กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 502.3 หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
เฉินผิงอันสอบถามเกี่ยวกับขุนนางบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองอีกเล็กน้อย แล้วก็ได้ยินว่ามีขุนนางผู้พิพากษาสองคน หกกองของเทพอภิบาลเมือง รวมไปถึงเทพท่องทิวาราตรีสององค์ และแม่ทัพถือโซ่ตรวนอีกหนึ่งคนจริงดังคาด ขุนนางใต้บังคับบัญชาที่ให้ความช่วยเหลือเทพอภิบาลเมืองเหล่านี้ต่างก็มีประวัติความเป็นมาแตกต่างกันออกไป เถ้าแก่ผู้เฒ่าล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาเล่าได้เป็นเรื่องเป็นราวน่าเชื่อถือ เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันถามว่าเคยเห็นท่านเทพอภิบาลเมืองแสดงอิทธิฤทธิ์เผยตัวให้เห็นหรือไม่ เถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับบื้อใบ้พูดไม่ออก สีหน้าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ตอบมาประโยคหนึ่งว่าชาวบ้านอย่างเราๆ จะสามารถเห็นร่างจริงของท่านเทพอภิบาลเมืองได้อย่างไร ต่อให้มายืนอยู่ตรงหน้าก็คงจะไม่รู้ว่าเป็นท่าน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตามหลักแล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้ คำโบราณบอกไว้ว่ายอดฝีมือที่แท้จริงไม่เปิดเผยตัว ผู้ที่เปิดเผยตัวไม่ใช่ยอดฝีมือที่แท้จริง คิดดูแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็คงจะเป็นเหมือนกัน”
สีหน้าของเถ้าแก่ผู้เฒ่าถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย
ระเบียบพิธีการของเทพอภิบาลเมืองแคว้นอิ๋นผิง โดยภาพรวมแล้วก็เหมือนกับแจกันสมบัติทวีป แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันเล็กน้อย นั่นก็คือในเรื่องของระดับขั้นและการตั้งบูชา
ทว่าในเรื่องการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ย้อนหลังของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแคว้นอิ๋นผิงนี้ ไม่ค่อยเหมือนกับปกติทั่วไปสักเท่าไร น่าจะเพราะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของร่างทองเทพอภิบาลเมืองของที่แห่งนี้ เป็นเหตุให้จำต้องแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ที่เกินขอบเขตให้แก่เทพอภิบาลเมืองในเมืองเล็กๆ ท่านหนึ่ง
หลังจากที่เฉินผิงอันออกจากร้านขายธูปก็มายืนอยู่บนถนนใหญ่ที่ผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ มองไปทางศาลเทพอภิบาลเมือง
ยอมนอนอยู่ในสุสานอย่างสงบ ดีกว่านอนอยู่ในวัดร้างผุพัง
ก็คือหลักการนี้
หากปราณวิญญาณระหว่างภูเขาแม่น้ำบนโลกหมุนเวียนผันเปลี่ยนก็ง่ายที่จะทำให้เกิดสถานการณ์ที่โชคและเคราะห์พลิกกลับสลับตำแหน่ง
