กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 498.5 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน
ทางฝั่งนั้น
เฉินผิงอันปลดหน้ากากลงแล้ว เดินเข้าไปในเมืองชิงหลู เมืองแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่ ถึงขั้นเทียบกับตลาดของด่านไน่เหอไม่ได้ด้วยซ้ำ
มีแค่ถนนใหญ่สองเส้นตัดกันเท่านั้น คาดว่าหากรวมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเข้าด้วยกันคงไม่ถึงร้อยกว่าหลัง อีกทั้งยังไม่มีจวนที่หรูหราโอ่อ่าใดๆ
คนเดินเท้าก็มีบางตา ทว่าพอจะมีร้านน้ำชาและเหลาสุราอยู่บ้าง คนที่ขายน้ำชาและสุรากลับเป็นเด็กสาวหรือไม่ก็สตรีโตเต็มวัยที่หน้าตางดงาม คิดดูแล้วคงจะเป็นสตรีของนครถงโช่วที่มาทำมาหากินอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าน่าจะมีฐานกระดูกในการฝึกตน แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถกลายมาเป็นผู้ฝึกตนสำนักพีหมาได้
เมืองชิงหลูมีโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนอยู่สองแห่ง หนึ่งอยู่เหนือ หนึ่งอยู่ใต้ ทางฝั่งทิศเหนือนั้นราคาแพงสักหน่อย หนึ่งวันหนึ่งคืนต้องจ่ายถึงสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ทว่าทางฝั่งทิศใต้กลับต้องจ่ายแค่เหรียญเดียว
เฉินผิงอันถามว่านี่เกี่ยวข้องกับความต่างของปราณวิญญาณหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าสตรีที่อยู่ในโรงเตี๊ยมทางทิศเหนือจะคลี่ยิ้มหวานแล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีความต่างใดๆ เพียงแต่ว่าโรงเตี๊ยมทางเหนืออยู่ใกล้กับกระท่อมที่เจ้าสำนักท่านนั้นมาปลูกไว้เพื่อฝึกตน เซียนซือที่มีเงินต่างก็ยินดีที่จะมาปักหลักกันอยู่แถวนี้ อีกทั้งตู้เซียนซือยังมักจะมาอาศัยอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นประจำ ดังนั้นจึงอาจจะได้เจอหน้ากัน
เฉินผิงอันจึงหมุนตัวเดินไปทางทิศใต้ทันที
สตรีผู้นั้นกะพริบตาปริบๆ คล้ายจะประหลาดใจอยู่บ้าง
ผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่สามารถเดินทางมาถึงเมืองชิงหลูได้นั้น แต่ละคนล้วนเป็นพวกมือเติบใจกว้าง ไม่มีใครที่เป็นพวกขาดเงินจริงๆ มีแค่ว่ามีเงินหรือมีเงินมากกว่าเท่านั้น หน้าตาที่แพงที่สุดในใต้หล้านี้ เมื่อตัวเองทำตกลงบนพื้นแล้วจะไม่ยอมเก็บกลับมาเพียงเพราะเงินเกล็ดหิมะเก้าเหรียญต่อหนึ่งวันนี้ได้หรือ?
