กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 498.3 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน
แต่ว่าสมบัติพิทักษ์ร้านชิ้นนั้นถือว่าเป็นวัตถุวิเศษสมชื่ออย่างแท้จริง คือลูกธนูเหล็กมีน้ำหนักที่ไร้ขนนกลูกหนึ่ง คิดดูแล้วตอนที่เจ้าของวัตถุชิ้นนี้ยังมีชีวิตอยู่จะต้องมีพละกำลังแขนที่น่าตะลึงมากเป็นแน่ เขาน่าจะเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญคนหนึ่งบนสนามรบ บนปลายของลูกธนูมีคราบเลือดเกาะกระดำกระด่าง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เลือนหายไปไหน และได้แทรกซึมเข้าไปในลูกธนูแล้ว
ผีสาวที่เป็นเถ้าแก่ร้านเห็นว่าคนผู้นี้ก้มหน้าจ้องมองลูกธนูก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เซียนซือผู้เฒ่าสายตาดีจริงๆ วัตถุชิ้นนี้มีชื่อว่า ‘ศรแหวกภูผา’ เคยเป็นสิ่งของของแม่ทัพใหญ่หมื่นศัตรูบนสนามรบของแคว้นหล่งซีท่านหนึ่ง ท่านผู้นั้นมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหาร วัตถุแห่งชะตาชีวิตคือธนูแหวกภูผาคันหนึ่ง บวกกับศรแหวกภูผาอีกสิบสองดอก เมื่อธนูลูกหนึ่งยิงออกไปสามารถระเบิดยอดเขาให้เป็นจุล พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามเป็นอย่างยิ่ง และศรแหวกภูผาชิ้นนี้ก็ยิ่งเป็นของหายาก เพราะเลือดสดที่อาบย้อมอยู่บนปลายลูกธนูมาจากการยิงทะลุดวงตาแม่ทัพบู๊ของสำนักการทหารอีกคนหนึ่งที่เป็นฝ่ายศัตรู นี่จึงเป็นเหตุให้คราบเลือดสามารถดำรงอยู่ได้เป็นพันปีก็ไม่เลือนหาย ดังนั้นเจ้าประมุขตระกูลข้าจึงตั้งชื่อให้มันอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ศรทะลวงตา’ หากเป็นพวกผีในเมืองถงโช่วหรือภูตกลางภูเขาทั่วไปจ้องมองลูกธนูลูกนี้ก็จะรู้สึกว่าดวงตาแสบพร่า หากเซียนซือผู้เฒ่าซื้อไป ยามที่ขึ้นเขาลงห้วยแล้วพกลูกธนูนี้ติดตัวเดินทางไปด้วยก็จะช่วยปัดเป่าเสนียดสิ่งอัปมงคล ผีร้ายมิอาจกล้ำกราย”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “แล้วตอนนี้ธนูแหวกภูผาคันนั้นอยู่ไหน?”
ผีสาวเถ้าแก่เอ่ยอย่างเสียดาย “ท่ามกลางสงครามอันดุเดือดบนชายหาดโครงกระดูกครานั้น ถูกนายท่านดึงรั้งจนขาดผึงกลางสนามรบ ไม่เพียงสายเท่านั้นที่ขาด แม้แต่ตัวคันธนูก็ยังเป็นเช่นนี้ด้วย”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ช่างเป็นการเข่นฆ่าที่โหดเหี้ยมทารุณนัก”
ผีสาวยิ้มเอ่ย “หากไม่เป็นเช่นนี้ ผีที่ตายไปแล้วอย่างพวกเราจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้อย่างไร นี่ต้องขอบคุณเหล่านักสู้บนสนามรบที่ไม่เสียดายชีวิตเหล่านั้นถึงจะถูก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอข้าเดินดูอีกหน่อย”
ผีสาวเองก็ไม่บังคับ ปล่อยให้ผู้เฒ่าสวมงอบคนนั้นเดินออกไปจากร้าน
