กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 499.2 ฟ้าดินไร้พันธนาการ
ผังหลันซีเห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มเหม่อลอยก็อดไม่ไหวต้องเอ่ยเตือนว่า “เฉินผิงอัน อย่าทำเลอะเลือนสิ สมุดภาพเติมเต็มสองเล่มกำลังกวักมือเรียกหาเจ้าอยู่นะ เหตุใดเจ้าถึงใจลอยไปไกลเป็นหมื่นลี้ได้เล่า?”
เฉินผิงอันเอ่ยขอโทษหนึ่งคำ จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้เป็นเทพเซียนบนภูเขาที่มีอายุขัยยืนยาว แต่แม่นางซิ่งจื่อคนนั้นของเจ้ากลับเป็นแค่คนธรรมดาด้านล่างภูเขา เจ้าเคยคิดถึงข้อนี้ไหม? สตรีทั่วไป อายุสี่สิบก็เริ่มผมหงอกแล้ว อายุหกสิบ บางทีอาจกลายเป็นหญิงชราที่ผมขาวโพลนเต็มศีรษะแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าจะให้แม่นางซิ่งจื่อเผชิญหน้ากับเจ้าผังหลันซีที่อาจจะยังเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หรือไม่อย่างมากสุดก็มีรูปโฉมของคนอายุแค่ยี่สิบปีได้อย่างไร?”
หัวใจของผังหลันซีหดรัดตัว พึมพำว่า “ข้าสามารถปล่อยให้เป็นไปตามฟ้าอำนวยคนสามัคคี ไม่จงใจหยุดรูปโฉมเอาไว้ ให้ตัวเองกลายเป็นผู้เฒ่าที่ผมขาวเหมือนกับนาง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าผิดแล้วผิดอีก”
ผังหลันซีเงยหน้าขึ้น สีหน้าเลื่อนลอย
เฉินผิงอันเอ่ย “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเวลานั้นเนื้อหนังมังสาที่เป็นชายชราของเจ้าผังหลันซียังคงสามารถเก็บงำประกายราศีไว้ภายใน ยังคงมีจิตวิญญาณที่แจ่มใสดุจหนุ่มน้อย ยังไม่ต้องไปพูดถึงมัน”
เฉินผิงอันหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถามเบาๆ ว่า “เจ้าเคยลองเอาตัวไปคิดในมุมของแม่นางซิ่งจื่อที่เจ้าคิดถึงอยู่ทุกขณะจิตดีๆ บ้างไหม? เรื่องบางเรื่อง เจ้าคิดอย่างไร คิดได้ดีแค่ไหน ไม่ว่าความตั้งใจเดิมจะดีเท่าไหร่ แต่นั่นจะต้องดีเสมอไปจริงๆ หรือ? จะต้องถูกต้องเสมอไปหรือ? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ความหวังดีที่แท้จริงที่มอบให้ฝ่ายตรงข้าม แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยใช่เรื่องที่ตัวเราเองยินดีอยู่เพียงฝ่ายเดียว?”
ผังหลันซีทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนอยู่ที่นครปี้ฮว่า ยามนั้นข้าเป็นแค่คนผ่านทางมาที่รู้จักพวกเจ้าแค่ผิวเผิน ในเมื่อนางบอกให้เจ้าออกจากร้านมาเตือนให้ข้าระวังตัวให้มากๆ ได้ จิตใจที่ดีงามเช่นนี้ แสดงว่านางต้องเป็นแม่นางที่ดีที่มีค่าพอให้เจ้าชื่นชอบอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ข้าเคยสังเกตพวกเจ้าสองคนตอนอยู่ในร้าน ในฐานะคนนอกคนหนึ่ง ข้าพอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่าแม่นางซิ่งจื่อเป็นคนจิตใจละเอียดอ่อน แต่ขณะเดียวกันก็ใจกว้างมาก นี่ถือว่าหาได้ยากยิ่ง นี่จึงเป็นเหตุให้ยามที่อยู่ร่วมกับเจ้าซึ่งถือว่าเป็นคนในกลุ่มเทพเซียนบนภูเขาพีหมาซึ่งกินแสงเรืองรองดื่มน้ำค้าง ส่วนนางยังเป็นแค่แม่ค้าล่างภูเขาที่คบค้าสมาคมกับเงินอยู่ตลอดทั้งปี ไม่ทำให้นางรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ นางไม่เคยคิดเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสภาพจิตใจเช่นนี้หาได้ยากแค่ไหน ดีมากแค่ไหน?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้เลย”
ผังหลันซีเหม่อลอยไร้คำพูด ริมฝีปากขยับเบาๆ
เฉินผิงอันเอ่ยต่อ “ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ อันที่จริงนางล้วนคอยใส่ใจสภาพจิตใจของเจ้า หวังว่าเจ้าจะฝึกตนได้อย่างสบายใจ ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนภูเขาสูงทีละก้าว หากข้าเดาไม่ผิด ทุกครั้งที่เจ้าได้ลงเขาไปช่วยนางที่ร้าน ยามที่พวกเจ้าต้องแยกจากกัน นางไม่มีทางเผยความอาลัยอาวรณ์ออกมาต่อหน้าเจ้ามากนัก กลายเป็นเจ้าที่รู้สึกอัดอั้น กังวลว่านางอาจจะไม่ชอบเจ้าอย่างที่เจ้าชอบนาง ใช่หรือไม่?”
กรอบตาของผังหลันซีแสบร้อนเล็กน้อย เขาเม้มปากแน่น
เฉินผิงอันถอนหายใจ หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมา ไม่ใช่เหล้าหมักตระกูลเซียนอะไร แต่เป็นเหล้าข้าวหมักของบ้านเกิดเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ส่งไปขายไกลถึงเมืองหลวงต้าหลี เฉินผิงอันดื่มเบาๆ หนึ่งอึก “เจ้าไม่เคยคิดถึงความคิดที่แท้จริงของนางมาก่อน แต่กลับเอาแต่คิดว่าตัวข้าเองควรจะทำอย่างไร แบบนี้ ดีแล้วหรือ?”
ผังหลันซีส่ายหน้า “ไม่ดี ไม่ดีมากๆ”
“ดังนั้นถึงได้บอกว่า ครั้งนี้นครปี้ฮว่าไม่เหลือโชควาสนาจากภาพเทพหญิงอีกแล้ว ร้านก็อาจจะเปิดต่อไปไม่ได้ เจ้ารู้สึกแค่ว่านี่เป็นเรื่องเล็ก เพราะสำหรับเจ้าผังหลันซีแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเล็ก ร้านแห่งหนึ่งในหมู่ชาวบ้าน ปีๆ หนึ่งจะหาเงินร้อนน้อยได้สักกี่เหรียญ? แล้วปีๆ หนึ่งที่ข้าผังหลันซีใช้เงินเทพเซียนของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาไปล่ะ มีมากเท่าไหร่? แต่ว่า เจ้าไม่เคยรู้เลยว่า ร้านแห่งหนึ่งที่สามารถเปิดอยู่ด้านล่างตีนเขาของสำนักพีหมาได้พอดี สำหรับเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่งแล้วเป็นเรื่องที่ใหญ่แค่ไหน หากไม่มีอาชีพนี้ ต่อให้แค่ย้ายไปอยู่ด่านไน่เหออะไรนั่น แต่สำหรับนางแล้วนี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่เหมือนฟ้าดินถล่มดินทลายได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก น้ำเสียงเบาแต่ทุ้มนุ่มลึก ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยก็ยิ่งเหมือนสุราที่ดื่ม เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “คงเป็นเพราะความคิดของเด็กสาวยาวไกลกว่าเด็กหนุ่มในวัยเดียวกันกระมัง จะบอกว่าอย่างไรดีล่ะ ความต่างของสองอย่างนี้ก็เหมือนกับว่า ความคิดของเด็กหนุ่มคือการเดินอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง แค่มองไปยังจุดสูงอย่างเดียว ส่วนความคิดของเด็กสาวกลับเหมือนธารน้ำสายเล็กที่เลื้อยลดคดเคี้ยวไหลไปยังทิศไกล”
