กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 497.5 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา
ร่างของเฉินผิงอันหยุดชะงักกะทันหัน
บัณฑิตพลันทอดถอนใจ “ดีนักน่ะ เล่นงานเด็กแล้ว ก็มาเจอคนแก่ พอเล่นงานคนแก่ ก็มาเจอคนที่แก่ยิ่งกว่า พี่ชายคนดี ทีนี้จะเอาอย่างไร? คราวนี้ล่ะเป็นปัญหายุ่งยากจริงๆ แล้ว”
ภิกษุเฒ่าร่างผอมแห้งราวกับท่อนฟืนมาปรากฎตัวอยู่ข้างกายตะพาบเฒ่า
เมื่อเทียบกับตะพาบเฒ่าที่ตัวใหญ่โตราวขุนเขาแล้ว ก็สามารถมองข้ามร่างของภิกษุเฒ่าไปได้เลย
แต่เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของเฉินผิงอัน ภาพบรรยากาศที่แผ่มาจากร่างของภิกษุเฒ่ากลับยิ่งใหญ่สูงตระหง่าน ตะพาบเฒ่าต่างหากที่เล็กจ้อยดุจเมล็ดงา
ภิกษุเฒ่ายกสองมือขึ้นพนม ท่องภาษาพระธรรมหนึ่งประโยคแล้วก็ถามว่า “ประสกทั้งสองท่านจะปล่อยให้ข้านำตะพาบตัวนี้กลับไปที่วัดหยวนเยว่ใหญ่ได้หรือไม่?”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “ข้ายังไงก็ได้ ต้องฟังพี่ชายท่านนี้ ต้องให้เขาตกลงเท่านั้น”
ตะพาบเฒ่าเอ่ยปากวิงวอน “หลวงพ่อช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว วันหน้าจะต้องสงบใจฝึกพระธรรมอยู่ในวัด พันปีหมื่นปีก็ไม่กล้าออกมาโดยพลการอีกแน่นอน”
ภิกษุเฒ่ามองมาทางเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเองก็ทำเพียงแค่มองประสานสายตากับภิกษุเฒ่า ถามว่า “สำนึกผิดหรือไม่ ข้าไม่สนใจ ข้าแค่อยากจะแน่ใจว่าตะพาบเฒ่าตัวนี้จะสามารถชดเชยแก้ไขความผิดบาปที่ทำมาตลอดหลายปีนี้ได้”
ตะพาบเฒ่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับพบว่าตนไม่อาจส่งเสียงได้เลย
ภิกษุเฒ่าพนมมืออยู่ตลอดเวลา พยักหน้าเอ่ยว่า “อาตมาสามารถรับรองแทนได้ว่าการฝึกตนของตะพาบเฒ่าหลังจากนี้จะเป็นการชดเชยแก้ไขความผิด จะกระทำแต่เรื่องดี สร้างบุญกุศล มีแต่จะเป็นประโยชน์ต่อฟ้าดินแห่งนี้ยิ่งกว่าการสังหารมันให้จบเรื่องตั้งแต่ตอนนี้”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
ภิกษุเฒ่าคลี่ยิ้ม ผงกศีรษะ จากนั้นก็มองไปยังฝั่งตรงข้าม ท่องคาถาธรรมประโยคว่ากลับใจคือฝากฝั่งเบาๆ
เมื่อภิกษุเฒ่าที่ร่างกายเล็กเตี้ยแต่กลับสวมจีวรตัวหนาใหญ่ผู้นี้หมุนตัวกลับ ทั้งร่างของตะพาบเฒ่าและเขาต่างก็ไม่อยู่แล้ว
ส่วนบัณฑิตก็ควบคุมให้ตราประทับทองแดงที่เมื่อไม่มี ‘พื้นที่ให้หยัดยืน’ จึงร่วงตกลงเบื้องล่างกลับมา
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม จมอยู่ในภวังค์ความคิด
บัณฑิตยิ้มกล่าว “พี่ชายคนดี เจ้าช่างใจกล้ายิ่งนัก รู้รากฐานของภิกษุสมณะสูงผู้นี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้ ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ไม่ได้มีบันทึกไว้ และข้าเองก็ตอนที่ผ่านป่าท้อแถบนั้นถึงจะเพิ่งรู้ว่าหุบเขาผีร้ายมีวัดหยวนเยว่ใหญ่อยู่ด้วย
