กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 481 อาจารย์ลูกศิษย์ ครูและศิษย์
ในฐานะหนึ่งในภูเขาไม่กี่ลูกที่สูงที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจู เดิมทีภูเขาลั่วพั่วก็เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมพระจันทร์อยู่แล้ว
ชุยตงซานที่สวมชุดขาวปิดประตูไม้ไผ่ของเรือนเบาๆ เมื่อเด็กหนุ่มที่รูปโฉมงดงามดุจเทพเซียนหยุดยืนนิ่ง ก็สมกับเป็นแสงจันทร์และเมฆขาวที่กลับคืนมาอย่างแท้จริง
ชุยตงซานเดินย่องขึ้นชั้นสอง ผู้เฒ่าชุยเฉิงมายืนอยู่ตรงระเบียงแล้ว แสงของดวงจันทร์คล้ายสายน้ำที่ชำระล้างราวรั้ว ชุยตงซานเรียกท่านปู่หนึ่งคำ ผู้เฒ่าก็ผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม
ปู่หลานสองคน ผู้เฒ่ายืนเอามือไพล่หลัง ชุยตงซานฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างห้อยย้อยอยู่นอกราว
ชุยเฉิงไม่อยากจะพูดอะไรกับชุยฉานมากนัก แต่กับ ‘ชุยตงซาน’ ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของจิตวิญญาณที่ถูกแบ่งออกมาที่บางทีเป็นเพราะสอดคล้องกับความทรงจำในอดีตมากกว่า ชุยเฉิงจึงสนิทสนมกับเขามากกว่า
ชุยเฉิงเอ่ยถาม “ทำไมถึงกลับมาเสียล่ะ?”
ชุยตงซานเอ่ยเบาๆ “เตร็ดเตร่ไปมาอยู่ด้านนอก มักรู้สึกว่าน่าเบื่อ พอไปถึงอาณาเขตของสำนักศึกษากวานหู คิดอยากจะพบหน้าอาจารย์สอนหนังสือพวกนั้น แต่พอเจอกันกลับเหมือนเป็ดที่คุยกับไก่ หงุดหงิดก็เลยแอบหนีกลับมา”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “ในเมื่อทำเรื่องใหญ่ที่ไม่ผิดต่อเจตจำนงเดิม ก็ควรจะมีความมั่นคง จะเอาแต่คิดว่าน่าเบื่อหรือน่าสนใจไม่ได้”
ชุยตงซานใช้คางแทนผ้า เช็ดกลับไปกลับมาบนราวระเบียง “ทราบแล้ว”
ชุยเฉิงถาม “จะกลับคืนนี้เลยหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ธุระสำคัญยังคงต้องทำ เจ้าตะพาบเฒ่าชอบเอาจริงเอาจัง กล้าเดิมพันก็ต้องกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ ในเมื่อตอนนี้ตัวข้าเองเลือกจะก้มหัวให้เขา แน่นอนว่าย่อมไม่คิดจะถ่วงรั้งกิจการงานใหญ่ของเขา ต้องมุมานะบากบั่น จริงจังตั้งใจ ถือซะว่าเป็นการส่งการบ้านให้กับอาจารย์ในโรงเรียนเหมือนตอนยังเด็กก็แล้วกัน”
