กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 487.3 ไม่เสียทีที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ
ครู่หนึ่งต่อมา ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงนวดคลึงท้องที่เริ่มจะเหมือนแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำอีกครั้ง เห็นว่าคนทั้งสองย้อนกลับมาทางเดิมก็ถามว่า “จบเรื่องแล้วหรือ?”
ผู้เฒ่าชุดเทาส่ายหน้า “อยู่ดีๆ ก็หายตัวไปเลย เร็วกว่ากระต่ายเสียอีก แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเห็นท่าไม่ดีก็เลยไปแอบหลบอยู่ในพงกกพงอ้อ หาตัวเจอได้ยาก”
ชายฉกรรจ์เคราดกใบหน้าม่วงสีหน้าหนักอึ้ง กวาดตามองไปรอบด้าน “ถ้าอย่างนั้นก็หมดหนทางแล้ว เดินไปข้างหน้ากันอีกระยะหนึ่งแล้วพวกเราค่อยลงมือตามสถานการณ์ หากไม่ได้จริงๆ ก็กลับไปที่ท่าเรือ ยอมก้มหัวขอโทษชายฉกรรจ์เถ้าแก่ร้านผู้นั้น ถือเสียว่าพวกเราเป็นมังกรแข็งแกร่งที่สู้งูเจ้าถิ่นไม่ได้ก็แล้วกัน”
สตรีเอามือหนึ่งเท้าเอว เดินโผเผออกมาจากพงต้นกกต้นอ้อ พูดอย่างอิดโรยว่า “ร้านน้ำชานั่นชั่วร้ายเกินไปแล้ว เจ้าคนหน้าเนื้อใจเสือสมควรโดนแทงเป็นพันครั้ง ช่างเป็นยาถ่ายที่รุนแรงนัก ต่อให้เป็นวัววัยฉกรรจ์ตัวหนึ่งก็ยังล้มได้ ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเอาเสียเลย”
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันที่เดินออกมาจากทางเล็กก็หักเลี้ยวเข้าไปในพงต้นกกต้นอ้อ แล้วค้อมตัววิ่งไปข้างหน้า เพียงไม่นานร่างก็หายวับไป
เดินออกไปได้ประมาณยี่สิบกว่าลี้แล้วถึงได้ชะลอฝีเท้า วักน้ำในลำคลองหนึ่งกอบมาล้างใบหน้า ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คนนำห่อสัมภาระที่บรรจุภาพเทพหญิงใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แล้วถึงได้กระโดดขึ้นเบาๆ เหยียบลงบนยอดพงต้นกกต้นอ้อที่ใบหนาแน่น แล้วกระโดดออกไปเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ หูรับฟังเสียงลมที่ทะยานผ่าน พลิ้วกายล่องลอยไปไกล
คนในยุทธภพกลุ่มนั้น ต่อให้มีหุ่นเชิดวิญญาณหยินรับหน้าที่เป็นองค์รักษ์ประจำกาย แต่รวมกันแล้ว คาดว่าก็คงเทียบกับผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มีประสบการณ์เก่าแก่คนหนึ่งไม่ได้ เฉินผิงอันไม่อยากจะรบราฆ่าฟันกับคนอื่นทั้งที่เพิ่งมาถึงอุตรกุรุทวีป แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจจะเดือดร้อนไปถึงผู้อื่น นี่เป็นนิมิตหมายที่ไม่ดี
ขยับเข้าใกล้ศาลเทพลำคลอง บนทางเส้นเล็กก็มีคนสัญจรเพิ่มมากขึ้น เฉินผิงอันพลิ้วกายลงบนพื้น เดินออกจากพงต้นกกต้นอ้อ เดินเท้าไปเบื้องหน้า
ก่อนหน้านี้ยืนอยู่บนยอดต้นกก มองไกลๆ ไปยังศาลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปครึ่งทวีปแห่งนั้นก็เห็นเพียงว่าควันธูปเข้มข้นระลอกหนึ่งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นเหตุให้ไปปั่นป่วนทะเลเมฆบนท้องฟ้า เกิดเป็นภาพเจ็ดสีมหัศจรรย์เกินบรรยาย ภาพบรรยากาศเช่นนี้ไม่อาจดูแคลนได้ ต่อให้เป็นศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอของใบถงทวีปที่เขาเคยเดินทางผ่านในตอนนั้น และจวนปี้โหยวที่ภายหลังเลื่อนขั้นเป็นตำหนักก็ยังไม่เคยมีภาพมหัศจรรย์เช่นนี้ ส่วนศาลเทพวารีทั้งหลายในแถบแม่น้ำซิ่วฮวาอันเป็นบ้านเกิดก็ยิ่งไม่มีภาพประหลาดเช่นนี้เหมือนกัน