บัณฑิตใช้มือสองข้างนวดคลึงซีกแก้ม กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “หากในบันทึกลับของหน่วยฉงเสวียนเขียนไว้ไม่ผิด ภิกษุเฒ่าผู้นี้ก็คืออันดับที่สองของอรหันต์ร่างทอง และอันที่หนึ่งของไม่สั่นคลอนดุจขุนเขาในอุตรกุรุทวีปเรา ภิกษุเฒ่ายืนนิ่งไม่หลบไม่เลี่ยง ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ใช้กระบี่แห่งชะตาชีวิตแทงเขาเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ก็ต้องเจอจุดจบที่ภิกษุไม่ตาย กระบี่หักก่อนอยู่ดี หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงไม่กล้าต่อรองกับภิกษุเฒ่าเช่นนี้ เขาปรากฏตัว ข้าก็เตรียมพร้อมไว้แล้วว่าจะยกตะพาบเฒ่าให้แต่โดยดี แต่โชคในการเดิมพันของพี่ชายคนดีไม่แย่เลยจริงๆ ภิกษุเฒ่าถึงขั้นไม่โกรธ กลับกันยังหัวเราะ นี่ก็ถือว่าพวกเราสองพี่น้องไม่ได้ผูกปมแค้นกับวัดหยวนเยว่ใหญ่เพราะสาเหตุนี้”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “สามารถบรรลุผลเช่นนี้ ก็ควรจะมีใจเช่นนี้”
บัณฑิตให้รู้สึกปวดหัว ร้องโอ้โหแหะหนึ่งที “พี่ชายคนดีอย่าได้พูดเรื่องพวกนี้เลย ข้าคือลูกศิษย์ของลัทธิเต๋า ทนฟังเรื่องพวกนี้ไม่ได้ที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันพลันกระอักเลือดหนึ่งคำ เดินไปบนผิวน้ำแข็งที่เมื่อไม่มีวิชาของตะพาบเฒ่าประคับประคองก็เริ่มเกิดลางว่าจะละลาย แล้วนั่งขัดสมาธิ หยิบน้ำแข็งก้อนหนึ่งขึ้นมาถูไปบนใบหน้าลวกๆ
ยังคงมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด
เฉินผิงอันเหม่อลอย แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม
บัณฑิตนั่งยองอยู่ห่างไปไม่ไกล เบิกตากว้าง ถามเสียงเบา “พี่ชายคนดี อยู่ในสภาพที่จิตวิญญาณสั่นสะเทือน เส้นเอ็นและกระดูกโยกคลอนอย่างนี้ก็ยังไม่รู้สึกเจ็บสักนิดเลยหรือ?”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก ทอดสายตามองไปไกล “หากข้าบอกว่าแค่คันๆ เจ้าจะเชื่อไหม?”
บัณฑิตพยักหน้ารับอย่างแรง “เชื่อ!”
ทว่าในใจกลับนินทาไม่หยุด ข้าเชื่อเจ้ากะผีน่ะสิ
บัณฑิตเริ่มนับเวลาอยู่เงียบๆ อยากรู้ว่าเลือดสดบนใบหน้าของเจ้าหมอนี่จะหยุดไหลเมื่อไหร่
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “ฟู่ไห่หยวนจวินผู้นั้นล่ะ?”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “ถูกข้ากักตัวไว้บนเชือกกักปีศาจ เรียกเมื่อไหร่ก็มาหาได้ทันที”
เฉินผิงอันมีสีหน้าประหลาด
บัณฑิตยิ้มตาหยี “จะให้พี่ชายคนดีมีเชือกพันธนาการปีศาจได้คนเดียว ไม่อนุญาตให้ข้าหยางมู่เม่ามีเชือกกักปีศาจบ้างเลยหรือ?”
บัณฑิตยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา บนมือมีก็มีเชือกสีขาวหิมะเส้นหนึ่งลอยขึ้น เขาสะบัดเบาๆ สตรีร่างกำยำก็ถูกกระชากออกมาจากเบื้องใต้ผิวน้ำของลำคลองที่กลายเป็นน้ำแข็งซึ่งอยู่ห่างไปไกล จากนั้นก็เหมือนถูกคนจิกหัวกระชากผมแล้วพาวิ่งตะบึงมา เวลาเพียงแค่ไม่กี่พริบตาก็ถูกบัณฑิตกระชากมาไว้ที่ข้างฝ่าเท้า
เฉินผิงอันหนังตากระตุกเบาๆ
บนร่างของไอ้หมอนี่มีสมบัติอาคมที่เป็น ‘สมบัติก้นกรุ’ กี่ชิ้นกันแน่?
บัณฑิตถาม “จะจัดการนางอย่างไร? พี่ชายคนดีเจ้าบอกมาได้เลย ข้าพร้อมจะปฏิบัติตาม!”
เฉินผิงอันกล่าว “ขอแค่นางยินดีเปิดถ้ำสถิตด้วยตัวเองก็สามารถมีชีวิตรอดได้”
บัณฑิตพยักหน้า หันไปยิ้มพูดกับตะพาบน้อยตัวนั้น “ได้ยินแล้วหรือยัง?”
แต่สตรีกลับทำท่าทางที่ประหลาดอย่างมาก นางมองเฉินผิงอันแวบหนึ่ง แล้วถึงได้หันมามองบัณฑิต “ข้าต้องการให้เจ้าเอ่ยคำสาบานที่รุนแรงเสียก่อน ข้าถึงจะไปเปิดประตู”
บัณฑิตหัวเราะร่าไม่หยุด เขาชูนิ้วขึ้น เก็บเสียงหัวเราะ กระแอมสองสามทีแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ได้ๆๆ ข้าหยางมู่เม่าขอสาบานต่อสวรรค์ว่า…”
แต่แล้วจู่ๆ สตรีก็แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น “ข้ารู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเจ้ามันคนโกหก! คนหลอกลวง!”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง
บัณฑิตหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่จู่ๆ ก็คลี่ยิ้ม “ช่างเถิด ปล่อยนางไปเถอะ เก็บชีวิตน้อยๆ นี้ของนางไว้ ข้าย่อมมีหนทางอื่นให้เอาไปใช้งาน ราชวงศ์ต้าหยวนกำลังขาดแม่ย่าลำคลองผู้หนึ่งอยู่พอดี หากข้าแนะนำนางได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นคุณความชอบครั้งหนึ่ง เทียบกับการฆ่านางเพื่อสะสมผลบุญแล้วก็คุ้มค่ามากกว่า”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมา
บัณฑิตหน้านิ่วคิ้วขมวด หยิบหน้ากระดาษที่ห่อโอสถทองซึ่งใกล้จะปริแตกออกมาจากในชายแขนเสื้อ “กระดาษแผ่นนี้มีค่ามากนักล่ะ ไม่อาจยกให้พี่ชายคนดีได้จริงๆ แต่หากเปิดกระดาษออก โอสถทองของขุนพลเทพชื่อเหลยเม็ดนี้ก็จะระเบิดแตกทันที อานุภาพนั้นมหาศาล บางทีอาจเทียบเท่ากับการโจมตีครั้งหนึ่งของก่อกำเนิดเลยทีเดียว นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว พวกเราสองพี่น้องอยู่ใกล้ขนาดนี้อาจต้องเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบแทน”
เฉินผิงอันกล่าว “ผลเก็บเกี่ยวในถ้ำสถิต เปลี่ยนจากสามต่อเจ็ดมาเป็นห้าต่อห้า ส่วนหนึ่งคือที่ข้าช่วยเจ้าต้านรับหายนะนี้ อีกส่วนหนึ่งก็คือทดแทนโอสถทองที่ปริแตกเม็ดนี้”
บัณฑิตลังเลอยู่พักใหญ่
เฉินผิงอันกล่าว “สี่ต่อหกส่วน ข้าหกเจ้าสี่ ต่อให้โอสถทองเม็ดนี้จะแตกแล้ว แต่ก็ยังเป็นโอสถทอง…”
บัณฑิตเก็บแผ่นกระดาษและโอสถทองมา ก่อนจะกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แบ่งกันห้าต่อห้า!”