ชุยเฉิงไม่ได้พูดอะไรมาก ผู้เฒ่าไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะไปชี้นิ้วสั่งพวกเขา ปีนั้นเป็นเพราะเขาสั่งสอนด้วยวิธีการที่คร่ำครึมากไป กรอกเหตุผลหลักการที่ตายตัวมากไป อีกทั้งยังชอบวางมาด เจ้าลูกกระต่ายน้อยถึงได้จากบ้านไปด้วยความขุ่นเคือง ออกเดินทางไกลจากบ้านเกิด แล้วก็ออกจากแจกันสมบัติทวีปไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเสียเลย จากนั้นก็ได้ยอมรับซิ่วไฉเฒ่ายากจนเป็นอาจารย์ สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ของผู้เฒ่า ตอนนั้นทุกครั้งที่ชุยฉานส่งจดหมายกลับมาบ้านล้วนจะต้องรีดไถเอาเงิน ผู้เฒ่าทั้งโมโห แล้วก็ทั้งสงสาร ทายาทสายตรงสกุลชุยที่ยิ่งใหญ่ กลับไปร่ำเรียนอยู่ในตรอกเก่าโทรมยากจน จะได้ความรู้ที่ดีมาสักเท่าไหร่กันเชียว? หากเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า ในเมื่อยอมอ่อนข้อให้กับทางตระกูล เป็นฝ่ายเปิดปากขอร้อง ทุกเดือนกลับขอเงินน้อยนิดแค่นั้น นี่ก็ยังกล้าพูดด้วยหรือ? จะซื้อตำราอริยะปราชญ์ได้สักกี่เล่มกันเชียว? ต่อให้ไม่กินไม่ดื่มตลอดทั้งปี จะรวบรวมจนหาซื้ออุปกรณ์ตกแต่งห้องหนังสือที่พอจะเข้าท่าเข้าทีได้สักชุดไหม? แน่นอนว่านับจากนั้นเป็นเวลาที่ยาวนานมาก กว่าที่ผู้เฒ่าจะรู้ว่าความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นสูงส่งจนถึงขั้นเป็นดั่งตะวันกลางนภา
ชุยเฉิงกล่าว “เมื่อครู่นี้ชุยฉานมาหาเฉินผิงอันแล้ว น่าจะเปิดเผยจนหมดเปลือกแล้ว”
ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ ชุยฉานมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง อันที่จริงชุยตงซานก็มองชุยฉานออกไม่ต่างกัน ถึงอย่างไรก็เคยเป็นคนคนเดียวกันมาก่อน
ชุยตงซานหันหน้ากลับมา “ไม่อย่างนั้นข้าจากไปให้ช้าหน่อย?”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “เจ้าจะจากไปช้าหรือจะจากไปเร็ว ข้าขวางได้อยู่หรือ? นอกจากตอนเด็กที่ขังเจ้าไว้ในหอเก็บตำรา หลังจากนั้นมา มีครั้งไหนที่เจ้าเชื่อฟังปู่บ้าง?”
ชุยตงซานกล่าว “ครั้งนี้ข้าจะเชื่อฟังท่านปู่”
ชุยเฉิงเอ่ย “ก็ได้ เดี๋ยวถ้าเขาบ่น เจ้าก็ผลักเรื่องนี้มาที่ข้าก็แล้วกัน”
ชุยตงซานค่อยๆ คลี่ยิ้ม ปีนขึ้นไปนั่งบนราวระเบียงอย่างคล่องแคล่ว แล้วพลิกตัวพลิ้วกายลงไปบนพื้นชั้นหนึ่ง ก่อนจะเดินอาดๆ ไปทางเรือนพักของพวกจูเหลี่ยน เขาไปที่เรือนของเผยเฉียนก่อน ขณะที่เดินไปยังส่งเสียงประหลาด แลบลิ้นปลิ้นตา แสยะเขี้ยวกางเล็บ ทำเอาเผยเฉียนที่งัวเงียตื่นขึ้นมาตกใจสะดุ้งโหยง หยิบยันต์กระดาษเหลืองออกมาแปะบนหน้าผากด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ จากนั้นไม่คิดจะสวมรองเท้าก็คว้าไม้เท้าเดินป่าพุ่งตัวไปทางหน้าต่างอย่างว่องไว หลับตาร่ายวิชากระบี่มารคลั่งไปหนึ่งคำรบพร้อมโหวกเหวกเสียงดัง “รีบไปซะ รีบไปซะ! แล้วจะเว้นชีวิตเจ้า!”
ชุยตงซานคำรามอย่างเดือดดาล “ทำหน้าต่างเรือนของอาจารย์ข้าพัง เจ้าใช้เงินมาเลยนะ!”
