กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 498.2 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน
เฉินผิงอันพลันหัวเราะ เรียกได้ว่าหน้าบานเป็นกระด้ง พูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ของผุพังเช่นนี้ยิ่งมากก็ยิ่งดีจริงๆ!”
จากนั้นเฉินผิงอันก็สะบัดชายแขนเสื้อ “อีกอย่างพวกเจ้าก็ไม่ได้ผุพังสักหน่อย ล้วนเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ทั้งนั้น”
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในชายแขนเสื้อใหญ่ของชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาที่ถอดมาจากตัวของหยางหนิงซิ่งยังซ่อนยันต์อีกสามแผ่นที่แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องแพงมากเอาไว้
เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากกิ่งไม้สูง ฝีเท้าว่องไวไปตามอารมณ์อันเบิกบาน เขาเลียนแบบชุยตงซานที่เดินจนชายแขนเสื้อโบกสะบัด และยังเลียนแบบฝีเท้าของเผยเฉียน มองดูแล้วเหมือนทั้งรูปลักษณ์และจากแก่นแท้ของภายใน
เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองหลงระเริงตนไปจริงๆ
แต่แล้วจะอย่างไรเล่า ก็ตอนนี้ข้าอารมณ์ดีนี่นา
เฉินผิงอันหิ้วกาเหล้าใบนั้นมา หลังจากดื่มหมดแล้ว แม้แต่กาเหล้าก็ยังตัดใจทิ้งไม่ลง เขาเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อ รู้สึกเสียดายเล็กน้อยเพราะตลอดทางมานี้กลับไม่เจอพวกภูตผีปีศาจอะไรเลย สภาพการณ์ไม่ต่างจากตอนอยู่บนภูเขาถงกวานสักเท่าไหร่ ทว่าตอนที่เขากำลังจะออกไปจากภูเขา จู่ๆ กลับสังเกตเห็นว่าตรงตีนเขาแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกลมีคนสองกลุ่มกำลังทะเลาะวิวาทกัน ทั้งสองฝ่ายหันอาวุธเข้าหากัน กำลังคุมเชิงกันอยู่
เฉินผิงอันแฝงตัวเข้าไปใกล้อย่างว่องไว เก็บลมปราณทั้งหมดแล้วเลือกจะไปซ่อนตัวอยู่ในมุมที่ลับตา
บนรถลากคันมหึมาที่ประกอบขึ้นอย่างหยาบๆ แม้จะบอกว่าเป็นรถลาก แต่รอบด้านกลับไม่มีวัตถุใดปกปิด จึงมองดูเหมือนแพไม้ไผ่ที่วางที่นั่งเอาไว้มากกว่า ด้านบนมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำกล้ามเป็นมัดนั่งกางขาอยู่ ร่างของเขาสูงสองจั้ง หมัดใหญ่ราวกับบาตร มือข้างหนึ่งกำลังถือถ้วยเหล้าขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นให้พอดีกับตัวของเขา กำลังแหงนหน้าดื่มเหล้า สุราไหลหกเลอะเทอะ ขนหน้าอกที่รกหนาเหมือนต้นไม้ในผืนป่าจึงเหมือนเจอกับฝนเทกระหน่ำ ข้างเท้าของชายฉกรรจ์วางกาเหล้าที่ว่างเปล่าไว้สองกา ด้านข้างคือสตรีที่เป็นภูตมีสองหูตั้งแหลมนั่งขดตัวอยู่ สองมือของนางถือถ้วยใหญ่ที่บรรจุเหล้าไว้จนเต็ม คอยแอบเหลือบมองไปยังใครบางคนใน ‘ทัพของศัตรู’ อยู่เป็นระยะ สายตาเยิ้มหวานดึงดูดใจคน
