กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 493.2 จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกหาลูกเขยส่งเดช
หลังออกมาจากสันเขาอีกา เฉินผิงอันก็เดินเลียบ ‘ทางหลวง’ ของหุบเขาผีร้ายเส้นนั้นขึ้นเหนือต่อ แต่ว่าขอแค่มีทางแยกเส้นเล็กเบี่ยงจากทางสายใหญ่ออกไป เขาก็จะต้องแยกเดินไปให้ได้ จนกระทั่งสุดทางถึงจะหยุดเดิน บางครั้งก็เจอกับธารน้ำลึกที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเทือกเขาสูงชัน แล้วบางครั้งก็อาจเป็นหน้าผาตระหง่านง้ำ ไม่เสียแรงที่เป็นหุบเขาผีร้าย ทุกพื้นที่ล้วนซุกซ่อนความมหัศจรรย์ ตอนนั้นเฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมลำธารก็สังเกตเห็นว่าใต้น้ำมีเผ่าน้ำใช้ชีวิตอยู่ เป็นเผ่าพันธุ์ที่เริ่มมีสติปัญญา เพียงแต่ว่าตอนที่เฉินผิงอันนั่งยองวักน้ำล้างใบหน้า ปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำกลับยังคงมีน้ำอดน้ำทน ไม่ได้เลือกออกจากน้ำมาลอบโจมตีเฉินผิงอัน ในเมื่ออีกฝ่ายระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้ เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะเป็นคนลงมือก่อน
ส่วนทางฝั่งของหน้าผาที่มีภูเขาสองลูกคุมเชิงกันอยู่นั้นก็มีสะพานเหล็กเส้นหนึ่งพาดผ่าน กระดานไม้ของสะพานผุพังไม่เหลือชิ้นดีนานแล้ว หลงเหลือเพียงโซ่เหล็กที่ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศส่ายไหวเบาๆ ไปตามสายลม สำหรับผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแล้ว การจะเดินไปบนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เฉินผิงอันกลับมองเห็นว่าตรงกลางของสะพานเหล็กไม่เพียงแต่มีงูเหลือมสีดำสนิทลำตัวหนาเท่าเสาต้นหนึ่งแลบลิ้นแปลบๆ รัดพันอยู่ ห่างจากภูตงูเหลือมไปไม่ไกลยังมีใยแมงมุมที่กว้างมากใยหนึ่งตั้งตระหง่าน เอาไว้ดักจับพวกนกที่บินผ่านระหว่างภูเขาโดยเฉพาะ หัวของภูตแมงมุมตัวนั้นมีขนาดเท่ากำปั้น และสามารถจำแลงกลายมาเป็นใบหน้าของสตรีได้แล้ว
หากนักพรตเต๋าหรือหลวงจีนเดินทางท่องเที่ยวมาที่นี่แล้วเห็นภาพนี้เข้า ไม่แน่ว่าอาจจะต้องลงมือกำจัดปีศาจปราบมารเพื่อสะสมบุญกุศล
แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ปีศาจของที่แห่งนี้ ต่อให้คิดอยากจะกินคน อยากจะก่อกรรมทำเข็ญ ก็ต้องมีคนเดินไปปะทะกับพวกมันก่อนจึงจะได้
คราวนี้เฉินผิงอันเดินเลียบทางแยกเข้าไปในป่าลึกกลับได้เห็นว่าตรงตีนภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่งมีสิ่งปลูกสร้างเก่าโทรมลักษณะคล้ายศาลขนาดเล็กไว้ให้คนพักเท้า ในตำราไม่มีบันทึกไว้ เฉินผิงอันคิดจะหยุดพักสักครู่แล้วค่อยเดินขึ้นเขาไป ศาลเล็กไร้นาม ทว่าชื่อเสียงของภูเขาลูกนี้กลับมีไม่น้อย ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ได้กล่าวไว้ว่าภูเขาลูกนี้มีชื่อว่าภูเขากระจกวิเศษ ตรงกึ่งกลางภูเขามีลำธารอยู่เส้นหนึ่งที่เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลเคยมีเซียนขี่เมฆท่องเที่ยวมาถึงแล้วเจอเข้ากับพวกองค์เทพอย่างเทพสายฟ้าและเจ้าแม่ฟ้าแลบกำลังโปรยพิรุณกันอยู่ เซียนผู้นั้นไม่ทันระวังทำกระจกวิเศษซึ่งเป็นสมบัติหนักของตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งหล่นไว้ ลำธารกลางภูเขาเส้นนั้นก็จำแลงมาจากกระจกที่หล่นลงสู่พื้นดินบานนั้น
ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาเดาว่ากระจกวิเศษโบราณบานนี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าหายากที่มีระดับขั้นถึงสมบัติอาคม แต่กลับแฝงโชควาสนาที่น่าตื่นตะลึงเอาไว้
เฉินผิงอันอยากจะขึ้นไปดูสักหน่อย ถึงอย่างไรการท่องเที่ยวอยู่ในหุบเขาผีร้ายก็ไม่ต้องคอยสนอยู่แล้วว่าหนทางจะอ้อมไกลหรือไม่ ในอดีตสำหรับเรื่องของโชควาสนานั้น เฉินผิงอันยอมรับชะตากรรมตัวเองอย่างมาก แน่ใจว่าไม่มีทางมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนความคิดไปมากแล้ว เพียงแต่ว่าโชควาสนาอย่างภาพเทพหญิงขุนนางสวรรค์ในเมืองปี้ฮว่านั้นยังคงเป็นสิ่งที่เขาแตะต้องไม่ได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ อย่างวัตถุไร้เจ้าของในจวนเซียนพื้นที่ลับหรือวัตถุดิบวิเศษที่เกิดขึ้นตามโชควาสนา เฉินผิงอันก็อยากจะลองเสี่ยงดวงดูสักตั้ง
เฉินผิงอันก่อกองไฟกองหนึ่งขึ้นในวัดร้าง แสงไฟมีประกายสีเขียวอ่อนๆ วับแวมแฝงเหลือบอยู่ ประหนึ่งไฟผีพุ่งใต้ในสุสาน
เฉินผิงอันกำลังกินอาหารแห้งก็สังเกตเห็นว่าบนทางเส้นเล็กด้านนอกมีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยถือไม้เท้า บนไม้เท้าห้อยน้ำเต้าคนหนึ่งกำลังเดินมา เฉินผิงอันเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอาหารของตัวเอง ไม่คิดจะเอ่ยทักทาย
ผู้เฒ่ามายืนอยู่ตรงประตูของวัดเล็ก ยิ้มถามว่า “คุณชายคิดจะไปเยือนลำธารลึกบนภูเขากระจกวิเศษหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “คุณชาย หาใช่ข้าผู้อาวุโสจงใจพูดจาข่มขู่ให้เจ้ากลัว แต่สถานที่แห่งนั้นอันตรายอย่างยิ่ง แม้จะเรียกว่าลำธาร แต่กลับกว้างและลึก ใหญ่เหมือนทะเลสาบ น้ำใสจนมองเห็นก้นบึ้ง แล้วก็น่าจะสอดคล้องตามคำกล่าวประโยคนั้นที่ว่าบอกน้ำใสเกินไปปลาก็อยู่ไม่ได้จริงๆ เพราะในลำธารไม่มีปลาแหวกว่ายให้เห็นเลยสักตัว พวกสัตว์ปีกอย่างนก สัตว์เลื้อยคลานอย่างงู หรือสัตว์บกอย่างพวกหมาป่าก็ยิ่งไม่กล้ามาดื่มน้ำที่นี่ เพราะมักจะมีนกที่บินผ่านแล้วตกน้ำตายเป็นประจำ นานวันเข้าก็มีคำเรียกขานว่าลำธารดูดวิญญาณ โครงกระดูกขาวกองทับถมกันอยู่ใต้ทะเลสาบ นอกจากพวกสัตว์ปีกทั้งหลาย ยังมีพวกผู้ฝึกตนหลายคนที่ไม่เชื่อถือที่ต้องมาตายอยู่ในทะเลสาบ ตบะของทั้งร่างกลายไปเป็นชะตาน้ำของลำธารภูเขาเส้นนี้อย่างเปล่าประโยชน์”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นขอถามท่านผู้อาวุโสหน่อยว่า สรุปว่าท่านอยากให้ข้าไปชมทะเลสาบ หรืออยากให้ข้าย้อนกลับทางเดิมกันแน่?”
“คุณชายพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างกังขา “ข้าผู้อาวุโสย่อมไม่หวังให้คุณชายเสี่ยงอันตรายไปชมทิวทัศน์อยู่แล้ว ในเมื่อคุณชายเป็นผู้ฝึกตน บนฟ้าใต้ดิน ทัศนียภาพงดงามแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เหตุใดยังต้องไปเสี่ยงอันตรายที่ลำธารกลางภูเขาแห่งหนึ่ง ตลอดพันปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาที่ไขปริศนาไม่ได้ เทพเซียนพสุธากี่มากน้อยที่เข้ามายังภูเขาลูกนี้แล้วไม่เคยได้รับโชควาสนากลับไป แค่มองก็รู้ว่าคุณชายมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ร่างกายล้ำค่าประดุจทองคำ ไม่ควรพาตัวมาเสี่ยงอันตนาย ข้าผู้อาวุโสคงต้องขอพูดเพียงเท่านี้ ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้คุณชายเข้าใจผิดเอาได้”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไม้เท้าที่มีหน่อสีเขียวตะปุ่มตะป่ำในมือของผู้เฒ่าแล้วถามว่า “หรือว่าท่านผู้อาวุโสคือเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้?”
ผู้เฒ่ามือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือหนึ่งลูบหนวดยิ้มบางๆ “ท่ามกลางกลุ่มภูเขาในหุบเขาผีร้าย ไม่มีตำแหน่งเทพแห่งผืนดิน แต่ก็มีหน้าที่เหมือนเทพแห่งผืนดินจริงๆ นั่นแหละ ข้าผู้อาวุโสถือว่าเหยียบโชคดีขี้หมาจึงได้อยู่ติดอันดับ เทพแห่งผืนดินครึ่งตัวในภูเขากระจกวิเศษเล็กๆ แห่งนี้ส่องแสงเท่าเมล็ดข้าวสาร ส่วนท่านผู้อาวุโสวิญญาณวีรบุรุษทั้งหลายที่ยึดครองนครใหญ่เมืองยักษ์กินควันธูป กินโชคชะตาเหล่านั้นต้องเรียกว่าส่องแสงสุกสกาวดุจตะวันจันทรา”
เฉินผิงอันถาม “ไม่ทราบว่าร่างจริงของท่านผู้อาวุโสคือ?”
ผู้เฒ่าเป่าหนวดถลึงตา กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเด็กน้อยอย่างเจ้าช่างไม่รู้มารยาทเอาซะเลย อยู่ในราชวงศ์ของหมู่ชาวบ้านยังมีคำกล่าวว่าไม่ถามนามภิกษุ ไม่ถามอายุนักพรตเต๋า เจ้าที่เป็นผู้ฝึกตน ยามเจอกับเทพแห่งภูเขาแม่น้ำ เหตุใดยังกล้าถามถึงเรื่องราวในอดีตชาติ! ข้าว่าเจ้าต้องไม่ใช่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างแน่นอน ทำไม ผู้ฝึกตนอิสระเล็กๆ คนหนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกไม่รอดก็เลยมาที่หุบเขาผีร้ายของพวกเรา มาใช้ชีวิตแลกเปลี่ยนโชควาสนาที่ภูเขากระจกวิเศษของเราอย่างนั้นหรือ? หากตายก็ตายไป ไม่ตายก็จะได้ร่ำรวยอย่างนั้นรึ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้าแล้วหมุนตัวเดินจากไป “ดูท่าก้นลำธารกลางภูเขาคงต้องมีโครงกระดูกเพิ่มมาอีกโครงหนึ่งแล้ว”
น้ำเต้าที่ผูกไว้ตรงหัวไม้เท้าเหมือนเพิ่งถูกปลดลงมาจากเถา เพราะยังเป็นสีเขียวมรกตสดปลั่ง
เฉินผิงอันยื่นมือไปอังไฟแล้วคลี่ยิ้ม
