กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 482.1 แสงจันทร์ในใต้หล้า สาดส่องลงมาที่ภูเขาลูกนี้มากที่สุด
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 482.1 แสงจันทร์ในใต้หล้า สาดส่องลงมาที่ภูเขาลูกนี้มากที่สุด
คนทั้งสามมาถึงหน้าผาหินแล้วต่างคนก็ต่างนั่งลง ตำแหน่งที่อยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ทั้งชุยตงซานและเผยเฉียนต่างก็ไม่เต็มใจจะไปนั่ง เพราะห่างจากอาจารย์ของพวกเขาไกลไปหน่อย
ประตูเรือนหลังใหญ่แสงจันทร์น้อยกว่าแสงไฟ ป่าเขาลำเนาไพรสว่างไสวน่าชื่นชม
คนทั้งสามทอดสายตามองไปไกลด้วยกัน คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงที่สุด กลับกลายเป็นคนที่ทอดสายตามองไปในระยะใกล้มากที่สุด ต่อให้อาศัยแสงจันทร์ เฉินผิงอันก็ยังไม่มองไปไกลนัก เผยเฉียนกลับมองไปเห็นว่าทางฝั่งของเมืองหงจู๋ยังคงมีแสงสว่างเรืองรอง ตรงภูเขาฉีตุนก็เป็นสีเขียวอ่อนจางๆ นั่นคือแสงไอน้ำที่ผืนป่าไผ่เฟิ่นหย่งจากภูเขาชิงเสินซึ่งเว่ยป้อเป็นผู้ปลูกเหลือไว้หล่อเลี้ยงบำรุงผืนป่า ในฐานะเซียนดินก่อกำเนิด ชุยตงซานย่อมมองเห็นไปไกลยิ่งกว่านั้น เค้าโครงคร่าวๆ ของแม่น้ำใหญ่สามสายอย่างซิ่วฮวา ชงตั้นและอวี้เย่ ความลดเลี้ยวเคี้ยวคดของพวกมันล้วนอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด
เผยเฉียนหยิบเมล็ดแตงกำหนึ่งออกจากในกระเป๋ามาวางไว้บนโต๊ะหิน มีความสุขคนเดียวไม่สู้มีความสุขร่วมกัน เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่นางวางกลับค่อนข้างจะพิถีพิถัน เพราะค่อนข้างอยู่ใกล้กับอาจารย์และตนเอง
ชุยตงซานฟังเสียงแผ่วเบาที่เปลือกเมล็ดแตงร่วงลงสู่พื้น พอคืนสติก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงบิดหมุนข้อมือ หยิบเอาถุงไม่เล็กไม่ใหญ่ออกมาสี่ใบแล้ววางลงบนโต๊ะเบาๆ ประกายแสงเรืองรองไหลเวียนวน แต่ละถุงสีสันต่างกันออกไป ถูกทัศนียภาพหลากสีบนพื้นผิวของถุงกลบทับแสงจันทร์ไว้เบาๆ ชุยตงซานยิ้มกล่าว “อาจารย์ นี่ก็คือดินห้าสีที่เอามาจากสี่ขุนเขาในอนาคตของแจกันสมบัติทวีป อย่าเห็นว่าถุงไม่ใหญ่ เพราะน้ำหนักของพวกมันหนักมาก ถุงที่เล็กที่สุดก็ยังหนักถึงสี่สิบกว่าจิน ขุดมาจากรากภูเขาสายบรรพบุรุษของแต่ละขุนเขาใหญ่ นอกจากภูเขาพีอวิ๋นที่เป็นขุนเขาเหนือแล้ว ที่เหลือก็ล้วนครบถ้วนหมดแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว”
ชุยตงซานหัวเราะร่า “ลำบากอะไรกัน หากไม่เป็นเพราะมีความหวังเล็กๆ นี่อยู่ การออกจากภูเขาไปครั้งนี้ก็คงทำให้ศิษย์อัดอั้นใจตายไปแล้ว”
เผยเฉียนกระดกก้นขึ้น ยืดลำคอออกไปมอง “ขอข้าเปิดออกดูได้ไหม?”
