กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 489 เมื่อวาสนานำพาเมล็ดพันธ์ความรักฝั่งรากหยั่งลึก
แม้ว่าพื้นที่ลับตระกูลเซียนที่เจียงซ่างเจินเดินอยู่ในเวลานี้จะไม่มีชื่อเรียกว่าถ้ำสวรรค์ แต่กลับเหนือกว่าถ้ำสวรรค์
สถานที่แห่งนี้มีหอหยกเรือนแก้ว มีบุปผาพืชพรรณแปลกตานานาชนิด เสียงนกร้องคลอเคล้าเสนาะหู ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเหมือนไอน้ำ ทุกครั้งที่ก้าวเดินล้วนทำให้จิตใจของคนปลอดโปร่งโล่งสบาย เจียงซ่างเจินจุ๊ปากชื่นชม เขาคิดว่าตัวเองเคยเห็นโลกกว้างมาไม่น้อยแล้ว ในมือยังได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า ในอดีตเคยไปใช้เวลาหกสิบปีอย่างเปล่าประโยชน์อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็เพียงแค่เพื่อช่วยคลายปมในใจให้สหายรักอย่างลู่ฝ่าง แล้วก็ถือโอกาสนี้ผ่อนคลายอารมณ์ไปด้วยก็เท่านั้น ผู้ฝึกตนที่ใช้ชีวิตอิสระเสรีอย่างเจียงซ่างเจินนี้ อันที่จริงมีไม่มาก เมื่อเดินขึ้นสู่ที่สูงบนเส้นทางของการฝึกตนย่อมมีด่านมากมายกั้นขวาง แน่นอนว่าโชควาสนานั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่คำว่าสั่งสมมากใช้ทีละน้อยก็คือสัจธรรมพันปีที่ผู้ฝึกตนไม่ยอมรับไม่ได้
ปีนั้นเจียงซ่างเจินเดินทางมาท่องเที่ยวที่นครปี้ฮว่า ได้ทิ้งประโยคห้าวเหิมนั้นเอาไว้ สุดท้ายก็ยังไม่ได้รับความโปรดปรานจากเทพหญิงบนภาพฝาหนัง อันที่จริงเจียงซ่างเจินก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ หลังจากกลับคืนไปยังสำนักกุยหยกที่ใบถงทวีปแล้วก็ได้ขอความรู้เรื่องความลี้ลับของสำนักพีหมาและนครปี้ฮว่ามาจากเจ้าสำนักผู้เฒ่าสวินยวน นี่ถือว่าเขาถามถูกคนแล้ว ความคุ้นเคยที่สวินยวนผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินมีต่อเทพธิดาเทพหญิงมากมายใต้หล้านี้ หากใช้คำพูดของเจียงซ่างเจินก็คือถึงขั้นที่ทำให้คนโมโหจนผมชี้ตั้ง ปีนั้นสวินยวนยังตั้งใจไปเยือนถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเพื่อชื่นชมรูปโฉมความงามของฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสินโดยเฉพาะ ผลกลับกลายเป็นว่าเดินดูรอบภูเขาชิงเสินเพลินจนลืมกลับบ้าน อาลัยอาวรณ์ตัดใจไม่ลง ถึงท้ายที่สุดไม่เพียงแต่ไม่ได้พบหน้าชิงเสินฮูหยิน ยังเกือบจะพลาดงานใหญ่อย่างการสืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขไป แล้วก็เป็นเพราะอดีตเจ้าสำนักส่งกระบี่บินส่งข่าวข้ามทวีปมาให้แก่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งของแผ่นดินกลางที่สนิทสนมกัน จึงบังคับพาสวินยวนออกจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่มาได้ ว่ากันว่าหลังจากที่สวินยวนกลับคืนสู่สำนักแล้ว เจ้าประมุขผู้เฒ่าที่ทั้งกายและใจเป็นดั่งไม้ผุใกล้จะลาจากโลกนี้ไปในท่านั่งกลับยังคงฝืนดึงพลังเฮือกหนึ่งขึ้นมาด่าสวินยวนผู้เป็นลูกศิษย์ซะจนไม่เหลือชิ้นดี แถมยังโมโหจนขว้างวัตถุประจำกายของเจ้าสำนักศาลบรรพจารย์ทิ้งลงพื้น แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ที่เล่ากันมาปากต่อปาก เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นนอกจากอดีตเจ้าสำนักและสวินยวนแล้วก็มีแค่บรรพจารย์สำนักกุยหยกที่ไม่สนใจเรื่องราวทางโลกนานแล้วไม่กี่ท่านที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ผู้ฝึกตนเฒ่าของสำนักกุยหยกล้วนนำเรื่องนี้มาเล่าให้พวกลูกศิษย์ของตัวเองฟังดั่งเรื่องที่ดีงามเรื่องหนึ่ง