ผังหลันซียู่หน้าตัวเองแรงๆ ไม่รู้ว่านึกถึงภาพเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เสียใจขึ้นมาได้ เพราะเพียงแค่คิดถึงเรื่องนั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มที่เดิมทีไร้ทุกข์ไร้กังวลกลัดกลุ้มใจจนน้ำตาเริ่มมาคลอในกรอบดวงตา
เฉินผิงอันมองเขาแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ
หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วที่จิตแห่งมรรคาแข็งแกร่ง มองดูเหมือนใจแข็งเป็นหินก็ยังเคยสะดุดล้มหัวทิ่มบนคำว่ารักเหมือนกันไม่ใช่หรือ
เฉินผิงอันพลันหัวเราะออกมา “จะกลัวอะไรเล่า? ในเมื่อวันนี้รู้มากขึ้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเจ้าก็จะทำได้ดีขึ้น คิดทำเพื่อนางได้มากขึ้น หากไม่ได้จริงๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่เชี่ยวชาญด้านการคิดวิเคราะห์จิตใจของสตรี ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะสอนวิธีที่โง่เง่าที่สุดให้แก่เจ้า พูดความในใจกับนางไปโดยไม่ต้องรู้สึกเขินอายหรือลำบากใจ หน้าตาศักดิ์ศรีของบุรุษ ยามอยู่ด้านนอกก็พยายามอย่าให้ปลิวหายไป แต่เมื่ออยู่กับสตรีที่ตัวเองรัก ก็ไม่จำเป็นจะต้องอวดเก่งเอาชนะไปเสียทุกเรื่องทุกเวลา”
ผังหลันซีพยักหน้ารับ ยกมือเช็ดหน้า ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงรู้เยอะขนาดนี้?”
ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตน หลังจากชี้แนะไปเพียงเล็กน้อยก็เหมือนหยิบใบไม้ที่บังตาออก สภาพจิตใจของผังหลันซีกลับมาใสกระจ่างอีกครั้ง
เฉินผิงอันชูกาเหล้าในมือขึ้นแกว่งส่ายเบาๆ “ข้าท่องอยู่ในยุทธภพ ข้าดื่มเหล้าอย่างไรล่ะ”
ผังหลันซีถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “เหล้าอร่อยขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไร เพียงแค่ดื่มเหล้า
ยังคงรอคอยข่าวจากทางหุบเขาผีร้ายอย่างอดทน
อันที่จริงมีเรื่องบางอย่างที่เฉินผิงอันสามารถพูดบอกกับเด็กหนุ่มได้ชัดเจนมากกว่านี้ เพียงแต่ว่าหากแผ่เส้นสายนั้นออกมาก็มีความเป็นได้ว่าจะเกี่ยวพันกับมหามรรคา นี่คือข้อห้ามใหญ่หลวงของผู้ฝึกตนบนภูเขา เฉินผิงอันไม่มีทางข้ามผ่านบ่อสายฟ้านี้ไปเด็ดขาด
นอกจากนี้ความรักความผูกพันระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาว สับสนมึนงงสักหน่อยกลับจะกลายเป็นความงดงามอย่างหนึ่ง เหตุใดต้องพูดให้ละเอียดเกินไปด้วยเล่า
ผังหลันซีขอตัวลากลับไป บอกว่าอย่างน้อยภาพเทพหญิงกระดาษไขสองชุดก็ไม่หนีไปไหนแล้ว ให้เขารอฟังข่าวดีก็พอ
ตอนที่ผังหลันซีกำลังจะก้าวออกไปจากประตูเรือน เฉินผิงอันก็พลันเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มเอาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “ใช่แล้ว เจ้าต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า คำพูดพวกนี้ที่ข้าพูดกับเจ้า หากรู้สึกว่ามันมีเหตุผลจริงๆ ตอนที่ทำมัน เจ้าก็ยังต้องคิดตริตรองให้มากหน่อย ไม่แน่เสมอไปว่าเหตุผลที่เจ้าฟังแล้วรู้สึกว่าไม่เลวจะต้องเหมาะสมกับเจ้า”
ผังหลันซีโบกมือ ยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้โง่เขลาไร้ปัญญาจริงๆ เสียหน่อย วางใจเถอะ ข้าจะใคร่ครวญด้วยตัวเอง!”
เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะหิน ฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว
ท่ามกลางม่านสีสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันหยุดท่าหมัด หันหน้ามองไป
ทิศทางที่ก่อนหน้านี้มีกายธรรมโครงกระดูกขาวและทวยเทยเกราะทองปรากฏบนชายชายหาดโครงกระดูก มีเงาร่างหนึ่งทะยานลมตรงมา เวลาที่เซียนดินคนหนึ่งไม่จงใจเก็บพลังอำนาจ ทะยานลมเดินทางไกล มักจะต้องมีเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น สร้างความอึกทึกครึกโครมอย่างรุนแรงเสมอ เพียงแต่ว่าเมื่อเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ‘ผสานมรรคา’ กับฟ้าดินได้แล้ว กลับจะสามารถทำให้เงียบเชียบไร้สำเนียง ถึงขั้นแม้แต่คลื่นลมปราณก็ยังแทบจะไม่มีเลย เงาร่างที่ตรงดิ่งมายังภูเขามู่อีสายนั้นน่าจะเป็นเจ้าสำนักจู๋เฉวียน ขอบเขตหยกดิบ แต่กลับยังสร้างความเคลื่อนไหวได้รุนแรงถึงเพียงนี้ หากไม่ได้จงใจสำแดงบารมี สยบพวกกองกำลังที่ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือซุ่มอยู่โดยรอบชายหาดโครงกระดูก ก็คงจะเป็นเพราะตอนอยู่ในหุบเขาผีร้าย เจ้าสำนักพีหมาท่านนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเป็นเหตุให้ขอบเขตไม่มั่นคง
หลังจากที่เงาร่างนั้นพุ่งเข้ามาในภูเขามู่อีแล้วก็พลันหยุดชะงักกะทันหัน จากนั้นก็เหมือนลูกธนูที่สาดยิงเข้าใส่จวนที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา
ในเรือนหลังเล็ก ลมพายุปั่นป่วนพัดให้ชายแขนเสื้อสองข้างของเฉินผิงอันส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
ก็คือจู๋เฉวียนที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ในเมืองชิงหลู
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “ขอบคุณเจ้าสำนักจู๋”
จู๋เฉวียนโบกมือ นั่งลงข้างโต๊ะหิน มองเห็นกาเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะก็รีบกวักมือเอ่ยว่า “หากมีความจริงใจจริงๆ ก็รีบเชิญข้าดื่มเหล้าดับกระหายเสีย”
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงหยิบเหล้าข้าวออกมาหนึ่งกา “เป็นแค่เหล้าข้าวของบ้านเกิดเท่านั้น ไม่ใช่เหล้าหมักตระกูลเซียนบนภูเขา”
จู๋เฉวียนเปิดผนึกดิน แหงนหน้ากระดกดื่มอึกใหญ่ หลังจากเช็ดปากแล้วก็เอ่ยว่า “จืดชืดไปหน่อย แต่จะดีจะชั่วก็ยังเป็นเหล้าไม่ใช่น้ำ”
