กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 500.1 ต้นกำเนิดน้ำเป็นไหลลงสู่ผืนนาหัวใจ
เจียงซ่างเจินรีบเช็ดปาก พูดอย่างน่าสงสารว่า “ต่อให้อยู่ในซากปรักตระกูลเซียนแห่งนี้ การเรียกชื่ออริยะโดยตรงก็ยังไม่เหมาะสมอยู่ดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บุญคุณความแค้นบางอย่าง จะด่ามากขึ้นหรือด่าน้อยลงก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
“เฉินผิงอัน เจ้าพูดความในใจที่แท้จริงกับข้ามาเถอะ”
เจียงซ่างเจินกะพริบตาปริบๆ ขยับก้นเล็กน้อย ชี้ไปที่เหนือศีรษะ “ท่านผู้นั้นคิดจะฆ่าเจ้าให้ตายจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้ถึงขนาดนั้น บัญชีเก่าถือว่าชำระกันไปได้พอสมควรแล้ว คนเขาเป็นถึงนายท่านเจ้าลัทธิที่ดูแลปวงประชาตลอดทั้งใต้หล้า ไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้นมาสนใจข้า แต่แน่นอนว่าคงจะเห็นข้าขวางหูขวางตา เพราะฉะนั้นในอนาคตจะไปท่องเที่ยวที่ใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่ ข้าก็ยังลังเลอยู่มาก”
เก้าทวีปของใต้หล้าไพศาล และยังมีอีกสามใต้หล้าที่เหลือ เฉินผิงอันล้วนอยากจะไปเยือนให้ครบทุกที่
เจียงซ่างเจินถึงได้ขยับมานั่งบนราวระเบียงอีกครั้ง หากลู่เฉินตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเล่นงานเฉินผิงอัน เขาก็จะวิ่งกลับไปเป็นเต่าหดหัวอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งแจกันสมบัติทวีปแต่โดยดี ถึงอย่างไรน้ำในทะเลสาบก็ลึกขนาดนั้น ไม่เป็นตะพาบไม่เป็นเต่า หรือจะให้เป็นนกที่โบยบินออกจากผืนป่า? ตาเฒ่าสวินพร่ำพูดเป็นหมื่นรอบแล้วว่าพอไปถึงทะเลสาบซูเจี่ยนจะต้องรีบเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ทำตัวเป็นงูเจ้าถิ่นตัวหนึ่ง อย่าได้ทำตัวเป็นมังกรข้ามแม่น้ำอะไรเด็ดขาด
เฉินผิงอันกล่าว “ข้ารู้ดีว่าเรื่องบางอย่างเจ้าก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็แค่พูดเรื่องที่พอจะพูดได้ให้ฟังหน่อยได้ไหม?”
เจียงซ่างเจินจิบเหล้าหนึ่งคำ พยักหน้ารับ “เกาเฉิงมีจิตใจที่ทะเยอทะยานอย่างมาก เป็นความทะเยอทะยานที่สามารถทำให้คนตกใจตายได้ เขาถึงขนาดคิดจะสร้างวังยมบาลเมืองเฟิงตูที่อยู่ควบระหว่างโลกแห่งแสงสว่างและโลกแห่งความมืดขึ้นมา การเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ล้วนเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ หากเขาทำสำเร็จ ก็จะมีข้อดีที่ใหญ่เทียมฟ้าอยู่สองอย่าง หนึ่งคือลมและน้ำของหุบเขาผีร้ายจะไหลย้อนกลับ ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตมหัศจรรย์ที่คล้ายคลึงกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล ไม่ใช่ฟ้าดินขนาดเล็กอะไรอีกต่อไป จะมีครบทั้งสามอย่างทั้งฟ้าดินและมนุษย์ สรรพสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงหลากหลาย จะมีพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก มีสี่ฤดูกาล มีสภาพอากาศที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันอย่างแท้จริง เขาเกาเฉิงก็คือเทพเทวดาบนสรวงสวรรค์อย่างสมชื่อ เมื่อเทียบกับอริยะทุกคนที่นั่งบัญชาการณ์ฟ้าดินขนาดเล็กแล้วยังถือว่าสูงกว่าอีกหนึ่งระดับ ไม่แน่ว่าอาจเดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว เกาเฉิงจะได้เลื่อนจากขอบเขตหยกดิบข้ามขอบเขตเซียนเหริน เลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยานไปโดยตรงอย่างรวดเร็ว ถึงเวลานั้นเกาเฉิงก็จะคล้ายคลึงกับ…สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดบนโลกไม่กี่ตนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้เหล่านั้น จะได้รับอิสระเสรีที่แท้จริง สามารถฝ่ากรงขังของฟ้าดินไปได้ คนที่สามารถฆ่าเขาได้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเนื่องจากมองไปสูงมองไปไกล จึงไม่แน่เสมอไปว่าจะลงมือ ส่วนคนที่อยากจะสังหารเกาเฉิงอย่างแท้จริง กลับไม่อาจทำได้”
“นอกจากนี้แล้วสงครามการเข่นฆ่าใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ต่อให้ถูกสำนักพีหมากดกำราบอยู่ในหุบเขาผีร้ายจนเงยหัวไม่ขึ้น แต่กระนั้นเกาเฉิงและนครจิงกวานก็ถือว่ายืนอยู่ในสถานะมิพ่ายได้อย่างมั่นคง ถึงขั้นที่ว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมาทุกคนที่รบตายไปก็จะเท่ากับว่าช่วยเพิ่มรากฐานส่วนหนึ่งให้กับหุบเขาผีร้าย หากเกิดเรื่องใดๆ ขึ้นที่ศาลบรรพจารย์บนภูเขามู่อีอีก ไม่ทันระวังปล่อยให้เกาเฉิงนำกองทัพบุกออกมาสังหารถึงชายหาดโครงกระดูก จะต้องเดือดร้อนไปถึงราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติที่อยู่ตามลำคลองเหยาเย่ทางทิศเหนือ ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่สำนักพีหมาที่มีผู้ฝึกตนไม่ถึงสองร้อยคนเลย ต่อให้ร่วมมือกับตระกูลเซียนทางทิศใต้ทั้งหลายที่มีอักษรตัวจงอยู่ในชื่อ ก็ไม่มีทางได้เปรียบใดๆ เลย”
เจียงซ่างเจินใช้สองนิ้วคีบหูกาเหล้าแกว่งเบาๆ พลางเอ่ยเนิบช้า “ดังนั้นการกระทำเช่นนี้ของเกาเฉิงจึงเป็นเรื่องที่ละเมิดข้อต้องห้ามอย่างใหญ่หลวง แต่เกาเฉิงสามารถเปลี่ยนจากพลทหารราบธรรมดาที่ไร้แซ่ไร้สัญชาติคนหนึ่งเดินมาถึงก้าวนี้ได้ แน่นอนว่าต้องไม่โง่ จะลงมือทำอะไรล้วนกะน้ำหนักได้อย่างพอดิบพอดี วางแผนรอบคอบทุกก้าวย่าง ข้าเดาว่าภายในร้อยปี เขามีแต่จะยับยั้งตัวเองอย่างสุดความสามารถ เมื่อฮุบกลืนสำนักพีหมาได้แล้วก็จะหยุดมือ พอควบรวมอาณาเขตของชายหาดโครงกระดูกได้ เกาเฉิงก็จะหยุดเพียงเท่านี้ จากนั้นภายในระยะเวลาพันปี จะผูกสัมพันธ์กับคนไกลโจมตีคนใกล้ วางกลอุบายให้ภายในปรองดองภายนอกแตกแยก พยายามจะฮุบกลืนสำนักที่มีอักษรจงในชื่อมาเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง ค่อยๆ วางแผนไปทีละขั้น นี่ก็จะทำให้นครจิงกวานมีความชอบธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อจะทำอย่างไร ก็บอกได้ยาก เพราะกฎเกณฑ์มีมากเกินไป มักจะทะเลาะกับตัวเอง ไปๆ มาๆ ในสถานการณ์หลายๆ อย่างจึงมักจะกลายเป็นว่าไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว”
“เป็นเหตุให้ช่วงเวลาระหว่างนี้ กลุ่มอิทธิพลที่จะปะทะกับเกาเฉิงอย่างเอาเป็นเอาตาย แท้จริงแล้วจะมีอยู่แค่สองกลุ่ม หนึ่งก็คือสำนักพีหมาที่คนตลอดทั้งสำนักมีนิสัยดื้อรั้น นอกจากนี้ก็คือลาหัวโล้นของลัทธิพุทธแล้ว เพราะถึงอย่างไรหากคนอื่นมาสร้างเมืองเฟิงตูอยู่ในโลกมนุษย์ บุกเบิกสังสารวัฎหกวิถีขึ้นมาโดยพลการ ย่อมเป็นสิ่งที่ลัทธิพุทธไม่ยินดีจะได้เห็นอย่างแน่นอน ส่วนลัทธิเต๋าของอุตรกุรุทวีป สกุลหยางตำหนักนภากาศของหน่วยฉงเสวียนราชวงศต้าหยวน รวมไปถึงเทียนจวินเซี่ยสือ กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะรังเกียจการกระทำของเกาเฉิง คาดว่าฝ่ายแรกคงจะนั่งภูดูเสือกัดกัน ปล่อยให้เกาเฉิงกับกองกำลังลัทธิพุทธของอุตรกุรุทวีปลดทอนกำลังกันไปเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายหลังที่ถูกลดทอนอำนาจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ส่วนสาเหตุนั้น เจ้าเองก็น่าจะรู้แล้ว ข้าคงไม่พูดให้มากความ”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ประโยค ‘กระบี่บินอย่าไป’ นั้น เกาเฉิงเป็นคนตะโกนออกมาจากปากเอง”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ก้มหน้าลงมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วก็หวนนึกถึงรายละเอียดเล็กน้อยอย่างหนึ่งก่อนหน้านี้ขึ้นมา “เข้าใจแล้ว อย่างข้านี่เรียกว่าเด็กถือทองเดินอวดในตลาด แล้วก็ดันเดินไปชนกับเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานอย่างจัง มิน่าเล่าเกาเฉิงถึงได้โมโหขนาดนี้ หากไม่เป็นเพราะศาลบรรพจารย์บนภูเขามู่อีเปิดค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขา คาดว่าต่อให้ข้าหนีออกจากหุบเขาผีร้ายมาได้ ก็คงไม่อาจออกมาจากชายหาดโครงกระดูกได้อยู่ดี”
เจียงซ่างเจินโบกมือกล่าว “เด็กอะไรกัน เจ้าไม่จำเป็นต้องดูแคลนตัวเองขนาดนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นคำว่าราษฏรไม่มีความผิด เพราะถือหยกติดตัวจึงมีความผิดจะเหมาะสมกว่า”