แต่เจียงซ่างเจินกลับรู้สึกว่าด้วยนิสัยที่เข้าคู่กันได้ดีของอาจารย์และศิษย์คู่นี้ ข่าวลือก็น่าจะเป็นความจริง ไม่แน่ว่าการที่อดีตเจ้าสำนักโกรธมากขนาดนี้ สาเหตุหนึ่งในนั้นอาจเป็นเพราะสวินยวนยังไม่เคยได้พบหน้าฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสินกับตาตัวเองมาก่อนก็เป็นได้
เจียงซ่างเจินวางมือทั้งสองข้างที่ทำเป็นแสร้งป้องปากลงแล้วเอาไพล่ไว้ด้านหลัง พอนึกถึงความลับบางอย่างที่แพร่เป็นวงเล็กๆ อยู่บนยอดเขาก็ให้สะทกสะท้อนใจไม่หยุด
เมื่อได้เห็นทัศนียภาพอันงามเลิศล้ำของสถานที่แห่งนี้อีกครั้งก็ให้รู้สึกสงสารพี่สาวเทพธิดาทั้งหลายขึ้นมาเสียแล้ว
เจ้าสำนักสวินยวนเคยบอกว่าสำนักพีหมาเลือกชายหาดโครงกระดูกเป็นสถานที่ตั้งภูเขานั้น โชควาสนาจากเทพธิดาภาพวาดฝาผนังทั้งแปดภาพก็คือสาเหตุที่สำคัญในสำคัญ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะตัดสินใจตั้งสำนักขึ้นที่ทางทิศใต้สุดของทวีปไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้ คำกล่าวที่บอกว่าแตกหักกับเซียนกระบี่ในท้องถิ่นของอุตรกุรุทวีปก็ล้วนเป็นการกระทำที่คล้อยไปตามสถานการณ์ นี่ก็เพื่อปิดหูปิดตาผู้อื่นว่าตัวเอง ‘ถูกบีบ’ ให้เลือกทางใต้สุด ตลอดชีวิตที่ผ่านมาสวินยวนเคยเปิดอ่านเอกสารคดีลับของตระกูลเซียนบนยอดเขาในแผ่นดินกลางซึ่งสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นมาแล้วไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบันทึกของตระกูลเก่าแก่สายของผู้ดำเนินพิธีการลัทธิขงจื๊อ สวินยวนจึงอนุมานออกมาว่าเทพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ทั้งแปดทั้งนั้นมีหน้าที่คล้ายฝ่ายตรวจการ ผู้ดูแลของหกกรมในวงการขุนนางราชวงศ์มนุษย์ในปัจจุบันที่ออกลาดตระเวนไปทั่วแปดทิศของฟ้าดิน รับผิดชอบหน้าที่ตรวจสอบดูแลพวกเทพกรมสายฟ้า เทพพิรุณ เทพวาโยโดยเฉพาะ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เทพบางองค์ใช้อำนาจอย่างกำเริบเสิบสาน ด้วยเหตุนี้เทพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ทั้งแปดท่านในภาพวาดฝาผนังที่ไม่รู้ว่าถูกผู้ฝึกตนใหญ่แห่งยุคบรรพกาลท่านใดผนึกเอาไว้จึงเคยมีหน้าที่ที่ได้กุมอำนาจสำคัญของสรวงสวรรค์ยุคดึกดำบรรพ์ ไม่อาจดูแคลนได้เลย
สรวงสวรรค์ปริแตก วิถีแห่งเทพพังทลาย อริยะผู้มีคุณูปการของยุคบรรพกาลแบ่งรูปแบบใหญ่ให้ฟ้าดินมีความแตกต่าง พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคโบราณที่โชคดีไม่ได้ดับสิ้นไปอย่างสิ้นเชิงซึ่งมีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตยิ่งใหญ่เหล่านั้นถูกเนรเทศ หรือไม่ก็กักขังอยู่บน ‘ยอดเขา’ หลายแห่งที่ไม่มีใครรู้แทบทั้งหมด เพื่อให้พวกเขาทำความดีชดเชยความผิด ช่วยปรับลมเปลี่ยนฝน ผสานความสัมพันธ์ของไฟและน้ำในโลกมนุษย์ให้เกิดความสมดุล