รถลากคันนั้นถูกภูตน้อยที่เป็นลูกสมุนแปดตนแบกไว้บนไหล่
บริเวณใกล้กับตัวรถมีภูตสวมเกราะเหล็กอีกสิบกว่าตนที่ถือทวนถือดาบไว้ในมือ ท่าทางโอหังอย่างถึงที่สุด
ฝ่ายที่ภูตในภูเขากลุ่มนี้คุมเชิงอยู่ด้วยคือผีร่างสูงใหญ่หลายสิบตนที่สวมชุดเหมือนทหารกล้า พกดาบสะพายธนู ประหนึ่งพลทหารบนสนามรบในโลกมนุษย์
ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือผีแม่ทัพที่สวมเสื้อเกราะสีเงิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ข้างกายมีบุรุษคนเป็นที่เตี้ยกว่าเขาหนึ่งช่วงศีรษะยืนอยู่ แม้จะอยู่ท่ามกลางกลุ่มของภูตผีและปีศาจ เขาก็ยังคงมีสีหน้าทระนง ไร้ซึ่งความเกรงกลัว เขาสวมชุดขุนนางบุ๋นสีแดงสดที่ตรงหน้าอกปักภาพไก่ฟ้าหลังขาว ด้านในสวมชุดตัวในผ้าบางสีขาว สวมถุงเท้าขาวรองเท้าดำ ตรงเอวรัดเข็มขัดหยก ‘ขุนนาง’ ที่น่าจะอายุไม่มากผู้นี้กำลังชี้นิ้วด่าไปทางรถลากคันนั้น
ชายฉกรรจ์ที่ร่างกำยำใหญ่โตเหมือนภูเขาลูกย่อมได้ยินเสียงพร่ำด่าของคนผู้นั้นก็ยกเท้าเตะสตรีข้างกายเบาๆ ไปหนึ่งที ถามเสียงเบาว่า “ไอ้หมอนี่มันพูดว่าอะไร?”
สตรีหน้าตางดงามยิ้มเอ่ย “กำลังด่าว่านายท่านไม่ใช่คนเจ้าค่ะ”
ชายฉกรรจ์อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย “แล้วข้าผู้อาวุโสเป็นคนตั้งแต่เมื่อไหร่? พวกเรากับเจ้าพวกโครงกระดูกแห่งนครถงโช่วพวกนี้ มีใครที่เป็นคนบ้าง? ไม่ใช่เจ้าบัณฑิตหน้าขาวอย่างเขาหรอกหรือที่เป็นคน?”
สตรีก้มหน้าปิดปากหัวเราะคิกๆ เมื่อชายฉกรรจ์โยนถ้วยเหล้าในมือทิ้ง นางก็รีบชูถ้วยเหล้าในมือตัวเองขึ้นมา พออีกฝ่ายรับไปแล้ว สตรีก็ทุบขาให้เขาพลางยิ้มเอ่ย “นายท่าน บัณฑิตนครถงโช่วผู้นั้นก็พูดจาไปเรื่อยเปื่อยหาแก่นสารไม่ได้ ท่านฟังไม่เข้าใจนั่นแหละดีแล้ว หากฟังเข้าใจ หรือจะยังต้องไปเป็นขุนนางในนครถงโช่วด้วย?”
ชายฉกรรจ์แสยะยิ้ม “ข้าก็อยากจะลองเป็นขุนนางน้อยของอัครมหาเสนาผู้อำนวยการหญิงอะไรนั่นดูเหมือนกัน ตอนกลางวันพูดเรื่องคร่ำครึในตำรากับนาง ตอนกลางคืนก็เปิดศึกกันให้เต็มคราบ ฟังนางส่งเสียงร้องอิ๊อ๊ะเหมือนครวญเพลง แค่คิดก็ซ่านสยิวแล้ว”
แม่ทัพผีตนนั้นได้ยินอย่างชัดเจน เขาเอามือกดด้ามดาบ ตวาดเดือดดาลด้วยสีหน้ามืดทะมึน “ใต้เท้าอัครเสนาบดีของข้าเป็นดั่งเทพธิดา สัตว์เดรัจฉานที่ขนยังหลุดไม่เกลี้ยงอย่างเจ้าบังอาจใช้คำพูดดูแคลนนางได้หรือ?!”