เฉินผิงอันถาม “ตอนนี้เกาเฉิงคิดจะทำอะไร?”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “คาดว่าคงกำลังทิ่มหุ่นฟางอยู่ในนครจิงกวานกระมัง หากโชควาสนาหลุดลอยไปแล้ว คิดจะคว้าไว้อีกครั้งก็ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ เรื่องราวประเภทนี้ยากที่จะใช้หลักการเหตุผลมาอธิบายให้เข้าใจ แต่คนบนภูเขา จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ ยิ่งเป็นคนเฒ่าคนแก่ก็ยิ่งเชื่อ ดังนั้นกลับกลายเป็นว่าตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลให้มากนัก รอดพ้นจากหายนะใหญ่มาได้ย่อมต้องมีโชคดีรออยู่”
เฉินผิงอันยิ้มจืดเจื่อน “ตอนนี้ข้าไม่กล้าออกไปจากภูเขามู่อีด้วยซ้ำ ยิ่งไม่กล้าเดินทางขึ้นเหนือผ่านชายหาดโครงกระดูก สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเกาเฉิงจะแอบออกจากหุบเขาผีร้าย เอาดาบมาจ้วงแทงข้าซ้ำหรือไม่”
ขณะที่เจียงซ่างเจินกำลังจะอธิบายอย่างจริงจัง
เฉินผิงอันพลันหันไปมองทิศไกล สายตามืดทะมึน “หากเปลี่ยนข้าเป็นเกาเฉิง ขอแค่เฉินผิงอันยังกล้าท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีป ก็ต้องตายอย่างแน่นอน”
ทันใดนั้นเจียงซ่างเจินก็พูดอะไรไม่ออกอีก
พูดมากไป เกลี้ยกล่อมให้เฉินผิงอันอยู่เที่ยวในอุตรกุรุทวีปต่อ กลับจะกลายเป็นว่าตนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มให้ “เจียงซ่างเจิน ตอนอยู่ในหุบเขาผีร้าย เหตุใดเจ้าถึงต้องทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น จงใจผูกปมแค้นกับเกาเฉิง? หากข้าเดาไม่ผิด อิงตามคำบอกของเจ้า ในเมื่อเกาเฉิงเป็นคนที่มีจิตใจห้าวหาญหยิ่งทระนงถึงเพียงนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเลือกทำการค้ากับสำนักกุยหยกของเจ้า เจ้าก็สามารถคล้อยตามสถานการณ์กลายไปเป็นแขกผู้มีเกียรติของนครจิงกวานได้”
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นเพราะข้าทำอะไรไปตามอารมณ์ ข้าคนนี้ทนเห็นสตรีถูกรังแกไม่ได้มากที่สุด แล้วก็ทนฟังถ้อยคำฮึกเหิมสั่งสอนคนอื่นที่ชวนให้ขนพองสยองเกล้าอย่างที่ผูหรางเอ่ยไม่ได้มากที่สุด”
เฉินผิงอันยื่นกาเหล้าออกมา เจียงซ่างเจินหยิบกาเหล้าของตัวเองออกมาชนกับเขาเบาๆ แล้วต่างคนก็ต่างดื่มกันไปคนละอึก
เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยว่า “เจ้ารู้สึกว่าจู๋เฉวียนเป็นคนอย่างไร แล้วผูหรางล่ะเป็นคนอย่างไร? ยังมีสำนักพีหมานี่อีก นิสัยเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “คู่ควรแก่การเลื่อมใส”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “ถ้าหาก ข้าบอกว่าถ้าหาก เจ้าจะยังท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีป ก็ต้องระวังตัวให้มากแล้ว พื้นที่แถบนี้มีคนอย่างจู๋เฉวียน ผูหรางอยู่ก็จริง แต่ก็อาจจะมีคนที่มองดูเหมือนไม่ต่างจากจู๋เฉวียนและผูหราง แต่แท้จริงแล้วกลับเจ้าเล่ห์และชั่วร้ายยิ่งกว่าข้าเจียงซ่างเจิน”