ว่ากันว่าตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งของภูเขาเจินอู่ซึ่งเป็นปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีป และยังมีสถานที่สำคัญอย่างศาลบรรพจารย์ของศาลลมหิมะก็ล้วนสามารถสื่อสารกับองค์เทพยุคบรรพกาลบางท่านได้โดยตรง ถึงขั้นที่ว่าศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อก็ยังไม่ห้ามปรามในเรื่องนี้ หันกลับมามองสำนักโองการเทพที่เป็นผู้นำของตระกูลเซียนในแจกันสมบัติทวีป สกุลเจียงอวิ๋นหลินที่ในรุ่นบรรพบุรุษเคยมี ‘ต้าจู้’ (ขุนนางที่ทำหน้าที่หลักในการเซ่นไหว้บวงสรวง) หลายท่านปรากฏตัวกลับไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
เจียงซ่างเจินสะบัดชายแขนเสื้อ ปราณวิญญาณของที่นี่เปี่ยมล้นจนน่าตกใจ เป็นเหตุให้เวลานี้เขาเหมือนเดินอยู่บนทางสายเล็กในป่าเขาหลังฝนตก น้ำค้างจึงเปียกชื้นเสื้อผ้า เจียงซ่างเจินคิดในใจว่าเกรงว่าผู้ที่ขอบเขตต่ำกว่าบินทะยานลงมา ซึ่งรวมถึงตนด้วยนั้น ขอแค่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ก็ล้วนได้รับผลประโยชน์มหาศาล ส่วนผู้ฝึกตนบินทะยานนั้น ปราณวิญญาณในสถานที่ฝึกตนจะเข้มหรือจางกลับไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดอีกต่อไปแล้ว
เจียงซ่างเจินชูแขนขึ้นดมชายแขนเสื้อ “ช่างชื่นใจเสียจริง น่าจะเป็นกลิ่นหอมของเหล่าพี่สาวเทพเซียน”
เจียงซ่างเจินยิ้มพลางเงยหน้า ห่างออกไปไกลมีจวนแห่งหนึ่งที่ตัวอักษรสีทองบนกรอบป้ายพร่าเลือนไม่ชัดเจน ปราณวิญญาณของที่นั่นเข้มข้นมากเป็นพิเศษ ไอหมอกเซียนล้อมวนอยู่รอบเอวของเทพหญิงท่านหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ไอหมอกขยับขึ้นๆ ลงๆ ทำให้มองเห็นจานฝนหมึก ‘ฟ้าแลบ’ ที่แขวนไว้ตรงเอวของเทพหญิงผู้นั้นได้อย่างเลือนราง
และยังมีเทพหญิงอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังคา ปลายนิ้วบิดหมุนเบาๆ เมฆมงคลจิ๋วน่ารักก้อนหนึ่งก็เหมือนนกขมิ้นสีขาวหิมะที่บินวนอยู่บนปลายนิ้วของนาง นางหลุบตาลงต่ำมองเจียงซ่างเจิน สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เทพหญิงกว้าเยี่ยน (แขวนจานฝนหมึก) หัวเราะเสียงเย็น “ช่างใจกล้ายิ่งนัก อาศัยตบะขอบเขตหยกดิบก็กล้าปล่อยจิตหยินมาท่องเที่ยวไกลถึงที่นี่”
เทพหญิงสิงอวี่ (โปรยพิรุณ) ที่นั่งอยู่บนหลังคายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มิน่าเล่าถึงสามารถปิดฟ้าข้ามมหาสมุทร ฝ่าค่ายกลภูเขาแม่น้ำสำนักพีหมาและตราผนึกตำหนักเซียนของพวกเรามาได้อย่างเงียบเชียบ”
เจียงซ่างเจินประสานมือคารวะ “พี่หญิงกว้าเยี่ยน พี่หญิงสิงอวี่ ผ่านมานานหลายปี เจียงซ่างเจินได้มาพบพวกท่านอีกแล้ว ช่างเป็นบุญกุศลที่บรรพบุรุษสั่งสมมา เป็นความโชคดีสามชาติภพจริงๆ”
เทพหญิงกว้าเยี่ยนมีสายฟ้าสีม่วงล้อมวนอยู่ในชายแขนเสื้อทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าแม้คนผู้นี้จะขยับปากพูดจาลื่นไหลกลับกลอก ทว่าจิตใจที่แท้จริงกลับนิ่งสนิทราวกับผิวน้ำ แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้นางไม่สบอารมณ์ได้อยู่ดี
เทพหญิงสิงอวี่เอ่ยถาม “ด้านนอกนครปี้ฮว่า พวกเราเคยทำสัญญากับสำนักพีหมาเอาไว้ จึงไม่อาจมองได้มาก ร่างจริงของเจ้าไปหาพี่สาวของพวกเราแล้วหรือ?”
