กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 497.2 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา
ระหว่างนี้เฉินผิงอันค้นพบว่าขณะที่บัณฑิตกำลังหลุบตาลง คล้ายจะมองไปยังมุมหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็กลับมาเป็นบัณฑิตบนภูเขาโปลั่วที่เฉินผิงอันคุ้นเคยแล้ว บนใบหน้าของเขามีสีหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนคนอึราดเต็มกางเกง
คนทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไป ครู่หนึ่งต่อมา
เฉินผิงอันก็เปิดปากเอ่ยว่า “หยางหนิงซิ่ง เจ้าใช้ได้เลยนี่นา ได้อยู่ในอันดับสิบคนของมังกรในกลุ่มคนของอุตรกุรุทวีป คือเทียนจวินน้อยของตำหนักนภากาศ ชื่อเสียงที่ทรงพลานุภาพเช่นนี้ เหตุใดต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยเล่า?”
บัณฑิตมีสีหน้ามึนงง
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
บัณฑิตรู้สึกว่า ‘ตนเอง’ ผู้นั้นไม่น่าจะพูดจาเปิดใจกับคนอื่นขนาดนี้ จึงแสร้งทำเป็นไขสือต่อไปด้วยการเอ่ยอย่างจนใจว่า “คำพูดประโยคนี้หากให้เทียนจวินน้อยแห่งหน่วยฉงเสวียนของตระกูลข้าได้ยินเข้า คงจะโกรธน่าดู หยางหนิงซิ่งผู้นี้มีนิสัยคร่ำครึมากที่สุด รับฟังคำหยอกเย้าไม่ได้แม้แต่ครึ่งคำ คู่พี่น้องหยางหนิงเจินหยางหนิงซิ่งนี้ ข้าชอบจะอยู่กับหยางหนิงเจินมากกว่า และยังมีนักพรตหญิงที่รับผิดชอบด้านการไปมาหาสู่กับหน่วยฉงเสวียนและราชสำนักผู้นั้น คือคนมีความสามารถที่มีเสน่ห์จริงๆ ข้าออกเดินทางไกลครั้งนี้ เสี่ยงอันตรายเข้ามาในหุบเขาผีร้ายก็เพราะอยากจะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง นางจะได้หันมามองข้าบ้าง พี่ชายคนดี ชื่อของเจ้าดี ความสามารถก็สูง วันหน้าเมื่อไปถึงราชวงศ์ต้าหยวนต้องไปพบนางให้ได้ ปีนั้นนางเพิ่งจะเป็นดรุณีน้อยก็จัดงานพิธีกรรมใหญ่ของลัทธิเต๋าได้แล้ว ฉลาดเฉลียวที่สุดเลยล่ะ หากเจ้าได้พบนางก็น่าจะชื่นชอบนาง แต่ผลกลับกลายเป็นว่านางก็ไม่ชอบเจ้าเหมือนกัน ถึงเวลานั้นพวกเราสองพี่น้องก็สามารถดื่มเหล้าดับทุกข์ร่วมกันได้แล้ว คู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก มิตรภาพก็ยิ่งยืนยาวตราบชั่วฟ้าดินสลาย!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไม่สนใจคำพูดที่เบี่ยงประเด็นของคนผู้นี้ เขากวาดตามองไปรอบด้าน แล้วบังคับเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นให้เข้ามาอยู่ในมือ ชูอีสืออู่ก็พุ่งกลับเข้ามาในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว
การชำเลืองตามองแวบหนึ่งก่อนที่จิตของบัณฑิตคนเมื่อครู่นี้จะเงียบหายไป เป็นการกระทำที่เสแสร้งเพื่อจงใจให้ตนเกิดความสงสัยคาดเดาไปส่งเดช? หรือเป็นเพราะบริเวณใกล้เคียงกับภูเขาลูกนี้มีความลี้ลับอยู่จริงๆ? มียอดฝีมือมาเยือน โดยที่ตนมองไม่เห็น? หากเป็นเช่นนี้จริง หรือจะเป็นจิตหยินของผูหรางก่อกำเนิดขั้นสูงสุดที่ออกเดินทางไกลมาซ่อนตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของบริเวณโดยรอบ? หรือว่าเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่า? คืออารามเสวียนตูเล็ก วัดหยวนเยว่ใหญ่ที่ไม่ได้มีบันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ? หรือว่าเป็นวิญญาณวีรบุรุษที่อยู่ทางทิศเหนือของหุบเขาผีร้าย?
ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเจียงซ่างเจินแน่นอน
หากจะบอกว่าเจียงซ่างเจินมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ จับจ้องความเคลื่อนไหวของตนที่อยู่ตรงนี้มาจากที่ไกลๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติอย่างมาก แต่การที่เขาแอบมาที่นี่แล้วไม่ปรากฏตัว ย่อมไม่ใช่ลักษณะนิสัยของเจียงซ่างเจินอย่างแน่นอน
เกี่ยวกับแผนการที่สำนักกุยหยกมีต่อทะเลสาบซูเจี่ยน ก่อนหน้านี้ตอนอยู่นครปี้ฮว่า เจียงซ่างเจินได้เปิดเผยความลับสวรรค์ส่วนหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา
เฉินผิงอันเชื่อเขาถึงเจ็ดแปดส่วน
ดังนั้นเจียงซ่างเจินจึงถือว่าเป็นมิตรหาใช่ศัตรูได้ชั่วคราวจริงๆ ต่อให้ไม่ใช่มิตร อีกฝ่ายก็ไม่มีทางวางแผนทำร้ายตนอย่างแน่นอน
พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากเจียงซ่างเจินคิดจะสังหารตนจริงๆ จะไม่ง่ายดายยิ่งกว่าโครงกระดูกชุดเขียวที่มองตนเองเป็นมือกระบี่ผู้นั้นหรอกหรือ?
เพราะตอนนี้หากเขาเฉินผิงอันเผชิญหน้ากับก่อกำเนิดคนหนึ่งก็มีสิทธิ์แค่เผ่นหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
แต่เจียงซ่างเจินกลับเป็นห้าขอบเขตบนที่มีชื่อเสียงว่าชื่นชอบการฆ่าก่อกำเนิดของใบถงทวีป
เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ
บอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า อย่ารีบร้อน
การฝึกตนมิใช่การดื่มเหล้าที่ไม่ว่าจะดื่มคำเล็กหรือคำใหญ่ก็ล้วนไม่ส่งผลใดๆ
แต่ข้าวต้องกินไปทีละคำ ทางต้องเดินไปทีละก้าว และเงินก็ต้องค่อยๆ หามาทีละเหรียญ
บัณฑิตลุกขึ้นตาม เขาบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสาย “พี่ชายคนดี นี่คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเจ้าหรือ? เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ก็เป็นอาชีพที่กินเงินเขมือบทองของใต้หล้าอยู่แล้ว ตัวอ่อนกระบี่ทั่วไปอาศัยสำนักคอยมอบเงินมอบของให้ เลี้ยงกระบี่บินให้มีชีวิตรอดได้หนึ่งเล่มก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดแล้ว เจ้าทำได้อย่างไรกัน? อาศัยการปล้นทรัพย์ผู้อื่นระหว่างเดินทางหมื่นลี้นี่น่ะหรือ? ดูท่าก็คงเหมือนคนที่อาศัยชาติกำเนิดเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล แต่การอบรมปลูกฝังของสำนักไม่ดีมากพอก็เลยอาศัยข้ออ้างว่าออกหาประสบการณ์มาทำตัวเป็นผู้ฝึกตนอิสระเพื่อเติมเต็มทรัพย์สมบัติของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า?”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถามนี้ เขามองไปทางทิศเหนือแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เพื่อช่วยเจ้าออกมา ข้าขาดทุนไปมาก ตอนนี้จะว่าอย่างไร?”