เฉินผิงอันเดินไปตามร้านรวงทั้งหลายที่อยู่บนถนนเส้นนี้จนครบ เขาค้นพบว่าสถานการณ์ของแต่ละร้านไม่ต่างกันสักเท่าไร นั่นคือแต่ละร้านจะต้องเก็บรักษาวัตถุวิเศษเอาไว้หนึ่งชิ้น ยกตัวอย่างเช่นร้านที่ตั้งอยู่สุดปลายตรอกนั้นมีผีผาเหล็กชิ้นหนึ่งวางอยู่ สภาพยังดีอยู่มาก
ส่วนของสะสมโบราณชิ้นอื่นๆ ล้วนไม่ค่อยเข้าขั้นสักเท่าใด ต่อให้เฉินผิงอันอยากจะซื้อมาในราคาต่ำแล้วค่อยนำไปขายต่อที่อื่นก็ยังเลือกไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว คิดดูแล้วของดีที่แท้จริงคงจะถูกสตรีที่เป็นอัครเสนาบดีผู้อำนวยการผู้นั้นเก็บไปไว้ใน ‘วังหลวง’ ทั้งหมดแล้วเป็นแน่
ในเรื่องของการเก็บตกของดีและแววตาการมองของ เฉินผิงอันเรียนรู้มาจากผีผู้เฒ่าแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนพร้อมกับหม่าตู่อี๋จนพอจะมีความรู้อย่างงูๆ ปลาๆ
แต่เมื่อได้เห็นของดีมามากแล้ว วัตถุชิ้นหนึ่งเป็นของดีหรือไม่ดี เฉินผิงอันก็ยังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ดีมากแค่ไหนกันแน่ ถึงอย่างไรเขาก็ยังขาดการฝึกปรือในด้านนี้
สุดท้ายเฉินผิงอันย้อนกลับไปยังร้านที่เดินเหยียบเข้าไปเป็นร้านแรก เด็กน้อยสองคนไม่ค่อยกลัวเขาเท่าไรแล้ว ตอนที่เขาเดินไป ทั้งสองกำลังนั่งอาบแดดอยู่บนธรณีประตูร้านด้วยซ้ำ เพียงแค่ขยับก้นเปิดทางให้เขาเท่านั้น
ผีสาวที่เป็นเถ้าแก่ยิ้มถาม “เซียนซือผู้เฒ่าได้ผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดฝันมาจากตรอกผงทองของพวกเราบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หาวัตถุที่ราคาเหมาะสมทั้งยังถูกใจไม่ได้เลย”
นางชำเลืองตามองห่อสัมภาระใบใหญ่บนหลังของเฉินผิงอัน แล้วถามว่า “เซียนซือผู้เฒ่าคิดจะตัดใจขายของรักของตัวเองหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มาลองเสี่ยงดวงดูสักหน่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเถ้าแก่จะถูกใจหรือไม่”
นางยิ้มกล่าว “ขอดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากเป็นของที่ถูกตาต้องใจจริงๆ ร้านของข้าก็ไม่กลัวที่จะต้องจ่ายเงิน”
เฉินผิงอันจึงปลดห่อสัมภาระลงมาวางบนโต๊ะคิดเงินเบาๆ แล้วค่อยๆ หยิบของออกมาวางไว้ด้านนอกทีละชิ้น
นี่เป็นเพียงแค่สิ่งของสามส่วนจากห้องส่วนตัวของปี้สู่เหนียงเนียงและจวนน้ำของฟู่ไห่หยวนจวินเท่านั้น
มากพอจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรื้อค้นของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ว่า คู่ควรกับคำว่าทุกที่ที่ผ่าน แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่เหลือ
แรกเริ่มผีสาวก็มีสีหน้าปั้นยาก
เพราะของหลายชิ้นก่อนหน้านั้นล้วนเป็นของใช้ในห้องหับของสตรี ไม่ว่าจะเป็นโถใส่ผงแป้ง กระจกแต่งหน้า ตลับเงินสลักลวดลาย เครื่องประดับผมของสตรีที่ใหญ่เท่ากำปั้น แต่กลับทำขึ้นอย่างประณีต อีกทั้งยังเป็นบุปผาหลายร้อยดอกรวมช่อห้อมล้อมดอกโบตั๋น…
เซียนซือผู้เฒ่าต่างถิ่นคนนี้นี่มันคนบ้าตัณหา แก่แล้วก็ยังหน้าไม่อายจริงๆ!