ลูกไม้น้อยนิดและเวทอำพรางตาของผู้เฒ่าซึ่งบอกว่าตัวเองคือเทพแห่งผืนดินของภูเขากระจกวิเศษนำมาหลอกคนอื่นนั้นมีรูโหว่อยู่ทั่วจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง
นับว่าหาได้ยากที่เขาอุตส่าห์ไปเจอไม้เท้าที่เหมือนต้นไม้แห้งเหี่ยวเจอกับวสันตฤดูจึงแตกหน่อสีเขียวและน้ำเต้าสีมรกตที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นลูกนั้นมาได้
แต่กลิ่นสาบจิ้งจอกของผู้เฒ่ากลับยังคงปกปิดได้ไม่ดีนัก และเมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาล ปีศาจจิ้งจอกก็ไม่อาจกลายมาเป็นเทพแห่งภูเขาได้ นี่ก็คือกฎเหล็ก
เฉินผิงอันเดาเอาว่าตัวตนที่แท้จริงของจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้น่าจะเป็นเทพพ่อปู่ลำคลองของลำธารกลางภูเขาสายนั้น ทั้งไม่หวังให้ตนพาตัวไปตายในทะเลสาบโดยไม่ทันระวัง แล้วก็ทั้งกลัวว่าตนอาจจะช่วงชิงโชควาสนาจากกระจกวิเศษบานนั้นไปได้ ทำให้มันสูญเสียรากฐานมหามรรคา ดังนั้นจึงมาที่นี่เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าจิ้งจอกเฒ่าก็อาจจะเป็นพวกลูกสมุนขององค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำบางท่านในภูเขากระจกวิเศษ แต่เกี่ยวกับเรื่องขององค์เทพในหุบเขาผีร้ายนี้ ในตำรามีบันทึกไว้ไม่มาก บอกแค่ว่ามีจำนวนน้อยนิด โดยทั่วไปแล้วมีเพียงวิญญาณวีรบุรุษผู้เป็นเจ้าเมืองเท่านั้นที่พอจะถือได้ว่าเป็นเทพแห่งภูเขาแม่น้ำครึ่งตัว ส่วนสถานที่ที่มีภูเขาสูงสายน้ำใหญ่แห่งอื่นๆ วัตถุหยินที่ ‘แต่งตั้งยศ’ ให้ตัวเองล้วนเป็นประเภทยศตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม
เฉินผิงอันกำลังจะดื่มเหล้า
เห็นเพียงว่าจิ้งจอกเฒ่ามาที่นอกวัดร้างอีกครั้ง เขาเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “คิดดูแล้วคุณชายคงมองตัวตนของข้าผู้อาวุโสออกแล้ว ลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้มีแต่จะกลายเป็นที่ขบขันของผู้อื่น ก็จริง ข้าผู้อาวุโสก็คือจิ้งจอกเฒ่าแห่งภูเขาตะวันตก และอันที่จริงแล้วภูเขากระจกวิเศษแห่งนี้ก็ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำอย่างพวกเทพแห่งผืนดินหรือพ่อปู่ลำคลองอะไรทั้งนั้น ข้าผู้อาวุโสเติบโตมาที่แถบของภูเขากระจกวิเศษตั้งแต่เด็ก แล้วก็ได้เริ่มฝึกตน อาศัยปราณวิญญาณของลำธารในภูเขานั้นจริง แต่ข้าผู้อาวุโสยังมีบุตรสาวอยู่คนหนึ่ง วันที่นางบรรลุมรรคากลายร่างเป็นคนเคยตั้งคำสัตย์ปฏิญาณเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือภูตผีสัตว์ประหลาด ขอแค่ใครก็ตามที่มาว่ายน้ำในลำธาร แล้วเจอปิ่นปักผมสีทองที่นางทำตกน้ำตอนเยาว์วัย นางก็จะยินดีแต่งงานกับคนผู้นั้น”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “ข้าผู้อาวุโสรอคอยมานานหลายร้อยปีแล้ว