ระหว่างที่สองฝ่ายพูดคุยกัน ห่างไปไกลก็มีกวางเจ็ดสีตัวหนึ่งกำลังกระโดดอย่างแผ่วพลิ้วมาบนหลังคาเรือนแต่ละหลัง
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ สายตาจ้องนิ่งไปบนร่างของกวางเจ็ดสีตัวนั้นแล้วถามอย่างใคร่รู้ว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าเทพธิดาเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพแจกันสมบัติทวีปมีโชควาสนาดีเยี่ยมเป็นหนึ่งในทวีป ตอนนี้ก็ยิ่งได้มาก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในอุตรกุรุทวีปเรา ข้างกายนางก็มีกวางเทพตัวหนึ่งติดตามอยู่ตลอดเวลา ไม่ทราบว่ากวางสองตัวนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่?”
เทพหญิงกว้าเยี่ยนเริ่มหงุดหงิดใจ “คนหยาบช้าอย่างเจ้า รีบถอยออกไปจากตำหนักเซียนซะ”
เจียงซ่างเจินพูดจริงจังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากพี่สาวทั้งสองรำคาญ จะด่าจะตีก็เชิญตามสบาย ข้าจะไม่ตอบโต้เด็ดขาด แต่หากผู้ฝึกตนของสำนักพีหมามาขับไล่คนที่นี่ เจียงซ่างเจินไม่มีความสามารถยิ่งใหญ่ใดๆ แค่พอจะมีความกล้าหาญอยู่บ้างเท่านั้น ข้าจะไม่ยอมไปไหนเด็ดขาด”
ร่างของเทพหญิงกว้าเยี่ยนพลันมีแสงสายฟ้าระเบิดออกมา ชายกระโปรงปลิวสะบัดประหนึ่งสวมใส่กระโปรงเซียนสีม่วงตัวหนึ่ง มองออกว่าไม่จำเป็นต้องให้บรรพบุรุษของสำนักพีหมาจุดธูปเคาะประตูเข้ามาที่นี่ตามข้อตกลงที่มีร่วมกันคือไม่อนุญาตให้คนบนโลกมารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของพวกนาง นางก็คิดจะลงมือด้วยตัวเองแล้ว
เพียงแต่ว่าเทพหญิงสิงอวี่ที่เรือนกายสูงเพรียว มวยผมทรงเมฆาคล้อยกลับลุกขึ้นยืนช้าๆ พลิ้วกายมาอยู่ข้างกายของเทพหญิงกว้าเยี่ยน เรือนกายของนางอรชรอ้อนแอ้น เอ่ยเสียงเบาว่า “รอให้พี่สาวกลับมาก่อนค่อยว่ากัน”
เทพหญิงกว้าเยี่ยนไม่ได้มีนิสัยอ่อนโยนเฉกเช่นเทพหญิงสิงอวี่ นางจึงไม่ค่อยเต็มใจนัก ยังอยากจะลงมือสั่งสอนเจ้าอันธพาลปากพล่อยผู้นี้สักหน่อย ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้วอย่างไร ปล่อยจิตหยินมาเพียงลำพัง อีกทั้งยังอยู่ในตำหนักเซียน อย่างมากก็มีตบะแค่ก่อกำเนิดเท่านั้น อย่าว่าแต่พวกนางอยู่กันครบทั้งสองคนเลย ต่อให้มีเพียงนาง คิดจะขับไล่เขาออกไปจากอาณาเขตก็ยังทำได้ถึงเก้าในสิบส่วน ทว่าเทพหญิงสิงอวี่กลับกระตุกชายแขนเสื้อของเทพหญิงกว้าเยี่ยนเบาๆ ฝ่ายหลังถึงได้ข่มอารมณ์เอาไว้ สายฟ้าสีม่วงทั่วร่างค่อยๆ ไหลหายเข้าไปในจานฝนหมึกลักษณะโบราณที่ห้อยอยู่ตรงเอว
นอกผนังภาพมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง ทว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่ลับตำหนักเซียนแห่งนี้กลับดังเหมือนเทพตีกลองอยู่ที่ขอบฟ้า ดังกระเทือนไปทั้งฟ้าดิน
