กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 496.4 พี่ชายคนดี
เฉินผิงอันเพียงแค่จ้องนิ่งไปยังสายตาร้อนใจของภูตหนูที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น หลังจากนั้นก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาดีดเบาๆ หน้าผากของภูตหนูที่ซ่อนมีดไว้ด้านหลังก็ทะลุเป็นรูเลือด ร่างกระเด็นหวือไปด้านหลัง กระแทกลงตรงหน้าประตูของตำหนักหยางฉาง ตายคาที่ทันที
ภูตหนูถือไม้เท้าที่อยู่ตรงหน้าคล้ายจะมึนงงเล็กน้อย จากนั้นถึงได้ตกตะลึงขวัญผวา หมุนตัวได้ก็วิ่งหนีทันที
เพียงแต่ว่าไหล่กลับถูกมือข้างหนึ่งกดเอาไว้ ภูตหนูตนนี้ไม่กล้ากระดุกกระดิก หัวสมองขาวโพลน ในสายตามองเห็นว่าเพื่อนร่วมงานคนนั้นนอนอยู่ท่ามกลางกองเลือด ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงตายไปทั้งอย่างนั้น
ท่านบรรพบุรุษเคยเอ่ยเองกับปากว่า มันผู้นั้นมีความหวังที่จะได้เป็นปีศาจใหญ่ ท่านบรรพบุรุษจึงชื่นชอบมันมากกว่าตนมาโดยตลอด ยังบอกอีกว่าวันหน้าเมื่อตำหนักหยางฉางมีการขยับขยาย บุกเบิกเป็นจวนใหญ่ที่ไม่เป็นรองตำหนักกว่างหานก็จะมอบให้มันไปเป็นนายท่านใหญ่ผู้เฝ้าพิทักษ์จวน ท่านบรรพบุรุษไม่ค่อยชอบตนสักเท่าไหร่ แต่มักจะประทานอาหารของกินในงานเลี้ยงบนภูเขาลูกอื่นให้แก่มันบ่อยๆ อีกทั้งยังสอนวิชาดาบกระบวนท่าหนึ่งให้แก่มัน ทว่ากับตนกลับเอาแต่ด่าทอทุบตี
เฉินผิงอันหิ้วคอเสื้อของภูตหนูตัวนี้มานั่งที่บันได หยิบตำราเหลืองเก่าคร่ำคร่าเล่มนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อของมัน ไม่คิดว่าจะเป็นบทประพันธ์ส่วนตัวที่เสียหายอย่างหนักเล่มหนึ่ง หลังจากเปิดอ่านดูแล้วก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะด้านในยังมีคำอธิบายบิดเบี้ยวเขียนไว้ด้านข้าง รวมไปถึงตัวอักษรเล็กบางที่เขียนด้วยถ่านดำ มองออกว่าคนเขียนตั้งใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยังบูดเบี้ยวเหมือนไส้เดือน ตัวอักษรที่เขียนเป็นคำอธิบายนั้นมักจะมีจำนวนไม่มาก บางครั้งก็เป็นคำถามที่ค่อนข้างจะไร้เดียงสา และบางครั้งก็เป็นถ้อยคำประจบเยินยอ
เฉินผิงอันอ่านแล้วก็รู้สึกสนุก พอปิดตำราลงก็ส่งคืนให้กับภูตหนูตัวน้อยที่ใบหน้าซีดขาว ร่างสั่นเทิ้ม
เฉินผิงอันถาม “รู้สถานที่เก็บสมบัติของเซียนจัวเยาหรือไม่?”