น่าสงสารบุตรสาวของข้าที่เกิดมาสะคราญโฉม ไม่รู้ว่าทหารผีที่อยู่ใกล้เคียงกี่มากน้อยที่อยากจะมาสู่ขอนางจากข้า แต่ก็ล้วนถูกปฏิเสธไปหมด นี่ทำให้หลายๆ คนเกิดความไม่พอใจแล้ว หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้เป็นข้าผู้อาวุโสก็คงอยู่ที่แถบภูเขากระจกวิเศษนี้ต่อไปไม่ได้ ดังนั้นวันนี้พอเห็นคุณชายที่มีรูปโฉมงดงามก็เลยคิดว่าหากคุณชายสามารถเก็บปิ่นทองชิ้นนั้นมาได้ ก็จะช่วยลดปมในใจที่ใหญ่เทียมฟ้านี้ให้แก่ข้าผู้อาวุโส ส่วนหลังจากได้ปิ่นทองมาแล้ว ตอนที่คุณชายออกไปจากหุบเขาผีร้ายจะพาบุตรสาวของข้าไปด้วยกันหรือไม่ ข้าผู้อาวุโสคงไปเจ้ากี้เจ้าการไม่ได้แล้ว ต่อให้ร่วมหอลงโรงกับนางไปแล้ว แล้วจะให้นางเป็นอนุภรรยาหรือเป็นสาวใช้ ข้าผู้อาวุโสก็ยิ่งไม่สนใจ เผ่าจิ้งจอกภูเขาตะวันตกอย่างพวกเราไม่เคยถือสาพิธีการในโลกมนุษย์เหล่านี้อยู่แล้ว”
เฉินผิงอันโบกมือกล่าวว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้ามีแผนการอะไร แต่อย่ามาใกล้ข้าอีก เจ้าวาดงูเติมขากี่ครั้งแล้ว? ไม่อย่างนั้นให้ข้าช่วยคำนวณแทนเจ้าดีไหม?”
ผู้อาวุโสถามหยั่งเชิง “เรื่องปิ่นทอง ข้าผู้อาวุโสพูดเกินจริงไปหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
ผู้เฒ่าตีอกชกตัว หมุนกายจากไปอย่างขุ่นเคือง เขาพลันหยุดเท้าหันหน้ากลับมาแล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “คนต่างถิ่นอย่างพวกเจ้า เหตุใดถึงได้หลอกยากหลอกเย็นขนาดนี้?! หรือว่านอกหุบเขาผีร้ายล้วนมีแต่รังนักต้มตุ๋น?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
ผู้เฒ่าชำเลืองตามองอาหารแห้งในมือของเฉินผิงอันแล้วเริ่มสบถด่า “ก็แค่คนจนๆ คนหนึ่ง! ต้องการเงินไม่มีเงิน ต้องการหน้าตาไม่มีหน้าตา ลูกสาวข้าหรือจะถูกใจเจ้า รีบไสหัวไปเถอะ เจ้าคนหน้าไม่อาย ยังจะกล้ามาหาสมบัติที่ภูเขากระจกวิเศษอีก…”
เฉินผิงอันชูอาหารแห้งที่เหลืออีกไม่มากในมือแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รอให้ข้ากินเสร็จแล้วค่อยคิดบัญชีกับเจ้า”
จิ้งจอกภูเขาตะวันตกรีบเผ่นหนีไปไกลทันที
เฉินผิงอันกินอาหารแห้งแล้วก็หยุดพักผ่อนครู่หนึ่ง เขาดับกองไฟ ถอนหายใจ หยิบเอาท่อนฟืนที่ยังเผาไหม้ไม่หมดท่อนหนึ่งขึ้นมาแล้วเดินออกไปจากวัดร้าง ห่างออกไปไกลมีสตรีสวมชุดสีสันฉูดฉาดเดินนวยนาดตรงมา รูปร่างของนางผอมแห้งก็แล้วไปเถิด ประเด็นสำคัญคือเฉินผิงอันยังมองตัวตนที่แท้จริงของ ‘นาง’ ออกในทันที ก็คือจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกที่ไม่รู้ว่าเอาไม้เท้าและน้ำเต้าไปซ่อนไว้ที่ไหน เขาจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป โยนท่อนฟืนในมือทิ้ง