เฉินผิงอันเลือกจะเดินไปทางศาลเทพอัคคี ภาพปรากฎการณ์ของศาลเทพอภิบาลเมืองยังไม่มีลางว่าจะพังทลาย น่าจะยังสามารถประคับประคองตัวไปได้อีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ทางฝั่งของศาลเทพอัคคีก็มีควันธูปโชติช่วงเช่นกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับภาพปรากฎการณ์อันวุ่นวายของศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว ควันธูปของที่แห่งนี้ดูใสสะอาดมั่นคงมากกว่า การรวมตัวและการแยกสลายล้วนเป็นระบบระเบียบ
แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้เดินเข้าไปด้านในเหมือนกัน ตอนนี้เขาสามารถใช้ปณิธานหมัดสยบเรื่องประหลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้แล้ว แต่หากก้าวเข้าไปในวัดในศาลเมื่อไหร่ จะชักนำสายตาของผู้อื่นให้จับจ้องมองมาโดยที่ไม่จำเป็นหรือไม่ เฉินผิงอันไม่แน่ใจนัก หากไม่เป็นเพราะการเดินทางมาเยือนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปครั้งนี้ฉุกละหุกเกินไป ตามแผนการเดิมที่เฉินผิงอันวางเอาไว้ก็คือจะต้องไปเยือนศาลเทพวารีลำคลองเหยาเย่บนชายหาดโครงกระดูกก่อน แล้วค่อยไปเยือนศาลใหญ่แห่งต่างๆ ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ เพื่อตรวจสอบสำรวจด้วยตัวเอง เพราะถึงอย่างไรศาลอย่างศาลเทพลำคลองเหยาเย่นี้ เจ้าของก็คือองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำที่เป็นเพื่อนบ้านกับสำนักพีหมา สายตาของพวกเขาย่อมสูง หากตนเดินเข้าไปจุดธูปกราบไหว้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าคนเขาจะเห็นเป็นสำคัญ คนเขาจะออกมาพบหน้าหรือไม่ ไม่อาจอธิบายอะไรได้ แต่สุดท้ายแล้วเทพลำคลองที่ใหญ่ที่สุดทางทิศใต้ของทวีปท่านนั้นไม่ได้เผยกายในศาล แต่กลับปลอมตัวเป็นคนถ่อเรือมาพบหน้า หมายจะช่วยเตือนให้ตนได้รับโชควาสนา
เฉินผิงอันเดินเข้าออกร้านธูปแถวศาลเทพอัคคีหนึ่งรอบเพื่อสอบถามถึงประวัติความเป็นมาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในศาล
มีอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่ค่อยต่างจากคำบอกเล่าของเถ้าแก่ผู้เฒ่าศาลเทพอภิบาลเมืองสักเท่าไหร่ องค์เทพที่เฝ้าพิทักษ์เมืองทิศใต้แห่งนี้ไม่เคยเผยร่างที่แท้จริงในตลาดมาก่อน ทว่าเรื่องราวของเขาที่ถูกเล่าสืบต่อกันมากลับมีมากกว่าเทพอภิบาลเมืองทางทิศเหนือเล็กน้อย อีกทั้งฟังดูแล้วน่าจะใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกชาวบ้านมากกว่าเทพอภิบาลเมือง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับการตกรางวัล การทำโทษ การหยอกเย้าคนบนโลกเล่น อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ยาวไกล เพียงแต่ว่าสืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย ถึงยังแพร่มาถึงคนรุ่นหลัง หนึ่งในนั้นมีเรื่องเล่าที่บอกว่าท่านเทพแห่งศาลอัคคีท่านนี้เคยมีความขัดแย้งกับ ‘เจ้าแห่งทะเลสาบ’ ของทะเลสาบฉางอวิ๋นที่เกิดน้ำล้นน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง มีฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำของศาลสุ่ยเซียนท่านหนึ่งเคยทำให้ท่านเทพอัคคีโมโห ทั้งสองฝ่ายจึงลงไม้ลงมือต่อกัน เจ้าแห่งคูน้ำของสายน้ำใหญ่ท่านนั้นมิใช่คู่ต่อกรของเทพอัคคีจึงไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าแห่งทะเลสาบ ส่วนผลลัพธ์ในท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่ามีเซียนกระบี่ที่ไม่เคยเอ่ยนามท่านหนึ่งเดินทางผ่านมาช่วยเกลี้ยกล่อมองค์เทพทั้งสอง ถึงทำให้เจ้าแห่งทะเลสาบไม่ได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารเรียกให้น้ำท่วมกลบทับเมืองสุยเจี้ย
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ออกจากเมืองสุยเจี้ยไปโดยตรง แล้วเลือกทางเส้นเล็กของสันเขาเส้นหนึ่งไปเยือนศาลสุ่ยเซียนที่อยู่ในอาณาเขตของทะเลสาบฉางอวิ๋นอย่างลับๆ หากองค์เทพที่แต่งตั้งตัวเองว่าเป็น ‘เจ้าแห่งคูน้ำ’ แต่แท้จริงแล้วระดับขั้นแค่เทียบได้แค่แม่ย่าลำคลองผู้นั้นยังอยู่จริงๆ เขาก็สามารถลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดูได้ ดูสิว่าจะสืบเอาเรื่องวงในของเมืองสุยเจี้ยออกมาจากปากนางได้หรือไม่ หากเป็นหายนะที่จะทำให้คนทั้งเมืองเดือดร้อน เขาคงต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยสักหน่อย แต่หากเป็นแค่การตีกันของเทพเซียนในสถานที่เล็กๆ ก็ดูไปก่อนค่อยว่ากัน
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันเดินเลียบลำธารที่กว้างใหญ่สายหนึ่งจนมาถึงด้านข้างของศาลแห่งหนึ่ง ระหว่างทางเต็มไปด้วยกอหญ้ารกชัฏ ไร้เงาผู้คน นี่แสดงให้เห็นว่าควันธูปของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้เบาบางมากเพียงใด
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วศาลแห่งนี้อยู่ห่างจากตลาดเมืองเล็กมาแค่ไม่กี่สิบลี้เท่านั้น
แต่ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งที่เป็นจุดตัดระหว่างลำธารกับทะเลสาบก็ได้เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังถือคบไฟเดินมุ่งหน้าไปยังศาลแห่งนั้น
เฉินผิงอันจึงสะกดรอยตามอีกฝ่ายไป แอบฟังพวกเขาคุยกันแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กหนุ่มและหนุ่มฉกรรจ์ที่กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำพวกนี้กำลังแข่งกันว่าใครมีความกล้าหาญมากกว่ากัน ดูสิว่าใครที่เข้าไปในศาลแล้วกล้าเกี้ยวพาเหนียงเนียงเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้น อันที่จริงเรื่องแบบนี้พบเห็นได้บ่อยในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ปีนั้นในเมืองเล็กบ้านเกิดเฉินผิงอันก็มี หากมีเด็กของบ้านใดกล้าไปนอนที่สุสานเทพเซียนหนึ่งคืน นั่นก็แสดงว่าเขาคือชายชาตรีวีรบุรุษที่สามารถค้ำฟ้ายันดินได้ ในตรอกซิ่งฮวาเคยมีคนวัยเดียวกันบอกว่าเขาไปนอนที่สุสานเทพเซียนมาหนึ่งคืน ผลคือตอนที่เขาเล่าเรื่องนี้อยู่ใต้ต้นไหวโบราณอย่างห้าวเหิม