เผยเฉียนอึ้งอยู่กับที่ ยื่นสองนิ้วออกมากดยันต์บนหน้าผากเบาๆ ป้องกันไม่ให้มันร่วงหลุด หากภูตผีปีศาจจงใจแสร้งจำแลงร่างเป็นชุยตงซานขึ้นมาเล่า นางจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด จึงถามหยั่งเชิงไปว่า “ข้าคือใคร?”
ชุยตงซานยิ้มตาหยีตอบ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างไรเล่า”
เผยเฉียนเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ดูท่าจะเป็นชุยตงซานจริงๆ นางจึงวิ่งตุปัดตุเป๋มาที่หน้าต่าง เขย่งปลายเท้า ถามอย่างใคร่รู้ “ทำไมเจ้าถึงกลับมาอีกแล้วเล่า?”
ชุยตงซานถามกลับ “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
เผยเฉียนปลดยันต์เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ วิ่งไปเปิดประตู ผลกลับกลายเป็นว่าไม่เห็นเงาร่างของชุยตงซานอยู่แล้ว หมุนตัวหนึ่งรอบก็ยังหาไม่เจอ พอเงยหน้าขึ้นถึงเห็นว่าเจ้าคนสวมชุดขาวผู้นั้นห้อยหัวอยู่ใต้ชายคา ทำเอาเผยเฉียนตกใจนั่งแปะลงไปบนพื้น น้ำตาเริ่มมาคลอที่ดวงตาของเผยเฉียน ขณะที่นางกำลังจะแผดเสียงร้องไห้ ชุยตงซานที่เหมือนแท่งน้ำแข็งย้อยจากชายคาในวันที่หิมะตกหนักก็ทิ้งตัวตรงๆ ลงมาบนพื้น พอเห็นภาพนี้ เผยเฉียนก็หัวเราะได้ทั้งน้ำตา ความน้อยเนื้อต่ำใจหายวับไปในทันที
ชุยตงซานพลิกตัวกลับขึ้นมา สะบัดชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ ถามชวนคุยว่า “สาวใช้ตาไร้แววผู้นั้นเล่า?”
เผยเฉียนตอบอย่างระมัดระวัง “ตอนนี้พี่หญิงสือโหรวช่วยดูแลกิจการอยู่ที่ร้านยาสุ้ย ช่วยหาเงินร่วมกับข้า ไม่มีคุณความชอบก็มีคุณความเหนื่อยยาก เจ้าห้ามรังแกนางอีก ไม่อย่างนั้นข้าจะฟ้องอาจารย์”
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “ฟ้อง? อาจารย์ของเจ้าคืออาจารย์ของข้า เห็นได้ชัดว่าสนิทกับข้ามากกว่า ตอนที่ข้าได้รู้จักกับอาจารย์ เจ้าก็ไม่รู้ว่าไปมั่วเล่นดินเล่นทรายอยู่ตรงไหน”
เผยเฉียนไม่ยินดีจะอ่อนข้อให้เขาในเรื่องนี้ จึงคิดแล้วเอ่ยว่า “คราวนี้อาจารย์เดินทางไปท่องเที่ยวในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย ยังเอาของขวัญมาฝากข้าอีกกองใหญ่ นับก็นับได้ไม่หมด เจ้ามีไหม? ต่อให้มี จะมีได้เยอะเท่าข้าหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เจ้าคิดจะแข่งเรื่องทรัพย์สมบัติกับนายท่านใหญ่ผู้มีสมบัติมากมายที่คนในยุทธภพเรียกขานกันอย่างข้างั้นหรือ?”