เฉินผิงอันเช่าห้องพักมาหนึ่งห้องแล้วเริ่มเทสิ่งของพรวดออกจากวัตถุจื่อชื่อและห่อผ้าใบนั้น เปลี่ยนเอาสิ่งของอย่างใหม่ใส่เข้าไปในห่อผ้า
คิดว่าเดี๋ยวอีกสักสองสามวันจะไปที่ตรอกผงทองนครถงโช่วใหม่อีกรอบ
นี่เรียกว่าเมื่อจับแกะตัวอวบอ้วนมาได้แล้วก็ต้องจับถอนขนอย่าให้เหลือ
ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีกแล้ว
ทำทุกอย่างนี้เสร็จ เฉินผิงอันก็ใช้เงินเกล็ดหิมะซ่อมแซมชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวที่อยู่บนร่างไปทีละเหรียญ
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา เฉินผิงอันก็หยุดการซ่อมแซมลง
เรื่องของการซ่อมชุดคลุมอาคมนั้นหาใช่ว่าแค่ทุ่มเงินอย่างเดียวก็พอ แต่เป็นงานที่ละเอียดอ่อนอย่างหนึ่ง
เฉินผิงอันเริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู โคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่ยังคงไม่สามารถฝ่าทะลุด่านทั้งหมดในร่างไปได้อย่างสมบูรณ์
หนึ่งชั่วยามต่อมา เฉินผิงอันก็ดื่มน้ำในลำธารลึกบนภูเขาที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อึกใหญ่ แล้วจึงเริ่มหลอมแก่นไอน้ำเต็มเติมจวนน้ำของตน
เพียงแต่ว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าแล้วถึงเพิ่งจะกลั่นหลอม ‘น้ำพุ’ ออกมาได้สามหยด แล้วส่งต่อให้เด็กจิ๋วชุดเขียวสามคนในจวนน้ำมารับช่วงทำต่อ
ขนาดการฝึกตนอย่างตื้นเขินเช่นนี้ เฉินผิงอันยังเปลืองเวลาไปมากขนาดนี้ หากต้องปิดด่านขึ้นมาก็ยิ่งไม่สามารถหันมาสนใจกับเรื่องทางโลกได้เลย ดังนั้นถึงได้มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า คนบนภูเขาไม่รู้ร้อนหนาวในโลกมนุษย์
เมื่อเฉินผิงอันฉวยโอกาสช่วงพักปล่อยจิตวิญญาณให้จมดิ่งลงไป จิตหยินจำแลงร่างกลายเป็นเมล็ดงาที่ไปตรวจตราจวนน้ำ ผลกลับกลายเป็นว่าต้องเจอกับสายตาตำหนิของเจ้าตัวน้อยทั้งหลาย
คงจะต้องการบอกว่าในเมื่อมีพรสวรรค์ธรรมดาสามัญก็ควรจะยิ่งขยันฝึกตน เป็นดั่งนกโง่ที่หัดบินก่อน เหตุใดหลังจากสร้างจวนใหญ่อันเป็นช่องโพรงสำคัญเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว ตลอดหลายปีมานี้อย่าว่าแต่สามวันตกปลาสองวันตากแหเลย ต้องบอกว่าหนึ่งวันตกปลาหนึ่งปีตากแหด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด รีบเผ่นหนีออกมาจากจวนน้ำอย่างกระเซอะกระเซิง
มังกรเพลิงที่เกิดจากการรวมตัวของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธจ้องมองเฉินผิงอันนิ่งๆ อยู่ตรงทางแยกจุดหนึ่งนอกจวนน้ำ
เฉินผิงอันเงียบงันไม่เอ่ยอะไร
มันจึงส่ายหัวสะบัดหางเลื้อยจากไปอย่างรวดเร็ว
ในอดีต บนหัวของมันเคยมีคนจิ๋วสีทองสวมชุดลัทธิขงจื๊อสะพายกระบี่ยืนอยู่
คอยตรวจตราทั่วทิศไปพร้อมกับมัน ร่วมกันบุกเบิกแผ่นดินอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ บุกรุดไปเบื้องหน้าไม่หยุดยั้ง ประหนึ่งขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักที่ช่วยขับดันกันและกันให้โดดเด่น
เฉินผิงอันเก็บความคิด ดึงเอาวิชาการมองภายในกลับมา หลังจากคืนสติ เขาที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะก็หลุบตาลงต่ำ เหม่อลอยไร้คำพูด
ในเรื่องของการใช้เหตุผลนี้ คิดจะโน้มน้าวคนอื่นนั้นไม่ง่าย และคิดจะโน้มน้าวตัวเองก็ยากมากเหมือนกัน
แล้วเหตุใดถึงยังต้องใช้อีกเล่า
ข้าวหนึ่งถ้วย วิชาหมัดหนึ่งเล่ม
คุ้มค่าแล้วหรือ?
ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไปเพราะสิ่งนี้ ต่อให้จะมหาศาลถึงขั้นเสียหายไปถึงรากฐานมหามรรคา แต่การเลือกนั้นของตน ถูกแล้วจริงๆ หรือ แล้วถ้าผิดล่ะ?