ก็ทำให้ได้รับความเลื่อมใสจากคนวัยเดียวกันมากมายที่มานั่งฟัง ‘เมื่อผ่านศึกนี้มา’ เขาก็ได้กลายเป็นราชันย์ของกลุ่มเด็กในแถบตรอกซิ่งฮวา ช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาก็เห็นการรังแกเฉินผิงอันและซ่งจี๋ซินที่เป็นเพื่อนบ้านกันในตรอกหนีผิงเป็นความบันเทิง แน่นอนว่าตอนที่เล่นพ่อแม่ลูก เขาก็ยิ่งอยากให้จื้อกุยที่มีชื่อแปลกผู้นั้นแสดงเป็นภรรยาตัวน้อยของเขา น่าเสียดายที่ถูกซ่งจี๋ซินด่ากราด ส่วนจื้อกุยก็ตีหน้าเคร่งขรึม สายตาเย็นชาตลอดมา นางวิ่งกลับมาที่เมืองเล็กพร้อมกับซ่งจี๋ซิน ส่วนคนวัยเดียวกันผู้นั้นก็นำพาลูกสมุนวิ่งตามหลังขว้างก้อนดินใส่คู่นายบ่าวอย่างพวกเขา
อันที่จริงคืนนั้นเฉินผิงอันไปขอพรพระที่สุสานร้างพอดี เขาเห็นไกลๆ ว่าคนวัยเดียวกันผู้นั้นแค่เดินวนอยู่ด้านนอกศาลเทพเซียนไม่กี่ก้าวก็วิ่งปรู๊ดกลับบ้านตัวเองไป
คนเจ็ดแปดคนกลุ่มนั้นที่เฉินผิงอันเห็นในคืนนี้ไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบากเลยแม้แต่น้อย พวกเขาพกทั้งเนื้อทั้งสุรามาครบถ้วน เมื่อพวกเขาเข้าไปในศาลสุ่ยเซียนที่เป็นเพียงเรือนสองชั้น กรอบป้ายเอียงกะเท่เร่ ในศาลถูกทิ้งร้างมานานจนมีสภาพเก่าโทรม อีกทั้งบนผนังยังเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำเขียวอี๋ เฉินผิงอันก็ไปนั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่ห่างจากศาลไปไกล การมองเห็นของเขาเปิดกว้าง วางไม้เท้าเดินป่าพาดไว้บนหัวเข่า มือสองข้างสอดประสานกันอยู่ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองไป คอยดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ
เฉินผิงอันหยิบอาหารแห้งออกมา ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่บรรจุน้ำในลำธารลึกของภูเขากระจกวิเศษ แล้วเริ่มกินอาหารมื้อดึก ตลอดทางมานี้เขาใช้วิธีทะยานตัวอย่างรีบร้อน ไม่ใช่การเดินเล่นอย่างผ่อนคลายอะไรเลย
ด้านในของศาลเล็ก กองไฟหลายกองถูกก่อขึ้นมาแล้ว ดื่มเหล้ากินเนื้อ ช่างสุขสำราญ ถ้อยคำหยาบโลนดังให้ได้ยินเป็นระยะ
เทวรูปสามองค์ที่หนึ่งสูงสองเตี้ย เดิมทีเป็นเทวรูปที่มีสีสันสดใส เพียงแต่ว่ากาลเวลาไร้ปราณี สีสันที่เคยทาทับไว้จึงหลุดลอกออก ตรงกลางคือฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ ส่วนซ้ายขวาก็น่าจะเป็นสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายนาง
คิ้วตาของทั้งสามล้วนมองดูมีชีวิตชีวาเหมือนจริง โดยเฉพาะเจ้าแห่งคูน้ำท่านนั้นที่เรือนกายสูงเพรียว สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์เพริศพริ้ง โฉมสะคราญดุจไข่มุกเม็ดงาม
เฉินผิงอันกวาดตามองครั้งหนึ่งแล้วก็ให้รู้สึกประหลาดใจ เทวรูปทั้งสามนี้ไม่เหมือนกับว่าจะสามารถกักเก็บร่างทองที่มีแสงเทพดำรงอยู่ได้เลย
นี่ก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกอันธพาลเหล่านั้น
