กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 494.2 พันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ดวงจันทร์ดวงเดียว
บนลานหยกขาวหน้าประตูจวนของเจ้านครฟูนี่ แผ่นหยกส่องแสงแวววาวดุจกระจก ใสแจ๋วจนส่องเห็นตัวคน
เด็กหญิงคนหนึ่งกำสองมือเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าอก นางยู่หน้า เบ้ปาก มองรถลากที่เสียหายยับเยินฝั่งตรงข้าม น้ำตานางก็คลอเจียนจะหยด
โชคดีที่มาถึงบ้านของข้าผู้อาวุโสแล้ว
หลังจากที่เจ้านครฟูนี่ท่านนี้หนีเอาชีวิตรอดมาได้สองครั้งติดก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีแม้แต่น้อย ความรู้สึกเดียวที่มีคือความเจ็บปวดใจ
ครั้งแรกอันที่จริงนางก็ยอมรับชะตากรรมแล้ว รู้ว่าฝีมือตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยในหุบเขาผีร้าย เจ้านครหลายคนที่ในประวัติศาสตร์มีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด ทุกวันนี้ยังมีชีวิตสู้นางไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องเป็นวัวเป็นม้าให้กับนครกรงขาว นครเซียงสือ มีชีวิตเทียบกับหมูหมากาไก่สักตัวก็ยังไม่ได้ ไก่และหมายังกล้าขัน กล้าเห่าใส่คนที่เดินผ่านทาง ทว่าผีใหญ่ที่เคยเป็นเจ้านครเหล่านั้น ทุกวันนี้กล้าหรือ?
แต่ว่าครั้งที่สอง มองดูเหมือนผ่อนคลายสบายๆ ไม่มีกลิ่นคาวเลือดแม้แต่น้อย ทว่ากลับทำให้ฟ่านอวิ๋นหลัวกลุ้มใจเป็นที่สุด
ติดค้างน้ำใจ ‘เซียนกระบี่กระดูกขาว’ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งหุบเขาผีร้ายผู้นั้น แต่ไหนแต่ไรมาต้องใช้คืนเสมอ
ไม่เคยมีครั้งไหนเป็นข้อยกเว้น
ฟ่านอวิ๋นหลัวสูดจมูก ยกมือเช็ดใบหน้า เดินอ้อมรถลากอันเป็นสมบัติที่รักไปหนึ่งรอบ เดี๋ยวก็ลูบตรงนี้ เดี๋ยวก็เช็ดตรงนั้นด้วยความเจ็บปวดหัวใจอย่างถึงที่สุด
คิดจะซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม จะต้องใช้เงินร้อนน้อยอีกหลายเหรียญ อยู่ในหุบเขาผีร้าย หากไม่ใช่ทรัพย์สินเดิมที่มีอยู่ คิดจะหาเงินเทพเซียนใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ยากเท่าใดกัน?
ทันใดนั้นฟ่านอวิ๋นหลัวก็ใช้หน้าผากโขกรถลาก เสียงตึงดังสนั่น
แล้วนางก็เริ่มร้องคร่ำครวญอย่างไร้น้ำตา
ทำเอาหญิงชราที่โชคดีมีชีวิตรอดกลับมาถึงเมืองยิ่งรู้สึกใจฝ่อ ตอนนั้นที่อยู่ในสันเขาอีกา นางกับพวกผีสาวทั้งสี่ที่สวมชุดชาววังเผ่นหนีแตกฮือกันไปสี่ทิศ บางคนโชคไม่ดี ประหนึ่งบ้านที่รูรั่วแล้วต้องเจอฝนตกติดต่อกันหลายๆ คืน ถูกผีโอสถทองตนนั้นลักพาตัวจากไป แบบนี้ไม่สู้ตายไปใต้คมกระบี่ของเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นเสียยังดีกว่า นางหลบซ่อนตัวได้เร็ว ภายหลังยังรวบรวมตัวนางกำนัลหญิงของนครฟูนี่มาได้อีกหลายคน ถือเป็นการทำความดีเล็กๆ ชดใช้ความผิด แต่ตอนนี้ดูจากท่าทางเช่นนี้ของเจ้านครแล้ว ในใจหญิงชราก็เต้นรัวราวกับตีกลอง เจ้านครมีท่าทางเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าจะให้นางเอาเงินส่วนตัวออกมาซ่อมแซมรถลากวิเศษคันนี้หรอกกระมัง?