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันยังคงคิดไม่ตกกับคำถามที่ได้คำตอบมานานแล้ว รวมไปถึงคำถามที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้ว่าถูกหรือผิด
แต่เฉินผิงอันกำลังกลัว ยังหวาดผวาอยู่ไม่คลาย เพราะเขาไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองถึงได้คิดเรื่องพวกนี้
เฉินผิงอันพลันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พอลุกขึ้นยืนก็เดินออกจากโต๊ะ พลิกร่างกลับหัว ชายแขนเสื้อชุดเขียวโบกสะบัด หลับตาลง เริ่มเดินกลับหัวด้วยท่าฟ้าดิน
……
เหนือทะเลสาบถงลวี่มีแพไม้ไผ่สีเขียวมรกตลำหนึ่งลอยนิ่งอยู่ หยวนเซวียนเด็กหนุ่มจากศาลซานหลางยังคงตกปลา คราวนี้ไม่มีคนนอก บรรยากาศจึงมีแต่จะผ่อนคลายสบายอารมณ์มากกว่า ผู้ฝึกยุทธหญิงที่เป็นข้ารับใช้กับผู้เฒ่าผู้ฝึกกระบี่โอสถทองต่างก็ถือเบ็ดตกปลาไว้คนละคัน
เด็กหนุ่มเพิ่งจะกลับมาที่นี่ได้ไม่นานเท่าไหร่ อีกทั้งยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่ว่ากันว่าได้สร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ไว้ในหุบเขาผีร้ายผู้นั้น ไม่ได้มา
หยวนเซวียนชำเลืองตามองผิวทะเลสาบที่ยังคงสงบนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว หันหน้ามาถามว่า “พี่หญิงฝาน ท่านปู่หลิว ไหนพวกท่านบอกว่าคนผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างไรล่ะ เหตุใดทุกคนที่อยู่ในเมืองชิงหลูถึงได้พากันบอกว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตยากจะคาดเดาคนหนึ่ง เพียงแต่ทุกคนกำลังเดากันว่าจะเป็นเซียนกระบี่ที่มีหรือไม่มีหวังจะเลื่อนเป็นโอสถทอง หรือไม่ก็ก่อกำเนิดที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำน่าหวาดกลัวกันแน่?”
สีหน้าของสตรีแซ่ฝานกระอักกระอ่วน “เขาน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งถึงจะถูก”
ผู้เฒ่ามีความรู้กว้างขวางมากกว่าจึงยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงการคาดเดาของเสี่ยวฝานกับผู้ฝึกตนของเมืองชิงหลูก็ใช่ว่าจะผิดเสมอไป บนโลกนี้มีคนประหลาดบางคนที่สามารถเป็นได้ทั้งผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและผู้ฝึกลมปราณ เพียงแต่ว่าลูกรักแห่งสวรรค์ประเภทนี้ ยิ่งเป็นช่วงหลังก็ยิ่งพละกำลังถดถอย ยกตัวอย่างเช่นเส้นทางของการฝึกวรยุทธได้เลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกลแล้ว หรือเส้นทางของการฝึกตนที่ในที่สุดก็เลื่อนสู่ขอบเขตกำเนิด เวลานี้จะต้องเจอกับปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้า เว้นเสียแต่มีปณิธานความเด็ดเดี่ยวและความกล้าหาญตัดใจทอดทิ้งเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งได้อย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะเดินขึ้นสู่จุดสูงได้อย่างแท้จริง มีแต่จะกลายเป็นว่าตัวเองทะเลาะกับตัวเอง บนเส้นทางทั้งสองต่างก็เดินไปถึงทางตันที่ทางให้เดินต่อ”
หยวนเซวียนเดาะลิ้น “หากเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะเป็นขอบเขตยอดเขาอย่างที่เล่าลือกันจริง อีกทั้งยังได้ครอบครองวิชาอภินิหารของผู้ฝึกตนก่อกำเนิด จะไม่กลายเป็นผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมในหนึ่งทวีปเลยหรือ?”