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าบาดเจ็บหนักเกินไป เดินไม่ไหว เจ้าไปเอาสมบัติมาเถอะ”
บัณฑิตร้องอ้อหนึ่งที ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เอ๊ะ? ทำไมพี่ชายคนดีถึงไม่เมาเลือดแล้วเล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เลือดของตัวเอง ไม่เมาหรอก”
บัณฑิตทำท่ากระจ่างแจ้ง
จากนั้นบัณฑิตก็บอกให้สตรีนั่งคุกเข่า ตัวเขายืนอยู่ด้านหน้านาง เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง สองนิ้วประกบกันวาดเป็นยันต์บนหน้าผากของนาง แต่ละขีดแต่ละเส้นล้วนทำให้ผิวหนังตรงหน้าผากของนางปริแตก เป็นบาดแผลลึกจนเห็นไปถึงกระดูก
ถึงอย่างไรสตรีก็เป็นคนรู้จักหนักเบา จึงกัดฟันแน่น ไม่กล้าส่งเสียง
บัณฑิตเก็บมือมาแล้วก็ยกเท้าถีบเข้าไปที่ศีรษะของนาง “นำทาง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รีบไปรีบกลับ หากจะไปแล้วไปลับไม่กลับมาก็ย่อมได้”
บัณฑิตหัวเราะเสียงดังกังวาน สตรีผู้นั้นโคจรวิชาอภินิหารหลอมละลายน้ำแข็ง แล้วก็ดำน้ำว่ายลงไปในรังของตัวเองพร้อมกับบัณฑิต
หลังห่างจากเฉินผิงอันมาไกลมากแล้ว
นางก็พลันเอ่ยขึ้นเบาๆ อย่างระมัดระวังว่า “เหตุใดเซียนซือไม่ฉวยโอกาสที่คนผู้นั้นกำลังอ่อนแอสังหารเขาให้สิ้นเรื่องไปซะ?”
บัณฑิตเกร็งห้านิ้วไปตะขอจิกหัวของนาง พูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าผู้เป็นนักพรตยังต้องให้เจ้ามาสอนว่าควรทำอย่างไรงั้นหรือ?!”
สตรีที่รู้สึกเพียงว่าหัวใกล้จะระเบิดเต็มทีร้องโหยหวน อ้อนวอนอย่างน่าเวทนาไม่หยุด
บัณฑิตเหวี่ยงนางทิ้ง พูดพึมพำว่า “มารดามันเถอะ หากสามารถสังหารเจ้าหมอนั่นได้ ต่อให้ต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นครึ่งชีวิตนี้ของข้า ข้าก็ยินดี…แต่หากเกินครึ่งชีวิตล่ะก็ คงบอกได้ยากแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่…อาจตายได้เล่า?”
เพราะจิตใจที่เริ่มวุ่นวายหงุดหงิด บัณฑิตจึงยกฝ่ามือขึ้นตบให้ฟู่ไห่หยวนจวินที่นำทางอยู่เบื้องหน้าล้มหน้าทิ่ม แล้วยังเตะซ้ำจนอีกฝ่ายกระเด็นไปด้านหน้าอย่างแรง
สตรีกลิ้งตลบอยู่ในน้ำ กว่าจะหยุดร่างไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กระนั้นนางก็ไม่กล้าลุกขึ้นยืน รู้สึกเพียงว่าอยู่ไม่สู้ตาย
บัณฑิตถึงได้ยอมเลิกรา เอ่ยว่า “ยังไม่รีบเดินทางต่ออีก!”