เจียงซ่างเจินดื่มเหล้าช้าๆ “ข้าเคยเสียเปรียบครั้งใหญ่ที่สุดในอุตรกุรุทวีปมาสองครั้ง หนึ่งครั้งในนั้นก็เป็นเช่นนี้ เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งแล้วยังช่วยคนเขานับเงินอีกต่างหาก ลองมองย้อนกลับไปดู ที่แท้คนที่แทงมีดใส่ข้ากลับกลายเป็นว่าคือสหายที่ดีที่สุดในอุตรกุรุทวีป ความรู้สึกย่ำแย่ที่จนถึงทุกวันนี้ข้าก็ยังคงจำได้ขึ้นใจเช่นนั้น จะพูดอย่างไรดีล่ะ มันแย่สุดๆ ไปเลย ตอนนั้นความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว ไม่ใช่ความสิ้นหวังหรือความเดือดดาลอะไรทั้งนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าข้าเจียงซ่างเจินทำผิดตรงไหนหรือเปล่า ถึงได้ทำให้เจ้าที่เป็นสหายต้องทำเช่นนี้”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าจะระวัง”
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ หน้าม่อยซึมเศร้า พูดอย่างน่าสงสารว่า “หากรู้แต่แรกว่าเจ้ามีความแค้นกับคนผู้นั้น ตีให้ตายข้าก็ไม่มีทางมาเยือนหุบเขาผีร้ายแน่ ข้าจะต้องมาทำไมกันนะ”
เฉินผิงอันอยากจะหัวเราะ แต่กลับรู้สึกว่าอาจดูไม่มีคุณธรรมสักเท่าไหร่ จึงรีบดื่มเหล้า ดื่มเอาทั้งเสียงหัวเราะและสุรากลับลงท้องไป
เจียงซ่างเจินโคลงศีรษะ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็เอ่ยว่า “จะบอกข่าวที่ไม่ค่อยดีแก่เจ้าข่าวหนึ่ง หยางหนิงซิ่งของตำหนักนภากาศที่เป็นเมล็ดพันธ์เต๋าตั้งแต่เกิดผู้นั้น เขาใช้วิธีพิฆาตสามอสุภะจนสุดท้ายเหลือเมล็ดงาแห่งความคิดชั่วร้ายเมล็ดนั้นเอาไว้ แม้ว่าบัณฑิตจะต้องเสียเปรียบเจ้าไปตลอดทาง แต่นั่นไม่ได้ถ่วงธุระสำคัญของคนเขาเลย นักพรตเฒ่าของอารามเสวียนตูเล็กน่าจะช่วยปกป้องเขาระหว่างเดินทาง อีกทั้งสุดท้ายยังได้ปลาหลั่วสีทองที่ค่อนข้างจะมีราคาคู่นั้นไปจากโพรงมังกรเฒ่า พวกมันถูกเลี้ยงอยู่ในมือตะพาบเฒ่ามาพันปี ก่อนหน้านั้นอย่างน้อยก็ต้องมีชีวิตอยู่มาแล้วพันปี นี่คือโชควาสนาที่ไม่ถือว่าเล็ก เจ้าอย่าได้รู้สึกว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เพราะหากเป็นสิ่งของที่ข้าเจียงซ่างเจินวิจารณ์ว่า ‘ค่อนข้างจะมีราคา’ ได้นั้น ก็แสดงว่ามันมีราคาจริงๆ ดูจากโชควาสนาของเจ้าเด็กนี่ สามารถเรียกได้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เขากำลังรุ่งโรจน์สุดขีด หากเจ้าออกไปจากหุบเขาผีร้าย นางไม่อยู่แล้ว และจากนั้นเจ้าก็เดินทางท่องเที่ยวต่อเพียงลำพัง หากเจ้าไปเจอกับบัณฑิตผู้นั้นที่ราชวงศ์ต้าหยวนขึ้นมา เวลาที่ต้องประมือกันก็มีแต่จะยิ่งเปลืองแรง”
เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อเทียบกับเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานแล้ว เรื่องพวกนี้จะนับเป็นอะไรได้”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “เจ้ารู้รากฐานของหยางหนิงซิ่งได้อย่างไร? เจ้าไม่ได้มาอุตรกุรุทวีปกี่ปีแล้ว?”