เฉินผิงอันคิดว่าเมื่อกินอาหารแห้งหมดแล้วจะไปที่ทะเลสาบฉางอวิ๋นสักครั้ง เพียงแต่ว่าบนฝั่งของเจ้าแห่งทะเลสาบท่านนี้ไม่มีศาลอยู่ เขาจึงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย หากไม่ได้จริงๆ คงต้องเปิดเผยตัว ออกไปถามเจ้าพวกคนที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าเหล่านั้นว่าแถวนี้ยังมีศาลเทพวารีอะไรอยู่อีกหรือไม่
เฉินผิงอันเริ่มหลับตาพักผ่อน หลอมน้ำที่เยียบเย็นหนักอึ้งของลำธารลึกบนภูเขากระจกวิเศษหลายอึกที่ดื่มเข้าไป
ขณะเดียวกันจิตใจก็ค่อยๆ จมจ่อมลงสู่เบื้องล่าง ใช้วิธีการมองภายในอันเป็นวิชาพื้นฐานของบนภูเขาพาจิตหยินไปสำรวจฟ้าดินขนาดเล็กในร่างกายตัวเอง
เนื้อหาในตำราโบราณบางเล่มของปัจจุบันนี้ ง่ายที่จะทำให้คนรุ่นหลังที่เปิดหนังสืออ่านรู้สึกสงสัยเคลือบแคลง
ยกตัวอย่างเช่นคำบอกที่ว่านำพาขุนนางและชาวบ้าน โยนม้าขาวลงน้ำ เพื่อเซ่นสังเวยเทพวารีพ่อปู่ลำคลอง เหตุใดต้องเป็นม้าขาว ในตำรากลับไม่เคยมีอธิบายเอาไว้
ส่วนประโยคที่ว่าไม่อาจพบหน้าเทพวารี ปลาใหญ่กุ้งใหญ่เป็นผู้รับรองนั้น ก็ยิ่งทำให้คนฉงนฉงายไม่เข้าใจ สถานที่ที่มีชื่อเสียงในทวีปต่างๆ ของใต้หล้าไพศาล สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำและร่างทองในศาล แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ถือว่าพบเห็นได้น้อยเลย
เฉินผิงอันพลันลืมตาขึ้น เก็บลมปราณทั้งหมดไว้ในร่างเพียงชั่วพริบตา นั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก
มีเพียงสายตาเท่านั้นที่มองไปยังจุดที่ลำธารไหลลงสู่ทะเลสาบ ตรงนั้นมีริ้วคลื่นกระเพื่อมเนื่องจากถูกชักนำจากปราณวิญญาณในฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย และเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ได้เห็นว่าผิวน้ำแถบนั้นเปล่งแสงวาบเจิดจ้า ก่อนที่สตรีสามคนจะเดินนวยนาดตามหลังกันมา สตรีที่เป็นผู้นำสวมชุดสีสันสดใส สายรัดเอวพลิ้วไสว ไอน้ำปกคลุมขมุกขมัว สาวใช้สองคนที่เดินตามมาด้านหลังก็มีลักษณะเหมือนในศาลสุ่ยเซียน เพียงแต่ว่ารูปโฉมงดงามกว่าเทวรูปอยู่มาก กลับเป็นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้นที่แท้จริงแล้วรูปโฉมอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับเทวรูปได้ ไม่รู้ว่าทุกครั้งที่ช่างฝีมือที่ปั้นสลักใบหน้าให้กับเทวรูปของเจ้าแห่งคูน้ำลงมีด ในหัวคิดอะไรอยู่
เมื่อย้ายสายตากลับมาอีกครั้ง เฉินผิงอันก็เริ่มรู้สึกนับถือในความใจกล้าของกลุ่มคนที่อยู่ในศาลบ้างแล้ว เด็กหนุ่มคนหนึ่งในนั้นปีนขึ้นไปบนแท่นบูชา กอดเทวรูปของเจ้าแห่งคูน้ำแล้วขบกัดไปทั่ว ปากก็พร่ำถ้อยคำสัปดนหยาบโลน เรียกเสียงหัวเราะครืนจากคนในห้องโถง เสียงร้องให้กำลังใจ เสียงร้องตะโกนยุยงดังไม่ขาดสาย
คนเราตอนอายุยังน้อยก็คงจะเป็นกันเช่นนี้กระมัง มักจะรู้สึกว่าการไม่รักษากฎก็คือการแสดงถึงความสามารถอย่างหนึ่ง