“ไร้ศัตรูทัดเทียม? ยังห่างชั้นอีกไกลนัก”
ผู้เฒ่าส่ายหน้ายิ้มกล่าว “เทพเซียนขอบเขตหยกดิบทั่วไป ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เมื่อเจอกับคนประหลาดที่หายากเหมือนขนหงส์เขากิเลนประเภทนี้ จะต้องปวดหัวมากก็จริง แต่หากเปลี่ยนมาเป็นเซียนหรือกระบี่หรือผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหริน คิดจะจัดการก็มีกำลังเหลือเฟือ”
ความคิดของหยวนเซวียนเปี่ยมไปด้วยจินตนาการอันบรรเจิด กระโดดเปลี่ยนหัวข้อไปไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ เขายิ้มถามว่า “ท่านปู่หลิว ท่านคือผู้ฝึกกระบี่ ลองเล่าให้ฟังหน่อยเถอะว่า เหตุใดศาสตราวุธนับพันนับหมื่นของผู้ฝึกตนบนโลกใบนี้ มีเพียงคนใช้กระบี่อย่างพวกท่านเท่านั้นที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเก่งกาจ อีกทั้งยังถูกขนานนามว่ามีพลังพิฆาตเป็นอันดับหนึ่งอีกด้วย? ท่านปู่หลิว ท่านห้ามพูดหลอกข้าเชียวนะ ข้าน่ะรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่กินเงินเก่งที่สุด อีกทั้งตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดยังเป็นหนึ่งในหมื่นของบรรดาผู้ฝึกลมปราณอย่างเราๆ เหตุผลสองข้อนี้ไม่ถือว่าเป็นสาเหตุทั้งหมด”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “นี่ก็คือปฏิทินเหลืองที่เก่าแก่มากๆ เล่มหนึ่งแล้ว”
ผู้เฒ่าไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงชี้ไปยังจุดสูงเหนือศีรษะ
หยวนเซวียนมองตามไปแล้วก็พยักหน้า เด็กหนุ่มแห่งศาลซานหลางที่ชื่นชอบซักไซ้ไล่เรียงคนอื่นเป็นที่สุด เวลานี้กลับไม่สอบถามอะไรอีก เพียงหันไปเริ่มตกปลาของตนอย่างเงียบๆ
แต่ในใจของหยวนเซวียนก็ยังคันยิบๆ ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ชูนิ้วสามนิ้วให้ผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าส่ายหน้า ยื่นนิ้วออกมาอีกครั้ง คราวนี้ชี้ไปยังจุดที่อยู่สูงยิ่งกว่า
หยวนเซวียนหุบสองนิ้วลง ให้เหลือเพียงนิ้วเดียว
ผู้เฒ่ายิ้ม แต่ก็ยังคงส่ายหน้า
ในที่สุดหยวนเซวียนก็สงบใจตกปลาได้แล้ว
กลับกลายเป็นสตรีผู้ฝึกยุทธที่มีอายุมากกว่าเด็กหนุ่มที่มึนงงสับสนคล้ายในสมองมีแต่แป้งเปียก ไม่เข้าใจว่าคนแก่คนหนุ่มคู่นี้กำลังเล่นทายคำปริศนาอะไรกันอยู่
ครึ่งชั่วยามต่อมาก็ยังคงตกปลาอะไรไม่ได้
หยวนเซวียนโยนเหยื่อกำหนึ่งลงไปในทะเลสาบ น้ำก็มีเส้นสายของน้ำ มองดูเหมือนผิวน้ำทะเลสาบนิ่งสงบ แต่ในความเป็นจริงแล้วด้านล่างนั้นมีที่จุดต้องพิถีพิถันมากมาย เด็กหนุ่มไม่ได้โยนเหยื่อไปอย่างส่งเดช เขาถามชวนคุยว่า “ได้ยินมาว่าตะพาบเฒ่าของลำคลองเฮยเหอเลี้ยงปลาหลั่วสีทองคู่หนึ่งที่อย่างน้อยก็มีชีวิตอยู่มาแล้วหนึ่งพันห้าร้อยปี ท่านปู่หลิว หากข้าบอกกับท่านอาตู้สักคำ พวกเราจะสามารถบุกไปหาตะพาบเฒ่า เอาเงินขอซื้อมันมาจากเขาได้ไหม?”