ชั่วขณะนั้นหญิงชราก็ถึงขั้นเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนไปสวามิภักดิ์นครแห่งอื่นแล้ว
อยู่ในหุบเขาผีร้าย ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กกินกุ้ง ส่วนกุ้งที่อยู่ระดับล่างที่สุดก็ได้แต่กินดินโคลน
หากเกิดสถานการณ์ที่สูญเสียกองกำลังทหารขึ้นมา ผลลัพธ์ย่อมเลวร้ายจนมิอาจคาดคิด ง่ายที่จะชักนำให้กลุ่มอิทธิพลโดยรอบจ้องเล่นงานตาเป็นมัน หากกองกำลังหลายฝ่ายแอบเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ ขึ้นมา โดนรุมทึ้งเมื่อไหร่ นครฝูนี่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องมีจุดจบที่ต้องแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ อย่างแน่นอน
อยู่ที่นี่ ขอแค่เป็นการเข่นฆ่า สิ่งที่กริ่งเกรงกันมากที่สุดก็คือสถานการณ์ชะงักงันไม่เดินหน้า หรือไม่ก็สังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อย เพราะมักจะมีกลุ่มอิทธิพลที่ใหญ่ยิ่งกว่าฉวยโอกาสแทรกซอนเข้ามา สองฝ่ายที่ต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย หากสุดท้ายต้องกลายเป็นว่าตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นจะไม่เท่ากับว่าเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ ทว่าหากนครแห่งใดแห่งหนึ่งในหุบเขาผีร้ายตัดสินใจที่จะลงมือแล้วล่ะก็ ก็ความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าหลังจากชั่งน้ำหนักมาดีแล้วว่าตนเองจะได้กินเหยื่อที่หมายล่า ส่วนใหญ่ก็มักจะโจมตีเอาชีวิตในคราวเดียว โอกาสชนะมีมากถึงเก้าในสิบส่วน
แม้ว่าฟ่านอวิ๋นหลัวจะมีตบะเป็นโอสถทอง แต่เห็นได้ชัดว่ากองกำลังของนครฟูนี่ยังคงน้อยนิด ดังนั้นฟ่านอวิ๋นหลัวจึงชอบแสร้งวางท่าข่มขู่คนอื่นมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นนางเปิดเผยกับภายนอกแบบกึ่งเปิดกึ่งปิดว่าตนกับสำนักพีหมามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน ตัวนางได้รับผู้ฝึกตนผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในเมืองชิงหลูเป็นพี่ชายบุญธรรม แต่หญิงชราที่รู้รากฐานของนางดีกลับรู้ว่านางพูดจาเหลวไหลไปเอง เพราะหากอีกฝ่ายยอมรับในเรื่องนี้ อย่าว่าแต่พี่ชายบุญธรรมที่ถือว่าลำดับศักดิ์เท่ากันเลย ต่อให้จะเป็นพ่อบุญธรรมหรือแม้แต่บรรพบุรุษ ฟ่านอวิ๋นหลัวก็ยังยินดี โชคดีที่ผู้ฝึกตนท่านนั้นตั้งใจฝึกตนไม่สนใจเรื่องทางโลก เขาที่อยู่ในสำนักพีหมาก็เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีหวังบนมหามรรคาไม่ต่างจากหยางหลินของนครปี้ฮว่า จึงคร้านจะมาสนใจความคิดสกปรกน้อยนิดแค่นี้ของนครฟูนี่
คนในนครฟูนี่อย่างพวกนาง เดิมทีก็เป็นกองกำลังลำดับล่างสุดในบรรดานครมากมายทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายอยู่แล้ว ผีสาวที่ถูกพาไปยังสันเขาอีกากลุ่มนั้นล้วนเป็นคนสนิทของฟ่านอวิ๋นหลัวที่ต่อสู้เก่ง คราวนี้จึงกล่าวได้ว่านครฟูนี่เสียหายถึงรากฐานอย่างแท้จริง