ชุยตงซานโบกมือหนึ่งครั้ง “ดูเถอะๆ ตัวขาดทุนที่ต้องละอายใจจนตายอย่างเจ้ามาลองดูสิว่าลูกศิษย์อย่างข้าแบ่งเบาภาระของอาจารย์อย่างไร แล้วค่อยหันไปมองตัวเจ้าเอง ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ วันๆ ทำตัวเอ้อระเหยลอยชาย หาเงินให้ร้านในตรอกฉีหลงได้แค่เดือนละสิบกว่าตำลึงก็พอใจแล้ว? แต่ละเดือนไม่ได้กำไรสุทธิยี่สิบสามสิบตำลึงเงิน เจ้าก็ยังกล้าเอามาโอ้อวดขอความดีความชอบอีกหรือ? หากปีหนึ่งหาเงินได้สามร้อยตำลึงเงิน ซื้อเรือนหลังเล็กๆ ที่เข้าท่าเข้าทีในเขตการปกครองหลงเฉวียนสักหลัง นั่นถึงจะถือว่าพอใช้ได้”
เผยเฉียนยกสองมือกอดอก “ดูกับผายลมอะไร ไม่ดูแล้ว”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นข้าจะขอร้องให้เจ้าดู จะดูหรือไม่?”
เผยเฉียนยกนิ้วโป้งให้ “ใจกว้าง!”
เผยเฉียนไม่ให้โอกาสชุยตงซานได้เปลี่ยนใจ หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วก็วิ่งปรู๊ดอ้อมเฉินผิงอันไปเปิดดินห้าสีในตำนานแต่ละถุง นางนั่งยองเบิกตากว้าง ประกายแสงระยิบระยับสาดสะท้อนอยู่บนใบหน้า จุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด อาจารย์เคยบอกว่าในตำราเทพเซียนบางเล่มได้บันทึกดินชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าดินกวนอิน (หรือกวนอิม) เอาไว้ เวลาหิวขึ้นมาก็เอามากินแทนข้าวได้ ไม่รู้ว่าดินห้าแสงหกสีพวกนี้จะกินได้หรือไม่?
ชุยตงซานถีบก้นเผยเฉียนหนึ่งที “แม่นางน้อยสายตาตื้นเขินขนาดนี้ ระวังวันหน้าเมื่อไปท่องในยุทธภพจะเจอเข้ากับพวกบัณฑิตปากหวานแล้วถูกหลอกเข้าล่ะ”
เผยเฉียนยื่นมือมาปัดก้น พูดโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “หากไม่เล่นงานจนพวกเขาเลือดอาบหน้า ก็ถือว่าข้ามีจิตใจของจอมยุทธมากแล้ว”
ชุยตงซานเริ่มพูดคุยธุระจริงจัง เขาหันหน้ามามองเฉินผิงอันแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “อาจารย์เดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้ แม้แต่ส่วนของเว่ยป้อก็ต้องพกไปด้วย สามารถรอให้ข่าวแพร่ไปถึงที่อุตรกุรุทวีป เวลาประมาณหนึ่งปีครึ่งถึงสองปี รอให้สกุลซ่งต้าหลีแต่งตั้งอีกสี่ขุนเขาที่เหลืออย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ก็คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่อาจารย์จะหลอมวัตถุชิ้นนี้ การหลอมวัตถุครั้งนี้จะรีบหลอมไม่ได้ แต่สามารถล่าช้าได้ อันที่จริงไม่ใช่ข้อต้องห้ามอะไร ในอนาคตหากหลอมดินห้าสีที่ขุนเขากลางจะได้ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์มากที่สุด และยิ่งง่ายที่จะชักนำให้เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาดและการประทานโชค เพียงแต่ว่าพวกเรายังคงต้องเหลือหน้าตาให้กับสกุลซ่งต้าหลีบ้าง ไม่อย่างนั้นจะเป็นการตบหน้ากันเกินไป ขุนนางบุ๋นบู๊ของทั้งราชสำนักต่างก็มองดูอยู่ เจ้าเด็กซ่งเหอผู้นั้นเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ก็กลายเป็นกษัตริย์องค์แรกในรอบพันปีที่บุกเบิกที่ดินมากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปแล้ว