ชายฉกรรจ์ไม่สนใจ ดื่มเหล้าไปครึ่งถ้วย ที่เหลือล้วนหกหมด จากนั้นก็ขว้างถ้วยไปนอกรถ ยกมือเช็ดปาก โน้มตัวมาด้านหน้า ด้านหนึ่งก็ยื่นมือไปแคะฟันตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ากับต้าถงจื่อลูกน้องของเซียนใหญ่จัวเยาคือพี่น้องที่ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองร่วมสาบานกัน และยิ่งเป็นหนึ่งในลูกบุญธรรมของอริยะใหญ่ปานซาน กินคนตัดต้นไม้ในถิ่นของเจ้านครถังพวกเจ้าไปแค่ไม่กี่คน เป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน”
บุรุษที่เป็นขุนนางบุ๋นผู้นั้นตวาดเสียงดัง “เจ้าหมาแก่ เจ้าเลิกแกล้งโง่เสียทีเถอะ พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อต้องการตัวท่านจิ้นซื่อคนใหม่! คนผู้นี้คือบัณฑิตที่ใต้เท้าอัครเสนาบดีให้ความสำคัญมากที่สุด เจ้าจงรีบมอบตัวเขาออกมา ไม่อย่างนั้นนครถงโช่วของพวกเราจะยกทัพประชิดชายแดน ไม่คิดถึงความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านอะไรอีก! จงประเมินความหนักเบาของเรื่องนี้ดูให้ดี ดูสิว่าสุนัขอย่างเจ้าจะดวงแข็ง หรือดาบและทวนของกองทัพใหญ่นครถงโช่วของพวกเราที่แหลมคมกว่ากันแน่!”
เฉินผิงอันพอจะมองออกว่าด้านหลังของชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่บนรถลากมีร่างเดิมเป็นลักษะของสุนัขตะลุยภูเขาตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่
เพียงแต่ว่าใบหน้าพร่าเลือนอย่างยิ่ง อีกทั้งบางครั้งก็ลอยขึ้นมา บางครั้งก็วาบหายไป
ต้าถงจื่อลูกน้องของเซียนใหญ่จัวเยา? คงไม่ใช่ภูตหนูหน้าประตูจวนหยางฉางที่แอบซ่อนมีดปลายแหลมเอาไว้ แล้วถูกตนดีดตายด้วยนิ้วเดียวหรอกกระมัง?
เฉินผิงอันมองรถลากคันนั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการถูกเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับรถลากสมบัติหนักของฟ่านอวิ๋นหลัวแห่งนครฟูนี่แล้ว รถลากคันนี้ก็ดูโกโรโกโสไปหน่อยจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้ไปสาบานเป็นพี่น้องกับภูตหนูของตำหนักหยางฉางได้
บัณฑิตที่เป็นจิ้นซื่อคนใหม่ซึ่งทางนครถงโช่วขึ้นเขามาขอตัวคืนคนนี้ก็ต้องเป็นหยางหนิงซิ่งที่ถูก ‘วิญญูชน’ ถือพัดจับตัวไปขอความดีความชอบจากที่ภูเขาโปลั่วแน่นอน
ความสนใจของเฉินผิงอันส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่ตัวของบุรุษผู้เป็นขุนนางบุ๋น
มองออกว่าครั้งนี้เขาออกมาจากนครถงโช่วก็เพราะมีหน้าที่ติดตัว แต่ดูจากสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์คนอื่นที่เขาหลุดเผยออกมาเล็กน้อยนั่นแล้ว ส่วนลึกในใจคงจะหวังให้เพื่อนร่วมงานที่อาจจะมาแย่งชิงความโปรดปรานไปจากตนผู้นั้นถูกสุนัขตะลุยภูเขากินลงท้องและกลายไปเป็นปุ๋ยบนภูเขาลูกนี้แล้วจึงจะดี
ด่าคนไม่ด่าข้อด้อยของเขา ชายฉกรรจ์ที่ถูกแฉตัวตนที่แท้จริงพลันเดือดดาลอย่างหนัก เริ่มเปิดปากด่าบุรุษที่เป็นขุนนางของนครถงโช่วว่าเป็นคนชีวิตสั้นตายไว จะไม่ได้เสพสุขจนน้ำลายกระเด็นแตกฟอง
ทั้งสองฝ่ายปะทะฝีปากกันอยู่นาน