ดูเหมือนว่าเจ้าคนที่สวมงอบผู้นี้ก็จะรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร จึงไม่เอาแต่หยิบของออกมาวางข้างนอกท่าเดียวอีกต่อไป ในที่สุดก็เริ่มพลิกๆ ค้นๆ หยิบเอาของมีค่าที่พอจะปกติออกมา
สีหน้าที่อับอายจนพานเป็นโกรธของเถ้าแก่ผีสาวถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อเฉินผิงอันหยิบตะเกียบทองคู่หนึ่งออกมา สายตานางก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับตอนเห็นเครื่องประดับศีรษะที่สร้างขึ้นด้วยฝีมืออันเลิศล้ำแล้ว ยังดูมีท่าทางสนใจยิ่งกว่า
สุดท้ายเฉินผิงอันก็หยิบของออกมาแค่เพียงครึ่งหนึ่งของห่อสัมภาระ ทุกอย่างวางเรียงกันแน่นขนัดอยู่เต็มโต๊ะคิดเงิน เขาถามว่า “เถ้าแก่ถูกใจชิ้นไหนบ้างหรือไม่?”
เถ้าแก่ผีสาวกวาดตามองไปทั่วสิ่งของทั้งหลายอย่างคร่าวๆ รอบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็หยุดนิ่งอยู่บนขวดกระเบื้องบรรจุผงสีใบหนึ่ง ราวกับว่าสนใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่โดยภาพรวมแล้วกลับผิดหวังเสียมากกว่า
เฉินผิงอันทอดถอนใจ “ในเมื่อเจ้าและข้าต่างก็ไม่อาจเอาของที่ทำให้อีกฝ่ายถูกใจออกมาได้ การมาเยือนนครถงโช่วครั้งนี้คงต้องเสียเที่ยวแล้ว”
ผีสาวเห็นว่าผู้เฒ่าเริ่มเก็บข้าวของลงห่อสัมภาระถึงได้ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมากดลงบนขวดกระเบื้องบรรจุผงสีใบนั้นเบาๆ กล่าวว่า “เซียนซือผู้เฒ่า ไม่ทราบว่าขวดกระเบื้องใบเล็กนี้ราคาเท่าไร? ข้าเห็นว่ามันกะทัดรัดน่ารัก อยากจะซื้อเอาไว้”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองขวดกระเบื้องใบเล็กสีสันสดใสแล้วจงใจแสดงสีหน้าดูแคลนออกมาเสี้ยวหนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “มันน่ะหรือ ไม่มีราคาค่างวดที่สุดในบรรดาสมบัติเหล่านี้ของข้าแล้ว ยกให้เถ้าแก่ก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันแน่ใจว่ามันไม่มีราคาจริงๆ บางทีคุณหนูตระกูลใหญ่หรือสตรีแต่งงานแล้วชนชั้นสูงอาจจะชื่นชอบ แต่ก็ขายได้แค่ไม่กี่สิบหรือไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้น การที่เถ้าแก่ผีสาวถูกใจมันแค่ชิ้นเดียวก็เป็นแค่เพียงหนึ่งในวิธีการที่จะใช้กดราคาสิ่งของเป็นทอดๆ เท่านั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะทำการค้าไม่เป็นแค่ไหน แต่แววตาแค่นี้ เขาก็ยังพอมีอยู่บ้าง หากจะพูดถึงความเจ้าเล่ห์ว่ามีมากหรือน้อย กลอุบายว่าตื้นหรือลึก เถ้าแก่ผีสาวแห่งนครถงโช่วผู้นี้จะทัดเทียมกับบัณฑิตผู้นั้นได้จริงๆ หรือ?
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเริ่มยัดสิ่งของทั้งหลายที่อยู่บนโต๊ะคิดเงินกลับไปในห่อสัมภาระ ท่าทางบอกชัดว่าในเมื่อเถ้าแก่อย่างเจ้าตาบอด ข้าผู้อาวุโสก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะเดินจากไป
แล้วก็จริงดังคาด
สายตาของผีสาวปกปิดความร้อนรนเอาไว้ไม่อยู่ นางถามอีกว่า “เซียนซือผู้เฒ่า ร้านของข้าไม่มีค่าใช้จ่ายมานานแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน หากข้าเหมาของในห่อสัมภาระของเจ้าทั้งหมด ให้ราคาเก้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เป็นอย่างไร?!”