เทพหญิงสิงอวี่เงยหน้ามองไปแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “กั๋วฉือเซียนซือ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เจียงซ่างเจินเงยหน้ามองไปก็เห็นว่าท่ามกลางทะเลเมฆมีรองเท้าปักลายบุปผาคู่มหึมาเหยียบแหวกทะลุทะเลเมฆมา รอจนเซียนซือท่านนี้ลดกายลงสู่พื้นดินก็กลับคืนสู่ความสูงตามปกติแล้ว
คือสตรีโตเต็มวัยรูปโฉมธรรมดาคนหนึ่ง ตัวไม่สูงมาก แต่พลังอำนาจกลับเฉียมคม ตรงเอวห้อยดาบอาคมหนึ่งเล่ม ด้ามดาบสลักเป็นรูปมังกรคาบไข่มุก
ต่อให้เป็นเจียงซ่างเจินก็ยังอดรู้สึกปวดหัวไม่ได้ สตรีผู้นี้หน้าตาไม่น่ามอง นิสัยก็ยิ่งอัปลักษณ์ ปีนั้นเขาเคยเจอกับความยากลำบากด้วยเงื้อมมือของนางมาก่อน ตอนนั้นคนทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกตนเซียนดินขอบเขตโอสถทองเหมือนกัน ผู้ฝึกตนหญิงผู้นี้แค่ได้ฟัง ‘ข่าวลือ’ น้อยนิดเกี่ยวกับตนก็เชื่อหมดใจ ข้ามผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำมาไล่ฆ่าตนนานเป็นเวลาเกือบครึ่งปีเต็มๆ ระหว่างนี้ได้ประมือกันสามครั้ง เจียงซ่างเจินไม่อาจเล่นงานอีกฝ่ายให้ถึงตายได้จริงๆ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง บวกกับที่สถานะของนางพิเศษ เป็นบุตรีโทนของเจ้าสำนักพีหมาในเวลานั้น เจียงซ่างเจินไม่ต้องการให้ตนเองถูกพวกสมองไม่สมประดีมาขวางทางกลับบ้านเกิด ดังนั้นจึงยอมเผชิญความยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในอุตรกุรุทวีปอย่างที่หาได้ยาก
ตอนนี้กั๋วฉือเซียนซือผู้นี้คือเจ้าสำนักของสำนักพีหมาแล้ว นางเลื่อนขั้นไปถึงขอบเขตหยกดิบได้อย่างกระท่อนกระแท่น อนาคตบนมหามรรคาไม่ถือว่าดีนัก เพียงแต่ช่วยไม่ได้จริงๆ แต่ไหนแต่ไรมาสำนักพีหมาก็เลือกคนมาเป็นเจ้าสำนักโดยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของตบะ ส่วนใหญ่แล้วใครที่นิสัยแข็งกระด้างมากที่สุด กล้าได้กล้าเสียมากที่สุด คนผู้นั้นก็จะได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก ดังนั้นการที่เจียงซ่างเจินติดตามเฉินผิงอันมายังชายหาดโครงกระดูกครานี้แล้วไม่เต็มใจจะรั้งรออยู่นาน สาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะกั๋วฉือเซียนซือที่ในอดีตเขาเคยตั้งฉายาให้ว่า ‘แม่เสือขาสั้น’ ผู้นี้นั่นเอง