เฉินผิงอันไม่เห็นว่าใครจะชักดาบลงมือก่อนเสียที
สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าต่างคนต่างกลับบ้านใครบ้านมันซะอย่างนั้น
เฉินผิงอันรู้สึกนับถือพวกเขาจริงๆ
ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้งแล้วกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ ติดตามกลุ่มผีของนครถงโช่วไปไกลๆ
บนรถลาก ชายฉกรรจ์นั่งนิ่งไม่ขยับ คล้ายกับว่าต้านฤทธิ์สุราไม่ไหวจึงต้องงีบหลับพักผ่อน
รอจนมาถึงถ้ำสถิต รถลากค่อยๆ ลดระดับลงแตะพื้น สตรีหน้าตางดงามผู้นั้นก็พลันกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา
ที่แท้นายท่านของตัวเองที่เก่งกล้าไร้ผู้ใดทัดเทียมก็ตายไปอย่างเฉียบพลันโดยที่ไม่รู้สาเหตุ ชายฉกรรจ์ภูตสุนัขตะลุยภูเขาแห่งภูเขาถงกวานที่สามารถกลายร่างเป็นคนได้ตนนี้ มีเพียงตรงหว่างคิ้วเท่านั้นที่มีเลือดสดเม็ดหนึ่งผุดออกมา
หลังจากขยับเข้ามาใกล้นครถงโช่ว เฉินผิงอันก็หยิบแผ่นป้ายของสำนักพีหมามาห้อยไว้ตรงเอว
ทั้งยังสะพายห่อสัมภาระใบใหญ่ ด้านในบรรจุขวดไหที่ได้มาจากห้องลับของเผ่าพันธ์ตำหนักจันทราบนภูเขาโปลั่วและของจวนน้ำลำคลองเฮยเหอเอาไว้
ส่วนข้อที่ว่าการแลกเปลี่ยนสิ่งของเหล่านี้จะทำให้เผยพิรุธหรือไม่ เฉินผิงอันย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว เขานึกอยากจะให้กลุ่มปีศาจสืบสาวเบาะแสมาตามล่าแก้แค้นด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าเซียนใหญ่จัวเยาตนนั้นแม้แต่ตำหนักหยางฉางที่เป็นบ้านของตัวเองยังไม่กล้าอยู่นาน ไหนเลยจะกล้าพาตัวมาตายที่นครถงโช่วแห่งนี้
ก่อนหน้านี้ดูเหมือนชูอีที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จะไม่ค่อยเต็มใจเผยตัวออกมาสังหารปีศาจสักเท่าไหร่
จึงเป็นกระบี่บินสืออู่ที่สังหารภูตตนนั้น
เฉินผิงอันจับประคองงอบ จากนั้นก็สวมหน้ากากของคนแก่
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ศาลเทพวารีบนลำคลองเฮยเหอ บัณฑิตบอกว่าอยากจะขอเก็บหน้ากากเด็กหนุ่มผืนนั้นเอาไว้เป็นของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ
แต่เฉินผิงอันไม่ตกลง
บัณฑิตยอมถอยหนึ่งก้าว บอกว่าเขายินดีจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อมา
เฉินผิงอันบอกว่าหากจะซื้อก็ย่อมได้ ราคาคือสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช ในเมื่อทั้งสองฝ่ายคือพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา พูดเรื่องเงินจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถลดราคาให้ได้สิบเอ็ดส่วน (การลดราคาของจีนจะตรงข้ามกับการลดราคาแบบเปอร์เซ็นต์ที่คนไทยคุ้นเคย ยิ่งตัวเลขมากจะยิ่งลดน้อย เช่นลดเก้าส่วนเท่ากับลดสิบเปอร์เซ็นต์ ลดสิบส่วนคือไม่ได้ลด ส่วนลดสิบเอ็ดส่วนก็หมายความว่าไม่ได้ลดแถมยังอาจต้องจ่ายเพิ่มด้วย)
บัณฑิตถึงได้ยอมมอบหน้ากากผืนนั้นกลับคืนมาให้อย่างอาลัยอาวรณ์
ถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าพี่น้องที่ดีที่มีคุณธรรมน้ำใจอย่างพี่ชายคนดีนี้หาได้ยากบนโลกใบนี้จริงๆ