บัณฑิตถูมือหัวเราะร่า “ชุดคลุมอาคมและยันต์สามแผ่นของข้าตกอยู่ในมือของศัตรู แน่นอนว่าต้องไปทวงคืนกลับมา”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง “มีเหตุผล ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยังคงแยกย้ายกันไปทางใครทางมัน เจ้าไปทวงคืนของที่สูญหายไป ขออวยพรล่วงหน้าให้พี่มู่เมาสร้างชื่อเสียงระบือไกลในหุบเขาผีร้าย ส่วนข้าก็จะอยู่เก็บตกของดีของข้าต่อไปนี่แหละ”
บัณฑิตร้องโอ้ยหนึ่งที “แบบนั้นจะได้ที่ไหน ข้ากับกลุ่มปีศาจผูกปมแค้นกันแล้ว หากข้าโผล่หน้าไปจะไม่ถูกล้อมวงโจมตีหรอกหรือ แต่ละคนเสียสติเข่นฆ่าจนตาแดงก่ำ ถึงเวลานั้นสภาพการณ์ของข้ามีแต่จะยิ่งอนาถ ไม่ได้ๆ ไม่มีพี่ชายคนดีช่วยคุมท้ายขบวนให้ข้า ในใจข้าก็ไม่มั่นใจ จะว่าไปแล้วก็แปลก พอมีพี่ชายคนดีอยู่ข้างกาย ความกล้าของข้าก็เพิ่มพูน จะขึ้นฟ้าลงดิน บุกบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ ข้าก็ล้วนไม่หวาดกลัว!”
เฉินผิงอันถาม “ตอนนี้เจ้าไม่มียันต์กับชุดคลุมอาคมติดตัวแล้ว ข้าพาเจ้าไปจะมีความหมายอะไร? เอาไปเป็นตัวถ่วงอย่างนั้นหรือ?”
บัณฑิตชูฝ่ามือขึ้นก็มีวัตถุชิ้นหนึ่งลอยขึ้นมา จากนั้นมืออีกข้างหนึ่งของเขาก็รีบสะบัดชายแขนเสื้อ ใช้ปราณวิญญาณปกคลุมวัตถุชิ้นนี้เอาไว้ นั่นคือกระบี่บินขนาดเล็กสีม่วงเล่มหนึ่ง เขายิ้มเอ่ยว่า “คนบนภูเขาย่อมมีสมบัติอาคมเก็บซ่อนไว้ก้นกรุ กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่าจื่อจือ สร้างเลียนแบบกระบี่บินของเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งในอุตรกุรุทวีปเรา ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ แต่พลังอำนาจกลับเหนือกว่ากระบี่บิน เอาไว้ใช้แสร้งทำเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ข่มขู่คนอื่นได้อย่างดีเยี่ยม! คือสุดยอดเคล็ดวิชาของภูเขาชังกระบี่ สุดยอดทักษะที่มีเฉพาะในใต้หล้าไพศาล ชื่อเสียงของมันยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองเสื้อเกราะวิเศษปกป้องกายที่ศาลซานหลางสร้างขึ้นเลย!”
เฉินผิงอันชี้ไปยังกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังตัวเอง “ข้าต้องให้เจ้าข่มขู่คนอื่นด้วยหรือ? ช่วยแสดงความจริงใจให้เห็นหน่อยได้ไหม?”