ป๋ายเหนียงเนียงผู้นั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างสั้นคือหกปี อย่างยาวคือร้อยปีที่ได้แต่นอนแบ๊บอยู่ในนครอย่างร่อแร่ ขาดพลังการต่อสู้ไปส่วนหนึ่งยังไม่นับว่าเป็นอะไรได้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาป๋ายเหนียงเนียงผู้นี้ก็ไม่ได้มีพลังการต่อสู้ที่สูงที่สุดอยู่แล้ว ทว่านางคือชู้รักที่เจ้านครเฟิ่นหลางแอบเลี้ยงดูไว้ภายนอก นี่เป็นเรื่องจริงที่ทุกคนทั่วทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายต่างก็รู้กันดี ไม่ถือว่าเป็นความลับอะไร ภรรยาของเจ้านครท่านนั้นไม่เพียงแต่เป็นคู่บำเพ็ญเพียรของเจ้านคร นางยังเป็นคนที่ดูแลเรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง และเรื่องของป๋ายเหนียงเนียงนี้ก็ทำให้ทางนครเฟิ่นหลางเกลียดขี้หน้านครฟูนี่มาโดยตลอด
หญิงชราก้มหน้าลงน้อยๆ สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน กำลังคิดว่าถ้าไม่ทำก็คือไม่ทำ แต่ถ้าทำก็ต้องไปให้ถึงที่สุด ถ้างั้นก็ไม่สู้แอบขโมยอาวุธอันเป็นจุดศูนย์กลางของค่ายกลใหญ่พิทักษ์เมืองไปสวามิภักดิ์กับฮูหยินของนครเฟิ่งหลางผู้นั้นดีหรือไม่?
ขอแค่นครเฟิ่นหลางฮุบกลืนนครฟูนี่เอาไว้ได้ ไม่แน่ว่าตำแหน่งเจ้านครฟูนี่คนต่อไปก็อาจมีหวังว่าจะเป็นตน
นครน้อยใหญ่ทางทิศเหนือและทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายมีรวมกันทั้งหมดสามสิบหกแห่ง ส่วนใหญ่แล้วเจ้านครล้วนเป็นดั่งน้ำไหล ส่วนนครก็ดั่งสร้างขึ้นมาจากเหล็ก การผลัดเปลี่ยนเจ้านครก็แค่อาศัยความชื่นชอบของแต่ละคนมาเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เท่านั้น
นี่ก็คือกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของหุบเขาผีร้าย ว่ากันว่าแพร่มาจากนครจิงกวานกระดูกขาวแห่งนั้น จู่โจมเมืองบุกตีฐานทัพ ต่างฝ่ายต่างผลักไสปัดแข้งปัดขากันเอง ไม่ว่าเจ้าที่เป็นฝ่ายชนะจะถอนรากถอนโคน กลืนกินคนทั้งเป็น หรือสังหารภูตผี ก็ล้วนไม่สำคัญ สิ่งเดียวที่ทำไม่ได้ก็คือไม่อนุญาตให้ทำลายล้างอย่างกำเริบเสิบสานจนเป็นเหตุให้นครแห่งหนึ่งกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง เว้นเสียแต่ว่ามีรากฐานและเงินทุน สามารถสร้างนครอีกแห่งหนึ่งขึ้นมาใหม่บนซากปรักภายในสิบปี ไม่อย่างนั้นเมื่อสิบปีมาถึง แม่ทัพผีเซียนดินใหญ่หลายคนในนครจิงกวานจะนำทัพลงใต้ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าแม้แต่หมูหมากาไก่ก็ไม่เว้นอย่างแท้จริง