ผู้เฒ่าอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “นอกเสียจากฆ่ามันให้ตายแล้ว ไม่อย่างนั้นวัตถุวิเศษชิ้นนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางซื้อมาได้แน่นอน แต่การที่ตะพาบเฒ่าสามารถมีชีวิตอยู่รอดในหุบเขาผีร้ายมานานขนาดนี้ คิดจะฆ่ามันให้สำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เว้นเสียแต่ว่าเจ้าสำนักจู๋เฉวียนลงมือด้วยตัวเอง หาไม่แล้วหากตะพาบเฒ่าเข้าไปหลบอยู่ในจุดลึกของโพรงมังกรเฒ่าก็ยากที่จะหาตัวพบได้อีก ต่อให้เป็นท่านอาตู้ของเจ้าก็ต้องจนใจมากเหมือนกัน”
หยวนเซวียนถอนหายใจหนึ่งที “เรื่องฆ่านั้นอย่าดีกว่า ต่อให้ข้าทำได้ก็ไม่ทำ สรรพชีวิตที่เกิดมาบนโลกใบนี้ย่อมต้องมีหลักการเหตุผลเป็นของตัวเอง ผู้ฝึกตน เดิมทีก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์สวรรค์อยู่แล้ว หากยังก่อกรรมอีก ก็คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดผู้ฝึกตนสำนักการทหารเหล่านั้นถึงได้สามารถฆ่าคนตาไม่กะพริบ แถมยังไม่ต้องมีผลกรรมติดตัวด้วย”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ขอแค่สามารถกลายเป็นคนของหนึ่งลัทธิหนึ่งสำนักได้ แน่นอนว่าต่างก็ต้องมีรากฐานมหามรรคาเป็นของตัวเอง สามารหยัดยืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ได้นิ่ง ยืนได้มั่นคง”
หยวนเซวียนเกาหัว พูดอย่างน่าสงสารว่า “แต่ท่านปู่หลิว ปลาสวยของพวกเราสามคนยืนได้นิ่ง ยืนได้มั่นคงเสียยิ่งกว่าเทพทวารบาลอีกนะ”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ อย่างเบิกบานใจ
สตรีก็หลุดหัวเราะตามไปด้วย
……
โรงเตี๊ยมทางทิศเหนือของเมืองชิงหลู ตู้เหวินซือยืนอยู่หน้าประตู
สตรีที่มีชาติกำเนิดมาจากนครถงโช่ว แต่กลับมาเติบโตอยู่ที่นี่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้ฝึกตนโอสถทองของสำนักพีหมาผู้นี้เป็นอย่างดี ตู้เหวินซือนั้นมีชื่อเสียงในด้านการมีมาดของวิญญูชนผู้สง่างาม ดังนั้นสตรีที่รับผิดชอบเฝ้าประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมจึงไม่ได้ระมัดระวังตัวมากเกินไป เห็นว่าตู้เหวินซือมายืนอยู่หน้าประตูพักใหญ่แล้วจึงถามอย่างประหลาดใจว่า “เซียนซือตู้ ท่านมารอใครหรือ?”
ตู้เหวินซือส่ายหน้า ยิ้มตอบ “แค่รู้สึกอุดอู้ก็เลยออกมาสูดอากาศภายนอก”
สตรีไม่รู้จะเอ่ยต่อคำอย่างไร และไม่นานนางก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ คราวก่อนตู้เซียนซือก็ทำเช่นนี้ มายืนเหม่อลอยอยู่หน้าประตูเพียงลำพัง
เมื่อหลายปีก่อนเคยมีนักพรตหญิงที่ขอบเขตสูงมากคนหนึ่งกระทำการอย่างกำเริบเสิบสาน ถึงขนาดไม่เข้ามาในหุบเขาผีร้ายผ่านซุ้มประตู แต่ใช้กระบี่หนึ่งแหวกม่านฟ้าเข้ามาโดยตรง พอปรากฏตัวแล้วก็หมุนตัวกลับทันที จากนั้นก็ยังฟันผ่าปราการฟ้าดินที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งมิอาจทำลายอีกสองครั้ง ครั้งสุดท้ายอยู่ห่างจากเมืองชิงหลูไม่ไกลพอดี นักพรตหญิงถึงได้หยุดมือ แล้วพลิ้วกายลงในเมืองชิงหลู จากนั้นก็เข้ามาพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ และก็เป็นตู้เซียนซือที่เป็นผู้รับรอง ภายหลังแม้แต่เจ้าสำนักจู๋ก็ยังมาด้วย
การที่นางบุกเข้ามาในหุบเขาผีร้ายโดยพลการหลายครั้งได้ชักนำให้วิญญาณวีรบุรุษหลายตนไปดักรอสังหาร
ครั้งสุดท้ายก็ยิ่งเป็นฝีมือของเจ้าสำนักที่ฟันดาบออกไป เพียงแต่ว่านักพรตหญิงสามารถต้านรับไว้ได้ก็เท่านั้น