เฉินผิงอันเหล่ตามองผีสาวที่ทำหน้าเสียดายเงินเกล็ดหิมะแวบหนึ่ง ยื่นมือมาผลักขวดกระเบื้องหลากสีใบนั้นออกไปให้อีกฝ่าย แล้วก็ยังไม่หยุดมือที่เก็บข้าวของ ปากก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ไปด้วย “ข้าไม่ใช่ขอทานที่ขอข้าวคนอื่นกินเสียหน่อย ของชิ้นนี้ยกให้เจ้าเปล่าๆ ได้ แต่สมบัติที่แท้จริงชิ้นอื่นๆ หากข้าไปหาคนซื้อที่มีเงินอยู่ในกระเป๋าจริงๆ ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าในนครถงโช่วที่กว้างใหญ่นี้จะไม่มีคนที่ตามีแววเลยสักคนเดียว”
ดูเหมือนผีสาวจะอับอายจนพานเป็นโกรธ แล้วก็ไม่หยิบขวดกระเบื้องสีสันสดใสใบนั้นไป ทั้งไม่เอ่ยรั้งตาเฒ่าผู้นี้เอาไว้ ปล่อยให้เขาเก็บข้าวของทั้งหมดใส่กลับไปในห่อสัมภาระ หลังจากสะพายขึ้นหลังแล้ว เห็นว่านางไม่หยิบขวดกระเบื้องไป ตาเฒ่าก็ไม่เกรงใจ คว้ามาไว้ในมือ ไม่เอาก็เรื่องของเจ้า สุดท้ายก็เดินข้ามธรณีประตูจากไปทั้งอย่างนี้
รอจนตาเฒ่าที่ค่อนข้างจะมีนิสัยเจ้าอารมณ์ผู้นั้นออกไปจากร้าน เถ้าแก่ผีสาวนับอยู่ในใจได้สิบกว่าครั้ง ถึงได้รีบกวักมือเรียกผีเด็กหญิงให้ไปหาที่โต๊ะคิดเงิน แล้วกล่าวว่า “ตามคนผู้นั้นไป หากเขาเดินย้อนกลับมาที่ร้านเรา เจ้าก็ไม่ต้องสนใจ แต่หากทำท่าเหมือนว่าจะไม่กลับมาตรอกผงทองอีก เจ้าก็ไปพูดกับเขาว่าร้านเรายินดีตกลงเรื่องราคากับเขาให้ดีๆ”
ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา ผีเด็กหญิงก็วิ่งหน้าม่อยกลับมาถึงร้าน ใบหน้าเล็กยับยู่ ใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มทีแล้ว นางเอ่ยว่า “พี่หญิงเจินก้วน ข้าแอบติดตามท่านปู่คนนั้นไปตลอดทาง เขาไม่สังเกตเห็นข้าจริงๆ ตามไปนานมาก ผลกลับกลายเป็นว่าพอเดินไปใกล้ตรอกบุตรสาว เขาก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ ข้าไม่กล้าตามเขาเร็วเกินไป กลัวว่าเขาจะหันมาเห็นเข้า แต่พอข้ายื่นหน้าออกไป รอว่าเขาออกไปจากตรอกเมื่อไหร่ ข้าก็จะค่อยวิ่งไปหา แต่เขากลับหายตัวไปแล้ว พี่หญิงเจินก้วน ท่านปู่คนนั้นแวบเดียวก็หายตัวไปแล้ว ข้าวิ่งกลับไปกลับมาอยู่ในตรอกเส้นนั้นตั้งหลายรอบ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หาตัวเขาไม่เจอ…”
ผีน้อยเด็กหญิงยกสองมืออุดหน้า พอพูดถึงจุดที่ตัวเองเสียใจก็เริ่มสะอึกสะอื้น
เถ้าแก่ผีสาวทั้งเป็นกังวลและทั้งสงสารนาง รีบเดินอ้อมออกมาจากโต๊ะคิดเงิน ย่อตัวลงนั่งยอง ลูบศีรษะเจ้าตัวน้อย เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เอาน่าๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย อย่าร้องนะ อย่าร้อง”
เด็กชายที่ยืนอยู่ด้านข้างทำหน้าทะเล้นอย่างมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น เอ่ยว่า “พี่หญิงเจินก้วน เมื่อครู่นี้หากให้ข้าเป็นคนตามไป ตาแก่นั่นต้องหนีไปไหนไม่รอดแน่ เชวี่ยยาโถว (ยาโถวเป็นคำเรียกเด็กผู้หญิงด้วยความเอ็นดู ภาษาไทยอาจเทียบได้กับคำว่ายายหนู แม่หนู นังหนู) โง่จะตายไป ใช่ว่าพี่หญิงเจินก้วนจะไม่รู้เสียหน่อย”
กว่าที่ผีเด็กหญิงจะหยุดร้องไห้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คราวนี้กลายเป็นว่าแผดเสียงร้องไห้โฮทันใด