นางชำเลืองตามองคนหนุ่มที่นั่งอย่างสงบอยู่ฝั่งตรงข้าม ถามว่า “เจ้าสนิทกับโครงกระดูกผูหรือ? ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เจ้าฝึกประสบการณ์อยู่ในหุบเขาผีร้าย ต่อให้จะเกิดปะทะกับหยางหนิงซิ่งโดยตรง ข้าก็ไม่เคยคิดจะแอบดู จึงไม่รู้ว่าเจ้ามีความสามารถมากน้อยแค่ไหน ถึงสามารถทำให้ผูหรางออกกระบี่ช่วยเจ้าได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่สนิท หรือจะพูดให้ถูกก็คือเคยผิดใจกันเล็กน้อย ตอนที่อยู่สันเขาอีกา ข้าเคยต่อสู้กับผีสาวของนครฟูนี่ เป็นผูหรางที่มาขัดขวางไม่ให้ข้าไล่ฆ่าฟ่านอวิ๋นหลัว ภายหลังผูหรางยังเป็นฝ่ายมาหาข้าด้วยตัวเองหนึ่งครั้ง ข้าเห็นเขาสวมชุดเขียวสะพายกระบี่เลยถามเขาว่าเหตุใดถึงไม่ละโมบอยากได้กระบี่ยาวที่ข้าสะพายอยู่ด้านหลัง”
แม้จู๋เฉวียนจะบอกว่าเหล้าข้าวนี้รสชาติจืดจาง แต่กลับดื่มไม่หยุด เพียงไม่นานก็หมด นางตบกาเหล้าลงกับโต๊ะแรงๆ ถามว่า “แล้วผูหรางผู้นั้นตอบว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันเพียงยิ้ม ไม่ตอบคำถาม
จู๋เฉวียนร้องโอ้โหหนึ่งที เจ้าสองคนนี่เป็นคนจำพวกเดียวกันจริงๆ เลยนะ?
ทำไม สวมชุดเขียว ต่างก็ใช้กระบี่ ก็เลยร้ายกาจอย่างนั้นรึ?
แต่พอจู๋เฉวียนชำเลืองตามองกาเหล้าก็คิดว่า ช่างเถิด ดื่มเหล้าของคนอื่นเขาไปแล้ว จะอย่างไรก็ควรมีมารยาทสักหน่อย อีกอย่าง ในเมื่อมีเจียงซ่างเจินที่เป็นดั่งขี้หมากองอยู่ข้างหน้า ในสายตาของจู๋เฉวียน ไม่ว่าจะเป็นบุรุษต่างถิ่นคนใดก็ล้วนเป็นชายที่ดีประดุจบุปผา แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านั้นคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ได้ใช้ถ้อยคำว่า ‘เฉินผิงอันแห่งภูเขาพีอวิ๋นต้าหลี’ เป็นการแนะนำตัวเองอย่างตรงไปตรงมา การค้าขายครั้งนั้นค่อนข้างจะถูกใจจู๋เฉวียน และแน่นอนว่านางต้องเคยได้ยินชื่อภูเขาพีอวิ๋นมาก่อน แม้กระทั่งเว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีก็ยังเคยได้ยินชื่อมาหลายครั้ง ช่วยไม่ได้ เส้นทางการทำเงินของสำนักพีหมาในทวีปอื่นก็ได้แต่พึ่งเรือข้ามทวีปลำนั้นแล้ว อีกทั้งประโยคที่สองที่คนซึ่งเรียกตัวเองว่าเฉินผิงอันผู้นี้เอ่ย นางก็เชื่อเหมือนกัน คนหนุ่มบอกว่าเขาได้ครอบครองท่าเรือข้ามฟากบนภูเขาหนิวเจี่ยวครึ่งหนึ่ง ดังนั้นห้าร้อยปีต่อจากนี้ ทุกครั้งที่เรือข้ามฟากของสำนักพีหมาไปจอดเทียบท่าล้วนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญนั่น จู๋เฉวียนรู้สึกว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการค้ายาวนานที่ข้าผู้อาวุโสไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว ต้องตอบรับอย่างแน่นอน! หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ใครจะกล้าพูดว่าเจ้าสำนักอย่างนางคือสตรีล้างผลาญ?
