหวงถิง บุรุษเรือนกายสูงเพรียวผู้หนึ่งสวมชุดสีขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ ท่วงท่าเปี่ยมเสน่ห์สง่างาม ตรงเอวห้อยดาบแคบไว้เล่มหนึ่ง ข้างกายมีพี่สาวน้องชายที่เป็นฝาแฝดคู่หนึ่งติดตามมาด้วย อายุประมาณสิบสองสิบสามปี หน้าตาคิ้วคางล้วนงามพิสุทธิ์ เพียงแต่ว่าคนสองคนที่หน้าตาเหมือนพี่สาวน้องชายคู่นี้ คนเป็นพี่สาวมีสายตาคมกริบ ตลอดทั้งร่างของเด็กสาวฉายประกายเฉียบคม ด้านหลังสะพายทวนไม้ที่ทำขึ้นเองไว้เฉียงๆ ส่วนเด็กหนุ่มข้างกายนางนั้นกลับเหมือนบัณฑิตที่สุภาพนุ่มนวลมากกว่า เขาสะพายหีบหนังสือ ห้อยกาน้ำไว้บนไหล่
พี่สาวน้องชายคู่นี้คือลูกศิษย์ที่บุรุษรับมาระหว่างเดินทาง ล้วนเป็นวัตถุดิบที่ดีในการฝึกวรยุทธ
ใบถงทวีป
สำนักกุยหยก
บนภูเขาห่างไกลที่ยังไม่ ‘เปิดยอดเขา’ แห่งหนึ่ง ตัวภูเขาสูงเสียดชั้นเมฆ สตรีหน้าตางามพิลาสคนหนึ่งสะพายกระบี่ยาวไว้ข้างหลัง กำลังทอดสายตามองทะเลเมฆ
ในจวนตระกูลเซียนที่มีไอหมอกเซียนล้อมวนบนภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ใกล้กับยอดเขาแห่งนี้ มีบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาปานหยกสวมกวานสูง สถานะของเขาในสำนักกุยหยกสูงส่ง เวลานี้กำลังยืนจับราวรั้ว ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังสตรีผู้นั้น เขารู้สึกว่าคู่บำเพ็ญเพียรของตนในชีวิตนี้ต้องเป็นนางแล้ว แค่นางคนเดียวเท่านั้น
ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป บนทางสายเล็กกลางป่าที่มุ่งหน้าสู่สำนักศึกษากวานหู
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้หนึ่งเดินอยู่ด้านหลังวัวดินสีเหลือง บุรุษเริ่มจะคิดถึงเจ้าเด็กตัวดำเป็นถ่านที่เฉลียวฉลาดน่าเอ็นดูผู้นั้นขึ้นมาบ้างแล้ว
ส่วนวัวเหลืองที่มีเขายาวเหมือนเขาควายตัวนั้น บนเขาข้างหนึ่งห้อยตำราม้วนภาพอักษรภาพเอาไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นเด็กหนุ่มชุดขาวที่งอขา ฟุบร่างครึ่งตัว ใช้สองมือพาดจับเขาวัว กลางหว่างคิ้วของเขามีไฝแดง หน้าตาหล่อเหลาบุคลิกดีเยี่ยม เนื้อหนังมังสาที่ห่อหุ้มร่างเขาไว้นี้ก็ยิ่งเหมือนเซียนบนสรวงสวรรค์ ทว่าเวลานี้เด็กหนุ่มชุดขาวกลับมีสีหน้าเบื่อหน่ายเหมือนอยากจะตาย เขาร้องโอดครวญเสียงดังว่า “เว่ยเซี่ยน ข้าคิดถึงอาจารย์ยิ่งนัก จะทำอย่างไรดี พอคิดว่าข้างกายอาจารย์ไม่มีข้าคอยปรนนิบัติพัดวี ลูกศิษย์อย่างข้าก็ร้อนใจราวกับมีไฟลน…”