หลังจากรับหนังสือมาด้วยมือเท้าที่แข็งทื่อ ภูตหนูก็พูดเสียงสั่นว่า “ไม่รู้…ต่อให้รู้ก็ไม่บอก…ให้ตายก็ไม่บอก”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ยื่นมือออกมาโบกหนึ่งครั้ง บนมือก็มีตำราใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา ยังมีกลิ่นหอมของหมึกลอยโชยมาจางๆ “เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี ทางที่ดีที่สุดคือควรขุดรูแล้วเก็บซ่อนเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นหากเซียนใหญ่จัวเยาผู้นี้โชคดีไม่ตาย เมื่อกลับมาที่ตำหนักหยางฉาง คนที่ตายก็ต้องเป็นเจ้าแล้ว จมูกของบรรพบุรุษเจ้าดีนักล่ะ ก่อนหน้านี้แม้แต่ข้าก็ยังเกือบจะถูกเขาจับได้”
ภูตหนูตะลึงตาค้าง
เฉินผิงอันวางตำราเล่มนั้นลงบนมือของมัน “จำที่บอกได้หรือยัง?”
ภูตหนูพยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลงมือให้เร็วหน่อย ไปซ่อนหนังสือไว้ก่อน จากนั้นข้าจะตีเจ้าให้สลบ แน่นอนว่าเจ้าจะเอาหัวโขกประตูให้ตัวเองสลบก็ได้เหมือนกัน ส่วนเรื่องคิดจะหนีนั้น อย่าได้หวังเลย”
ภูตหนูโยนทวนไม้ทิ้งแล้วไปขุดดินตรงจุดหนึ่ง เอาตำราเล่มนั้นไปซ่อนไว้ให้เรียบร้อย
จากนั้นก็วิ่งกลับมาที่ขั้นบันไดหน้าประตูใหญ่ ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็วิ่งเอาหัวชนประตูใหญ่อย่างแรง ผลกลับกลายเป็นว่าล้มผลึ่งหงายหลังก็ยังไม่หมดสติ จึงหันหน้ามาพูดอย่างน่าสงสารว่า “เซียนซือท่านนี้ ท่านเป็นคนลงมือเถอะ ให้ดีควรจะมีเลือดออกสักหน่อย”
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งตีอีกฝ่ายให้สลบ ทวารทั้งเจ็ดของภูตหนูเริ่มมีเลือดสดไหลออกมาช้าๆ แต่ก็แค่มองดูน่ากลัวเท่านั้น
เฉินผิงอันยกเท้าถีบประตูใหญ่ของตำหนักหยางฉางให้เปิดอ้าแล้วเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปโดยตรง ก่อนจะเริ่มตามหาสถานที่ซ่อนสมบัติของเซียนใหญ่จัวเยาผู้นั้น
เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง บอกให้ชูอีกับสืออู่ช่วยตามหาเบาะแส
สุดท้ายเขาไปแงะแผ่นกระดานไม้ใต้โต๊ะตัวใหญ่ในเรือนหลักของตำหนักหยางฉาง เจอทางลับเส้นหนึ่งที่เมื่อเทียบกับเส้นทางใต้ดินที่กว้างขวางของภูเขาโปลั่วแล้วก็เรียกได้ว่าคับแคบจนชวนอึดอัด เฉินผิงอันจึงได้แต่คลานเข้าไปด้านใน บอกให้ชูอีสืออู่ช่วยระวังหลังให้ ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ในที่สุดก็มาถึงโพรงมืดมิดแห่งหนึ่งที่กว้างพอจะให้คนยืนได้คนเดียว เฉินผิงอันจุดแท่งจุดไฟก็พบว่ามีหีบเหล็กอยู่เพียงใบเดียว ตัวหีบบิดเบี้ยว แปะแผ่นยันต์ไว้เต็มไปหมด กระดาษยันต์มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เซียนใหญ่จัวเยาผู้นั้นน่าจะเอามาเปลี่ยนบ่อยๆ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าตราผนึกพวกนี้เอาไว้เตือนคนเป็นเจ้าของหรือหากใครที่มาเปิดมันโดยพลการจะทำให้ถูกยันต์โจมตีกันแน่