ท่อนฟืนไปกระแทกโดนหน้าผากของจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกที่สวมหน้ากากซึ่งถูกร่ายเวทอำพรางตาและวิชาการแปลงโฉมที่หากเทียบกับหน้ากากที่จูเหลี่ยนสร้างขึ้นแล้วก็แตกต่างกันหนึ่งแสนแปดพันลี้ อีกฝ่ายลอยหวือออกไปเหมือนว่าวที่สายป่านขาด เขาชักกระตุกอยู่สองสามทีแล้วก็หมดสติไปทันใด ดูท่าแล้วน่าจะยังไม่ฟื้นตื่นขึ้นมาเร็วๆ นี้
เฉินผิงอันที่ในที่สุดก็ได้ช่วงเวลาที่เงียบสงบกลับคืนมาเดินขึ้นเขาช้าๆ พอเดินมาใกล้ลำธารกลางภูเขาก็อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ยังจะมาอีก? ยังจะตามพัวพันไม่เลิกอีกหรือ?
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็เอื้อมมือไปหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมาชั่งน้ำหนักอยู่ในมือ แล้วจึงขว้างออกไป เขาเพิ่มพละกำลังเล็กน้อย ดูท่าตอนอยู่ที่วัดร้างตีนเขาก่อนหน้านี้ตนคงจะใจอ่อนมีเมตตาไปหน่อย
ตรงริมตลิ่งของธารน้ำมีสตรีผู้หนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้เฉินผิงอัน นางนั่งขัดสมาธิเบี่ยงข้างอยู่บนก้อนหินสีขาวหิมะ ข้างกายวางรองเท้าปักลายบุปผาคู่หนึ่งไว้อย่างเป็นระเบียบ นางถือร่มเล็กสีเขียวมรกตคันหนึ่งเอียงๆ มือกำลังบิดหมุนด้ามร่มเบาๆ
หากไม่มีเหตุการณ์ชวนโมโหก่อนหน้านี้แล้วเห็นเพียงแค่ภาพตรงหน้า เฉินผิงอันต้องไม่มีทางลงมือโดยตรงแบบนี้แน่นอน
ผลคือหินก้อนนั้นของเฉินผิงอันทะลุร่มคันเล็กสีเขียวสดไปกระแทกโดนหัวของอีกฝ่าย เสียงปังดังหนึ่งครั้ง อีกฝ่ายก็ล้มนอนพังพาบอยู่กับพื้น
ถือว่าเฉินผิงอันระมัดระวังมากแล้ว เขาไม่ได้จู่โจมไปโดนท้ายทอย ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายต้องร่วงดิ่งลงไปในลำธารประหลาดแห่งนี้อย่างแน่นอน เขาเพียงแค่ขว้างให้เจ้าหมอนั่นเอียงล้มลงกับพื้นแล้วหมดสติ ไม่ถึงขั้นกลิ้งตกลงไปในน้ำ
แล้วเฉินผิงอันก็ไม่สนใจจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกตนนั้นอีก
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เดินไปริมน้ำอย่างระมัดระวัง เพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าน้ำในลำธารลึกชันจริง แต่กลับใสกระจ่างจนเห็นก้นบึ้ง ด้านล่างนั้นมีเพียงโครงกระดูกสีขาวโพลน แล้วก็มีประกายแสงอ่อนจางส่องวิบวับมาในบางจุด มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าน่าจะเป็นอาวุธวิเศษที่ผู้ฝึกลมปราณพกติดตัว เมื่อผ่านการชำระล้างจากกระแสน้ำมานานนับร้อยนับพันปี ปราณวิญญาณจึงถูกกัดกร่อนจนเหลือแค่จุดแสงน้อยๆ คาดว่าต่อให้เป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง ทุกวันนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีค่าเท่าเทียมกับอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง
เฉินผิงอันหวังว่าตัวเองจะโชคดี เขามองตามจุดแสงเหล่านั้นไป ดูว่าจะมีวัตถุวิเศษสมบัติอาคมที่เป็นธาตุน้ำของห้าธาตุสักชิ้นสองชิ้นหรือไม่ เพราะหากพวกมันจมลงไปในใต้น้ำของลำธารแห่งนี้ก็ไม่แน่ว่าระดับขั้นอาจจะดีก็เป็นได้
แต่เฉินผิงอันก็คอยระวังลำธารดูดวิญญาณแห่งนี้ตลอดเวลา เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็มีความประหลาดที่ทำให้สิ่งมีชีวิตชอบกระโดดลงน้ำฆ่าตัวตาย
เฉินผิงอันหันขวับไปมองก็เห็นเพียงว่าท่ามกลางผืนป่ามีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ในมือถือไม้เท้าผูกน้ำเต้าคนหนึ่งวิ่งตะบึงมาทางนี้พลางร้องคร่ำครวญเสียงดังว่าลูกสาวที่อาภัพของข้า เหตุใดยังไม่ทันได้แต่งงานก็ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว
เฉินผิงอันเริ่มรู้สึกปวดหัว
เขาทอดสายตามองไปยังก้อนหินสีขาวหิมะเป็นหลุมเป็นบ่อแห่งหนึ่งที่อยู่บนฝั่งตรงข้ามกับลำธารลึก ตรงนั้นมีบุรุษเสื้อผ้าขาดวิ่นคนหนึ่งนั่งอยู่ เขายืดเอวบิดขี้เกียจ จากนั้นก็เดินอาดๆ มาที่ริมน้ำแล้วนั่งแปะลงไป ยื่นสองเท้าจุ่มน้ำ หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เมฆขาวลอยเหนือหัวต่างกวานสูง ข้าเดินเข้าขุนเขาเขียวดั่งสวมเสื้อผ้า น้ำสีเขียวมรกตคือรองเท้าของข้า ข้าไม่ใช่เทพเซียน แล้วใครกันที่เป็นเทพเซียน?”
จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกตนนั้นพลันตะเบ็งเสียงด่าดังโขมงโฉงเฉง “เจ้าตะพาบที่ยากจนข้นแค้นจนไอ้จ้อนโผล่จากกางเกงอย่างเจ้ายังกล้ามาโอ้อวดความรู้อันแร้นแค้นของตัวเองอยู่ที่นี่อีกรึ เจ้าชอบเอาแต่พูดว่าจะมาเป็นลูกเขยของข้าไม่ใช่หรือไง ตอนนี้ลูกสาวข้าถูกคนชั่วตีตายแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”
บุรุษคนนั้นโน้มตัวมาด้านหน้า เอามือสองวางจุ่มลงในน้ำเช่นเดียวกับเท้า หลังจากชำเลืองตามองเฉินผิงอันแล้วก็หันไปมองทางจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตก ยิ้มกล่าวว่า “วางใจเถอะ บุตรสาวของเจ้าแค่สลบเท่านั้น คนผู้นี้ลงมือนุ่มนวลเกินไป ทำเอาข้าไม่มีหน้าทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามเลย ไม่อย่างนั้นจิ้งจอกเฒ่าต่ำช้าเช่นเจ้าก็คงจะมีลูกเขยที่รักเพิ่มมาอีกคนหนึ่งแล้ว ไม่แน่ว่าผูหรางผู้นั้นอาจถึงขั้นเรียกเจ้าเป็นสหาย แม้แต่เมืองจิงกวานก็ยังจะเชื้อเชิญให้เจ้าไปเป็นแขกผู้มีเกียรติ”
สตรีที่อยู่ในอ้อมอกของจิ้งจอกเฒ่าค่อยๆ ฟื้นตื่นขึ้นมา นางขมวดคิ้วอย่างมึนงง
จิ้งจอกเฒ่าซาบซึ้งใจจนเกือบจะน้ำตาไหล พูดเสียงสั่นว่า “ทำเอาข้าตกใจแทบตาย ลูกสาวหากเจ้าตายไป ของหมั้นของบุตรเขยในอนาคตก็คงไม่มีแล้ว”