เผยเฉียนพูดอย่างจริงจัง “ของตัวเองไม่นับ พวกเรามาแข่งกันแค่ของที่อาจารย์มอบให้พวกเรา”
ชุยตงซานแบสองมือ “แพ้ให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ไม่น่าอายหรอก”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ผู้ที่รู้จักสถานการณ์คือผู้มีสติปัญญา”
ชุยตงซานยื่นนิ้วมาจิ้มหน้าผากเผยเฉียน “เจ้าแสร้งทำท่าเป็นปัญญาชนเช่นนี้ คงทำให้อริยะปราชญ์สมัยโบราณโมโหตายเลยกระมัง”
เผยเฉียนเอามือปัดเท้าสุนัขของชุยตงซานทิ้ง พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “บังอาจ”
ชุยตงซานขำก๊าก คำดีๆ เช่นนี้ กลับถูกเจ้าถ่านดำน้อยนำมาใช้อย่างไร้ความองอาจเสียได้
ชุยตงซานเริ่มเดินออกไปนอกลานบ้าน “ไป ไปหาหัวหมูเล่นกัน”
เผยเฉียนไม่ง่วงแล้ว จึงเดินตามหลังชุยตงซานไปอย่างอารมณ์ดี เล่าให้เขาฟังถึงวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ตนไปแหย่รังผึ้งกับพี่หญิงเป่าผิง ชุยตงซานเอ่ยถาม “ตนเองซุกซนก็ช่างเถิด ยังเดือดร้อนให้เป่าผิงน้อยต้องซวยไปด้วย อาจารย์ไม่ตีเจ้าหรือไร?”
เผยเฉียนกลอกตามองบน “เชิญพูดจาโง่เง่าได้ตามสบาย”
ชุยตงซานทอดถอนใจ “อาจารย์ของข้าเลี้ยงเจ้าเป็นเหมือนลูกสาวตัวเองจริงๆ”
เผยเฉียนชอบใจอยางยิ่ง เจ้าห่านขาวเข้าใจพูดกว่าพ่อครัวเฒ่ามากนัก
ส่วนเจ้าห่านขาวที่ว่านี้ ก็คือฉายาที่เผยเฉียนแอบตั้งให้ชุยตงซาน เรื่องนี้นางบอกแค่พี่หญิงเป่าผิงที่ ‘ปิดปากสนิทเหมือนปิดขวด’ ที่สุดเท่านั้น
เดินผ่านเรือนแห่งหนึ่งก็มีเสียงอาภรณ์สะบัดดังทึบๆ จากการฝึกท่าหมัดเดินนิ่งดังลอยมาจากในกำแพง
ชุยตงซานเหยียบอากาศเดินขึ้นไปยืนอยู่นอกหัวกำแพง เห็นว่าเป็นเด็กสาวหน้าตางดงามเรือนร่างสะโอดสะองคนหนึ่งกำลังฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวที่อาจารย์ของตนเชี่ยวชาญที่สุด เผยเฉียนวางไม้เท้าพิงผนังเอาไว้ ถอยหลังไปหลายก้าว แล้วกระโดดขึ้นสูง เหยียบลงบนไม้เท้าเดินป่า สองมือคว้าจับหัวกำแพง สองแขนออกแรงเล็กน้อยก็สามารถยื่นหัวออกไปดูได้สำเร็จ ชุยตงซานขยี้ข้างแก้มของตัวเอง พูดพึมพำว่า “วิชาหมัดนี้ต่อยได้บาดตาข้าจริงๆ”
เผยเฉียนกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เฉินยวนจีผู้นี้นิสัยไม่เลว เพียงแค่โง่ไปหน่อยเท่านั้น”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “มองออกอยู่เหมือนกัน”
ถึงอย่างไรเฉินยวนจีก็เป็นตัวอ่อนในการฝึกยุทธที่จูเหลี่ยนหมายตา คือสตรีที่มีหวังว่าจะเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธร่างทอง แล้วก็เพราะมาอยู่ในสถานที่ที่ทั้งเทพเซียนและภูตผีเข้าออกกันมั่วซั่วแห่งนี้ ถึงได้ไม่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นหากโยนไปไว้ในแคว้นซูสุ่ย แคว้นไฉ่อี หากปล่อยให้นางเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดได้ นั่นก็เท่ากับเป็นปรมาจารย์ใหญ่ตัวจริงเสียงจริง เมื่อเดินอยู่ในยุทธภพที่น้ำตื้นแห่งนั้นก็เหมือนคนที่เดินลุยน้ำในป่าเขา สะเก็ดน้ำแตกกระจาย
เพียงแต่ว่าเฉินยวนจีเพิ่งจะฝึกหมัด ตอนที่ฝึกสามารถทุ่มสมาธิทั้งหมดไว้กับการฝึกก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว ดังนั้นรอจนนางหยุดท่าหมัดเพื่อพักเล็กน้อยถึงเพิ่งจะได้ยินเสียงซุบซิบมาจากตรงกำแพง นางเบี่ยงตัวหันข้างทันใด พร้อมกับก้าวถอยหลัง มือสองข้างดึงระยะห่างจากกันเพื่อตั้งท่าหมัด เงยหน้าคำรามเดือดดาล “ใคร?!”