เฉินผิงอันถอยหลังไปหนึ่งก้าว ให้ชูอีกับสืออู่ลงมือ ส่วนตัวเองกลั้นหายใจทำสมาธิคอยช่วยรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น
กระบี่บินทั้งสองเล่มบินวนอยู่รอบหีบเหล็กอย่างว่องไวราวกับสายฟ้า แล้วกรีดยันต์กระดาษเหลืองเหล่านั้นให้ฉีกขาดอย่างรวดเร็ว หมายทำลายแก่นของยันต์
หลังจากปราณวิญญาณที่กระจัดกระจายส่ายไหวอย่างรุนแรงไปรอบหนึ่งก็ไม่มีความผิดปกติที่มากกว่านั้นเกิดขึ้น พอเฉินผิงอันเปิดหีบเล็กออกแล้วก็รู้สึกพูดไม่ออก ด้านในไม่ได้มีอาวุธวิเศษหรือสมบัติอะไร ยิ่งไม่มีเงินเทพเซียน แต่เป็นตำรากองกันอยู่เป็นปึกๆ
ก็จริงนะ ในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ สิ่งของอย่างตำรานับว่าหาได้ยากมากจริงๆ
เฉินผิงอันเปิดตำราโบราณเล่มหนึ่งในนั้น คือตำราพิชัยยุทธ
ดูท่าเซียนใหญ่จัวเยาผู้นี้ก็คือภูตที่ชอบศึกษาตำราพิชัยสงครามแล้ว
เฉินผิงอันพลันประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน สายฟ้าพุ่งเข้าไปหนีบตะขาบร้อยขาตัวหนึ่งที่กระโจนใส่หน้าเขา ตัวสีดำเมื่อมของมันเปล่งแสงวาบ พายุหมัดถูกปล่อยออกไปหนึ่งระลอก ตะขาบที่โดนแรงกระเทือนจากพายุลมกรดก็ตายคาที่ แล้วถูกเขาโยนไว้ด้านข้าง
ด้วยไม่มีเวลามาอ่านชื่อตำราพิชัยยุทธเหล่านี้อย่างละเอียด หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ก็รวบเอาพวกมันไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อทั้งหมด แล้วคลำไปตามบริเวณโดยรอบต่ออีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีกลไกลับซ่อนสมบัติอย่างอื่นอยู่จริงๆ ถึงได้ย้อนกลับทางเดิม กลับไปยังตำหนักหยางฉางอีกครั้ง
เซียนใหญ่จัวเยาผู้นี้ยากจนข้นแค้นซะจริง
หลังจากนั้นต่อมา เฉินผิงอันก็ยังคงไม่ได้ไปเยือนภูเขาของอริยะใหญ่ปานซาน แต่มุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาจีเซียวที่อยู่ค่อนไปทางเหนือสุดก่อน
ที่นั่นคือถิ่นของขุนพลเทพชื่อเหลย
ปีศาจตนนี้มักจะไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไม่เหมือนพวกอริยะใหญ่ปานซาน หรือราชันย์เฮยเหอที่ชอบสมัครรับรวมผู้คน แต่ความสามารถในการจับคู่สังหารศัตรูตัวต่อตัวนั้นกลับสูงสุดในบรรดาอริยะใหญ่ทั้งหก
ภูเขาจีเซียวมีเมฆและสายฟ้าล้อมวนอยู่ตลอดทั้งปี สายฟ้าแลบปลาบตัดสลับถักทอไม่หยุดนิ่ง และไม่ว่าจะภูตหรือผีก็ดี ล้วนหวาดกลัวเสียงฟ้าร้องมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นนี่จึงเป็นสถานที่ที่ไม่ได้รับความชื่นชอบมากที่สุดในหุบเขาผีร้าย แต่กลับไม่รู้ว่าปีศาจตนนี้ไปได้ตำราวิชาอสนีที่ไม่สมบูรณ์เล่มหนึ่งมาจากที่ใด ถึงได้ฝึกตนจนหูทั้งสองข้างหนวก ดวงตาข้างหนึ่งระเบิดแตก และในที่สุดก็ฝึกวิชาอสนีได้สำเร็จในระดับหนึ่ง ยามที่ลงสนามเข่นฆ่ากับผู้อื่น จมูกจะสามารถพ่นไฟ ปากพ่นควัน ไม่ว่าจะยกมือยกเท้าหรือขยับตัวทำอะไรก็ล้วนมีสายฟ้าแลบปลาบอยู่เสมอ