บัณฑิตยกมือขึ้นตบศีรษะตัวเอง ยิ้มจืดเจื่อน ก่อนที่บนฝ่ามือจะมีไข่มุกหลบน้ำลูกหนึ่งซึ่งยังไม่ถูกเขาอมไว้ในปากโผล่มา
เผยพิรุธซะแล้ว
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก
ถึงอย่างไรตั้งแต่ต้นจนจบไอ้หมอนั่นก็ไม่คิดจะตามตนลงมาในน้ำ ตนจะต้องเก็บซ่อนวิชาอภินิหารแห่งชีวิตที่ใกล้ชิดกับน้ำไว้หรือไม่ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว
ชั้นน้ำแข็งในลำคลองหลอมละลายเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ย้อนกลับไปที่ริมฝั่ง
กวาดตามองไปรอบด้าน
ช่วงฤดูหนาว ฟ้าดินหนาวเย็นเงียบสงัด
เฉินผิงอันทำสมาธิช้าๆ ปรับสภาพร่างกายของตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
ประมาณเกือบครึ่งชั่วยามต่อมา บัณฑิตก็ย้อนกลับมาเพียงลำพัง เฉินผิงอันเองก็ไม่ถามว่าฟู่ไห่หยวนจวินผู้นั้นไปอยู่ไหน
“คนชัดเจนไม่พูดจาคลุมเครือ นางแพศยานั่นต้องเก็บรวบรวมทรัพย์สินของตัวเอง เป็นวัตถุที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้ อีกทั้งยังไม่มีมูลค่าราคาใด อีกอย่างข้าก็บอกให้นางไปรีดไถพวกลูกสมุนของตัวเองมาด้วย อยู่กับพี่ชายคนดีนานวันเข้า ข้าเองก็ควรเรียนรู้วิธีการหาเงินมาจากพี่ชายคนดีบ้าง”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “ไป พวกเราสองพี่น้องไปแบ่งสมบัติที่ศาลกัน อยู่ที่นี่ไม่ค่อยได้บรรยากาศสักเท่าไร”
เฉินผิงอันไม่มีความเห็นต่าง
คนทั้งสองเดินเข้าศาลมาแล้วก็นั่งตรงข้ามกันบนขั้นบันไดนอกตำหนักหลัก บัณฑิตโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง วัตถุน้อยใหญ่ก็ร่วงพรูลงมา มากมายละลานตา กองทับถมกันเป็นภูเขา
บัณฑิตพูดขอความดีความชอบ “รู้ว่าพี่ชายคนดีคือวีรบุรุษที่ต่อให้ห่านบินผ่านก็ยังไม่ลืมจะจับมาถอนขน (เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสในการช่วงชิงผลประโยชน์ใดๆ หลุดไปจากมือ) ข้าก็เลยไม่แยกแยะว่าเป็นของดีเลว ขอแค่พอจะมีราคาอยู่บ้างก็ล้วนเอากลับมาด้วยทั้งหมด ในนั้นมีสมบัติอาคมหนึ่งชิ้น วัตถุวิเศษสิบสองชิ้น ส่วนเงินเทพเซียน ข้าไม่ได้โกหกจริงๆ ล้วนอยู่ที่โพรงของตะพาบเฒ่าทั้งหมด ตะพาบน้อยที่ได้เป็นเจ้าแม่เทพวารีอย่างสมเหตุสมผลผู้นี้ยากจนจนทำให้คนโมโหขนตั้งชัน ทั้งหมดที่ข้ารวบรวมมาได้ก็มีแค่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งหมื่นแปดพันเหรียญเท่านั้น พี่ชายคนดี ข้าตั้งใจมากแล้วจริงๆ เจ้าไม่รู้อะไร อีกนิดเดียวข้าก็เกือบจะรื้อถอนฉากกั้นคู่ใหญ่นั้นออกมาด้วยแล้ว ทำเอาสตรีผู้นั้นจ้องมองจนตาแทบถลน”
บัณฑิตชี้ไปยังปิ่นปักผมหยกมรกตที่ส่องแสงแวววาวชิ้นหนึ่ง “นี่ก็คือสมบัติอาคมเพียงหนึ่งเดียวที่มี เมื่อผู้ฝึกตนปักไว้บนมวยผม จะทั้งสามารถหลบเลี่ยงน้ำ แล้วก็สามารถป้องกันความหนาว แต่ค่อนข้างจะฉูดฉาดไปสักหน่อย ระดับขั้นของมันในกลุ่มของสมบัติอาคมไม่สูงนัก แต่หากฝึกวิชาน้ำ วัตถุชิ้นนี้ก็พอจะถือว่าไม่เลว วัตถุวิเศษชิ้นอื่นๆ ข้าคงไม่ไล่แนะนำไปทีละอย่างแล้ว ราคาของพวกมันไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรหากแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้กันคนละหกชิ้นพอดี พี่ชายคนดีเจ้าเลือกก่อนก็แล้วกัน ส่วนปิ่นชิ้นนี้ กับเงินเกล็ดหิมะกองนั้นที่ข้าไม่ได้เอาออกมา ก็ให้พี่ชายคนดีเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนอีกเหมือนกัน ส่วนของกระจุกกระจิกอย่างอื่นที่เหลือก็ล้วนยกให้พี่ชายคนดี”