แต่ก็น่าประหลาดใจอยู่บ้าง เดิมทีผู้ฝึกตนหญิงผู้นี้ควรจะเปิดศึกเข่นฆ่าอยู่ในหุบเขาผีร้ายถึงจะถูก หากขอบเขตหยกดิบของศาลบรรพจารย์ท่านนั้นมาที่นี่ เจียงซ่างเจินจะไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย หากพูดกันในเรื่องความสามารถด้านการต่อสู้ตัวต่อตัว นำไปวางไว้ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล เจียงซ่างเจินก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเลิศล้ำเท่าใด ต่อให้ตอนอยู่ในใบถงทวีปทวีปที่มีขนาดใหญ่ไม่เป็นรองจากอุตรกุรุทวีปจะสามารถสร้างชื่อ ‘หนึ่งใบหลิวสังหารเซียนดิน’ ได้ก็ตาม คำกล่าวที่บอกว่า ‘ยอมผูกปมแค้นกับสำนักกุยหยก ดีกว่าถูกเจียงซ่างเจินหมายหัว’ นั้น อันที่จริงเจียงซ่างเจินไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าไหร่ แต่หากจะพูดถึงความสามารถในการเผ่นหนีแล้วล่ะก็ เจียงซ่างเจินไม่ได้หลงตัวเองจริงๆ เขารู้สึกจากใจจริงว่าตัวเองพอจะมีพรสวรรค์และความสามารถอยู่บ้าง ปีนั้นตอนที่อยู่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของบ้านตัวเองได้ถูกบรรพจารย์บางท่านร่วมมือกับพวกมดตัวน้อยของถ้ำสวรรค์ที่คิดก่อกบฏวางแผนสถานการณ์ตายไว้เล่นงานเขา แต่เจียงซ่างเจินก็ยังหนีมาได้ หลังจากที่เขาหนีออกมาจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้แล้ว เพียงไม่นานฝ่ายในของสำนักกุยหยกและพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาก็ต้องเจอกับการชำระล้างด้วยเลือดถึงสองครั้งติด ตาเฒ่าสวินยวนนั่งเฉยมองดูดาย ส่วนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่อยู่ในกำมือของสกุลเจียงนั้นก็ยิ่งมีสภาพอเนจอนาถจนไม่อาจทนมองดูได้ ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทุกคนในพื้นที่มงคลที่เป็นเซียนดินแล้วและคนที่มีหวังว่าจะได้เป็นเทพเซียนพสุธาล้วนถูกเจียงซ่างเจินที่พาพวกมาเปิด ‘ประตูสวรรค์’ บุกสังหารไปทั่วพื้นที่มงคล ยอมให้สกุลเจียงเสียหายอย่างหนัก แต่ก็ต้องกำจัดคนเหล่านั้นให้สิ้นซากอย่างเด็ดขาด
ต้องรู้ว่าเจียงซ่างเจินมีคำพูดติดปากอยู่ประโยคหนึ่งที่แพร่หลายไปทั่วใบถงทวีป บุรุษชอบสตรีรัก ย่อมยาวนานนิจนิรันดร์ แต่แค้นข้ามคืนก็เหมือนอาหารมื้อค่ำค้างคืนที่ไม่อร่อย ต่อให้ข้าผู้อาวุโสต้องกินเยี่ยวก็ต้องเป็นเยี่ยวร้อนๆ
กั๋วฉือเซียนซือเอามือกดด้ามดาบ จ้องมอง ‘แขกผู้มีเกียรติ’ ที่เดินทางมาไกลผู้นั้นเขม็ง พลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พาตัวมาติดกับ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษหากข้าจะปิดประตูตีสุนัข”
เจียงซ่างเจินกะพริบตาปริบๆ คล้ายจำกั๋วฉือเซียนซือผู้นี้ไม่ได้ ครู่หนึ่งต่อมาเขาถึงได้กล่าวเหมือนคนเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง “ใช่เฉวียนเอ๋อร์หรือไม่? เหตุใดเจ้าถึงเปิดตัวอย่างอลังการเช่นนี้เล่า?! เฉวียนเอ๋อร์ นี่หากวันใดเจ้าเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหริน ไม่ต้องเคลื่อนไหวใหญ่โตอะไร แค่เปลี่ยนรูปโฉมสักเล็กน้อย จะไม่ทำให้ดวงตาสุนัขทั้งคู่ของข้าถลึงออกมาเลยหรือ?”