แต่จู๋เฉวียนก็ยังมีโทสะอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะเจ้าคนตรงหน้าผู้นี้เหมือนโครงกระดูกผูที่เป็นศัตรูคู่แค้นกับตนเกินไป จึงยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าทำสิ่งที่เกินความจำเป็นไปแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เจ้ามาหาข้า ไม่จำเป็นต้องยื่นข้อเสนอใดๆ เลย เพราะขอแค่เป็นการเล่นงานทางเหนือ อย่าว่าแต่นครจิงกวานเลย ไม่ว่าจะเป็นโครงกระดูกใดๆ ก็ตามที่ข้าเกลียดขี้หน้า ข้าก็พร้อมจะลงมือขัดขวางทั้งนั้น คราวนี้เจ้าเสียดายแล้วหรือไม่? ใจสั่นระรัวเลยหรือเปล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าสำนักจู๋มีคุณธรรมและความห้าวหาญ นี่คือมาดของสำนักใหญ่ที่สำนักพีหมามีอยู่ แต่ข้าเป็นแขกคนหนึ่ง เป็นเด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง จะไม่รู้จักวางตัวเข้าสังคมไม่ได้ มารยาทที่ควรมี ถึงอย่างไรก็ยังต้องมี”
จู๋เฉวียนนวดคลึงปลายคาง “เป็นคำพูดที่ไพเราะก็จริง แต่เหตุใดถึงได้ระคายหูข้านักล่ะ”
เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าออกมาอีกหนึ่งกา
จู๋เฉวียนพยักหน้ายิ้มเอ่ย “แม้ว่าคำพูดจะระคายหู แต่มองเจ้าแล้วกลับถูกชะตามากขึ้น”
ส่วนเฉินผิงอันก็หยิบเหล้าข้าวกาที่ก่อนหน้านี้ยังดื่มไม่หมดขึ้นมาดื่มช้าๆ
จู๋เฉวียนชำเลืองตามองวิธีการดื่มสุราที่เนิบนาบของคนหนุ่มตรงหน้าแล้วก็ส่ายหน้า ขัดหูขัดตาขึ้นมาอีกแล้วแหะ
“ไม่ต้องเอาเหล้าออกมาอีกแล้ว”
จู๋เฉวียนดื่มเหล้ากาที่สองหมดก็เอากาเปล่าวางบนโต๊ะ “คราวนี้โครงกระดูกผูทำให้นครจิงกวานโมโหจริงๆ แล้ว หลังจากนี้คงอยู่ไม่เป็นสุขนัก เพียงแต่ว่าเจ้าหมอนี่ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เกาเฉิงเองก็รำคาญเขา หากจะสู้กัน ไม่ลงแรงเต็มกำลังก็ไม่ได้ แต่หากสู้กันถึงเป็นถึงตาย เขาสามารถสังหารโครงกระดูกผูได้ก็จริง เพียงแต่ว่านครจิงกวานเองก็ต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปส่วนหนึ่ง แต่ถ้าไม่ตีกันก็ไม่ได้อีก เพราะถึงอย่างไรคราวนี้เกาเฉิงขายหน้ามาก อย่างแรกคือฆ่าเจ้าไม่สำเร็จ แล้วยังถูกแหผุๆ ของเจ้าชาติหมาเจียงรัดพันไว้เป็นพักใหญ่ รอจนเกาเฉิงถอยกลับไปยังหุบเขาผีร้ายแล้ว เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นอย่างไร เขาดันตัดใจฉีกกระชากให้แหที่ล้วนมีแต่เงินเกล็ดหิมะปากนั้นย่อยยับไม่ลง จึงได้แต่ฝืนใจเก็บมันเอาไว้ ฮ่าๆ บางทีก่อนหน้าที่เกาเฉิงจะมีชื่อเสียงอยู่ในชายหาดโครงกระดูกก็คงเคยชินกับนิสัยมัธยัสถ์อดออมเช่นนี้มาก่อน พอมีชื่อเสียง คิดไม่ถึงว่าจะยังมีวันนี้อีก! นึกไม่ถึงเลยว่าชีวิตนี้เจ้าคนบ้าตัณหาจิตใจดำมืดดุจอสรพิษอย่างเจียงซ่างเจินจะทำเรื่องดีๆ กับเขาเป็นด้วย”