เฉินผิงอันม้วนชายแขนเสื้อกวาดเอาวัตถุกองใหญ่ที่ไม่มีค่าที่สุดในสายตาของบัณฑิตเก็บไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อทั้งหมดก่อน
จากนั้นก็โน้มตัวมาด้านหน้า เลือกวัตถุวิเศษสิบสองชิ้นอย่างพิถีพิถัน
สุดท้ายเลือกออกมาหกชิ้นแล้วเก็บไป
เฉินผิงอันกล่าว “ปิ่นเป็นของเจ้า ข้าต้องการเงินเกล็ดหิมะ”
ดูเหมือนบัณฑิตจะกังขาเล็กน้อย แต่ก็ยังยกชายแขนเสื้อขึ้น เงินเกล็ดหิมะก็ร่วงหล่นลงบนพื้นราวกับสายฝน
ส่วนเฉินผิงอันก็โบกชายแขนเสื้อเก็บเอาเงินเกล็ดหิมะทั้งหมดไปราวกับมังกรสูบน้ำ
หลังจากบัณฑิตเก็บปิ่นหยกสีเขียวมรกตชิ้นนั้นไปแล้วก็เอามือทั้งสองข้างวางไว้บนหัวเข่า “หลังจากนี้จะเอายังไงต่อ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พี่มู่เม่า ข้าปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความจริงใจ แต่เจ้ากลับใช้ปิ่นที่ผ่านการเล่นตุกติกมาแล้วมาหยั่งเชิงข้า เจ้าว่าควรจะเอายังไงดีล่ะ?”
บัณฑิตพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ในเมื่อจะใส่ความ ไยต้องกลัวที่จะหาข้ออ้าง พี่ชายคนดี แบบนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง? เจ้าและข้าต่างก็เป็นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงอันดับหนึ่ง อย่าได้เลียนแบบพวกผู้ฝึกตนอิสระที่พอแบ่งทรัพย์สินกันได้ไม่เท่าเทียมก็แตกหักกลายเป็นศัตรูกันเลย”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเอาปิ่นวางไว้บนพื้น ข้าจะใช้กระบี่ฟันหนึ่งที แค่ลองก็จะรู้เอง”
บัณฑิตถาม “หากพี่ชายคนดีใส่ร้ายข้า แล้วยังจะทำลายปิ่นปักผมของข้า ไม่ใช่ว่าข้าจะต้องเสียใจ อีกทั้งยังต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองอย่างนั้นหรือ? แล้วควรจะทำอย่างไรกันดี?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “หากข้าเข้าใจเจ้าผิด ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะมอบวัตถุวิเศษหกชิ้นเป็นของชดใช้”
สีหน้าของบัณฑิตเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเอาแน่เอานอนไม่ได้
เฉินผิงอันใช้นิ้วข้างหนึ่งเคาะไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ
บัณฑิตจ้องมองเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็เอาปิ่นวางไว้บนพื้นระหว่างคนทั้งสองเบาๆ
เฉินผิงอันหยุดนิ้วที่เคาะลง
กระบี่บินชูอีพลันพุ่งพรวดออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
บัณฑิตเอ่ยขึ้นกะทันหันว่า “รอเดี๋ยว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาอย่างไร? จะเก็บปิ่นหยกไว้ หรือจะมอบวัตถุวิเศษหกชิ้นนั้นมาให้ข้า?”
บัณฑิตหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างมีความสุข สองนิ้วคีบตราประทับทองแดงชิ้นนั้นออกมาแล้วขว้างใส่ปิ่นหยกอย่างแรง ปิ่นหยกพลันหักออกเป็นสองท่อน
ปราณวิญญาณที่เข้มข้นระลอกหนึ่งแผ่กระจายไปทั่วทิศ
จากนั้นประกายแสงของปิ่นหยกก็ค่อยๆ หม่นหมองลง
ไม่เหลือความลี้ลับใดๆ อีก
แรงของปราณวิญญาณที่แผ่กระเพื่อมพัดให้เส้นผมและเสื้อผ้าของคนทั้งสองปลิวสะบัดไม่หยุด
—–