ง่ายที่จะหัวร้อน พอมีคนที่อยู่เบื้องล่างคอยยุแยง ต่อให้เจ้าตะพาบเฒ่าจะกำราบได้อยู่ แต่สำหรับภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ถือว่าเป็นภัยร้ายในภายหลัง ถึงอย่างไรเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าตะพาบเฒ่าจะต้องยุ่งมาก เรื่องราวทางโลกก็เป็นเช่นนี้ คนที่ลงมือทำเรื่องอะไรสักอย่าง ส่วนใหญ่มักจะทำเยอะผิดเยอะแล้วก็ไม่ได้รับผลดีกลับคืนมา เมื่อถึงช่วงเวลาที่แจกันสมบัติทวีปถูกรวบรวมให้เป็นปึกแผ่น เจ้าตะพาบเฒ่าก็จะต้องเผชิญหน้ากับการงัดข้ออีกมากมายจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไม่มีทางเป็นปัญหาเล็กๆ เลย หันกลับมามองซ่งเหอที่ไม่เคยทำอะไร กลับกลายเป็นว่าได้ใช้ชีวิตเสพสุขอย่างผ่อนคลาย คนเราขอแค่มีเวลาว่างก็ง่ายที่จะเกิดความไม่พอใจ”
“เรื่องของการหลอมดินห้าสี ในใจข้ารู้แล้วว่าควรจะทำเช่นไร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วก็เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “รอจนกองทัพม้าเหล็กต้าหลีได้ครอบครองแจกันสมบัติทวีปในรวดเดียว พวกขุนนางที่มีคุณูปการได้รับการตบรางวัลไปแล้ว จิตใจคนก็ย่อมเกิดการเพิกเฉยอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นยังไม่อาจเปิดเผยความลับสวรรค์กับพวกเขาได้อีก เวลานั้นจึงจะเป็นช่วงเวลาของการทดสอบความสามารถในการปกครองบ้านเมืองและวิชาบังคับใจคนของเจ้ากับชุยฉานได้ดีที่สุด”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ถึงเวลานั้นก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าเรื่องที่น่ารำคาญใจจะต้องมีเยอะมาก แต่ไม่มีทางเกิดปัญหาวุ่นวายครั้งใหญ่ บ้านหลังใหม่ เมื่อรากฐานแข็งแรงมั่นคง วางโครงไว้ได้ดีแล้ว เสาคานไม่เกิดรอยแยก ก็ไม่ต้องกลัวว่าเมื่อถูกลมพัดหรือฝนตกใส่ กระดาษหน้าต่างจะขาด กระเบื้องหลังคาจะร่วงลงมา ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยของการซ่อมแซมเท่านั้น รอจนบ้านหลังใหม่เปลี่ยนเป็นบ้านหลังเก่าแล้ว หน้าต่างบานประตูผุพัง เสาคานแห้งแตก ในบ้านมีมดมีหนูมีงู ถึงเวลานั้นก็จะไม่ใช่เรื่องที่ข้ากับเจ้าตะพาบเฒ่าต้องเหนื่อยใจอีกแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่พูดอะไรให้มากความอีก เรื่องของการสร้างความดีความชอบนั้น เดิมทีก็เป็นงานเล็กละเอียดที่ต้องพิถีพิถัน อย่าลืมล่ะว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือบรรพบุรุษของวิชาความรู้นี้
ชุยตงซานหันหน้าไปมองเรือนไม้ไผ่แวบหนึ่ง หลังดึงสายตากลับมาแล้วก็ถามว่า “ตอนนี้ภูเขามีเยอะแล้ว ภูเขาลั่วพั่วไม่ต้องพูดให้มากความ เพราะดีจนดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ภูเขาลูกอื่นอย่างภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหลังอ๋าว แท่นบูชากระบี่ ฯลฯ วัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่ต้องฝังไว้ใต้ดินของแต่ละสถานที่ อาจารย์เลือกไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันยิ้มจืดชืด “ต่อให้เป็นสตรีที่มีฝีมือ แต่หากไม่มีวัตถุดิบก็ปรุงอาหารรสเลิศออกมาไม่ได้ มีความคิดบ้างแล้ว แต่ไม่มีวัตถุที่เหมาะสมเลย”
ที่แท้เงินฝนธัญพืชที่เดิมทีจะนำมาใช้สร้างค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาลั่วพั่ว ตอนนี้กลายเป็นการเบิกใช้รายรับล่วงหน้าแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่แผนในระยะยาว ดังนั้นการเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปในครั้งนี้ นอกจากฝึกกระบี่แล้ว จะต้องทดลองไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่สมชื่ออย่างจริงจังดูสักครั้ง ขึ้นภูเขาไปเยือนซากปรักหักพังของจวนตระกูลเซียน ลงน้ำไปค้นหาสถานที่ลับอย่างวังมังกร ดูว่าจะหาทรัพย์สินที่ไม่คาดฝันบางส่วนมาเติมเต็มค่าใช้จ่ายในบ้านได้หรือไม่
ชุยตงซานกำลังจะเปิดปากพูด
เฉินผิงอันกลับโบกมือเสียก่อน “คนละเรื่องกัน พี่น้องแท้ๆ ในครอบครัวเดียวกันก็ยังจำเป็นต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน”
ชุยตงซานรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย ขอแค่เขายินดีเรียนรู้ความสามารถในการเป็นกุมารแจกทรัพย์ของอาจารย์ คาดว่าใต้หล้าไพศาลนี้ก็คงมีแต่คนแซ่หลิวของธวัลทวีปเท่านั้นที่พอจะทัดเทียมกับเขาได้
เฉินผิงอันถามชวนคุย “เว่ยเซี่ยนติดตามเจ้าไปตลอดทาง ตอนนี้ขอบเขตของเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ชุยตงซานส่ายหน้า “หลังจากที่เว่ยเซี่ยนออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว ปณิธานของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่การขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของการเรียนวรยุทธ คนมีความสามารถที่เอามาใช้งานได้ข้างกายของข้าในตอนนี้ มีน้อยจนน่าสงสาร ในเมื่อเว่ยเซี่ยนมีความทะเยอทะยานนั้น ข้าก็จะช่วยผลักดันเขาสักหน่อย รอให้ครั้งนี้กลับไปถึงสำนักศึกษากวานหูแล้ว ข้าก็จะจับเว่ยเซี่ยนโยนเข้าไปในกองทัพต้าหลี ส่วนจะเลือกพึ่งพาซูเกาซานหรือเฉาผิงก็ค่อยว่ากันอีกที ไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น การกรีฑาทัพลงใต้ของต้าหลี คงไม่มีศึกที่ต่อสู้กันเอาเป็นตายอย่างกับราชวงศ์จูอิ๋งมากนัก ทว่าสงครามที่ยากลำบากกลับมีไม่น้อย เว่ยเซี่ยนไปทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจอกับพวกตระกูลเซียนบนภูเขาของทางใต้ที่วางอำนาจบารมีกันมาจนเคยชินแล้ว พวกตระกูลพันปีเหล่านั้นก็ยิ่งเป็นกระดูกแข็ง โอกาสที่เว่ยเซี่ยนจะโดดเด่นก็มาแล้ว อาจารย์ ในอนาคตต่อให้ภูเขาลั่วพั่วกลายเป็นถ้ำสถิตบนภูเขา กลิ่นอายแห่งเซียนจะเปี่ยมล้นแค่ไหน แต่ความสัมพันธ์กับราชวงศ์ในโลกมนุษย์ บนภูเขาล่างภูเขา ถึงอย่างไรก็ยังต้องการสะพานเชื่อมสักแห่งสองแห่ง เว่ยเซี่ยนอยู่ในราชสำนัก หลูป๋ายเซี่ยงอยู่ในยุทธภพ จูเหลี่ยนอยู่ข้างกายอาจารย์ ต่างคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง ดูจากตอนนี้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งคำ
เผยเฉียนถาม “แล้วพี่หญิงสุยล่ะ?”