เด็กสาวคนนั้นเม้มปากยิ้ม สำหรับการดีดลูกคิดคำนวณผลประโยชน์เหล่านี้ของบิดา นางเคยชินมานานแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีภูตแห่งภูเขาแม่น้ำและวัตถุหยินภูตผีก็มีธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างไปจากโลกมนุษย์อยู่แล้ว
เฉินผิงอันหันมามองทางจิ้งจอกเฒ่าแล้วเอ่ยว่า “แม่นางท่านนี้ ขอโทษด้วย”
เด็กสาวหันหน้าหนีคล้ายเขินอายไม่กล้ามองหน้าใคร ไม่เพียงเท่านี้ นางยังยกมือข้างหนึ่งปิดบังใบหน้าด้านข้าง มืออีกข้างหนึ่งหยิบร่มเล็กสีเขียวมรกตที่มีรูโหว่คันนั้นขึ้นมา แล้วถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
จิ้งจอกเฒ่าผลักร่มสีมรกตที่เกะกะตาคันนั้นออก ยื่นคอยืดยาวมองไปยังเจ้าตะพาบหนุ่มที่สวมงอบผู้นั้นแล้วแผดเสียงอย่างร้าวรานใจ “แค่พูดว่าขอโทษก็จบเรื่องแล้วหรือ? ด้วยรูปโฉมงดงามล่มบ้านล่มเมืองของบุตรสาวข้า เส้นผมร่วงไปเส้นหนึ่งก็ยังถือเป็นความเสียหายที่ใหญ่เทียมฟ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ถูกเจ้าขว้างหินใส่แรงขนาดนี้ ชดใช้ด้วยเงิน! อย่างน้อยก็ห้า…ไม่ได้ ต้องสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ!”
เฉินผิงอันโยนเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญออกไปเบาๆ แต่สายตากลับหยุดนิ่งอยู่บนร่างของบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตลอดเวลา
จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกเหมือนถูกคนบีบคอกะทันหัน เขารับเงินเกล็ดหิมะก้อนนั้นเอาไว้ ประคองไว้ด้วยสองมือ ก่อนจะก้มหน้าลงมองด้วยสีหน้าซับซ้อน
บุรุษที่ยังวักน้ำล้างหน้าลวกๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้ายิ้มกล่าว “มองข้าทำไม ข้าไม่ได้มีความคิดจะฆ่าเจ้าสักหน่อย”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
บุรุษยื่นนิ้วชี้ไปยังเด็กสาวที่ถือร่มสีเขียวมรกตแล้วพูดกับเฉินผิงอันว่า “แต่หากเจ้าแย่งนางไปจากข้าก็พูดยากแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า คร้านจะพูดอะไรอีก
ทว่าเวลานี้เอง เสียงแผ่วเบาราวเสียงยุงของเด็กสาวก็ดังออกมาจากร่มคันเล็กอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน “ไม่ทราบว่าคุณชายชื่อแซ่อะไร? เหตุใดถึงต้องใช้หินขว้างให้ข้าสลบ? แล้วเมื่อครู่นี้ได้เจอปิ่นทองใต้น้ำหรือไม่?”
จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกพลันเพิ่มน้ำเสียงดังลั่น “เจ้าคนยากจนสองคนนี้ ใครมีเงินคนนั้นก็เป็นลูกเขยของข้า!”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
บุรุษที่ค้อมเอวนั่งอยู่ริมน้ำใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง สายตาไล่มองไประหว่างร่มคันเล็กสีเขียวและงอบที่ถักสานจากไม้ไผ่