เมื่อนางเห็นศีรษะของ ‘เด็กหนุ่ม’ ที่หน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นก็ขมวดคิ้ว เหตุใดถึงมีคนแปลกหน้าที่ลักษณะคล้ายเจ๋อเซียนโผล่มาได้ แล้วก็หันไปเห็นเผยเฉียนที่กำลังยิ้มกว้าง เฉินยวนจีถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
ชุยตงซานเอาศอกสองข้างเท้าไว้บนหัวกำแพง ถามว่า “เจ้าคือหัวหมู…อ้อ ไม่สิ คือลูกศิษย์ได้รับการบันทึกชื่อที่จูเหลี่ยนเลือกขึ้นมาบนภูเขาหรือ?”
เฉินยวนจีไม่ได้ตอบคำถาม นางมองไปทางเผยเฉียน
เผยเฉียนยิ้มตาหยีพูดแนะนำว่า “เขาน่ะ ชื่อว่าชุยตงซาน คือลูกศิษย์ของอาจารย์ข้า พวกเรามีศักดิ์เท่ากัน”
เฉินยวนจีเริ่มพึมพำ
ลูกศิษย์ของเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นั้น?
เด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่มองดูแล้วให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาตรงหน้าผู้นี้โง่หรือไร? รับใครไม่รับ ดันมารับเจ้าคนไร้ความรู้ไร้ความสามารถผู้นั้นเป็นอาจารย์อย่างนั้นหรือ? ตลอดทั้งปีก็ดีแต่จะไปเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก เป็นเถ้าแก่แต่กลับไม่สนใจดูแลร้าน บางครั้งที่กลับภูเขามา ได้ยินว่าหากไม่ได้ร่วมงานเลี้ยงไปทั่วก็ดื่มเหล้าจนเมามายอย่างที่นางเห็นกับตาตัวเองในคืนนั้น เจ้าจะเรียนรู้อะไรจากเจ้าคนผู้นั้นได้? เจ้าคนผู้นั้นก็ช่างถูกน้ำมันหมูบดบังหัวใจจริงๆ ถึงขั้นกล้าเป็นอาจารย์คนอื่น ขาดเงินขนาดนี้เชียวหรือ?
เฉินยวนจีถอนหายใจอยู่ในใจ สายตาที่มองเด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตางดงามฉายแววเวทนา
ชุยตงซานเอ่ยเบาๆ “โง่จริงๆ ด้วย ไม่ได้แกล้งทำ”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที “ข้าไม่ได้โกหกเจ้าใช่ไหมล่ะ”
ศีรษะเล็กใหญ่สองหัวหายวับไปจากหัวกำแพงแถบนั้นแทบจะเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าใจตรงกันเป็นอย่างยิ่ง
เฉินยวนจีได้ยินไม่ถนัด แล้วก็คร้านจะถือสา ถึงอย่างไรบนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ก็มีคนประหลาดเรื่องประหลาดเยอะอยู่แล้ว
ชุยตงซานไม่ได้ไปหาจูเหลี่ยน แต่พาเผยเฉียนขึ้นไปบนยอดเขาลั่วพั่ว กระทืบเท้าหนึ่งทีแล้วตวาดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ยังไม่ไสหัวออกมาอีก”