ชุยตงซานไม่ได้ตอบคำถามของเผยเฉียน เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อาจารย์ อย่าได้รีบร้อน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ประโยคที่เจ้าเขียนไว้ในจดหมายก่อนหน้านี้ว่า ‘คิดจะทำการใหญ่ ต้องอย่ารีบร้อน’ อันที่จริงเหมาะกับการนำมาใช้กับหลายๆ เรื่อง”
ใบถงทวีป ภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่
เดิมทีวางแผนไว้ว่าเมื่อท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปเสร็จสิ้นก็จะตรงไปที่ภูเขาห้อยหัวทันที ตอนนี้ลองมามองดูแล้ว หลังกลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็อย่าเพิ่งกลับไปนครมังกรเฒ่าก่อน ยังต้องไปที่ใบถงทวีปอีกรอบจึงจะได้
ชุยตงซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “ข้ากับเจ้าตะพาบเฒ่าต่างก็คิดว่า อย่างน้อยที่สุดยังมีช่วงเวลาอีกยาวนานมากที่พวกเรายังสามารถตั้งใจวางแผนกันได้”
ห้าสิบปี
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางทิศตะวันตกแวบหนึ่ง ตอนนี้การมองเห็นล้วนถูกเรือนไม้ไผ่และภูเขาลั่วพั่วบดบัง เป็นเหตุให้มองไม่เห็นภูเขาหลงจี๋ (สันหลังมังกร) ที่มีหน้าผาซึ่งเป็นแท่นสังหารมังกร
เรื่องที่อริยะหร่วนฉง ภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะ บวกกับสี่ฝ่ายของต้าหลีจะมา ‘เปิดขุนเขา’ ที่นี่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ลงมือกันอย่างลึกลับซ่อนเร้นยิ่ง และภูเขาหลงจี๋ก็เป็นหนึ่งในภูเขาต้องห้ามที่สุดในบรรดากลุ่มภูเขาทางทิศตะวันตก ต่อให้เว่ยป้อกับเฉินผิงอันจะสนิทกันมากแค่ไหนก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของภูเขาหลงจี๋แม้แต่ครึ่งคำ
ชุยตงซานเงยหน้ามองสีท้องฟ้า จากนั้นก็เอาสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ทิ้งตัวนอนหงาย ทอดสายตามองอย่างเหม่อลอย
เฉินผิงอันกับเผยเฉียนแทะเมล็ดแตง เผยเฉียนถามว่า “อาจารย์ จะให้ข้าช่วยท่านแกะเปลือกไหม? เสร็จแล้วข้าจะส่งเมล็ดแตงกำใหญ่ให้ท่าน แล้วท่านก็กรอกใส่ปาก กินให้หมดรวดเดียว”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่ต้องหรอก”
ชุยตงซานพูดทำลายบรรยากาศว่า “อาจารย์ไม่อยากกินน้ำลายของเจ้า”
เผยเฉียนแทะเมล็ดแตงเบาๆ เหมือนหนูตัวน้อย แม้ว่าจะเคลื่อนไหวไม่รวดเร็ว แต่บนโต๊ะข้างกายกลับมีเปลือกเมล็ดแตงกองไว้ราวกับภูเขาลูกย่อม นางเอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคำกล่าวหนึ่งที่บอกว่า ‘กำลังมังกรกำลังช้างสาร’? หากรู้ แล้วเจ้าเคยเห็นเจียวหลงกับช้างกับตาตัวเองมาก่อนไหม? ช้างที่มีงาโค้งงอยาวๆ สองอันน่ะ ในตำราบอกไว้ว่า ผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุดในน้ำคือมังกร ผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุดบนผืนดินคือช้าง ในชื่อของเสี่ยวป๋ายก็มีตัวอักษรนี้อยู่”
อ้อมไปอ้อมมา ขนาดเฉินผิงอันยังไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่คิดจะพูดอะไรกันแน่
แต่ชุยตงซานกลับหลุดหัวเราะพรืด “จะบอกว่าข้าปากสุนัขไม่งอกงาช้างก็พูดมาตรงๆ เถอะ จะอ้อมไปอ้อมมาทำไม”
เผยเฉียนโคลงศีรษะยักไหล่ กล่าวอย่างลำพองใจว่า “ข้าไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย แต่เจ้ารู้ตัวเองก็ดีแล้ว”
เฉินผิงอันหัวเราะ