บัณฑิตเก็บจื่อจือที่มีอำนาจน่าตะลึงเล่มนั้นไปอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็พลิกฝ่ามืออีกครั้ง บนฝ่ามือก็มีวัตถุชิ้นเล็กลักษณะเหมือนตราประทับทองแดงที่นูนขึ้นมาเป็นรูปชือหลงชิ้นหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อยระคนฮึกเหิม “นี่เป็นของก้นกรุชิ้นสุดท้ายและท้ายสุดแล้วจริงๆ เมื่อทุบมันให้แตกก็จะมีชือหลงที่พลังการต่อสู้น่าตะลึงตัวหนึ่งเยื้องกรายลงมา พลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทรก็เป็นเรื่องที่สบายมาก เพียงแต่ว่าใช้ได้แค่ครั้งเดียว นี่ยังเป็นอาวุธหนักในคลังสมบัติของตำหนักนภากาศที่ข้าเชื่อมาจากศิษย์น้องหญิงที่ดูแลเรื่องเงินทองในหน่วยฉงเสวียนด้วย”
เฉินผิงอันมองพี่มู่เม่าคนนี้
บัณฑิตยิ้มบางๆ ในขณะที่ประสานสายตากับเขา
เฉินผิงอันรู้สึกใคร่รู้ไม่น้อย หากจะต้องเข่นฆ่าช่วงชิงชีวิตกันขึ้นมาจริงๆ ตนจะมีโอกาสชนะสักกี่ส่วน?
ตอนอยู่ที่ตำหนักกว่างหานของปี้สู่เหนียงเนียง เขารู้สึกว่ามีเจ็ดแปดส่วน แต่ตอนนี้ลองดูแล้ว มากที่สุดก็แค่ห้าต่อห้า?
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก จื่อจือเล่มนั้นเป็นของเลียนแบบก็จริง ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่บนยอดเขาอะไร นำมาใช้ข่มขู่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็นับว่าเหมาะสมอย่างถึงที่สุด
แต่หากนำมาใช้สังหารผู้ฝึกตนโอสถทอง กลับจะเหมาะสมยิ่งกว่า
บวกกับตราประทับรูปชือหลงที่ไม่รู้ตื้นลึกชิ้นนั้น หากมอบให้บัณฑิตตัวจริงเป็นผู้ใช้ เมื่อต้องเข่นฆ่ากัน อีกฝ่ายมีครบทั้งการป้องกันและโจมตี หากอีกฝ่ายได้ครอบครองสมบัติอาคมที่ระดับขั้นดียิ่งกว่าอีกชิ้นหนึ่ง แล้วสวมเสื้อเกราะวิเศษที่ปกคลุมไปทั่วร่างจากเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารอีกชิ้น? เพราะถึงอย่างไรชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาตัวนั้นก็เป็นแค่การอำพรางตัวที่บัณฑิตตรงหน้าผู้นี้ใช้ปิดบังหูตาของคนอื่นเท่านั้น ผู้สืบทอดที่แท้จริงของหน่วยฉงเสวียนผู้หนึ่งที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเมล็ดพันธ์เต๋ามาตั้งแต่กำเนิด ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ จะไม่มีเสื้อเกราะวิเศษหรือชุดคลุมอาคมที่สืบทอดจากบรรพบุรุษไว้ใช้ป้องกันกายเลยได้อย่างไร?
สายตาของบัณฑิตแฝงแววตำหนิ พูดด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจว่า “เหตุใดพี่ชายคนดีไม่พูดแล้วเล่า หรือว่าเห็นทรัพย์สินก็เลยเกิดความโลภ? ถึงอย่างไรข้าก็สู้เจ้าไม่ได้ ก็คงต้องได้แต่ควักชุดคลุมอาคมและเสื้อเกราะวิเศษออกมาเพิ่มเพื่อใช้ปกป้องชีวิตแล้ว”
“ไหนบอกว่าตราประทับทองแดงคือสมบัติก้นกรุชิ้นสุดท้ายของเจ้าแล้วอย่างไรเล่า?”