สตรีโตเต็มวัยหรี่ตาลง มือข้างหนึ่งกดดาบ มืออีกข้างยื่นฝ่ามือออกมา คลี่ยิ้มอย่างเสแสร้ง “อนุญาตให้เจ้าสั่งเสียอีกสักสองสามคำ”
เจียงซ่างเจินมองผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นอย่าง ‘หลงใหล’ “เป็นเช่นนี้จริงเสียด้วย เฉวียนเอ๋อร์ไม่เหมือนกับพวกสตรีที่ประโคมแต่งกายอย่างดาษดื่นพวกนั้นจริงๆ หากว่ากันตามตรงแล้ว แม้ว่ารูปโฉมของเฉวียนเอ๋อร์จะไม่ถือว่าโดดเด่นที่สุดในโลก แต่ปีนั้นเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ก็ยิ่งเป็นอย่างนี้ นั่นคือขอแค่บุรุษได้เห็นครั้งเดียวก็ยากจะลืมเลือนได้อีก”
สตรีหัวเราะร่วน “อืม ประโยคแบบนี้ฟังแล้วคุ้นหูอยู่มาก เกาหลิ่วแห่งสำนักเหลยเจ๋อ ยังจำได้ไหม? สาวงามที่เป็นหนึ่งไร้ผู้ใดทัดเทียมในภาคกลางของอุตรกุรุทวีปเราในปีนั้น จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไร้คู่บำเพ็ญเพียร นางเคยพูดถึงเจ้ากับข้า โดยเฉพาะถ้อยคำเช่นนี้ที่นางจดจำไว้ขึ้นใจ กี่ปีมาแล้วก็ยังคิดถึงมิอาจลืมเลือน เจียงซ่างเจิน ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ขอบเขตของเจ้าสูงขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย แต่ความสามารถในการพูดของเจ้ากลับไม่พัฒนาสักนิดเลยหรือ? ช่างทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ เอ่ยด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “เป็นความผิดของข้าจริงๆ หลายปีที่ผ่านมานี้มัวแต่ตั้งใจฝึกตนจึงปล่อยปละละเลยความสามารถดั้งเดิมของตัวเองไปบ้าง เฉวียนเอ๋อร์ ยังคงเป็นเจ้าที่จริงใจต่อข้า วันหน้าข้าจะต้องดีกับเจ้ายิ่งๆ ขึ้นไปอย่างแน่นอน”
เทพหญิงกว้าเยี่ยนหลุดหัวเราะพรืด “คนแบบนี้ทำไมถึงมีชีวิตอยู่รอดมาจนวันนี้ได้นะ?”
เทพหญิงสิงอวี่กล่าว “อีกเดี๋ยวเจ้าลงมือช่วยเหลือกั๋วฉือเซียนซือเถอะ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าแล้ว”
เจียงซ่างเจินกวาดตามองไปรอบด้าน “สถานที่แห่งนี้และยังเป็นเวลานี้ สมกับคำว่าเบื้องใต้ดอกโบตั๋นอย่างแท้จริง” (คนโบราณเปรียบเปรยดอกโบตั๋นถึงสตรี คำว่าเบื้องใต้ดอกโบตั๋นจึงหมายถึงใต้กระโปรงสตรี)
สีหน้าของเทพหญิงสิงอวี่พลันเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด
เห็นเพียงว่านางกลั้นลมหายใจตั้งสมาธิเพ่งมองไปยังมุมหนึ่ง
เทพหญิงกว้าเยี่ยนเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ บอกเป็นนัยให้กั๋วฉือเซียนซือของสำนักพีหมารอสักครู่
ในนครปี้ฮว่า
หญิงสาวคนหนึ่งที่มาจากยอดเขาสิงโตยืนอยู่ใต้ภาพของเทพหญิงภาพหนึ่ง นางยื่นมือออกมาจับแล้วใช้เสียงในหัวใจพูดอย่างเฉยเมยว่า “ยังไม่ออกมาอีกหรือ?”