ซ่งเย่จางเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วรีบเผยร่างจริงทันใด เมื่อเผชิญหน้ากับ ‘เด็กหนุ่ม’ ที่เขารู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายตั้งแต่ปีนั้น ซ่งเย่จางที่ยืนอยู่บันไดขั้นล่างสุดนอกศาลก็ประสานมือโค้งคำนับต่ำสุด แต่กลับไม่เอ่ยเรียกอะไร
สีหน้าของชุยตงซานมืดทะมึน ทั่วร่างอบอวลไปด้วยปราณดุร้าย ก้าวยาวๆ ไปเบื้องหน้า ซ่งเย่จางยืนอยู่ที่เดิม
เผยเฉียนเห็นท่าไม่ดี ชุยตงซานเริ่มผีเข้าอีกแล้วใช่ไหม? นางจึงรีบตามหลังชุยตงซานไปพร้อมกับพูดเกลี้ยกล่อมเบาๆ “พูดจากันดีๆ ญาติที่อยู่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง ถึงเวลานั้นคนที่ลำบากใจก็ต้องเป็นอาจารย์ของข้านะ”
ชุยตงซานถอนหายใจ ยืนอยู่ตรงหน้าเทพภูเขาลั่วพั่วที่มีสีหน้าเป็นธรรมชาติผู้นี้ ถามว่า “เป็นขุนนางจนตัวตาย กว่าจะได้เป็นเทพภูเขาไม่ใช่เรื่องง่าย ยังไม่ฉลาดขึ้นอีกหรือ?”
แม้ว่าซ่งเย่จางจะยำเกรง ‘ราชครูชุยฉาน’ ผู้นี้ แต่เขาไม่เคยละอายใจกับการวางตัวในสังคมของตัวเอง จึงเป็นเหตุให้ไม่รู้สึกขลาดกลัวกับคำถามนี้แม้แต่น้อย เพียงเอ่ยตอบเนิบช้าว่า “คนที่เป็นขุนนางและเป็นคนที่ดีได้ อย่าว่าแต่ต้าหลีของพวกเราที่ไม่ขาดแคลนเลย นับตั้งแต่ราชวงศ์สกุลหลูที่ล่มสลายไปแล้ว มาจนถึงสกุลเกาต้าสุยที่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ แล้วก็ไปถึงแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ ที่ขับเรือตามกระแสลมอย่างพวกแคว้นหวงถิง มีน้อยนักหรือ?”
ชุยตงซานถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า เป็นขุนนางก็ดี เป็นเทพภูเขาก็ช่าง เจ้าถูกสกุลซ่งต้าหลีวางไว้ที่ตำแหน่งเหล่านี้ สุดท้ายแล้วเจ้าแสวงหาการเติมเต็มศีลธรรมในตัวเอง หรือมีจิตคิดทำเพื่อปวงประชาและบ้านเมืองอย่างเดียว?”
ซ่งเย่จางเอ่ยถาม “ใต้เท้าราชครู จะไม่อนุญาตให้ข้าน้อยมีทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันเลยหรือ?”
ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อ พูดอย่างหมดความอดทน “คร้านจะเปลืองน้ำลายกับเจ้า”
ซ่งเย่จางโค้งคำนับอย่างระมัดระวังและสำรวม ร่างทองกลับคืนไปในเทวรูปดินเผา อีกทั้งยังเป็นฝ่าย ‘ปิดประตู’ ลงด้วยตัวเอง ล้มเลิกความคิดที่จะไปลาดตระเวนตรวจตราภูเขาลั่วพั่วลงชั่วคราว
ชุยตงซานพาเผยเฉียนเดินเล่นไปบนยอดเขา เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “ทำไมต้องโกรธด้วย?”