หญิงชราลังเลตัดสินใจไม่ได้ แม้จะบอกว่านางมีแนวโน้มที่จะหักหลังนครฟูนี่และฟ่านอวิ๋นหลัวที่ไม่เป็นโล้เป็นพายมากกว่า แต่ว่านางก็ยังรู้สึกลำบากใจอยู่ดี เรื่องสกปรกที่ขายเจ้านายเพื่อความรุ่งโรจน์ประเภทนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบในหุบเขาผีร้าย ต่อให้ผลัดเปลี่ยนเจ้านายที่ถวายการรับใช้ก็ยังต้องถูกพวกขุนนางเก่าแก่ผู้มีคุณูปการผลักไสอย่างหนัก และใช้โอกาสนี้มาหาเรื่องอยู่ดี
ความหวังเพียงอย่างเดียวก็คือ เนื่องจากฮูหยินนครเฟิ่นหลางผู้นั้นเป็นสตรีเหมือนกัน ก็หวังว่านางจะไม่ถือสาความภักดีหรือไม่ภักดีพวกนี้
ฟ่านอวิ๋นหลัวพลันหยุดการกระทำที่เหมือนคนเสียสตินั้นลง นางหันมาทางหญิงชรา พูดอย่างน่าสงสารว่า “หลังจากเจ้าคนแซ่ผูของนครกรงขาวผู้นั้นช่วยเหลือข้าแล้วก็บอกว่าของบรรณาการของปีนี้และครั้งหน้าจะต้องเพิ่มเป็นสองเท่า ฉางหมัวมัว เจ้าว่าเราจะทำอย่างไรกันดี? ด้วยกองกำลังที่พ่ายแพ้ยับเยินซึ่งเหลืออยู่น้อยนิดของนครฟูนี่ของพวกเรานี้ ตอนนี้จะไปหาของวิเศษที่พอเป็นหน้าเป็นตา พอจะเข้าตาของนครกรงขาวได้จากที่ไหน”
หญิงชราใจสั่น ยิ้มกล่าวว่า “เจ้านคร นี่คือความโชคดีท่ามกลางความโชคร้าย คือเรื่องดีจริงๆ! ในเมื่อเจ้านครใหญ่ผูเปิดปากแล้ว อย่างน้อยภายในเวลาหนึ่งร้อยปี นครฟูนี่ของพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกโจรชั่วคนใดหมายหัวอีกแล้ว”
บนใบหน้าอ่อนเยาว์ของฟ่านอวิ๋นหลัวยังคงเต็มไปด้วยพยับเมฆหนาครึ้ม “แต่รายได้ของนครฟูนี่ไม่พอกับรายจ่าย ต้องคอยควักทรัพย์สมบัติที่เป็นเงินทุนอยู่ทุกครั้ง ต่อให้ฝืนทนอยู่ได้ร้อยปี ตายช้าแต่ก็ยังต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
หญิงชราได้แต่เค้นรอยยิ้ม เอ่ยปลอบใจนางว่า “เจ้านครไม่จำเป็นต้องหมดอาลัยตายอยาก เวลาร้อยปีจะว่ายาวก็ไม่ยาว จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ขอแค่โชคชะตาเข้าข้างสักครั้งสองครั้ง ไม่แน่ว่านครฟูนี่ของพวกเราอาจจะผลัดเปลี่ยนสถานะ กลายไปเป็นนครใหญ่อันดับหนึ่งทางทิศใต้ก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่เจ้านครต้องคอยดูสีหน้าของนครเซียงสือ นครเฟิ่นหลางเลย ไม่แน่ว่าแม้แต่เจ้านครฟูก็อาจจะต้องหันมาพึ่งพาท่าน”
ฟ่านอวิ๋นหลัวพยักหน้ารับ
นางยื่นนิ้วออกมาเกาตรงหัวตาเหมือนแมวน้อยลูบใบหน้าตัวเอง พูดอย่างกังขาว่า “ข้าเสียใจถึงขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดกันนะ แบบนี้ไม่ค่อยเข้าท่าเลย”
หญิงชราบื้อใบ้ไร้คำพูดตอบโต้
ฟ่านอวิ๋นหลัวโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง เก็บรถลากไว้ในชายแขนเสื้อใหญ่ เดินไปทางประตูใหญ่ของจวนแล้วโหวกเหวกเสียงดังว่า “ข้าจะไปเก็บฟางมาทำเป็นหุ่นคุณไสยทิ่มแทงให้เจ้าคนสารเลวสวมงอบผู้นั้นตายไปเลย!”
หญิงชราติดตามอยู่ด้านหลัง ความคิดแล่นเร็วจี๋
คำพูดประโยคนี้ของเจ้านครกำลังพูดกระทบกระเทียบตน? หรือว่าเอ่ยขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ?