ชาวบ้านก็มีธูปที่ชาวบ้านใช้จุด
และยังมีธูปน้ำที่มีไว้สำหรับแขกเงินหนาโดยเฉพาะ
ศาลเทพลำคลองแห่งนี้มีคุณธรรมอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ตั้งป้ายไม้ระบุไว้ชัดเจน ยังมีเด็กเล็กคนหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ตรงป้ายไม้เพื่อคอยแจ้งกับนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเชิญธูปที่นี่ด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาว่า เข้าศาลจุดธูปกราบไหว้เทพเซียน ดูแค่ความจริงใจ ไม่ดูที่ว่าราคาควันธูปแพงหรือถูก
เฉินผิงอันไม่ได้ประหยัดเงินในส่วนนี้ เขาเชิญธูปน้ำที่เอาไว้กราบไหว้ลำคลองเหยาเย่โดยเฉพาะมากระบอกหนึ่ง ราคาของมันไม่ธรรมดา สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ กระบอกธูปบรรจุธูปเก้าดอก เมื่อเทียบกับธูปสามดอกของศาลเทพลำคลองแคว้นชิงหลวนที่ราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้วก็เรียกได้ว่าแพงกว่าไม่น้อย
เฉินผิงอันคีบธูปสามดอกออกมาจากกระบอกธูปไม้ไผ่สีเหลืองที่สลักลายน้ำสีเขียว เดินตามเหล่าผู้มีจิตศรัทธาเข้าไปในศาล จุดธูปสามดอกที่ห้องโถงหลัก สองมือพนมชูธูปขึ้นสูงเหนือหัวแล้วหันหน้าไหว้จนครบทั้งสี่ทิศ แล้วจึงไปที่ห้องโถงหลักที่ตั้งบูชาร่างทองของเทพลำคลอง บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจัง เทวรูปหลากสีองค์นั้นคล้ายเคลือบสีทองทั้งร่าง ระดับความสูงของเทวรูปก็น่าสงสัยว่าจะล้ำสถานะ เพราะเมื่อเทียบกับเทวรูปของเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูในเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วกลับสูงกว่าถึงสามฉื่อกว่า และระดับความสูงของเทวรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำของราชวงศ์ต้าหลีก็ล้วนต้องเคารพตามกฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาอย่างเข้มงวด เพียงแต่พอเฉินผิงอันคิดว่าที่นี่คืออุตรกุรุทวีปก็ไม่แปลกใจอีกแล้ว รูปโฉมของเทพลำคลองเหยาเย่ท่านนี้คือผู้เฒ่าสวมเกราะสีทองที่มือแต่ละข้างถือกระบี่และกระบอง เหยียบอยู่บนงูตัวยาวสีแดงสด อยู่ในท่าราชาสวรรค์ถลึงตา เปี่ยมไปด้วยบารมีและอำนาจ
จากนั้นลำพังแค่เดินเที่ยวทั่วศาลขนาดใหญ่โอฬารที่มีทางเข้าถึงสิบกว่าแห่งจนครบหนึ่งรอบ เดินๆ หยุดๆ ก็ใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วยามกว่า หลังคาเรือนล้วนเป็นกระเบื้องแก้วสีทองสะดุดตา