คือปีศาจตนหนึ่งที่เรือนกายแข็งแกร่งแต่กลับมีเวทคาถาที่ไม่ธรรมดา และวิชาอสนีก็ยังเป็นวิชาที่กำราบเหล่าภูตผีและวัตถุหยินมาได้ตั้งแต่กำเนิด นี่จึงเป็นเหตุให้ขุนพลเทพชื่อเหลย (บงการสายฟ้า) มีตำแหน่งฐานะที่สูงส่งในบรรดาอริยะทั้งหก
ภูเขาจีเซียวไม่มีเส้นทางภูเขา แทบไม่มีต้นไม้ใบหญ้า มีแต่กลิ่นอายของความตายไร้ชีวิตชีวา
ทะเลเมฆโอบล้อมอยู่ตั้งแต่ช่วงกึ่งกลางภูเขา สายฟ้าส่องประกายวาววับ เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น ทัศนียภาพที่อยู่สูงยิ่งกว่านั้นของภูเขาจีเซียวก็ยิ่งมองไม่เห็นแม้แต่นิดเดียว
เฉินผิงอันบินทะยานตามก้อนหินภูเขาขึ้นสู่ที่สูง
แล้วจู่ๆ เขาก็พลันหยุดชะงัก เพราะพบว่าทางภูเขาตี้หย่งมีประกายรัศมีแสงระเบิดพร่าตา เสียงอึกทึกดังโครมครามไม่หยุด
ราวกับว่ากำลังเกิดศึกใหญ่ที่พลังอำนาจรุนแรงอย่างยิ่ง
บัณฑิตผู้นั้นเข้าไปในรังโจรแล้ว?
เฉินผิงอันจึงเพิ่มความเร็วในการขึ้นเขา
หลังจากขยับเข้าใกล้ทะเลเมฆที่โอบล้อมอยู่กึ่งกลางภูเขาก็มีสายฟ้าเป็นเส้นๆ ฟาดโบยเข้าใส่
ล้วนถูกหมัดของเฉินผิงอันต่อยให้แหลกสลาย ครึ่งก้านธูปต่อมาเขาก็ต่อยให้สายฟ้าสลายไปไม่ต่ำกว่าร้อยเส้น การมองเห็นของเฉินผิงอันที่ตอนนี้แขนเป็นเหน็บชาพลันเปิดกว้าง
กลางอากาศสูงเหนือยอดเขาจีเซียวก็มีทะเลเมฆที่หนาหนักยิ่งกว่าลอยตัวอยู่ สายฟ้าสีทองแต่ละเส้นถึงกับมีขนาดใหญ่เท่าเสาเรือน พวกมันพร้อมใจกันสาดยิงมายังจุดสูงของภูเขา เสียงฟ้าร้องดังกัมปนาทสะเทือนแก้วหูผู้คน
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกตาพร่าจิตวิญญาณแกว่งไกว ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วถึงเดินขึ้นเขาไปต่อ
ขยับเข้าใกล้ยอดเขา สายฟ้าหนากลับเหมือนกรงขัง ไม่อาจขยับเข้าใกล้ได้ เฉินผิงอันจึงได้แต่ขี่กระบี่ทะยานตัวขึ้นสูง
เหยียบอยู่บนเจี้ยนเซียน เพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าบนยอดเขาของภูเขาจีเซียวคือบ่อสายฟ้าขนาดใหญ่เท่าบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่ง สายฟ้าเหนียวหนืดราวกับน้ำ เกล็ดหิมะปลิวว่อนตลบอบอวล
มีป้ายหินตั้งเอียงอยู่แผ่นหนึ่ง ด้านบนเขียนตัวอักษรใหญ่ไว้หกตัวว่า ‘บ่อชำระกระบี่เรือนโต้วซู’ ล้วนเป็นตัวอักษรโบราณที่มีระบุไว้ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’
คิดดูแล้วแผ่นศิลานี้คงไม่ใช่วัตถุธรรมดา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจรับสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมาได้ตลอดหลายปี ศิลาเพียงแค่เอนเอียงเท่านั้น แต่กลับไม่ได้มีความเสียหายใดๆ ไม่มีแม้แต่รอยร้าวด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันหยุดกระบี่
ทั้งๆ ที่รู้ว่าบ่อสายฟ้าบ่อนี้ก็คือดินแดนเซียนน้อยแห่งหนึ่งที่ตระกูลเซียนซึ่งมีอักษรจงในชื่อปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน
แต่กลับไม่อาจลงมือทำอะไรมันได้เลย