เว่ยเซี่ยนไม่เอ่ยอะไร
แค่ชินแล้วก็ดีไปเอง เพราะทุกๆ สามวันห้าวันก็จะต้องมีฉากนี้เกิดขึ้น ต่อให้เขาเว่ยเซี่ยนจะเลื่อมใสนับถือคนผู้นี้แค่ไหนก็ยังอดรู้สึกรำคาญไม่ได้
ตลอดทางที่เดินทางร่วมกันมานี้ นอกจากธุระสำคัญที่เป็นการเป็นงานแล้ว ช่วงเวลาที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เจ้าหมอนี่ก็มักจะหาเรื่องให้ตัวเองทำอยู่เสมอ แน่นอนว่ามือย่อมเปื้อนเลือดอย่างเลี่ยงไม่ได้ และการที่เขาเล่นกับจิตใจคนก็ยิ่งทำให้เว่ยเซี่ยนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เพียงแต่ว่าคำพูดบางอย่างที่ซ่อนแฝงอยู่ในการกระทำเหล่านั้นกลับทำให้เว่ยเซี่ยนรู้สึกหัวโต ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางผ่านสำนักผู้ฝึกตนผีที่อำพรางตัวอย่างดีเยี่ยมแห่งหนึ่ง เจ้าหมอนี่กลับเล่นงานผู้ฝึกตนนอกรีตกลุ่มนั้นเสียจนหัวหมุน นับตั้งแต่ห้าขอบเขตล่างถึงขอบเขตถ้ำสถิต แล้วก็ค่อยๆ ไต่ระดับไปถึงขอบเขตก่อกำเนิด ทุกครั้งที่เกิดการเข่นฆ่าล้วนแสร้งทำเป็นว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย จากนั้นก็ปั่นหัวคนทั้งสำนักจนมีสภาพอเนจอนาถ
หลังจากที่ทำตัวเป็นนกพิราบยึดครองรังนกกางเขน ตั้งตัวเป็นราชาแห่งขุนเขาชั่วคราวแล้ว ก็จัดงานเลี้ยงใหญ่โตเชื้อเชิญกลุ่มผู้กล้าเป็นวงกว้าง อีกทั้งตอนอยู่ในงานเลี้ยงยังพูดจาเหลวไหล ผลกลับกลายเป็นว่าพอมีคนพูดถึงอาจารย์ของเขา เขาก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้คนเต็มห้องโถงซึ่งโชคดีรอดพ้นจากหายนะมาได้ไม่รู้ว่าควรจะพูดประจบเอาใจอย่างไร และหลังจากบรรยากาศชวนอึดอัดผ่านพ้นไป เขาก็ตบคนอีกสองคนตายไปอย่างไม่ใส่ใจ อะไรที่เรียกว่า ‘บอกตามตรง หากข้าไม่ทันระวังทำให้อาจารย์ของข้าเดือดดาล หากประมือกันขึ้นมา ไม่ใช่ว่าข้าคุยโว ไม่จำเป็นต้องถึงครึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ ข้าก็สามารถทำให้อาจารย์ขอร้องข้าว่าอย่าฆ่าเขาให้ตายได้แล้ว’?
“ใบไม้ร่วงกำลังจะผ่านไป ฤดูหนาวใกล้มาเยือน แมลงมากขาอิจฉางูที่ไร้ขา งูที่ไร้ขาอิจฉาสายลมที่มองไม่เห็น ลมที่มองไม่เห็นอิจฉาดวงตาที่มองเห็นสิ่งนอกกาย อาจารย์สงสารลูกศิษย์ที่น่าสงสาร…”
เด็กหนุ่มยังห้อยตัวอยู่บนเขาวัว ขาสองข้างปัดป่ายไปเรื่อย แล้วก็ยังคงร้องโอดครวญเสียงดังไม่หยุด ทำเอาเหล่านกกาจำนวนนับไม่ถ้วนตกใจบินแตกฮือหนีไป
—–