หนึ่งในนั้นมีตำหนักข้างแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นเป็นลักษณะเหมือนวังมังกรใต้น้ำ รูปปั้นมีชีวิตชีวาเหมือนจริง ล้วนเต็มไปด้วยรูปปั้นขุนพลที่เกิดจากปลาใหญ่หรือไม่ก็เจียวหลงที่จำแลงร่างมาเป็นคน อยู่ในลักษณะท่าทางที่แตกต่างกันออกไป มีผู้เฒ่าที่มากราบไหว้พูดหยอกล้อกับลูกหลานตัวเองบอกว่า นี่ก็คือตำหนักที่นอกเหนือจากตำหนักหลักของท่านเทพลำคลอง พอถึงตอนกลางคืน ขุนพลบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้พวกนี้ก็จะมีชีวิตกลับคืนมา เพียงแต่ว่าในศาลมีการห้ามเข้าออกยามวิกาล พอถึงช่วงกลางคืน ต้องเป็นเหล่าเทพเซียนที่สามารถทะยานลมขี่เมฆเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติมาเป็นแขกของที่นี่ แล้วดื่มชาร่ำสุราร่วมกับท่านเทพลำคลอง
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันหยุดอยู่ในตำหนักหลังครู่หนึ่ง เห็นกลอนคู่บทหนึ่งจึงคีบธูปออกมาอีกสามดอก พอจุดไฟแล้วก็ยืนอยู่บนลานกว้างหยกขาวอย่างเคารพนอบน้อม จากนั้นก็ปักธูปลงไปในกระถาง แล้วถึงได้จากมา
กลอนคู่ที่เป็นตัวอักษรสีทองเขียนบนพื้นสีดำด้านหลังเฉินผิงอันคือประโยคว่า ‘จริงใจมิต้องโขกหัว ย่อมมีบุญกุศลคอยปกป้อง’ ‘ทำชั่วต่อให้เจ้าจุดธูปมากเท่าไหร่ ก็ยังทำให้เทพวารีมีไฟโทสะได้’
หลังออกมาจากศาลเทพลำคลองแห่งนี้ เฉินผิงอันก็เดินทางขึ้นเหนือต่อ
ดวงอาทิตย์ลับภูเขาตะวันตก ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันมาถึงท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่ง จำเป็นต้องโดยสารเรือข้ามฟากถึงจะไปยังหุบเขาผีร้ายที่อยู่ในอาณาบริเวณของชายหาดโครงกระดูกที่เฉินผิงอันอยากไปเยือนมากที่สุดได้
เพียงแต่ว่าพวกคนเรือแก่หนุ่มทั้งหลายของท่าเรือล้วนเลิกงานกันแล้ว มัดเชือกผูกเรือข้ามฟากไว้ที่ท่า แล้วพากันกลับบ้านใครบ้านมัน เฉินผิงอันอยากจะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อข้ามลำคลองไป แต่กลับไม่มีใครยอมตกลง ต่างก็พูดกันว่าเรือข้ามฟากไม่ข้ามลำคลองตอนกลางคืน นี่คือกฎที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่อย่างนั้นเทพลำคลองจะพิโรธ มีเพียงคนสามประเภทเท่านั้นที่จะได้รับการยกเว้น บัณฑิตที่เร่งเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบ คนป่วยที่ต้องการหมอรักษา และคนที่มีชีวิตยากลำบากอยากจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
เฉินผิงอันนึกถึงความพิถีพิถันเรื่องที่ไม่สร้างสะพานข้ามผ่านลำคลองเหยาเย่ รวมไปถึงกฎเกณฑ์เหล่านี้ แม้แต่ความคิดที่จะกระโดดแตะผิวน้ำข้ามลำคลองไปก็ไม่เหลืออยู่แล้ว จึงหาสถานที่เงียบสงบใกล้กับท่าเรือก่อกองไฟ คิดว่าพรุ่งนี้เช้าตรู่ค่อยโดยสารเรือข้ามฟากไป
ม่านราตรีหนาหนัก น้ำในลำคลองไหลเนิบช้า
เฉินผิงอันหันหน้าเข้าหาลำคลอง นั่งขัดสมาธิฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ตลอดทั้งคืนผ่านไปอย่างราบรื่น
ฟ้าเริ่มสว่าง เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นเดินไปทางท่าเรือ มีชาวเรือผู้เฒ่าร่างกำยำที่ผิวดำเป็นมันปลาบคนหนึ่งมานั่งยองที่ท่าเรือเพื่อรอลูกค้าอยู่ก่อนแล้ว