เจียงซ่างเจินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าในอุตรกุรุทวีปนี้ ข้ามีสตรีคนรู้ใจอยู่กี่คน? แทบจะทุกๆ หนึ่งร้อยปีจะต้องมีคนสองคนไปหาข้าที่สำนักกุยหยก ใช้ข้ออ้างต่างๆ นานาว่าอยากพบข้าเพื่อพูดคุยเรื่องเก่าๆ ถึงขั้นที่ว่ายังมีคนหนึ่งไปเยือนถึงพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาโดยเฉพาะ พระคุณของสาวงามยากที่จะรับได้ไหวมากที่สุดก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง ดังนั้นข้าจึงรู้เรื่องราวในอุตรกุรุทวีปประดุจลายมือของตัวเอง”
เฉินผิงอันเหล่ตามองเขา “บุรุษถูกสตรีมากมายมาชื่นชอบ แน่นอนว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง แต่หากบุรุษสามารถรักเดียวใจเดียวได้ นั่นต่างจึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริง”
เจียงซ่างเจินโบกมือ “เส้นทางต่างมิอาจร่วมเดิน ใต้หล้านี้เรื่องเดียวที่จะทำให้ข้าเจียงซ่างเจินใจเดียวไม่แปรเปลี่ยนได้ ชั่วชีวิตนี้ก็มีแค่เรื่องการใช้เงินเท่านั้น”
เฉินผิงอันคิดขึ้นมาได้ว่าการมาเยือนหุบเขาผีร้ายของตนในครั้งนี้ เมื่อมาลองนึกย้อนดู ก็เรียกได้ว่าเอาชีวิตเล็กๆ ไปทุ่มอยู่กับการเก็บตกของดีทั่วทุกหนแห่ง เทียบกับพวกผู้ฝึกตนอิสระแล้วยังเรียกว่าเอาหัวไปผูกไว้บนสายรัดเอวเพื่อหาเงินยิ่งกว่าเสียอีก ผลกลับกลายเป็นว่าต้องมาได้ยินเจ้าเจียงซ่างเจินพูดแบบนี้กับข้า?
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็หยิบชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาที่ดึงออกมาจากร่างของหยางหนิงซิ่ง เรื่องที่เจียงซ่างเจินบอกว่านักพรตเฒ่าแห่งอารามเสวียนตูเล็กช่วยปกป้องเขา น่าจะเป็นตอนนั้นที่อยู่ริมหน้าผาสะพานเหล็ก ก่อนที่จิตของหยางหนิงซิ่งจะกลับเข้าไปก็ได้เหลือบสายตามองไปทางอื่นอย่างน่าสงสัย ตอนนั้นเฉินผิงอันก็รู้สึกแล้วว่าผิดปกติ มีความเป็นไปได้ว่าหยางหนิงซิ่งจะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของนักพรตเฒ่า และคาดว่าหยางหนิงซิ่งเองก็รู้สึกว่าจะเป็นโชคหรือเคราะห์ก็ยังไม่แน่ จึงไม่ค่อยกล้าแน่ใจนักว่าเจตจำนงเดิมของนักพรตเฒ่าคือดีหรือร้าย
เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองชุดคลุมอาคมแล้วก็พยักหน้า นี่น่าจะเป็นการบอกว่าชุดคลุมนี้พอจะเข้าตาของเขาเจียงซ่างเจินได้ จากนั้นเขาก็เอ่ยเนิบช้าว่า “เมื่อเทียบกับชุดคลุมอาคมสีเขียวที่เจ้าสวมอยู่บนร่างแล้ว ตอนนี้ถือว่าระดับขั้นดีกว่าเล็กน้อย แต่พื้นฐานของมันกลับดีกว่าไม่รู้กี่เท่า เพราะชุดคลุมอาคมที่ดำปี๋ตัวนี้อาจจะมองดูอัปลักษณ์ไปหน่อย แต่กลับยังสามารถเติบโตได้ เหมือนพืชหญ้าบนโลกที่พอเจอกับฝนหรือน้ำค้างก็เจริญงอกงาม นี่ถือว่าเป็นส่วนเล็กๆ ที่มีมูลค่ามากที่สุดในบรรดาของวัตถุวิเศษ ชุดที่เจ้าเคยสวมตอนอยู่ใบถงทวีป