เถ้าแก่ผีสาวหันมาถลึงตาใส่เจ้าผีน้อยตนนั้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปที่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน หยิบกระดิ่งสีเงินลูกหนึ่งออกมาโยนให้ผีน้อย “ข้าปลีกตัวออกไปจากร้านไม่ได้ เจ้าเก็บของแทนตัวชิ้นนี้เอาไว้ให้ดี อย่าทำหายเด็ดขาด จากนั้นรีบไปที่ประตูวังทางทิศเหนือ บอกกับแม่ทัพฉู่คนเฝ้าประตูสักคำว่า ก่อนหน้านี้ตรอกผงทองมีเซียนซือผู้เฒ่าต่างถิ่นคนหนึ่งมาเยือน มีสมบัติดีๆ มากมายอยู่กับตัว บอกให้เหนียงเนียงอัครเสนาบดีอย่าได้พลาดเด็ดขาด ทางที่ดีที่สุดควรออกมาพบเซียนซือด้วยตัวเองสักครั้ง”
ผีเด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง “ได้เลย พี่หญิงเจินก้วน วางใจเถอะ ข้าทำงานได้น่าเชื่อถือว่าเชวี่ยยาโถวมากนัก!”
เด็กหญิงยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า
เถ้าแก่ผีสาวชี้ไปที่นอกประตู พลางจ้องมองเจ้าเด็กกวนประสาทที่ราดน้ำมันลงบนกองไฟครั้งแล้วครั้งเล่าผู้นั้น “รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลย!”
“รับคำสั่ง!”
เด็กชายวิ่งปรู๊ดจากไปทันที
ครู่หนึ่งต่อมา เถ้าแก่ที่กำลังนั่งปลอบใจเด็กหญิงตัวน้อยด้วยถ้อยคำอ่อนหวานน่าฟังหันหน้ากลับไป แล้วก็ต้องปากอ้าตาค้าง
นอกร้าน สตรีร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งหิ้วตัวเด็กชายที่ทำตัวแข็งไม่กระดุกกระดิกเดินยิ้มแป้นเข้ามาในร้าน “เจินก้วน ไม่ต้องไปตามหาข้าแล้ว ช่วงนี้นครถงโช่วมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด การเข้าออกของคนน่าสงสัยทุกคน เจ้านครท่านนั้นของเราล้วนบอกให้จับตาดูอย่างละเอียด ดังนั้นพอเซียนซือผู้เฒ่าต่างถิ่นคนนั้นเดินเข้ามาในตรอกผงทอง ข้าก็ได้ข่าวทันที”
สตรีวางผีเด็กชายไว้บนพื้น นางสูดจมูกฟุดฟิด ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม จุ๊ปากยิ้มกล่าวว่า “โอ้โห ช่างเป็นกลิ่นอายของแสงอัญมณีที่เข้มข้นยิ่งนัก เจินก้วนเอ๋ย เจ้าพลาดการค้าที่ใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่งไปแล้ว”
ผีเด็กสาวเอ่ยอย่างละอายใจ “บ่าวอยากจะช่วยต่อรองราคาให้เหนียงเนียงได้เยอะๆ คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าผู้นั้นจะเจ้าอารมณ์ จากไปพร้อมกับโทสะเสียอย่างนั้น”
สตรีโบกมือ “ไม่เป็นไร ขอแค่ยังอยู่ในนครถงโช่วของพวกเรา ถึงอย่างไรก็ต้องหาเจอ ข้าส่งคนไปเชิญตัวเขามาแล้ว”
สตรีก็คือน้องสาวแท้ๆ ของเจ้านครถังแห่งนครถงโช่ว มีชื่อว่าถังจิ่นซิ่ว ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ก็คือนางที่ทำเหมือนการเล่นพ่อแม่ลูกของเด็กๆ ด้วยการสร้างราชสำนักแห่งหนึ่งขึ้นมาในนคร อีกทั้งยังตั้งตนเป็นอัครเสนาบดีผู้อำนวยการที่จัดการสอบเคอจวี่อีกด้วย