จู๋เฉวียนอารมณ์ดีสุดขีดจึงหัวเราะเสียงดังไม่หยุด แล้วก็ยื่นมือออกมาอีกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติ
เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ หยิบเหล้าหมักข้าวกาที่สามมาวางลงบนโต๊ะ
จู๋เฉวียนเริ่มดื่มเหล้ากาที่สาม คงจะรู้สึกว่าหากยังรีดไถเอาสุราจากคนอื่นมาดื่มอีกคงไม่เหมาะสมนัก จึงเริ่มจิบเหล้าคำเล็กๆ ดื่มอย่างประหยัดเช่นกัน
เป็นเจ้านครจิงกวานผู้นั้นอย่างที่คาดจริงๆ ด้วย
คือวิญญาณวีรบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหุบเขาผีร้าย
ก่อนหน้านี้ขณะที่เฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะออกไปจากหุบเขาผีร้ายก็เคยคาดเดาไว้อย่างหนึ่ง เขาคัดกรองผีก่อกำเนิดทางทิศเหนือที่มีบันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ทั้งหมดอย่างละเอียดหนึ่งรอบ เกาเฉิงแห่งนครจิงกวาน แน่นอนว่าเขาก็คิดถึงเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าความเป็นไปได้มีไม่มาก เพราะก็เหมือนกับผูหรางแห่งนครกรงขาว หรือไม่ก็ยอดฝีมือสองท่านแห่งวัดหยวนเยว่ใหญ่และอารามเสวียนตูเล็กในป่าท้อที่เขาเดินผ่านแต่ไม่ได้แวะเข้าไป ที่ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไหร่ โลกทัศน์ก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น ประโยคที่เฉินผิงอันเอ่ยริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอว่า ‘สามารถบรรลุผลเช่นนี้ ก็ควรจะมีใจเช่นนี้’ อันที่จริงขอบเขตในการนำไปใช้นับว่าไม่แคบ แน่นอนว่านอกจากผู้ฝึกตนอิสระแล้ว บนโลกนี้ก็ยังมีเรื่องไม่คาดคิดอีกมากมาย ไม่มีเรื่องอะไรที่ตายตัวเสมอไป ดังนั้นต่อให้เฉินผิงอันจะรู้สึกว่าคำกล่าวของหยางหนิงซิ่งที่บอกว่ามีคนลอบมองมาจากทางเหนือ ความเป็นไปได้ที่จะเป็นเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานจะมีน้อยที่สุด แต่เฉินผิงอันกลับเป็นคนที่เคยชินกับการคิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด จึงมองเกาเฉิงเป็นศัตรูที่ถูกสมมติขึ้นทันที!
ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันที่ไปอยู่ในเมืองชิงหลูแล้ว และสถานที่ฝึกตนของเจ้าสำนักจู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมาก็อยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าว ยังจำเป็นต้องสิ้นเปลืองยันต์ย่อพื้นที่สองแผ่นแหวกม่านฟ้าหนีออกมาจากหุบเขาผีร้ายอีกหรือ? อีกทั้งก่อนหน้านั้นเขาก็เริ่มแน่ใจแล้วว่าในเมืองชิงหลูมีหูตาของนครจิงกวานซ่อนตัวอยู่ จึงจงใจไปเยือนนครถงโช่วซ้ำอีกรอบ สถานการณ์ที่ต้องช่วยเหลือตัวเองนี้ได้เริ่มโคจรเงียบๆ อย่างแท้จริงนับตั้งแต่ที่โยนเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นไปให้ผีผู้บัญชาการณ์คนเฝ้าประตูเมืองนครถงโช่วแล้ว
—–