และยังมีกระบี่เล่มที่อยู่ในมือของสุยโย่วเปียนก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ทว่าแต่ละอย่างล้วนมีระดับขั้นสูงต่ำต่างกัน ก็เหมือนกับขอบเขตของผู้ฝึกตน บางอย่างต่อให้ทุ่มทรัพยากรลงไป อย่างมากสุดก็ยังเป็นได้แค่เต่าที่คลานไปถึงโอสถทอง แต่บางอย่างกลับเป็นก่อกำเนิด ถึงขั้นอาจได้กลายเป็นห้าขอบเขตบน ในบรรดาสามสิ่งนี้ ชุดคลุมอาคมสีขาวหิมะที่เจ้าสวมในปีนั้นมีศักยภาพแฝงมากที่สุด สามารถเดินไปเหนืออาวุธกึ่งเซียน กระบี่ของสุยโย่วเปียนตามหลังมา มีโอกาสกลายเป็นของดีในกลุ่มอาวุธกึ่งเซียน ส่วนชุดคลุมอาคมที่เจ้าได้มาชิ้นนี้ อย่างมากสุดก็คืออาวุธกึ่งเซียน แต่กว่าจะเป็นเช่นนั้นได้กลับช้ามาก แถมยังต้องสิ้นเปลืองไม่น้อย”
เป็นความน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน
เดิมนึกว่าชุดคลุมอาคมชุดนี้จะไม่ต่างจากชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวและชุดคลุมเกล็ดหิมะ คิดไม่ถึงว่าระดับขั้นจะยังเหนือยิ่งกว่า
วันหน้าเมื่อท่องอยู่ในยุทธภพ สวมหน้ากาก สวมชุดนี้ คาดว่าหากคิดจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระก็น่าจะยิ่งคล่องแคล่วราบรื่นมากขึ้น
เฉินผิงอันหยิบยันต์สามแผ่นที่อยู่ในชายแขนเสื้อของชุดคลุมอาคมออกมา ยิ้มกล่าวว่า “ข้าแค่มองออกว่าเป็นยันต์ที่สร้างขึ้นด้วยวิธีการลับของตำหนักนภากาศ รู้จักตัวอักษรที่เขียน แต่ประวัติความเป็นมาและการนำไปใช้อย่างละเอียด รวมไปถึงศักยภาพว่ามีมากหรือน้อย กลับไม่รู้เลยสักอย่าง เจ้าลองประเมินดูสักหน่อยว่ามันจะมีมูลค่าได้สักเท่าไหร่?”
เจียงซ่างเจินรับยันต์สีทองสามแผ่นของตำหนักนภากาศนั้นมาไว้ในมือ “ยันต์จวนปี้เซียว เป็นสาขาของยันต์ขุนเขา คือหนึ่งในของดีที่หน่วยฉงเสวียนเชี่ยวชาญ ยันต์แสงสว่างอวี้ชิง พลังอำนาจเปี่ยมล้น ขอบเขตไม่เล็ก เพียงแต่ว่าพลังพิฆาตนั้นธรรมดา หากเอามาใช้แค่ข่มขู่คนก็นับว่าไม่เลว แผ่นสุดท้ายคือยันต์นภากาศพิฆาต นี่ต่างหากถึงจะเป็นของดีที่แท้จริง แก่นของยันต์ซ่อนแฝงแสงเทพเอาไว้สี่กลุ่ม ขนาดข้าที่ได้เห็นก็ยังหวั่นไหว แต่ว่ายันต์ที่ดี ใช่ว่าตกอยู่ในมือใครแล้วก็จะเอามาใช้ได้หมด จำเป็นต้องรู้คาถาลับในการ ‘เปิดประตู’ โดยเฉพาะยันต์พิฆาตที่ยิ่งเป็นการสืบทอดลับในการสืบทอดลับของตระกูลหยางตำหนักนภากาศอีกที บังเอิญยิ่งนัก ข้ากับพี่หญิงนักพรตคนหนึ่งของตำหนักนภากาศ แน่นอนว่านั่นคือความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งประหนึ่งทองคำ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ซื่อสัตย์จริงใจต่อกันทั้งวันและคืน…”
เจียงซ่างเจินพลันหันหน้ามามอง สีหน้าปั้นยาก
เฉินผิงอันไม่มีท่าทีว่าจะเอายันต์กลับคืน เขาจิบเหล้าคำเล็กแล้วเอ่ยว่า “รู้ว่ายันต์สามแผ่นนี้ต้องมีค่าเทียบกับแหปากนั้นของเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน เจ้าก็คิดซะว่ามีไว้ดีกว่าไม่มีก็แล้วกัน”