ส่วนในบ่อสายฟ้าจะมีวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินอะไรถูกฟูมฟักมาหรือไม่ ก็ยิ่งไม่อาจมองเข้าไปเห็น
เฉินผิงอันไม่รู้เลยว่าอะไรคือ ‘เรือนโต้วซู’ และความลับเกี่ยวกับวิชาอสนีที่แท้จริง เขาก็ยิ่งไม่มีความรู้แม้สักกระผีก
ก็เหมือนกับโชควาสนาที่ภูเขากระจกวิเศษแห่งนั้น หยางฉงเสวียนสามารถรอได้ เพราะเขาเตรียมตัวมาก่อน ตั้งท่าพร้อมจู่โจม แต่หากเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอันที่ต้องเฝ้าธารลึกกลางภูเขาแห่งนั้น ต่อให้รอร้อยปีพันปีก็อาจเป็นการรออย่างเปล่าประโยชน์
เฉินผิงอันชำเลืองตามองสายฟ้าสีทองที่ลอยอยู่เหนือบ่อสายฟ้าแห่งนั้นพลางชั่งน้ำหนักระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายตัวเอง หากให้แบกรับชั่วครู่ชั่วยาม บางทีอาจจะพอทำได้ กระโดดเข้าไปในบ่อสายฟ้า ก็อาจจะประคองตัวไว้ได้เช่นกัน แต่กลัวก็แต่ว่าเข้าไปง่ายแต่กลับออกมายาก หากไปแตะโดนพันธนาการบางอย่างที่ไม่มีใครรู้เข้า ทำให้อานุภาพของสายฟ้าเพิ่มพูนขึ้นเป็นทบทวี ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจจินตนาการได้เลย เฉินผิงอันขยับสายตามองขึ้นไปด้านบน จะสามารถขี่กระบี่ไปปั่นป่วนทะเลเมฆแห่งนั้น เป็นเหตุให้บ่อสายฟ้าขาด ‘กองหนุน’ ไปชั่วคราวได้หรือไม่?
เจี้ยนเซียนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าสั่นไหวเบาๆ พร้อมส่งเสียงร้องแผ่วๆ ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ ราวกับอยากจะลองงัดข้อกับสายฟ้าและเสียงฟ้าร้องที่หนวกหูของที่แห่งนี้ดูสักตั้ง
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยอาการคิดไม่ตก
บ่อสายฟ้าแห่งนี้สามารถตั้งอยู่บนยอดเขาจีเซียวได้ จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีใครที่สามารถแตะต้อง ผูหรางก็ดี นครจิงกวานก็ช่าง บางทีก็อาจจะทำไม่ได้เหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรพวกมันก็คือวิญญาณวีรบุรุษที่มีชาติกำเนิดเป็นภูตผี หาใช่องค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องเหมาะสมไม่
ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของอุตรกุรุทวีปที่อยู่ข้างนอกนั้นไม่สามารถเดินเข้ามาใน ‘บ่อชำระกระบี่’ แห่งนี้ได้อย่างราบรื่นภายใต้เปลือกตาของหุบเขาผีร้าย
ส่วนข้อที่ว่าสำนักพีหมาจะเคยมีความคิดอะไรต่อบ่อสายฟ้านี้หรือไม่ หรือมีใจแต่ไร้กำลัง ก็คงมีแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้
ต้องรู้ว่าภูเขาจีเซียวอยู่ห่างจากเมืองชิงหลูแห่งนั้นไม่ไกลแล้ว
จู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมาไม่ได้กริ่งเกรงผูหรางหรือผู้ฝึกตนใหญ่แห่งนครจิงกวานอะไร หากว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จ นางก็น่าจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าความเป็นไปได้ที่ไม่สามารถย้ายบ่อสายฟ้าออกไปได้มีมากกว่า
บ่อชำระกระบี่?