เฉินผิงอันกล่าว “มีเงินก็ร้ายกาจจริงๆ ข้าล่ะกลัวเจ้าแล้ว”
บัณฑิตถอนหายใจหนึ่งที “ศิษย์น้องหญิงคนนั้นของข้าเคยบอกว่า ออกจากสำนักมาฝึกประสบการณ์ ในเมื่อมีความสามารถธรรมดาสามัญ ยามพูดจาก็ยิ่งไม่ควรมอบใจให้ผู้อื่นไปหมดเสียทุกเรื่อง”
เฉินผิงอันกล่าว “ไปกันเถอะ”
บัณฑิตถูฝ่ามือ “ไปที่ภูเขาของอริยะใหญ่ปานซาน หรือว่าไปกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาที่ภูเขาตี้หย่ง?”
เฉินผิงอันกล่าว “เลียบลำคลองเฮยเหอ ไปหาโพรงมังกรเฒ่า”
บัณฑิตถามอย่างกังขา “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันเริ่มเดินเลียบสันเขาลงไปด้านล่างแล้ว ปากก็เอ่ยเนิบช้าว่า “ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของภูเขาตี้หย่งถูกเจ้าปั่นป่วนจนเละหมดแล้ว ตอนนี้กลุ่มปีศาจต้องไปรวมตัวกันอยู่ที่ภูเขาของวานรย้ายภูเขาตัวนั้นแน่ ไม่แน่ว่าพี่เฉินหยวนจวินของภูเขาตี้หย่งผู้นั้นหากไม่นำทรัพย์สมบัติไปซ่อนไว้เป็นอย่างดีแล้ว ก็คงจะถือโอกาสพกติดตัว ย้ายไปอยู่กับพันธมิตรเสียเลย จะไปกินลมตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ที่ภูเขาตี้หย่งหรือ? หรือว่าจะไปปะทะกับวานรย้ายภูเขา? แล้วค่อยถูกพวกมันล้อมรุมตีอีกรอบ?”
บัณฑิตใช้หมัดทุบฝ่ามือ เอ่ยชื่นชมว่า “จริงด้วย พี่ชายคนดีมีแผนการที่ดีจริงๆ ท่ามกลางศึกใหญ่บนภูเขาตี้หย่งนั้น เจ้าตะพาบทั้งสองต่างก็ไม่ได้โผล่หัวออกมา หากใช้คำพูดของพี่ชายคนดีก็คือไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นต่อให้พวกเราไปหาเรื่องพวกมัน กลุ่มปีศาจที่อยู่กับวานรย้ายภูเขาน่าจะอาฆาตแค้นอยู่ในใจ ให้ตายก็ไม่มีทางไปช่วยเหลือ”
เฉินผิงอันหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้ากังวลมากกว่าว่าที่พึ่งของปี้สู่เหนียงเนียงที่ถูกเจ้าฆ่าและกินไปจะตามมาหรือไม่ ไหนลองบอกมาสิว่าอีกฝ่ายเป็นเทพเซียนของที่ใด?”