และเจ้าสำนักจู๋ก็แค่แสดงบารมีไปแค่พอเป็นพิธี ไม่ได้ทุ่มสุดกำลัง
หลังจากพูดคุยกันพักหนึ่งจู๋เฉวียนก็ตรงกลับไปที่กระท่อมของตัวเอง ปล่อยให้นักพรตหญิงเข้ามาในอาณาเขต ถือว่าผ่านด่านของสำนักพีหมามาได้แล้ว
นักพรตหญิงต่างถิ่นผู้นั้นพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแค่วันเดียว ตอนที่จากไปก็ยังคงใช้หนึ่งกระบี่ฟันม่านฟ้า โอหังไร้เหตุผลอย่างถึงที่สุด
แต่ก็ถือว่าสำรวมกว่าตอนที่มาอยู่เล็กน้อย เพราะนางขี่กระบี่ขึ้นไปกลางอากาศเหนือเมืองทางทิศเหนือนี้ก่อน แล้วจากนั้นถึงได้ฟันตราผนึกฟ้าดินแล้วจากไปอย่างอิสระเสรี
ภายหลังตู้เซียนซือก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูนี้ ยืนอยู่นานมาก ตนถามเขาก็ยังคงได้คำตอบเหมือนก่อนหน้า เพราะอุดอู้ก็เลยออกมาสูดอากาศภายนอก
ตู้เซียนซือสมกับเป็นวิญญูชนจริงๆ แม้แต่จะพูดโกหกก็ยังทำไม่เป็น
ภายหลังได้ยินลูกค้าเทพเซียนที่มาพักในโรงเตี๊ยมพูดว่า นักพรตหญิงต่างถิ่นที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ผู้นั้นคือผู้ฝึกตนหญิงที่มาจากใบถงทวีป นางกับอัจฉริยะในการฝึกตนของภูเขาตี่ลี่ที่มีนามว่าหลิวจิ่งหลง นั่นคืออัจฉริยะในอัจฉริยะคนหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนอิสระตัวเล็กๆ ที่มีหน้าที่เฝ้าประตูอย่างนางก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของหลิวจิ่งหลง เขากับนักพรตหญิงต่างทวีปผู้นั้นเปิดฉากต่อสู้กันอยู่บนภูเขาตี่ลี่ และต่างก็บาดเจ็บยับเยินกันไปทั้งสองฝ่าย
สตรีพกดาบหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งเดินช้าๆ มาบนถนน
ผู้ฝึกตนหญิงที่เฝ้าประตูรีบกลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ รอจนคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้โรงเตี๊ยมก็เรียกเสียงสั่นว่าท่านเจ้าสำนัก
สตรีพกดาบยิ้มผงกศีรษะตอบรับ
จากนั้นก็เรียกตู้เหวินซือหนึ่งคำ แล้วบอกว่าไปเดินเล่นด้วยกัน
ตู้เหวินซือจึงเดินเคียงไหล่ไปกับเจ้าสำนักจู๋เฉวียน
จู๋เฉวียนยิ้มพูดสัพยอก “เอาน่า หวงถิงผู้นั้นเคยบอกว่าตอนที่นางย้อนกลับทางทิศใต้จะมาเยือนเมืองชิงหลูอีกรอบ แต่นางจะมาหรือไม่มา มาเมื่อไหร่ เจ้าไปยืนรอหน้าประตูแล้วจะต้องได้เจอเสมอไปหรือ?”
ตู้เหวินซือหน้าแดงน้อยๆ
จู๋เฉวียนเอ่ยต่อว่า “ได้ยินมาว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่สร้างเรื่องอึกทึกครึกโครมผู้นั้นเข้ามาพักในเมืองเล็กแล้ว?”
ตู้เหวินซือพยักหน้ารับ “เพิ่งจะกลับมาจากนครถงโช่ว แล้วก็มาพักในโรงเตี๊ยมทางทิศใต้ของพวกเรา”
จู๋เฉวียนยิ้มเอ่ย “เจ้าหมอนี่น่าสนใจนัก ครั้งแรกที่เทพหญิงฉีลู่เดินออกจากม้วนภาพวาดได้ตรงไปหาเขาก่อนเลย ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าใครที่ไม่เข้าตาใครกันแน่ แต่สรุปก็คือสุดท้ายแล้วเทพหญิงฉีลู่ก็ติดตามเจ้าสำนักที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป นังหนูน้อยผู้นี้บังอาจมาแย่งสิทธิ์ของข้าไป หากไม่ได้อยู่ในหุบเขาผีร้าย แต่ไปเจอกับนางที่อื่น ข้าจะต้องประมือกับนางสักครั้งให้จงได้ หากข้าชนะ ฟ้ารู้ดินรู้ ข้ารู้นางรู้ แต่หากข้าแพ้ ไม่จำเป็นต้องให้นางปล่อยข่าว ข้านี่แหละจะป่าวประกาศแก่ใต้หล้า สร้างชื่อเสียงให้นางเอง”
ตู้เหวินซือยิ้มอย่างเข้าใจ
นี่ก็คือนิสัยของเจ้าสำนักพวกเขาแล้ว
—–