ถังจิงฉีเจ้านครคือผีโอสถทองผู้เฒ่าคนหนึ่ง แต่แทบไม่เคยเข่นฆ่าสังหารกับใครมาก่อน นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นครสิบกว่าแห่งทางทิศใต้ พลังการต่อสู้ของผูหรางคืออันดับหนึ่ง หากไม่สร้างเวรสร้างกรรมให้ตัวเอง ป่านนี้ก็คงได้เป็นผีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่สะท้านโลกาไปนานแล้ว เจ้านครคนอื่นๆ นอกจากวิญญาณวีรบุรุษของนครไท่ฟู่ที่อยู่ติดกับเมืองหลันเส่อซึ่งยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิด อีกทั้งยังไม่อาจกล่าวได้ว่า ‘มีหวัง’ แล้ว ขยับขึ้นเหนือไปอีกหน่อยก็ถึงเพิ่งจะมีเจ้านครก่อกำเนิดคนหนึ่ง ซึ่งก็คือที่พึ่งลับๆ ของปี้สู่เหนียงเนียง วิญญาณวีรบุรุษที่แข็งแกร่งของนครมิพ่ายแห่งนั้น ในอดีตก็คือหนึ่งในสามขุนพลผีใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่เสาหลักที่รบตายในสนามรบของแคว้นเสินเช่อ และยิ่งเป็นเจ้าของธนูแหวกภูผาแห่งนครถงโช่ว ในอดีตเคยมาเยือนตรอกผงทองด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าตอนที่ได้เห็นศรแหวกภูผาที่วางอยู่ในร้านแห่งนั้น เขาก็ไม่เพียงแต่ไม่ช่วงชิงเอากลับไป กลับกันเจ้านครถงโช่วจะมอบกลับคืนไปให้ ขุนพลผีโอสถทองผู้นั้นก็ไม่รับเอาไว้
ถังจิ่นซิ่วยิ้มกล่าว “รอเขามาเมื่อไหร่ ก็บอกไปว่าข้าคือเจ้าของตรอกผงทองแห่งนี้ เป็นคนที่ดูแลเงินทองอย่างแท้จริง เพราะหากบอกสถานะของข้าออกไป ถึงเวลานั้นเซียนซือผู้เฒ่าก็อาจจะโก่งราคาอย่างเอาเป็นเอาตายก็เป็นได้”
เถ้าแก่ผีสาวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ถังจิ่นซิ่วชำเลืองตามองผีน้อยเด็กชายเด็กหญิงแวบหนึ่งแล้วด่ายิ้มๆ “เจ้าโง่ทั้งสอง ไปเล่นที่อื่นไป”
เด็กน้อยทั้งสองจึงรีบวิ่งออกไปนอกร้านทันที
เงาร่างเพรียวยาวสายหนึ่งปรากฏตัวในร้าน ปราณหยินรอบด้านแผ่กระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น
ถังจิ่นซิ่วอึ้งตะลึงไป ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านมาได้อย่างไร? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านมาเยือนตรอกผงทองของข้าเลยนะ”
ผีเด็กสาวที่ถูกนางเรียกว่าเจินก้วนลงไปคุกเข่าหมอบกราบอยู่กับพื้นแล้ว ยามนี้ก็เอ่ยเสียงสั่นว่า “คารวะท่านเจ้านคร”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเอ่ยว่า “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาบอกเจ้าว่า นอกจากจะทำการค้ากับคนผู้นั้นแล้ว ทางที่ดีที่สุดเจ้าอย่าได้มีความคิดอย่างอื่นอีก”
ถังจิ่นซิ่วยิ้มกล่าว “ก็แค่ตาแก่คนหนึ่งไม่ใช่หรือ ทำไม ท่านกลัวว่าข้าจะถูกใจเขาหรือไร? ไม่ใช่คุณชายหนุ่มหล่อสักหน่อย ข้าไม่คิดเป็นอื่นหรอกน่า”
ถังจิงฉีเอ่ยอย่างระอาใจ “คนผู้นี้ก็แค่ใช้เวทอำพรางตาเท่านั้น หากรายงานของสายลับไม่ผิดพลาด เขาน่าจะเป็นเซียนกระบี่หนุ่มที่ทำให้ฟ่านอวิ๋นหลัวและกลุ่มปีศาจบนภูเขาเสียเปรียบครั้งใหญ่ นี่ข้าก็เพิ่งได้ข่าวมาว่าสุนัขตะลุยภูเขาตัวนั้นตายไปแล้ว ถูกกระบี่บินแทงทะลุศีรษะตาย ลงมืออย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่ได้ปรากฏตัวด้วยซ้ำ”
ถังจิ่นซิ่วเลียริมฝีปาก
ถังจิงฉีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “การเล่นสนุกยามปกติ ข้าไม่ถือสาเจ้า แต่เรื่องนี้สำคัญมาก หากไม่ระวังก็อาจเกิดโศกนาฎกรรมที่ทำให้นครถงโช่วหายไปเกือบครึ่ง หากเจ้ากล้าทำตัวเหลวไหลก็อย่ามาโทษหากข้าจะจับเจ้าขังร้อยปี!”