บัณฑิตหัวเราะหึหึ “คือวิญญาณหยินก่อกำเนิดผู้เฒ่าตนหนึ่งของหุบเขาผีร้าย ค่อนข้างมีชื่อเสียงในกลุ่มของนครมากมายทางแถบทิศเหนือ เขาถึงขนาดกล้าไม่ฟังคำสั่งของเจ้านครจิงกวาน ตอนมีชีวิตอยู่คือแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเสิ่นเช่อ คุณูปการยิ่งใหญ่เกริกก้อง ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยถูกใครชื่นชมว่าคุมทัพได้เก่งกาจดุจเทพเจ้า แต่พอตายไปแล้วกลับถูกสำนักการทหารรุ่นหลังขนานนามให้ว่าคุมทัพใช้กลยุทธได้อย่างแม่นยำ คำวิจารณ์ในประวัติศาสตร์ดีเยี่ยมอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะฮ่องเต้ผู้โง่เขลาที่เขาภักดีด้วยถูกคนใช้แผนยุแยงให้แตกแยก สั่งให้เขานำทัพออกไปโจมตี ทำให้คนสามสิบชีวิตไม่ว่าจะเด็กแก่หรือหนุ่มฉกรรจ์ในครอบครัวเขาต้องรบตายพร้อมกันบนสนามรบ กระตุกผมเส้นเดียวสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง นั่นคือจุดหักเหที่ค่อนข้างจะสำคัญ ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์สุดท้ายของศึกที่ชายหาดโครงกระดูกก็คงบอกได้ยากจริงๆ”
บัณฑิตหยุดชะงักไปชั่วครู่ก็เอ่ยอย่างค่อนข้างกลัดกลุ้ม “ส่วนข้อที่ว่าปี้สู่เหนียงเนียงไปตีสนิทกับวิญญาณวีรบุรุษท่านนี้ได้อย่างไร ข้าไม่ใช่เทพเซียนที่ล่วงรู้อดีตและอนาคตเสียหน่อย แน่นอนว่าย่อมไม่รู้แล้ว”
คนทั้งสองเดินอยู่บนทางสายเล็กบนหลังเขาด้วยกัน เฉินผิงอันหันหน้ามามองเขา มองใบหน้าแถบที่หันไปทางหน้าผาแล้วเอ่ยว่า “อย่าได้คิดจะไปหาเรื่องปีศาจสองตนนั้น”
บัณฑิตกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าสนิทกับพวกมันหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่สนิท”
บัณฑิตยิ่งไม่เข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะปกป้องพวกมันทำไม? เก็บไว้ก็มีแต่จะเป็นภัย…ก็ถูกนะ ตอนนี้ตบะยังน้อยนิด ต่อให้ผ่านไปอีกหลายร้อยปีก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ายังออกไปจากหุบเขาผีร้ายไม่ได้ ไม่อาจไปทำร้ายใคร”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ทุกชีวิตที่มีสติปัญญาล้วนฝึกตนได้ไม่ง่าย”
บัณฑิตมองประเมินเฉินผิงอันแวบหนึ่ง “บาดเจ็บจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “วัตถุหยินโอสถทองตนนี้คิดจะใช้กลยุทธเดิมอีกครั้ง หมายจะร่ายวิชาเงาดำสิงกระดูกใส่ร่างข้า พอข้าใช้กระบี่ฟันไป วานรย้ายภูเขาตัวนั้นก็ฉวยโอกาสได้ เหวี่ยงค้อนทุบลงมา จากนั้นก็ตามมาด้วยสมบัติอาคมอีกหลายชิ้น ข้าจึงได้แต่ใช้ยันต์แผ่นหนึ่งที่มูลค่าเท่าทองหมื่นชั่ง จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังเสียดายไม่หาย”
อารมณ์ของเฉินผิงอันอัดอั้น ไม่เพียงแค่เสียดายเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขาไม่เพียงแต่ใช้ยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองที่เหลือเพียงแผ่นเดียว นั่นยังทำให้เขาเปิดเผยวิชาเอาตัวรอดของตัวเอง วันหน้าหากคิดจะใช้ยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองติดต่อกันสองแผ่น รวมไปถึงใช้เจี้ยนเซียนฟันตราผนึกของฟ้าดินขนาดเล็กระหว่างหุบเขาผีร้ายและชายหาดโครงกระดูกก็อาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
บัณฑิตค้นพบว่าเวลาคนผู้นี้เอ่ยถึงวานรย้ายภูเขา น้ำเสียงจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่กลับถูกเขาจับสังเกตได้อย่างเฉียบไว จึงยิ้มถามว่า “ทำไม มีความแค้นกับวานรย้ายภูเขาหรือ?”
เฉินผิงอันตอบด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ถูกมันใช้ค้อนดาวตกทุบมาทีหนึ่งจะไม่แค้นได้หรือ?”