นครถงโช่วคือหนึ่งในนครมากมายทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายที่ขนาดถือว่าไม่เล็ก กำแพงเมืองสูงใหญ่ ประตูเมืองมีสามจุด เพราะทางทิศเหนือของนครมีพื้นที่แถบใหญ่ที่ถูกบุกเบิกให้เป็นลักษณะคล้ายวังหลวงของจักรพรรดิในโลกมนุษย์มีพวกเสนาบดี ขุนนางบุ๋นบู๊กลุ่มใหญ่ที่เจ้านครแต่งตั้งให้อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ในเมืองมีตลาดน้อยใหญ่อยู่สิบกว่าแห่ง การค้าเจริญรุ่งเรือง ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมีบันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ของสำนักพีหมา ด้านในนั้นก็มีเขียนไว้ว่าผู้ที่ห้อยป้ายหยกของสำนักพีหมา หากเข้ามาในนครถงโช่ว ไม่เพียงแต่เข้าออกได้อย่างไร้พันธนาการ การค้าขายแลกเปลี่ยนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองก็ยังจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มมาด้วย
นี่จึงแสดงให้เห็นว่าเจ้านครถงโช่วที่ปักหลักอยู่ใกล้กับเมืองชิงหลู แต่กลับสามารถทำให้กิจการรุ่งเรืองใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ เป็นผีที่…เข้าใจเป็นคน
หลังจากที่ผีสวมเกราะพกดาบที่เฝ้าประตูมองเห็นแผ่นหยกตรงเอวของเฉินผิงอัน อย่าว่าแต่ทักทายปราศรัยหลังจากเก็บเงินเลย ยังเปลี่ยนมามีสีหน้านอบน้อม แต่ละตนค้อมเอวก้มหัว คลี่ยิ้มต้อนรับ ไม่เพียงเท่านี้ยังพร้อมใจกันอวยพรด้วยประโยคว่า ‘ขอให้เซียนซือมีเงินทองไหลมาเทมา’ อีกด้วย ทำเอาเฉินผิงอันรับมือไม่ทัน หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยก็ไม่ได้รีบก้าวเร็วๆ จากไป แต่วางท่าของนายท่านใหญ่จากต่างถิ่นที่มาท่องเที่ยวในเมืองชิงหลูดีดเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญให้กับแม่ทัพผีผู้บัญชาการตนหนึ่งที่รับผิดชอบเฝ้าประตูเมือง ฝ่ายหลังรีบใช้สองมือรับเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นเอาไว้ ใช้ปากกัดเบาๆ แล้วก็พลันยิ้มกว้างจนหุบปากแทบไม่ลง
ในนครถงโช่วมีพื้นที่สามแถบใหญ่ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหุบเขาผีร้าย หนึ่งคือตรอกบุตรสาว มีหอโคมเขียวที่กลิ่นเครื่องประทินโฉมลอยฟุ้งตลบอบอวลตั้งอยู่มากมาย เพราะถึงอย่างไรสตรีที่เป็นมนุษย์ของนครถงโช่วก็มีรูปโฉมงดงาม นอกจากกิจการเนื้อหนังแล้ว ตรอกบุตรสาวยังขายประชากร จะคัดเลือกเด็กหญิงที่หน้าตางดงามส่วนหนึ่งมา แล้วตั้งราคาไว้อย่างชัดเจน ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่มีเซียนซือต่างถิ่นที่ถูกใจในฐานกระดูกของเด็กหญิงนครถงโช่วแล้วพาออกไปจากหุบเขาผีร้าย เล่าลือกันว่าเด็กหญิงคนหนึ่งในนั้นยังเป็นหยกงามในการฝึกตนที่อักษรแปดตัวคือธาตุหยินบริสุทธิ์อีกด้วย และนางก็ได้จับมือกับผู้มีพระคุณที่ช่วยนางจากหายนะเลื่อนขั้นไปอยู่ในอันดับเซียนดินด้วยกัน จวนตระกูลเซียนบนภูเขาลงจากภูเขามาคัดเลือกลูกศิษย์จะทดสอบพรสวรรค์ของคนผู้นั้น ส่วนใหญ่แต่ละคนจะมีข้อดีและก็ข้อเสียแตกต่างกันไป ยากนักที่จะมองใครได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องของโชควาสนาฐานกระดูกนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ร้อยพัน เป็นลูกอมน้ำผึ้งของข้าแต่เป็นสารหนูของคนอื่น เป็นหยกงามของข้าแต่เป็นหินภูเขาของคนอื่น สถานการณ์เช่นนี้มีมากมายจนนับไม่ถ้วน