ถังจิ่นซิ่วกล่าวอย่างน้อยใจ “ในเมื่อเป็นเรื่องที่ใหญ่เทียมฟ้า ท่านพี่ก็น่าจะออกหน้าเองไม่ใช่หรือ”
ถังจิงฉีหัวเราะอย่างฉุนๆ “ให้ข้าออกหน้า? ออกมาทำอะไร? หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะไม่กลายเป็นว่าข้าวางแผนลับคิดกำจัดปีศาจใหญ่ตนอื่นๆ หรอกหรือ? หรือมีจิตใจทะเยอทะยานอยากจะฮุบกลืนนครที่อยู่รอบด้าน? หรือจะให้ข้านั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ในร้าน รอให้เขามาแล้วต่อรองราคากัน? ในเมื่อเขาไม่คิดจะป่าวประกาศ เพียงแค่จะมาทำการค้าในนครของเราเท่านั้น แม้แต่เจ้าก็ยังรู้ว่าควรจะปิดบังสถานะ หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายโก่งราคา แล้วข้าอยู่ที่นี่จะหั่นราคาเขาได้อย่างไร? อีกฝ่ายมีสิ่งของราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ข้าก็จะใช้เงินหนึ่งเหรียญฝนธัญพืชซื้อมา? เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่านครถงโช่วของพวกเราไม่ให้เกียรติเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้?”
ถังจิงฉียื่นนิ้วมาชี้หน้าน้องสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย “ต่อจากนี้เจ้าจงจำไว้อย่างเดียวว่า นี่เป็นการค้าขายอย่างหนึ่งเท่านั้น ทั้งไม่ต้องวาดงูเติมขา แล้วก็ไม่ต้องจงใจประจบเอาใจ แต่หากอีกฝ่ายบีบคั้นกันมากเกินไปก็ไม่ต้องหวาดกลัวจนเกินไป นครถงโช่วของพวกเราลงนามเป็นพันธมิตรกับนครชิงหลู ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาเหล่านั้นต้องไม่มีทางนิ่งดูดายอย่างแน่นอน”
สายตาของถังจิ่นซิ่วไม่ใคร่จะพอใจนัก “ทราบแล้วน่า”
ถังจิงฉีหันหน้าไปมองผีเด็กสาวคนนั้นแล้วเอ่ยกำชับว่า “จำไว้ว่าต้องคอยเตือนนาง ถึงเวลานั้นอย่าให้นางทำตัวบ้าผู้ชายขึ้นมาอีก อัครเสนาบดีผู้อำนวยการของนครถงโช่วของพวกเราไม่คู่ควรกับเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ”
ถังจิ่นซิ่วกระทืบเท้า “ท่านพี่ มีใครเขาว่าน้องสาวตัวเองอย่างท่านบ้าง?!”
ทว่าวิญญาณวีรบุรุษเจ้านครที่มาเยือนอย่างรีบร้อนผู้นั้นกลับจากไปอย่างรีบร้อนอีกครั้งแล้ว
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ผีสาวโตเต็มวัยที่จงใจไม่สวมชุดแต่งกายของชาววังก็พาเซียนซือผู้เฒ่าคนนั้นมายังร้านตรงหัวมุมของตรอกผงทอง
ผีสาวเจินก้วนตั้งท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
—–