เฉินผิงอันตกลงราคากับผู้เฒ่าชาวเรือ ได้ราคาที่แปดเฉียน ผู้เฒ่าบอกรออีกหน่อย มีผู้โดยสารข้ามฟากไปคนเดียว ได้เงินแค่แปดเฉียน ออกจะผิดต่อกำลังกายของตัวเองไปสักหน่อย จึงถามเฉินผิงอันว่าเต็มใจจะรอไหม ขอแค่มีคนมาอีกคนหนึ่ง ได้เงินเพิ่มอีกแปดเฉียนก็สามารถถ่อเรือข้ามฟากได้แล้ว เฉินผิงอันยิ้มบอกว่าไม่เป็นไร เขารอได้ ถึงอย่างไรก็ไม่รีบร้อนเดินทางอยู่แล้ว เฉินผิงอันปลดงอบนั่งอยู่ที่ท่าเรือกับผู้เฒ่า ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า น้ำเหล้าในกาล้วนมาจากเหล้าข้าวหมักเองที่ต่งสุ่ยจิ่งมอบให้ภูเขาลั่วพั่ว
ผู้เฒ่าชาวเรือได้กลิ่นเหล้า ดวงตาก็เป็นประกาย หันตัวกลับมายิ้มถามว่า “คุณชายท่านนี้ ขอเหล้าให้ข้าดื่มสักอึกได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันทำท่าจะยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งให้ ผู้เฒ่าชาวเรือกลับโบกมือ ก่อนจะเอามือสองข้างประกบเข้าหากัน ยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเป็นคนพิถีพิถัน แต่คนแก่เนื้อตัวสกปรกอย่างข้าไม่ใช่คนพิถีพิถันอะไร คุณชายแค่เทเหล้าใส่มือข้าก็พอ”
เฉินผิงอันจึงเทเหล้า ผู้เฒ่าชาวเรือยกสองมือที่ฝ่ามือเต็มไปด้วยรอยด้านขึ้น ก้มหน้าซดเหมือนวัวดื่มน้ำ ดื่มหมดก็จุ๊ปาก ยิ้มถามว่า “คุณชายจะไป ‘ไม่หันกลับ’ แห่งนั้นหรือ? อ้อ นี่เป็นภาษาถิ่นของพวกเราเอง หากเรียกตามคำกล่าวของเหล่าเทพเซียนใหญ่ทั้งหลายในสำนักพีหมาก็คือหุบเขาผีร้าย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “อยากไปเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียง ข้าเป็นมือกระบี่คนหนึ่ง ล้วนบอกกันว่าชายหาดโครงกระดูกมีสถานที่สามแห่งที่จำเป็นต้องไป ตอนนี้ไปนครปี้ฮว่าและศาลเทพลำคลองมาแล้ว เลยอยากจะไปเปิดหูเปิดตาที่หุบเขาผีร้ายนั่นสักหน่อย”
ผู้เฒ่าชาวเรือชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว คีบชายแขนเสื้อสีเขียวของเฉินผิงอันที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างแล้วจุ๊ปากพูด “ข้าก็ว่าแล้วเชียว แท้จริงแล้วคุณชายก็เป็นเทพเซียนหนุ่มคนหนึ่งเหมือนกัน ตาแก่อย่างข้าอย่างอื่นไม่ขอพูดถึง แต่ต้อนรับและส่งผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่บนลำคลองมาตลอดทั้งชีวิต ในกระเป๋าไม่มีเสียงเงินให้ได้ยิน แต่แววตานั้นยังพอมีอยู่บ้าง ชุดนี้ของคุณชายคงแพงมากเลยสินะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเสียงดัง “ออกมาท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกก็ต้องมีมาดกันบ้าง ก็แค่ตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วนนั่นแหละ”
ผู้เฒ่าชาวเรือเอ่ย “สำเนียงต่างถิ่นนี้ของคุณชาย แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นคนจากทวีปอื่น จะต้องแก้ไขสักหน่อยนะ ป่าผืนนี้ของพวกเรากว้างใหญ่ ไม่ว่านกอะไรก็มีครบหมด ยิ่งเป็นพวกไร้ความสามารถก็ยิ่งชอบรวมกลุ่มกันรังแกคนอื่น”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ท่านลุงพูดถูกแล้ว”
ผู้เฒ่าชาวเรือหันหน้าไปชำเลืองมองอีกทาง “คุณชายดวงดีไม่น้อย เช้าตรู่ขนาดนี้ก็มีคนมาที่ท่าเรือแล้ว ดูเหมือนจะข้ามลำคลองกันได้แล้ว”