ฟ่านอวิ๋นหลัวหยุดเท้าไม่เดินต่อ หันขวับกลับมาถามว่า “ใช่แล้ว คนผู้นั้นชื่ออะไรแล้วนะ?”
หญิงชรากล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้บอกชื่อแซ่ของตัวเอง”
ฟ่านอวิ๋นหลัวหยุดยืนนิ่ง อึ้งงันเป็นไก่ไม้ พลันยกสองแขนขึ้นโบก กระทืบเท้าสองข้างสะเปะสะปะ พูดด้วยความเจ็บใจขมขื่นเป็นที่สุด “แม้แต่หุ่นคุณไสยที่ข้าถนัดที่สุดก็ใช้การไม่ได้หรือ”
หญิงชรารู้สึกจนใจเล็กน้อย
ห้องส่วนตัวในจวนของเจ้านครแห่งนั้นมีหุ่นฟางตัวน้อยวางกองไว้ตั้งเท่าไหร่แล้ว มีครั้งไหนที่มันเคยใช้ได้ผลบ้าง?
เดิมทีฟ่านอวิ๋นหลัวก็ตัวเล็กเตี้ย อีกทั้งกระโปรงของนางยังใหญ่มาก เวลาที่เดินอยู่ในจวน อันที่จริงก็เหมือน…หัวไชเท้าที่เดินได้
……
ทางฝั่งของลำธารลึกกลางภูเขาของภูเขากระจกวิเศษ เฉินผิงอันที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดใช้วิธีการไปไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นหยิบเอาคันเบ็ดตกปลาของเกาะไผ่ม่วงทะเลสาบซูเจี่ยนออกมา พอเล็งวัตถุชิ้นหนึ่งใต้น้ำได้แล้วก็ไม่กล้าจ้องน้ำนานนัก เพียงไม่นานก็กลั้นหายใจทำสมาธิแล้วโยนเบ็ดตกปลาลงไปในน้ำ พยายามจะตกเอาโครงกระดูกขาวใสแวววาวหลายโครงที่อยู่ใต้น้ำขึ้นมา หรือไม่ก็ตกเอาอาวุธอาคมผุพังที่ยังส่องประกายแสงสีทองอ่อนจาง จากนั้นก็กระตุกคันเบ็ดขึ้นจากลำธาร เพียงแต่เฉินผิงอันทดลองอยู่หลายครั้ง เขากลับค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าภาพที่เห็นใต้ทะเลสาบเหมือนกับเป็นเพียงภาพมายาที่ล่องลอยเท่านั้น ทุกครั้งที่เขายกคันเบ็ดขึ้นก็จะเหลือเพียงความว่างเปล่า
เฉินผิงอันยังคงไม่เชื่อ เขาพยายามใช้อีกหลายวิธี แต่ก็ไม่อาจดึงของชิ้นใดออกมาจากใต้น้ำได้เลย รู้สึกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งกีดขวางที่ปราณวิญญาณในลำธารฟูมฟักขึ้นมาแล้วก่อตัวคล้ายกับค่ายกลภูเขาแม่น้ำ สุดท้ายยังหยิบยันต์ทำลายค่ายกลกระดาษสีเหลืองออกมาหนึ่งแผ่น เพื่อใช้สิ่งนี้เปิดเส้นทาง เขาโยนยันต์ลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โยนคันเบ็ดลงน้ำตามเส้นทางเล็กที่ถูกแหวก เพียงแต่ว่ายันต์เผาไหม้อยู่ในน้ำที่มีโชคชะตาน้ำหนักอึ้งและเยียบเย็นเร็วมาก และสุดท้ายก็ยังต้องกลับมามือเปล่าอยู่ดี
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมน้ำ รู้สึกเสียดายยันต์ทำลายค่ายกลแผ่นนั้นเล็กน้อย
หยางฉงเสวียนที่นั่งอยู่บนก้อนหินสีขาวหิมะฝั่งตรงข้ามยิ้มกล่าวว่า “อย่าว่าแต่วิธีการที่เป็นลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้ของเจ้าเลย ในประวัติศาสตร์มีผู้ฝึกตนเซียนดินไม่รู้กี่มากน้อยที่ใช้สมบัติอาคมทั้งหมดที่มี และยังมีผู้ฝึกตนบางคนที่ถึงขั้นเช่าขวดดื่มน้ำที่มีมูลค่าควรเมืองขวดหนึ่งมา เผาผลาญปราณวิญญาณ โคจรวิชาอภินิหาร ดูดเอาน้ำจากลำธารสายนี้ไปนับไม่ถ้วน น้ำในขวดดื่มน้ำใบนั้นมากพอจะท่วมกลบนครใหญ่ของราชวงศ์หนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจดึงเอาของสิ่งใดออกมาจากลำธารนี้ได้ การค้าขายครั้งนั้น ขาดทุนอนาถ เจ้ารู้สาเหตุหรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หวังว่าสหายหยางจะช่วยไขข้อข้องใจให้ฟัง”