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง ครั้งนั้นที่ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนเดินทางขึ้นเหนือ เขาได้ผ่านร้านแลกเงินทองในตลาดของอำเภอแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ มีเด็กหนุ่มที่เป็นลูกจ้างร้านสองคนที่ตอนนั้นไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางโชค เพราะว่ามีเทพเซียนผู้เฒ่าสองคนที่อำพรางตัวตนมาเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์กำลังจับตามองพวกเขาอยู่ ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งในนั้นที่ตบะลึกล้ำยิ่งกว่าเลือกเด็กหนุ่มที่มองดูเหมือนซื่อจนไร้ไหวพริบให้เป็นผู้ที่เขาจะถ่ายทอดมรรคาให้ ส่วนผู้ฝึกตนที่ขอบเขตต่ำกว่ากลับเลือกลูกจ้างเด็กหนุ่มที่ฉลาดเฉลียวคล่องแคล่วเป็นลูกศิษย์
และยังมีตรอกม้าวิ่งที่ส่วนใหญ่จะเป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน พวกแร่ธาตุหินหยก ดอกไม้วิเศษพืชหญ้าประหลาด กระดูกหยกขาวทั้งหลาย รวมไปถึงสิ่งของของราชวงศ์ชนิดต่างๆ ที่ได้มาโดยบังเอิญในหุบเขาผีร้าย ล้วนสามารถนำมาซื้อขายได้ที่นี่ ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะถึงอย่างไรการฝึกตนของผีก็มีข้อที่ต้องพิถีพิถันมากมาย บนเส้นทางของการฝึกตน ทุกครั้งที่ขอบเขตขยับขึ้นสูงก็จะหมายความว่าสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกได้นานยิ่งขึ้น
สุดท้ายคือตรอกผงทอง เป็นสถานที่ที่เอาไว้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสมบัติอาคมที่อัครเสนาบดีผู้อำนวยการท่านนั้นเก็บสะสมเอาไว้ แน่นอนว่าเซียนซือต่างถิ่นที่มาท่องเที่ยวก็สามารถเอาสมบัติของตัวเองออกมาขายให้แก่น้องสาวของเจ้านครผู้นั้นได้เช่นกัน
นี่ก็คือเป้าหมายที่เฉินผิงอันเดินทางมาเยือนนครถงโช่วครั้งนี้ เขาต้องการมาเปิดร้านผ้าห่อบุญที่นี่ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องหัดฝึกปรือฝีมือ เรียนรู้ที่จะทำตัวหน้าด้านสักหน่อยจึงจะได้
ตลอดทางมีพวกผีเดินอยู่บนถนนกลางวันแสกๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา ชายหญิงเด็กหรือคนชราที่เป็นคนมีชีวิตก็ไม่หวาดกลัว ต่างคนต่างเดินจับจ่ายซื้อของ ทำธุระหาความสุขของตัวเองกันไป
น่าจะเป็นเพราะฟ้าดินขนาดเล็กอย่างหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ได้ทำการหล่อหลอมแสงของตะวันจันทราในใต้หล้าไพศาลไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่ไม่ทำร้ายพวกผีเลย
ตรอกผงทองไม่ใหญ่ นอกจากร้านค้าที่เรียงรายอยู่หนึ่งถนนแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกบัณฑิตที่ยังไม่ทันได้สอบติดก็มีชื่อเสียงระบือไกลมาเช่าพักอาศัย