บัณฑิตเอาสองมือไพล่หลัง เดินอาดๆ พลางยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หรือว่าทำให้พี่ชายคนดีเมากลิ่นเลือดอีกแล้ว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หากเจ้ารู้สึกผิดจริงๆ อีกอย่างข้าเองก็ไม่ถือสาเลยถ้าเจ้าจะคิดว่าติดค้างน้ำใจข้า ไม่อย่างนั้นก็ไม่สู้มอบกระบี่บินที่ข่มขู่คนได้เล่มนั้น กับตราประทับทองแดงให้กับข้า ถือเป็นการชดเชย?”
บัณฑิตโบกมือเป็นพัลวัน พลางร้องโวยวายไปด้วย “พี่ชายคนดี ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ เลิกคิดถึงทรัพย์สมบัติน้อยนิดนั่นของข้าเสียทีได้ไหม? หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ในใจข้าคงไม่เป็นสุขแล้ว”
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปทางทิศเหนือแวบหนึ่ง “พอไปถึงลำคลองเฮยเหอ ยังคงอิงตามกฎเดิม สามต่อเจ็ด?”
บัณฑิตค่อนข้างจะประหลาดใจ กล่าวอย่างขัดเขินว่า “แบบนั้นจะดีหรือ”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ
บัณฑิตเข้าใจความนัยในคำพูดเมื่อครู่นี้ของอีกฝ่ายทันที จึงรีบยิ้มหน้าเป็นส่งไปให้ “ยังคงเป็นห้าต่อห้าดีกว่า ปรองดองก่อให้เกิดเงินทอง ปรองดองก่อให้เกิดเงินทอง หากไม่ได้จริงๆ ก็แบ่งสี่ต่อหก พี่ชายคนดีหก ส่วนข้าแค่สี่ส่วนก็พอ”
คนทั้งสองเดินทางขึ้นเหนือกันต่อ พวกเขาเลือกทางเส้นเล็กในผืนป่า ข้ามเขาลงห้วย เฉินผิงอันบินแผล็วไปตลอดทางเหมือนกระต่ายกระโดดนกกระเรียนโฉบ ส่วนบัณฑิตก็ทะยานลม ไม่เร็วไม่ช้า เพียงแค่เคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอันเท่านั้น
เมื่อเฉินผิงอันมายืนอยู่บนกิ่งไม้สูงกิ่งหนึ่งแล้วทอดสายตามองไปไกล
บัณฑิตก็ถามชวนคุยว่า “ตอนที่ข้าสังหารปี้สู่เหนียงเนียงในตำหนักกว่างหาน เหตุใดเจ้าถึงไม่ขัดขวาง เผ่าพันธ์ตำหนักจันทราตัวนี้สามารถฝึกตนจนเป็นโอสถทองได้ ไม่ถือว่ายากยิ่งกว่าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
จากนั้นเฉินผิงอันก็เป็นคนนำทาง คนทั้งสองผ่านทะเลสาบถงลวี่ แล้วค่อยอ้อมผ่านภูเขาถงกวานไปอย่างระมัดระวัง ประหนึ่งทหารลาดตระเวนที่ปากคาบไม้เดินทัพอย่างว่องไว (การเดินทัพสมัยโบราณ หากมีปฏิบัติการลับพิเศษ แม่ทัพจะให้ทหารทั้งหลายเอาปากคาบไม้ลักษณะคล้ายตะเกียบเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ทหารส่งเสียงและข้าศึกจะได้ไม่รู้ตัว) เส้นทางที่ใช้หลบซ่อนอำพราง เงียบเชียบไร้เสียง
บัณฑิตรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย นี่คือผู้เชี่ยวชาญแท้ๆ เลย
เดินทางตามภูเขาแม่น้ำมาจนเคยชินแล้วหรือ?
แต่เหตุใดกลับไม่เหมือนพวกผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขาเหล่านั้นเลยเล่า?
—–