เจียงซ่างเจินเอามือตบยันต์ทั้งสามลงบนราวระเบียง พลางพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “อย่าดีกว่า เอากลับไปเถอะๆ ข้าเจียงซ่างเจินไม่ว่าจะหาเงินหรือใช้เงิน ฟ้าดินก็ล้วนมิอาจพันธนาการ! ความองอาจผ่าเผยของข้าไม่เป็นรองโครงกระดูกผูผู้นั้นแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเจียงซ่างเจิน “ไม่เอาจริงๆ หรือ? นี่เป็นความจริงใจที่ใหญ่ที่สุดที่ข้ามีให้แล้ว ข้าน่ะสู้เจ้าเจียงซ่างเจินที่มีกิจการบ้านเรือนยิ่งใหญ่ไม่ได้หรอกนะ แต่ไหนแต่ไรมาจะใช้เงินเหรียญทองแดงสักเหรียญก็ยังอยากจะบิแบ่งมันเป็นแปดส่วนด้วยซ้ำ”
เจียงซ่างเจินทอดถอนใจ “ช่างมีมโนธรรม”
เฉินผิงอันใช้ความเร็วราวกับฟ้าร้องไม่ทันยกมือป้องหูดึงเอายันต์ทั้งสามแผ่นกลับมาพร้อมกับชุดคลุมอาคม แล้วเก็บเข้าไปในวัตถุจื่อชื่อ ก่อนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเป็นคนดีแล้วก็เป็นให้ถึงที่สุด คาถาเปิดประตูของยันต์พวกนี้ ไหนลองบอกอย่างละเอียดสิ”
เจียงซ่างเจินเองก็ไม่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ใดๆ กลับกันคือรอยยิ้มยิ่งกดลึก ใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในหัวใจบอกวิธีการเปิดประตูของยันต์เหล่านั้นให้แก่เฉินผิงอันฟังทั้งหมดโดยละเอียด
เฉินผิงอันหยิบแส้สายฟ้าสีทองที่ขุดากภูเขาจีเซียวออกมาอีกหนึ่งเส้น ขนาดยาวเท่านิ้วมือ “ระดับขั้นและราคาของวัตถุชิ้นนี้เป็นอย่างไร”
เจียงซ่างเจินตอบ “คือวัตถุที่จำแลงมาจากเส้นสายของสายฟ้าที่ล้นออกมาจากในบ่อ เหมาะแก่การนำมาหลอมเป็นแส้โบยผี ถูกขนานนามให้เป็นสองสุดยอดแห่งโลกร่วมกับแส้โบยผีที่ทำขึ้นจากไม้ไผ่ของภูเขาชิงเสิน สามารถสยบกำราบเอาชนะภูตผีใต้ดินได้แต่กำเนิด เพียงแต่ว่าก็ต้องดูระดับขั้นของบ่อสายฟ้ากับไม้ไผ่เขียวของภูเขาชิงเสินด้วย ตัวของบ่อสายฟ้าภูเขาจีเซียวนับว่าด้อยกว่าเล็กน้อย หากเปลี่ยนไปเป็นของที่ภูเขาห้อยหัว วัตถุในมือเจ้าชิ้นนี้ไม่จำเป็นต้องหล่อหลอมก็สามารถกลายเป็นสมบัติอาคมก่อนกำเนิดชิ้นหนึ่งได้แล้ว แต่ตอนนี้ ระดับขั้นของมันเทียบได้กับวัตถุวิเศษก่อนกำเนิดที่ค่อนข้างดีเท่านั้น นอกจากนี้ขนาดของมันยังเล็กเกินไป หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงไม่คิดจะค้อมเอวไปขุดมันออกมาแน่”
เฉินผิงอันพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว หากมีโอกาสจะนำแส้ทองเส้นสายของบ่อสายฟ้าที่ยาวที่สุดแส้นั้นไปหลอมเป็นไม้เท้าเดินป่าหนึ่งอัน ตนจะนำมาใช้ก่อนช่วงหนึ่ง วันหน้าพอกลับไปถึงแจกันสมบัติทวีปก็สามารถนำไปมอบให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนได้พอดี สีทองอร่ามเปล่งประกาย มองดูแล้วชวนให้คนชื่นชอบ อาจารย์ชอบ แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ลูกศิษย์จะไม่ชอบ?
—–