สามารถหลอมกระบี่ ขัดเกลาประกายแหลมคม?
แต่เจี้ยนเซียนก็ดี กระบี่บินชูอีสืออู่ก็ช่าง ดูเหมือนว่าจะไม่มีความลิงโลดต่อบ่อสายฟ้าแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะชูอีที่เงียบงันผิดปกติ
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ
หวังว่าวันหน้าหากภูเขาลั่วพั่วมีสำนักเป็นของตัวเองจริงๆ ตอนที่เหล่าลูกศิษย์ออกจากสำนักไปหาประสบการณ์ เผยเฉียนก็ดี เฉินยวนจีก็ช่าง หรือคนที่ต่ำศักดิ์กว่านั้น เมื่อพวกเขาได้เจอกับคลังลับก่อนกำเนิดหรือสถานที่สำคัญแห่งโชควาสนาทั้งหลาย จะไม่ถึงขั้นไร้หนทางรับมือเหมือนกับตน หวังว่าพวกเขาจะสามารถอาศัยตำราที่เก็บซ่อนอยู่ในภูเขา หรือวิชาการสืบทอดมากมายบนภูเขาลั่วพั่วมารับรู้เรื่องในใต้หล้า พยายามช่วงชิงความได้เปรียบมาให้ได้มากที่สุด
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน พบว่าภูเขาจีเซียวที่อยู่ด้านใต้บ่อสายฟ้า นอกจากจะไม่มีต้นไม้ใบหญ้าถือกำเนิดแล้ว ยังมีหน้าผาหินอยู่อีกสองสามจุด เมื่อถูกสายฟ้าสาดส่อง ประกายแสงก็เปล่งระยิบระยับเหมือนสะเก็ดดาว
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงไป เจี้ยนเซียนกลับเข้าฝักด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันมาที่หน้าผาหินแห่งหนึ่งก็พบว่ามีเส้นสีทองเล็กบางยาวเท่าแขนคนอยู่เส้นหนึ่ง เขายื่นนิ้วออกไปลูบ ไม่เพียงแต่เจ็บปวดเหมือนถูกแทงคว้านถึงกระดูก ยังเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของเขาแกว่งไกวด้วย
เฉินผิงอันตกใจมาก ชักเจี้ยนเซียนออกมาแล้วเริ่มกรีด แงะ ขุด ‘เส้นเอ็น’ เส้นนั้นออกมาจากหน้าผาหิน สุดท้ายเส้นสีทองก็นอนอยู่ในร่องเว้าของหน้าผาหินอย่างสงบนิ่ง เหมือนแส้ไม้ไผ่สีทองเส้นหนึ่งที่ด้านในส่องประกายแสงสีทองวิบวับ
เฉินผิงอันยื่นมือไปคว้าแส้ไม้ไผ่สีทองนี้เอาไว้ ฝ่ามือก็เหมือนถูกถ่านร้อนๆ ลวก ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันคลายมือออก เหงื่อก็แตกเต็มศีรษะของเขา เริ่มรู้สึกตาลายเล็กน้อย
เฉินผิงอันปาดเหงื่อที่หน้าผากทิ้ง ใช้นิ้วทั้งสองคีบมันขึ้นมาแล้วเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างว่องไว
จากนั้นก็ขี่กระบี่ลอยขึ้นกลางอากาศ ตามหาจุดอื่นที่มี ‘แส้ไม้ไผ่’ ซึ่งแฝงเร้นสัจธรรมแห่งสายฟ้าอยู่ต่อไป