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น เทพหญิงกว้าเยี่ยนก็ใจสั่นสะท้าน มองไปยังอีกมุมหนึ่ง บุรุษต่างถิ่นคนหนึ่งที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังอุตรกุรุทวีปกำลังเงยหน้ามองมายัง ‘ตน’ สีหน้าของเขาเหนื่อยล้า แต่สภาพจิตใจของเขากลับคมปลาบ เขายิ้มพูดกับเทพหญิงในม้วนภาพว่า “เฝ้าคิดถึงคะนึงหา ทุกค่ำคืนอยากพบเจอแต่กลับไม่ได้เจอ ในที่สุดก็หาเจ้าพบแล้ว”
ส่วนริมตลิ่งศาลเทพลำคลองเหยาเย่ เทพหญิงฉีลู่กำลังเดินเคียงไหล่อยู่กับร่างจริงของเจียงซ่างเจิน จากนั้นเรือหลิวเสียลำหนึ่งก็ดิ่งวูบลงสู่เบื้องล่าง มีสตรีผู้เป็นเจ้าสำนักคนหนึ่งเดินออกมา พอเห็นนางแล้ว สภาพจิตใจของเทพหญิงฉีลู่ก็เหมือนถูกปัดฝุ่นที่เกาะติดออก แม้ว่าจะยังคงไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ แต่ก็แน่ใจอย่างถึงที่สุดว่านักพรตหญิงที่บนร่างแผ่ภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ไพศาลตรงหน้าผู้นี้ต่างหากถึงจะเป็นเจ้านายที่นางควรจะติดตามรับใช้อย่างแท้จริง
ริมลำคลองเหยาเย่ นักพรตหญิงหน้าตางามเลิศล้ำมองไปยังเจียงซ่างเจินแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าก็คือผู้ปกป้องมรรคาของเขา?”
คำถามนี้ถามได้กะทันหันยิ่ง
แต่เจียงซ่างเจินกลับกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา ความจริงที่เป็นผลลัพธ์บางอย่าง ต่อให้ระหว่างทางจะต้องอ้อมวนไปไกล มองไม่เห็นความชัดเจนแม้แต่น้อย แต่อันที่จริงกลับไม่ได้ส่งผลอะไรเลย
เจียงซ่างเจินหัวเราะฮ่าๆ “ใช่ที่ไหนกันๆ มิกล้าๆ”
เทพหญิงฉีลู่กลับเอ่ยประโยคขัดคอที่แฝงไว้ด้วยปราณสังหาร “เมื่อครู่นี้คำพูดของคนผู้นี้แฝงความนัย ความหมายคร่าวๆ ก็คือเกลี้ยกล่อมให้ข้าติดตามจอมยุทธพเนจรผู้นั้น จิตใจของเขาชั่วช้า อีกนิดเดียวก็เกือบจะทำลายวาสนาระหว่างข้ากับนายท่านได้แล้ว”
เจียงซ่างเจินลูบคลำปลายคาง เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ดูท่าอุตรกุรุทวีปจะไม่ค่อยต้อนรับข้าสักเท่าไหร่ ได้เวลาเผ่นแล้ว”
สายตาของเทพหญิงฉีลู่พลันหม่นหมอง เอ่ยเบาๆ ว่า “นายท่าน พี่สาวน้องสาวสองคนนั้นของข้า ดูเหมือนว่าโชควาสนาจะมาถึงแล้วเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าภายในวันเดียว ทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปทางใครทางมันแล้ว”
นักพรตหญิงที่มีสถานะสูงส่งเป็นถึงเจ้าสำนักกลับไม่สนใจเรื่องนี้ นางที่เหน็ดเหนื่อยจากการเร่งรุดเดินทางมาที่นี่ขมวดคิ้วแน่น รู้สึกลังเลตัดสินใจไม่ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จนกระทั่งบัดนี้ เจียงซ่างเจินถึงได้เริ่มตกใจ
เพราะว่านักพรตหญิงที่เขาเดาสถานะของนางออกตรงหน้าผู้นี้เกิดจิตสังหารแล้ว
ความรักระหว่างชายหญิงบนภูเขา ตีก็เพราะรัก ด่าก็เพราะรัก เจียงซ่างเจินนั้นคุ้นเคยดียิ่งกว่าใคร
ถึงขั้นเกิดใจคิดสังหาร นั่นก็ต้องเป็นเพราะเมื่อวาสนานำพาเมล็ดพันธ์ความรักได้ฝั่งรากหยั่งลึก แต่เมื่อวาสนาจากไปก็ยังไม่อาจถอนตัวได้
เทพหญิงฉีลู่เอ่ยเตือนเบาๆ “ตอนนี้นายท่านเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตยังไม่มั่นคงนัก อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสักเท่าไหร่”
นักพรตหญิงส่ายหน้า “ไม่เป็นไร นี่เป็นเรื่องเล็ก”
นางมีเรื่องใหญ่กว่าที่ต้องสะสาง
—–