“โกรธที่ไหนกัน ข้าไม่เคยโกรธคนโง่ แค่กลุ้มที่ตัวเองฉลาดไม่มากพอ”
ชุยตงซานส่ายหน้า แบสองมือออกแล้วทำท่าประกอบ “ทุกคนล้วนมีวิธีการใช้ชีวิต ความรู้ หลักการเหตุผล คำพูดเก่าแก่ ประสบการณ์ ฯลฯ เป็นของตัวเอง เมื่อเอาทุกอย่างมารวมกัน ก็คือบ้านหลังหนึ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น บ้างก็เล็ก ก็เหมือนกับบ้านหลังเล็กในตรอกหนีผิง ตรอกซิ่งฮวาพวกนั้น บ้างก็ใหญ่ คล้ายกับจวนที่อยู่ในตรอกเถาเย่ ถนนฝูลวี่ ถ้ำสถิตตระกูลเซียนของภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ หรือแม้แต่วังหลวงในโลกมนุษย์ นครจักรพรรดิขาวของใต้หล้ามืดสลัว นอกจากจะมีความเล็กใหญ่แล้ว ก็ยังแบ่งแยกในเรื่องของความมั่นคงด้วย ใหญ่แต่ไม่มั่นคง ก็คือหอเรือนกลางอากาศ กลับกลายเป็นว่าสู้บ้านหลังเล็กแต่หนาแน่นไม่ได้ เมื่อยามถูกลมพัดถูกฝนตกใส่ก็โยกคลอน พอหายนะมาเยือนก็เหมือนอาคารหลังใหญ่ที่ล้มครืน นอกจากนี้ก็ยังต้องดูว่าประตูและหน้าต่างมีมากหรือน้อย มีมาก อีกทั้งยังเปิดอ้าเป็นประจำ ก็จะมองเห็นทัศนียภาพที่อยู่ด้านนอกได้อย่างรวดเร็ว มีน้อย อีกทั้งยังปิดเอาไว้อยู่เสมอ ก็หมายความว่าคนคนนั้นดื้อดึงอย่างยิ่ง ง่ายที่จะเป็นพวกดันทุรัง ใช้ชีวิตด้วยอัตตาที่สูงมาก”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ข้าชอบมองเรือนน้อยใหญ่ ดังนั้นคำพูดเหล่านี้ของเจ้า ข้าเข้าใจ เทพภูเขาที่ไม่กลัวเจ้าผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นคนประเภทที่บานประตูหัวใจปิดสนิท ดื้อรั้น ถือทิฐิ”
ชุยตงซานหันหน้ามาชำเลืองตามองดวงตาคู่นั้นของเผยเฉียนแล้วยิ้มกล่าวว่า “ใช้ได้นี่นา ฉลาดไม่เบา”
เผยเฉียนยกสองแขนขึ้นกอดอก กอดไม้เท้าเดินป่าอันนั้นเอาไว้ “ก็ใช่น่ะสิ ข้าใกล้จะได้เป็นคนที่ไปเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนแล้ว”
ชุยตงซานยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องพูดเตือนเจ้าสักคำ อาณาเขตของเรือนหลังหนึ่งมีจำกัด บรรจุนี่ได้ แต่บรรจุนั่นไม่ได้ เหตุใดบัณฑิตหลายคนถึงได้เรียนจนโง่? นั่นก็เพราะว่าอ่านตำราที่อยู่บนเส้นสายเดียวกันมามากเกินไป ทุกครั้งที่อ่านเพิ่มมาหนึ่งเล่ม ก็เป็นการปิดประตูหน้าต่างบานหนึ่งเพิ่มขึ้น ดังนั้นยิ่งถึงท้ายที่สุด ก็ยิ่งมองเห็นโลกใบนี้ไม่ชัด เวลาเพียงชั่วพริบตาผ่านไป เส้นผมก็ขาวโพลนแล้ว แต่กลับยังเกาหัวนั่งงงอยู่ตรงนั้นว่าเหตุใดข้าผู้อาวุโสอ่านหนังสือมามากขนาดนี้ แต่กลับยังมีชีวิตสู้หมูหมาสักตัวก็ไม่ได้ ถึงท้ายที่สุดก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ที่ขนบธรรมเนียมทางสังคมตกต่ำลง หาใช่ความผิดของข้าไม่”