ขี่กระบี่วนอยู่ห่างๆ ยอดเขาของภูเขาจีเซียวไปรอบหนึ่งก็หาเจอว่าตำแหน่งที่มีแสงสีทองไหลรินมีอยู่แค่สี่จุดเท่านั้น จากนั้นก็พลิ้วกายลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งชาวไร่ที่มานะขันแข็งมาขุดเอาแส้ไม้ไผ่น้อยใหญ่ทั้งหลายออกไป ท่อนที่เล็กที่สุดยาวเท่านิ้วมือ ท่อนที่ยาวที่สุดก็สูงถึงครึ่งตัวคน หากสามารถนำไปหล่อหลอมได้ ก็สามารถเอาไปทำไม้เท้าเดินป่าได้หนึ่งอัน
เฉินผิงอันขี่กระบี่วนซ้ำอีกหนึ่งรอบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีแสงสีทอง เส้นสีทองอยู่จริง ถึงได้ขี่กระบี่ลดระดับลงเบื้องล่างเป็นแนวดิ่ง ทะลุผ่านทะเลเมฆ ต่อยให้สายฟ้าทั้งหลายที่พุ่งเข้ามาชนอย่างสะเปะสะปะแตกกระจาย ลงจากภูเขาจีเซียวมาได้สำเร็จ
เฉินผิงอันเก็บเจี้ยนเซียนสอดเข้าฝัก เงยหน้ามองไป นึกถึงบ่อสายฟ้าบ่อนั้นก็ให้รู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าในวัตถุจื่อชื่อยังมีแส้สายฟ้าสีทองอยู่ห้าเส้นก็อารมณ์ดีขึ้นมาได้เล็กน้อย
คิดคำนึงถึงผลได้ผลเสีย?
เฉินผิงอันส่ายหน้า พูดกับตัวเองเบาๆ ว่า “ลืมแล้วหรือ? อะไรที่ไม่ควรเป็นของเจ้า ก็อย่าได้คิดมาก”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางภูเขาตี้หย่ง ความเคลื่อนไหวของที่นั่นรุนแรงยิ่งกว่าเดิม มีประกายแสงของสมบัติอาคมเปล่งวูบวาบระเบิดพร่างพราวอยู่กลางอากาศสูงไม่หยุด
ท่ามกลางความมืดมิด คล้ายจะมีเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในใจ
ฆ่าเขาซะ
เสียงนี้ไร้ซึ่งความทุกข์ความสุข ไม่แบ่งแยกว่าดีหรือเลว
แต่กลับทำให้เฉินผิงอันตื่นตะลึงและหวาดกลัวสุดขีด
เขาคนนั้น เฉินผิงอันแน่ใจยิ่งกว่าใครว่าเป็นบัณฑิตผู้นั้น
เฉินผิงอันหลับตาลงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้น ดวงตาก็กลับคืนสู่ความแจ่มชัดมีสติ ไม่มีความลังเลเหลืออยู่แม้สักเสี้ยว มุ่งหน้าพุ่งทะยานไปยังภูเขาตี้หย่งอย่างว่องไว
ไปฆ่าหรือไปช่วย
ถึงอย่างไรก็ดีกว่าหนี
นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาได้ยินเสียงในใจของตัวเองซึ่งไม่รู้ว่าดังมาจากจุดใด
ครั้งแรกคือตอนเป็นเด็กที่หลังจากลงเขากลับเข้าไปในตรอกหนีผิงแล้วนอนกลิ้งทุรนทุรายอยู่บนพื้น
ครั้งนั้นก็เป็นคำสามคำเหมือนกัน หัวใจเต้นราวกับฟ้าผ่า รัวเร็วราวกับตีกลอง เสียงดังดุจเทพร้องคำราม
ตายไม่ได้
—–