ชุยตงซานทำท่าขว้างเมล็ดแตง เผยเฉียนนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก มุมปากของนางกระตุกขึ้น “ปัญญาอ่อนไหมนั่น”
เฉินผิงอันดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งที เมล็ดแตงเมล็ดหนึ่งก็ดีดเข้าที่หน้าผากของเผยเฉียนเบาๆ เผยเฉียนยิ้มกว้าง “อาจารย์ แม่นจริงๆ ข้าอยากหลบยังหลบไม่พ้นเลยนะ”
ชุยตงซานเหมือนได้เปิดโลกกว้าง “วันหน้าเปลี่ยนชื่อภูเขาลั่วพั่วเป็นภูเขาหม่าพี่ (ประจบสอพลอ) ดีกว่า แล้วก็ให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์อย่างเจ้าเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ ภูเขาฮุยเหมิงมีกลิ่นอายบุ๋นเข้มข้น สามารถให้พวกเป่าผิงน้อยกับเฉินหรูชูไปอยู่ได้ ให้ชื่อว่าภูเขาเต้าหลี่ (หลักการเหตุผล) ส่วนภูเขาหลังอ๋าวมีโชคชะตาบู๊เยอะหน่อย วันหน้าให้จูเหลี่ยนเป็นคนเฝ้าพิทักษ์ที่นั่น ให้เรียกว่า ‘ภูเขาตบหน้า’ ลูกศิษย์บนภูเขาทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เวลาท่องอยู่ในยุทธภพ แต่ละคนกำเริบเสิบสานไม่เกรงใคร เมื่ออยู่บนภูเขาลูกนั้น หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธร่างทองก็ไม่กล้าออกจากบ้านไปทักทายใคร ทางฝั่งแท่นบูชากระบี่เหมาะให้ฝึกกระบี่ ถึงเวลานั้นก็แข่งกันช่วงชิงชื่อ ‘ภูเขาตบหน้า’ กับภูเขาหลังอ๋าวก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นก็คงได้แต่ต้องชื่อ ‘ภูเขาคนใบ้’ เพราะการท่องเที่ยวหาประสบการณ์ของผู้ฝึกกระบี่บนแท่นบูชากระบี่ หลักการเหตุผลก็น่าจะอยู่แค่ในฝักกระบี่เท่านั้น”
“ข้าไม่ใช่พวกขี้ประจบที่ดีแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ เสียหน่อย!”
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าจะไปอยู่แท่นบูชากระบี่! พรุ่งนี้ข้าจะไปยึดที่นั่นเป็นถิ่นฐาน นอกจากอาจารย์แล้วก็ห้ามใครมาแย่งกับข้า! ข้าจะต้องฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกให้สำเร็จที่นั่นให้จงได้! ใครก็ห้ามแย่งไปที่แท่นบูชากระบี่กับข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะ…”
เฉินผิงอันมองดวงตาที่ฉายประกายแสงเจิดจ้าคู่นั้นของเผยเฉียน เขายังคงแทะเมล็ดแตงอย่างสบายอุรา แล้วก็พูดตัดบทคำพูดห้าวเหิมของเผยเฉียนอย่างง่ายๆ ว่า “จำไว้ว่าต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนก่อน คราวหน้าหากข้ากลับมาภูเขาลั่วพั่วแล้วได้ยินว่าเจ้าไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ ก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
พลังอำนาจของเผยเฉียนลดฮวบลงทันที ร้องอ้อรับหนึ่งที แต่ในใจกลับหงุดหงิดนัก ก็ได้ ดูท่าวันหน้าตนคงต้องสานสัมพันธ์กับเหล่าอาจารย์ทั้งหลายให้ดีๆ แล้ว อย่าให้ในอนาคตพวกเขาพูดจาถึงตนไม่ดีต่อหน้าอาจารย์เป็นอันขาด อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะทำให้พวกเขาเอ่ยคำวิจารณ์ด้วยประโยคว่า ‘นับว่ายังตั้งใจเรียนหนังสือ’ แต่หากทั้งๆ ที่ตนตั้งใจเรียนหนังสือ พวกอาจารย์ยังปากมาก ชอบใส่ร้ายคนอื่น ถ้าอย่างนั้นก็จะโทษว่านางเผยเฉียนไม่มีคุณธรรมในยุทธภพไม่ได้ อาจารย์เคยบอกไว้แล้วว่าท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอาเอง! ดูสิว่านางจะซ้อมพวกเขาให้กลายเป็นจูเหลี่ยนอย่างไร!
—–