เดินทางท่องเที่ยวอยู่ภายนอก เรียกคนอื่นว่าสหาย นับว่าไม่ผิดกฎข้อห้ามมากที่สุด
หยางฉงเสวียนนอนอาบแดด รองสองมือสอดไว้ใต้ท้ายทอยต่างหมอน หรี่ตามองม่านฟ้าพลางเอ่ยเนิบช้า “ภูเขาหลายแห่งชอบให้สตรีที่หน้าตางดงามฝึกวิชาบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เพื่อเป็นช่องทางในการหาเงิน บุรุษที่เป็นผู้ฝึกตนในโลกมองน้ำถ้วยนั้น ท่ามกลางม่านน้ำ เสน่ห์อันเย้ายวนน่าหลงใหลสารพัดรูปแบบของเหล่าเทพธิดาอยู่ใกล้ในระยะประชิด แทบจะเอื้อมมือคว้าถึง แต่ความจริงกลับอยู่ห่างตั้งเท่าไหร่? เอ็นตกปลาเส้นนี้ของเจ้าเล่ายาวเท่าไหร่ ยาวถึงหนึ่งแสนแปดพันลี้ไหม?”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูท่าข้าคงคิดมากเกินไปจริงๆ”
หยางฉงเสวียนกล่าว “สมบัติวิเศษบนโลกใบนี้ ก็มีแต่ประเภทที่เพิ่งปรากฎในโลกเท่านั้นที่พอจะถือว่าผู้ที่พบเห็นล้วนมีส่วนแบ่ง ส่วนภูเขากระจกวิเศษลูกนี้ ตลอดหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมาได้มีผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนเหยียบย่ำเข้ามาในสถานที่เก่าแก่แห่งนี้ หากไม่พอจะมีโชควาสนาอยู่บ้าง ไหนเลยจะสามารถเก็บเอาเข้ากระเป๋าได้ง่ายขนาดนั้น ตลอดหลายปีที่ข้าอยู่ที่นี่มาก็ได้แต่ต้องนั่งรออย่างยากลำบากเหมือนกันไม่ใช่หรือ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องรู้สึกอับอายขายหน้า ปีนั้นวิธีที่โง่กว่านี้ข้าก็เคยใช้มาแล้ว ข้าถึงขั้นกระโดดลงไปในธารลึกโดยตรง คิดจะไปตรวจสอบก้นลำธารให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย ผลกลับกลายเป็นว่าลงไปนั้นง่าย แต่ปีนกลับขึ้นมายาก ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ อีกนิดเดียวก็เกือบจะจมน้ำตายอยู่ในนั้นแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “สหายหยางช่างมีตบะที่สูงยิ่ง”
หยางฉงเสวียนถอนหายใจ “ก็แค่พอประมาณ ว่ากันว่าเจ้านครจิงกวานท่านนั้นเคยลงน้ำไปตรวจสอบบ่อลึกแห่งนี้นานถึงหนึ่งปี แต่ก็ยังไม่เจอปิ่นทองที่เป็นประตูพาไปสู่คันฉ่องบานนั้น แม้จะบอกว่าเจ้านครผู้นี้คือคนที่ตายไปแล้ว ถือว่าได้เปรียบกว่าคนเป็น แต่ต่อให้ข้าตายกลายเป็นผีไปแล้ว ข้าก็เชื่อว่าตัวเองคงทนได้ไม่ถึงหนึ่งปี”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ถึงอย่างไรน้ำของลำธารภูเขาสายนี้ก็มีปราณหยินเข้มข้น หากไปอยู่นอกหุบเขาผีร้าย เจอกับคนซื้อที่เหมาะสม ไม่แน่ว่าน้ำแค่ไม่กี่จินอาจจะขายได้หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ผู้ฝึกตนที่ปีนั้นใช้ขวดดื่มน้ำ ในขวดบรรจุน้ำในลำธารภูเขาไว้มากขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่ได้กำไรมหาศาล กลับกลายเป็นว่าขาดทุนย่อยยับเสียแทน?”