และตอนยังเยาว์ เมื่อเจอกับเด็กสาวที่แท้จริงแล้วตัวเองชื่นชอบ แต่กลับรังแกนาง ให้นางด่า ให้นางมองค้อนใส่ ก็จะคิดว่าต่างคนต่างชอบกันแล้ว
พอสตรีสามคนนั้นที่ออกมาจากทะเลสาบฉางอวิ๋นขยับเข้ามาใกล้ศาลแล้วก็ร่ายเวทอำพรางตา ทำให้ตัวเองกลายเป็นหญิงชราผมขาวคนหนึ่งและเด็กสาวอายุน้อยสองคน
มุมปากหญิงชรากระตุกยิ้มหยันเย็นชา แต่พอเข้ามาในศาลแล้วกลับเปลี่ยนมามีสีหน้าเมตตาปราณี
เหล่าเด็กหนุ่มและชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่พอเห็นหญิงชราที่มีเส้นผมเหมือนสีขนนกกระเรียน มีผิวหนังเหมือนหนังไก่ กับเด็กสาวงามพิสุทธิ์อรชรอ้อนแอ้นสองคนด้านหลังนางก็พากันอึ้งตะลึงไป
ทันใดนั้นในศาลก็เงียบสนิท มีเพียงเสียงกิ่งไม้ในกองไฟเท่านั้นที่ปะทุแตกขึ้นในบางครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กหนุ่มคนที่คล้องสองแขนไว้กับลำคอ สองขาเกี่ยวเอวของเทวรูปเจ้าแห่งคูน้ำที่พอหันหน้ามาก็ยิ่งตกใจทำอะไรไม่ถูก
เด็กหนุ่มคนหนึ่งในนั้นใช้ข้อศอกกระทุ้งชายฉกรรจ์ข้างกายเบาๆ พูดเสียงสั่นว่า คงไม่ใช่ว่าเจ้าแม่เทพวารีมาเอาเรื่องพวกเราจริงๆ หรอกกระมัง?”
บุรุษผู้นั้นส่ายหน้า เปลี่ยนจากความตกตะลึงมาเป็นดีใจ หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “เบิกตาของเจ้าดูให้ดี พวกนางเหมือนตรงไหน ก็แค่หญิงชราที่พาหลานสาวสองคนเดินทางยามค่ำคืน มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนในหมู่บ้านใกล้เคียงที่พวกเราไม่รู้จัก พวกเรามีโชคด้านสาวงามไม่น้อยเลย”
เด็กหนุ่มคนนั้นแอบเช็ดคราบน้ำมันตรงมุมปาก เนื่องจากรู้นิสัยของบุรุษผู้นี้ดี กลัวจริงๆ ว่าพอดื่มเหล้าจนเมามายแล้วเขาจะทำเรื่องชั่วช้าประเภทนั้น จึงพูดเกลี้ยกล่อมอย่างระมัดระวังว่า “พี่ พวกเราอย่าวู่วามเลย หากก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมาจะต้องเข้าไปนอนในคุกเลยนะ”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นหลุดหัวเราะพรืด “ก่อเรื่องใหญ่? ต้องเป็นเรื่องใหญ่สิถึงจะดี ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกก็ได้แต่งเมียเข้าบ้านพอดี พวกเจ้าห้ามมาแย่งข้าล่ะ เด็กสาวสองคนนั้นถูกใจข้านัก แต่ข้าเป็นคนมีคุณธรรม จะเอาแค่คนทางซ้าย ส่วนคนทางขวามือ พวกเจ้าก็ค่อยๆ ปรึกษากันเอาเองแล้วกัน”
หญิงชราแสร้งทำท่าตื่นตระหนก เตรียมจะพาเด็กสาวทั้งสองจากไป แต่กลับถูกบุรุษคนนั้นพาพวกมารุมล้อมไว้แล้ว
เด็กหนุ่มที่ใจกล้าที่สุดที่กระโดดขึ้นไปบนแท่นบูชาคนนั้นได้ไถลตัวลงมาตามเรือนร่างของเทวรูปฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำแล้ว เขาเอามือสองข้างเท้าเอว มองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงประตูแล้วยิ้มหน้าเป็น “เป็นอย่างที่คนต่างถิ่นพกดาบผู้นั้นบอกไว้จริงๆ ตอนนี้ชะตาดอกท้อของข้ากำลังรุ่งโรจน์ หลิวซาน ของเจ้าคนหนึ่ง ของข้าคนหนึ่ง!”
—–