ความคิดของสตรีที่เป็นอัครเสนาบดีผู้อำนวยการท่านนั้นช่างบรรเจิดโลดแล่นไปไกลเสียจริง
เฉินผิงอันมายังร้านค้าร้านแรกที่อยู่ตรงหัวมุม เถ้าแก่คือผีสาวอายุน้อยที่แต่งกายหรูหรางดงาม และยังมีผีน้อยที่เป็นเด็กชายเด็กหญิงใบหน้าซีดขาวราวหิมะอีกสองตน
เห็นเฉินผิงอันที่ห้อยป้ายหยกต้องห้ามของสำนักพีหมา เจ้าตัวน้อยทั้งสองก็มีท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย
หายนะส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ของนครถงโช่วก็มักจะมาจากพวกเทพเซียนต่างถิ่นเหล่านี้เสมอ ยามที่พวกเขาเปิดฉากสังหารใหญ่อยู่ในนคร จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายกันไปนับไม่ถ้วน
ผีที่เป็นเด็กสาวกลับมีสีหน้าเป็นปกติ นางถามอย่างมีมารยาทว่า “เทพเซียนผู้เฒ่า จะซื้อของหรือว่าขายของ? ในเมื่อร้านของข้าสามารถเปิดที่หัวถนนได้ แน่นอนว่าสิ่งของต้องไม่แย่ และยิ่งไม่ใช่ของปลอม”
เฉินผิงอันเปลี่ยนน้ำเสียงใหม่ เขายิ้มพลางเอ่ยเสียงแหบพร่าว่า “หากข้าเดินมาจากทางนั้น ร้านของเจ้าก็จะไม่อยู่ปลายถนนหรอกหรือ?”
เด็กสาวคลี่ยิ้มหวานอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ ถึงอย่างไรกิจการร้านค้าของที่นี่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ขึ้นอยู่กับลูกค้า อยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากซื้อก็ไม่เป็นไร
เจ้าตัวน้อยทั้งสองที่เดิมทีมีท่าทางหวาดกลัวหันมายิ้มให้กัน ที่แท้เทพเซียนผู้เฒ่าที่สวมงอบคนนี้ก็พูดล้อเล่นเป็นด้วย
เฉินผิงอันมองของสะสมโบราณทั้งหลายที่วางไว้บนชั้นเก็บสมบัติมากมายในร้าน ส่วนที่มีปราณวิญญาณไหลรินนั้นมีน้อยมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของตกทอดจากอดีตราชวงศ์ที่ขุดเจอจากสนามรบโบราณบนชายหาดโครงกระดูก ไม่ต่างจากเสื้อเกราะและอาวุธในสันเขาอีกาสักเท่าไหร่ เว้นแต่ฝ่ายหนึ่งเก็บรักษาไว้อย่างเหมาะสมจึงส่องแสงแวววาวเหมือนใหม่ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งตกหล่นอยู่ตามป่าเขาจึงมีสนิมเกาะเขรอะ อีกทั้งของมีค่าบนภูเขาที่กักเก็บปราณวิญญาณเอาไว้ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถถูกเรียกว่าของวิเศษได้เสมอไป ต้องเป็นวัตถุที่ผู้ฝึกตนตั้งใจหล่อหลอมขึ้นมา สามารถย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงผู้ฝึกลมปราณ บำรุงช่องโพรงลมปราณให้อบอุ่นได้ นั่นถึงจะพอถือว่าเข้าขั้นเป็นระดับของวัตถุวิเศษ นอกจากนั้นก็จำเป็นต้องสามารถดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสามารถหลอมปราณวิญญาณให้บริสุทธิ์ได้ นี่ก็คือความยากอีกอย่างหนึ่ง ต่อให้เป็นสิ่งของมากมายที่ถูกเก็บรักษาอย่างเป็นความลับอยู่ในวังหลวงซึ่งถูกขนานนามว่า ‘ฟ้าดินประทานรูปร่าง วัตถุมีวิญญาณ’ ที่แม้จะมีมูลค่าควรเมืองในสายตาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่กลับไม่อาจเข้าตาของยอดฝีมือบนภูเขาได้ ถูกมองว่าเป็นรองเท้าขาดๆ (คำพูดที่แสดงถึงการดูถูกอย่างถึงที่สุด) ก็ด้วยสาเหตุนี้
—–