เฉินผิงอันถึงได้มองตามสายตาของผู้เฒ่าไป เห็นว่าเป็นหญิงชราเดินขากะเผลกคนหนึ่ง พอเพ่งสายตามองใบหน้าของหญิงชราให้ดี เฉินผิงอันก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย
หญิงชราพอมาถึงที่ท่าเรือแล้วได้ยินว่าผู้เฒ่าชาวเรือคิดเงินแปดเฉียนก็เริ่มบ่นพึมพำ จากนั้นจึงหันหน้ามามองเฉินผิงอัน หน้าตาท่าทางของเฉินผิงอันเหมือนลูกนกที่เพิ่งหัดบินอยู่ในยุทธภพ เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไร กระทั่งหญิงชราหายอึ้งแล้วก็เป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยว่าคุณชายท่านนี้ช่วยกันหน่อยได้หรือไม่ บนตัวนางมีเงินแค่สี่ห้าเฉียน รบกวนคุณชายช่วยสมทบหน่อย ทำดีย่อมได้ดีตอบแทนแน่นอน
เฉินผิงอันเพียงแค่ส่ายหน้า
ผู้เฒ่าชาวเรือร้อนใจเล็กน้อย เขาหันมาขยิบตาแรงๆ ให้เฉินผิงอัน น่าเสียดายที่ในสายตาของผู้เฒ่าเห็นว่า เด็กรุ่นหลังที่ก่อนหน้านี้คล่องแคล่วปราดเปรียว เวลานี้กลับเหมือนหุ่นไม้ที่ไม่มีสติปัญญาไปเสียแล้ว
ถึงท้ายที่สุดหญิงชราก็พูดอย่างขุ่นเคืองว่าขอติดไว้ก่อน คราวหน้าที่ข้ามฟากค่อยคืนให้ ผู้เฒ่าชาวเรือก็ตอบตกลง
ถ่อเรือข้ามลำคลอง บรรยากาศบนเรือลำน้อยกระอักกระอ่วนนิดๆ
เฉินผิงอันเอาตามองจมูก จมูกมองใจ แสร้งทำตัวเป็นพระสงฆ์เข้าฌาน
ผู้เฒ่าชาวเรือร้อนใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรให้โจ่งแจ้งได้มากนัก
หญิงชราเดือดดาลมากที่สุด รู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นี้ช่างจิตใจคับแคบขี้เหนียวเสียจริง
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งโมโห จึงตวัดตามองใส่เฉินผิงอันอย่างดุดัน
เฉินผิงอันเพียงแค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ภายหลังก็คล้ายว่าจะ ‘อดไม่ไหว’ จึงเริ่มยกหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่มาพูดจาคร่ำครึกับหญิงชรา ความหมายประมาณว่าเหตุใดถึงโทษที่เขาขี้เหนียวไม่ได้
หญิงชราฟังแล้วตบกราบเรือดังป้าบ
ผู้เฒ่าชาวเรือถึงกับกลอกตามองสูง
ผลคือพอไปถึงท่าเรือฝั่งตรงข้าม ผู้เฒ่าชาวเรือกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกหญิงชรากระตุกชายแขนเสื้อเสียก่อน
เฉินผิงอันกระโดดลงจากเรือ เอ่ยอำลาหนึ่งคำแล้วเดินจากไปทั้งอย่างนี้โดยที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ผู้เฒ่าชาวเรืออ้าปากค้าง อึ้งอยู่นาน ก่อนจะหันหน้าไปถาม ‘หญิงชรา’ ผู้นั้น “จะปล่อยไปอย่างนี้หรือ? ไม่เสียดายหรือไร?”
หญิงชราหลังค่อม เวลานี้ยืนตัวตรงแล้ว นางเอ่ยเสียงหยันว่า “ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรได้อีก? จะให้ข้าเอาตัวไปแนบกับเขาเลยหรือไร? ตัวเขาคว้าโชควาสนาไว้ไม่อยู่เอง จะโทษคนอื่นไม่ได้! การทดสอบเล็กๆ สามครั้งที่แค่ต้องทำพอเป็นพิธี เจ้าหมอนี่กลับเป็นคนแรกที่ผ่านไปไม่ได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ข้าจะไม่ถูกเหล่าพี่น้องหัวเราะเยาะตายหรอกหรือ!”