หยางฉงเสวียนยิ้มกล่าวว่า “น้ำนี้เมื่อออกไปนอกอาณาเขตของภูเขากระจกวิเศษ ปราณหยินก็จะสลายหายไปอย่างรวดเร็ว เว้นเสียแต่ว่าซ่อนไว้ในวัตถุฟางชุ่นหรือวัตถุจื่อชื่อ ไม่อย่างนั้นแล้วหากขโมยเอาน้ำของที่นี่ไปมากเกิน พอไปอยู่ข้างนอกก็จะเหมือนน้ำท่วมทำนบกั้น ปีนั้นก็เพราะผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนผู้นั้นไม่ทันระวัง พอไปถึงชายหาดโครงกระดูกก็เอาขวดดื่มน้ำระดับขั้นเท่าสมบัติอาคมชิ้นนั้นออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ ขวดดื่มน้ำที่บรรจุน้ำไว้มากเกินไปไม่อาจต้านรับการโจมตีจากปราณหยินจึงระเบิดแตกคาที่ โชคดีที่ชายหาดโครงกระดูกอยู่ห่างจากลำคลองเหยาเย่ไม่ไกล หากเป็นที่อื่น ไม่แน่ว่าเจ้าหมอนี่อาจโดนอริยะของสำนักศึกษาเอาโทษก็เป็นได้”
หยางฉงเสวียนยังกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มว่า “น้ำในลำธารภูเขาสิบจินที่ยังไม่ผ่านการหล่อหลอมชะตาน้ำ เอาไปขายที่ชายหาดโครงกระดูกด้วยราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้คือเจ้าต้องมีวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อ นอกจากนี้ยังต้องมีสมบัติอาคมที่ลักษณะเหมือนขวดดื่มน้ำอีกหนึ่งถึงสองชิ้น ระดับขั้นอย่าสูงมากเกินไป เพราะหากสูงไปก็ง่ายที่จะทำให้เกิดเรื่องร้าย ระดับขั้นต่ำไปก็จะเปลืองพื้นที่ ผู้ที่มีขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงมาไม่กล้ามาดึงน้ำจากที่นี่ ส่วนคนที่เป็นเซียนดิน ไหนเลยจะเสียดายเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญ”
เฉินผิงอันจึงปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา แล้วกรอกน้ำในลำธารไว้ให้เต็มน้ำเต้า
ถึงอย่างไรตนก็เป็นผู้ฝึกลมปราณครึ่งตัวที่ได้บุกเบิกจวนน้ำไว้แล้ว ตอนนั้นควักเงินซื้อน้ำชาอินเฉินจากร้านน้ำชาริมตลิ่งลำคลองเหยาเย่มาดื่มก็เพราะพิจารณาถึงการชดเชยปราณน้ำให้กับร่างกายตัวเอง หากสามารถบรรจุน้ำในลำธารภูเขาสายนี้ไว้ในน้ำเต้าได้ การมาเยือนภูเขากระจกวิเศษครั้งนี้ก็พอจะถือว่าไม่เสียเที่ยวแล้ว
แต่ก่อนจะออกไปจากหุบเขาผีร้าย เขาสามารถกลับมาที่ภูเขากระจกวิเศษได้อีกรอบ ขวดดื่มน้ำในตำนานใบนั้นไม่ต้องคาดหวัง แต่เตรียมพวกขวดและไหมาให้มากสักหน่อย เอามาบรรจุน้ำในลำธารสักหลายๆ พันจิน พอกลับไปถึงชายหาดโครงกระดูกก็ค่อยดูว่าจะสามารถทำการค้ากับเถ้าแก่ร้านน้ำชาแห่งนั้นได้หรือไม่ หากได้ก็ถือว่าเป็นรายรับที่ไม่น้อยก้อนหนึ่ง
หยางเสวียนฉงผู้นั้นชำเลืองตามอง ‘กาเหล้าสีชาด’ ในมือของเฉินผิงอันแวบหนึ่ง แล้วก็ให้ตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก
“ขอบคุณสหายที่ช่วยบอก”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กุมหมัดเอ่ยว่า “ในเมื่อภูเขากระจกวิเศษแห่งนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าไร้วาสนากับข้า สหายหยาง ข้าขอลา”
หยางฉงเสวียนลุกขึ้นนั่งคล้ายจะแปลกใจอย่างมาก “จะไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วสวมงอบลงบนศีรษะให้ดี
หยางฉงเสวียนเอนตัวกลับลงนอนบนก้อนหิน แล้วเริ่มหลับตาพักผ่อน ครู่หนึ่งต่อมาก็ลืมตาขึ้น “ไปจริงๆ หรือนี่? ควรจะบอกว่าเจ้าเป็นคนทำอะไรเด็ดขาด หรือจะบอกว่าไม่มีน้ำอดน้ำทนดีเล่า?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่คนผู้นั้นเก็บคันเบ็ดไม้ไผ่ไป เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายใช้วัตถุฟางชุ่นโดยที่ไม่ได้จงใจจะปิดบัง
ก็เหมือนกับการที่เขายื่นเท้าลงน้ำอย่างใจกว้างที่แท้จริงแล้วก็คือการกระทำเล็กๆ ที่แสดงถึงความเป็นมิตร
อยู่ในอุตรกุรุทวีป หากอยากจะมีเรื่องมีราวให้น้อยลงก็ต้องหัดรู้จักที่จะเปิดเผยรากฐานของตัวเองออกมาเล็กน้อย
ไม่อย่างนั้นพวกมดตัวน้อยทั้งหลายที่ความสามารถมีไม่มาก แต่กลับเจ้าอารมณ์ เจ้าใช้ปลายเท้าบดขยี้อีกฝ่าย พวกเขาที่ต่อให้กำลังจะตายก็ยังสบถด่าอยู่ตรงนั้น ถ่มน้ำลายใส่หน้าเจ้า ให้ตายก็ไม่รู้จักเปลี่ยนสันดาน ฆ่าคนไม่อาจกินอิ่มแทนข้าวได้ เรื่องแบบนี้เจอบ่อยๆ เข้า ‘หยางฉงเสวียน’ ก็ยิ่งรู้สึกเอียน เพราะเบื่อหน่ายมากจริงๆ ถึงได้เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนมาเป็นคนที่ ‘เป็นมิตรกับผู้อื่น’ มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นกับจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกตัวนั้น อีกฝ่ายปากพล่อยขนาดนั้น หากเปลี่ยนมาเป็นตนในอดีต หากจิ้งจอกเฒ่าไม่ตายไปหนึ่งร้อยรอบก็ต้องมีแปดสิบรอบแล้ว
หลังจากที่จอมยุทธหนุ่มผู้นั้นไปจากภูเขากระจกวิเศษ อารมณ์ของหยางฉงเสวียนก็ดีขึ้นเล็กน้อย
มีประโยคหนึ่งของอีกฝ่ายที่พูดได้ตรงใจตนจริงๆ
มีเรื่องเพิ่มขึ้นไม่สู้มีเรื่องน้อยลง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่หยางฉงเสวียนจะไขว่คว้าโชควาสนามาครอง
เขาลุกขึ้นนั่ง หรี่ตาลง จ้องเขม็งไปยังบ่อลึกที่ราวกับว่าสามารถมองทะลุไปได้ในปราดเดียว
การคาดเดาที่ ‘รวมเล่มวางใจ’ มีต่อกระจกวิเศษบานนี้ผิดไปจากความเป็นจริง มันไม่ใช่กระจกใสแวววาวอะไรเลย แล้วก็ยิ่งไม่ใช่กระจกส่องมารสมบัติล้ำค่าที่มีไว้เล่นงานพวกภูตผีปีศาจด้วย แต่เป็นกระจกซานซานจิ่วโหวบานหนึ่งที่หายสาบสูญไปนานมากแล้ว
และยิ่งเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง
—–