เผยเฉียนกวาดตามองไปรอบด้าน เมื่อไม่เห็นใครถึงได้พูดเบาๆ ว่า “ข้าไปเรียนที่โรงเรียนก็เพื่อไม่ให้อาจารย์ต้องคอยเป็นห่วงตอนเดินทางไกล ไม่ใช่จะไปเรียนจริงๆ เสียหน่อย อ่านตำราที่หนักอึ้งทีไร ข้าก็ปวดกบาลทุกที”
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้ววิ่งห้อลงจากภูเขาไป “ไปฟ้องอาจารย์ดีกว่า”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง น้ำตาคลอเจียนหยด แล้วก็เริ่มสาวเท้าวิ่งตะบึงอย่างบ้าคลั่ง ไล่ตามเจ้าห่านขาวผู้นั้นไป
ชุยตงซานพลันหยุดกึก ยืนอยู่ด้านล่างสุดของขั้นบันได หันหน้าไปมองก็เห็นว่าเด็กน้อยผิวดำเกรียมคนหนึ่งที่เพื่อไล่ตามตัวเองให้ทัน เลยไม่สนใจว่าตัวเองจะหกล้มได้รับบาดเจ็บหรือไม่ นางที่อยู่บนยอดเขาดีดปลายเท้ากระโดดลอยตัวขึ้นสูง คล้ายเด็กหนุ่มรองเท้าสานของตรอกหนีผิงปีนั้นที่เหมือนอินทรีโฉบข้ามลำธาร
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ ลูกศิษย์ ศิษย์ ที่แท้พวกเราสามคนล้วนเหมือนกัน ต่างก็กลัวการเติบโตถึงเพียงนั้น แต่กลับจำต้องเติบโต”
ทันใดนั้นฝ่ามือหนึ่งก็ฟาดลงบนท้ายทอยด้านหลังของชุยตงซาน แขกที่มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญหัวเราะอย่างฉุนๆ “รังแกเผยเฉียนอีกแล้ว”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ชุดเขียวที่เพิ่งจะพุ่งตัวจากเรือนไม้ไผ่มาถึงยอดเขาก็ดีดปลายเท้าทะยานร่างออกไปคว้าร่างของเผยเฉียนเอาไว้ แล้วปล่อยนางลงบนพื้น ชุยตงซานยิ้มพลางค้อมเอวโค้งคำนับ “ศิษย์ผิดไปแล้ว”
เผยเฉียนเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้า กลอกตาหนึ่งที แล้วก็เริ่มช่วยพูดแทนชุยตงซาน “อาจารย์ ข้าแค่หยอกเล่นกับเขาเท่านั้น อันที่จริงพวกเราไม่ได้พูดอะไรกันเลย”
ชุยตงซานพยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ใช่ๆๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเจ้าฟังแล้วเชื่อไหม?”
เผยเฉียนกับชุยตงซานพูดขึ้นมาพร้อมกัน “เชื่อ!”
เฉินผิงอันไม่ได้ซักไซ้เอาความจนถึงที่สุด ถึงอย่างไรก็คงเป็นเรื่องเหลวไหลหาสาระไม่ได้อยู่แล้ว
สามคนลงจากภูเขาไปพร้อมกัน
อาจารย์กับลูกศิษย์ ครูและศิษย์ (ในวรรคนี้หากแปลเป็นภาษาไทยล้วนแปลได้ว่าอาจารย์กับลูกศิษย์เหมือนกัน เพียงแต่ในภาษาจีนใช้คำศัพท์ต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งแยกระดับความใกล้ชิดได้ วรรคแรกใช้คำว่าเซียนเซิงกับเซวี๋ยเซิง ซึ่งจะเป็นคำที่เป็นทางการมากกว่า ส่วนวรรคหลังคือซือฟู่กับตี้จื่อ จะแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมมากกว่า ในเรื่องนี้ชุยตงซานจะเรียกเฉินผิงอันว่าเซียนเซิงที่แปลว่าอาจารย์ตลอด ส่วนเผยเฉียนจะเรียกอาจารย์ของตัวเองว่าซือฟู่ ซึ่งในภาษาไทยในเชิงความหมายจะไม่มีความต่างตรงนี้)
ชุดเขียว ชุดขาว ถ่านดำน้อย
—–