ผู้เฒ่าชาวเรือรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างทะแม่งๆ
เหตุใดคนหนุ่มผู้นั้นถึงได้จงใจปล่อยให้โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้หลุดมือไป?
การทดสอบครั้งแรก ‘หญิงชรา’ เป็นคนวางแผน จะบังคับให้ออกเรือข้ามลำคลองหรือไม่ คนหนุ่มผ่านด่านนี้มาได้ ภายหลังตนเป็นฝ่ายทดสอบเขาแทนนางพอเป็นพิธีหนึ่งครั้ง คนหนุ่มก็ผ่านด่านที่สองไปได้อย่างราบรื่น เขายอมเทเหล้าให้ดื่มอย่างใจกว้าง ดังนั้นผู้เฒ่าชาวเรือจึงรู้สึกว่าสถานการณ์ใหญ่ถูกกำหนดมาเรียบร้อยแล้ว เรื่องครั้งนี้ต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน จึงมอบน้ำใจเล็กๆ ให้แก่คนหนุ่มด้วยการจงใจถอนเวทอำพรางตาออก เผยให้เขาเห็นเบาะแสเสี้ยวหนึ่ง ในเมื่อคนหนุ่มผู้นี้เคยไปเยือนศาลเทพลำคลองมาแล้วก็ควรจะสัมผัสได้ถึงจะถูก ยิ่งควรต้องรับมือได้อย่างเหมาะสม ไม่น่าจะคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องหยุมหยิมด้วยเงินไม่กี่เฉียนเช่นนี้ เมื่อครู่นี้ใครกันที่เพิ่งพูดว่า ‘ท่องอยู่ในยุทธภพต้องตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วน’?
ไฟโทสะลุกท่วมสุมทรวงหญิงชรา นางกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ทั้งนาง ผู้เฒ่าชาวเรือและเรือลำนั้นต่างก็พากันจมดิ่งลงไปใต้ลำคลองเหยาเย่ด้วยกัน
สองคนกับเรือหนึ่งลำลอดทะลุไปใต้น้ำดุจกระสวย
หญิงชรากลับคืนสู่รูปโฉมที่แท้จริง ชุดกระโปรงของนางสะบัดพลิ้ว รูปโฉมงดงามล่มบ้านล่มเมือง สมกับเป็นเทพหญิงอย่างแท้จริง
ผู้เฒ่าชาวเรือถอนหายใจ รู้สึกเสียดายแทนคนหนุ่มผู้นั้นอย่างสุดซึ้ง
เฉินผิงอันออกมาจากท่าเรือแล้วก็เริ่มชักเท้าวิ่งตะบึง เสียดายก็แต่การขี่กระบี่ลอยกลางอากาศจะสะดุดตาเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาคงวิ่งหนีได้ไกลกว่านี้แล้ว
เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าอึกใหญ่เพื่อระงับความตกใจ จากนั้นเฉินผิงอันก็หัวเราะ แล้วทำท่าเดินอย่างลำพองใจเลียนแบบเผยเฉียน ข้าเฉินผิงอันคือคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว!
หลังจากเสียงหัวเราะผ่านไป เฉินผิงอันก็เกิดหวาดผวาภายหลังขึ้นมาอีก ยกมือปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก ยังดีๆ ยังดีที่ตนมีไหวพริบ ไม่อย่างนั้นลองนับนิ้วดูแล้วจะต้องถูกแม่นางหนิงตีสักตายกี่รอบ? ต่อให้ไม่ถูกตีตาย คราวหน้าที่เจอกันยังกล้าคาดหวังว่าจะได้กอดนาง แล้วยังจะได้จุมพิตนางหนักๆ อีกหรือ…
ตรงท่าเรือฝั่งตรงข้าม เจียงซ่างเจินที่จากไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้จิตสัมผัสได้ถึงสัญญาณบางอย่างก็ตัดสินใจย้อนกลับคืนมาอย่างเด็ดเดี่ยว เวลานี้ยกมือกุมหน้าผาก พึมพำว่า “เฉินผิงอัน พี่น้องเฉิน นายท่านใหญ่เฉิน! ยังคงเป็นเจ้าที่ร้ายกาจ!”
—–