กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 503.2 กดเส้นเส้นหนึ่งลงไป
เฉินผิงอันทำเพียงแค่ยื่นมือออกมาปัดน้ำลายกลุ่มนั้นให้สลายไป สีหน้ายังคงราบเรียบเป็นธรรมชาติ นั่งอยู่บนขั้นบันได มือทั้งสองข้างวางไว้บนไม้เท้าเดินป่าที่เป็นสีเขียวสดปลั่งราวกับจะคั้นน้ำได้เบาๆ
เฉินผิงอันยื่นมือออกไปดีดอีกครั้ง อีกฝ่ายจึงสลบไป
จากนั้นก็ใช้ไม้เท้าเดินป่าเคาะพื้นเบาๆ ลมพายุที่เหมือนกับงูตัวหนึ่งก็เลื้อยไปถึงท้ายทอยของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ นางพลันฟื้นคืนสติ ดึงหัวออกมาจากใต้ดิน จากนั้นก็นั่งเหม่อลอยอยู่กับพื้น สีหน้ามึนงงเล็กน้อย
เฉินผิงอันมีสีหน้าเดือดดาล “สาวใช้ชั้นต่ำสองคนติดตามอยู่ข้างกายเจ้ามานานหลายปีขนาดนี้ ล้วนเป็นพวกโง่เง่าที่อยู่กินข้าวรอความตายไปวันๆ อย่างนั้นหรือ?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำทำท่าเหมือนยกภูเขาออกจากอก ในอดีตนางยังตำหนิสาวใช้ทั้งสองว่าเป็นพวกทึ่มทื่อ ไม่คล่องแคล่วว่องไว เทียบกับนังพวกจิ้งจอกในจวนของนายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบที่ทำงานเก่ง เชี่ยวชาญการรั้งจิตผูกมัดใจของบุรุษไม่ได้ ตอนนี้มาลองนึกดูแล้วกลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องดี หากทะเลสาบชางอวิ๋นต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย ถึงเวลานั้นไม่เพียงแต่พวกนางสองคนเท่านั้นที่ต้องกลายเป็นตะเกียงน้ำที่ถูกจุดไฟ แม้แต่ตำแหน่งเทพเจ้าแห่งคูน้ำของนางก็ยังยากจะรักษาไว้ได้ นังแพศยาเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นั้นชอบใช้คารมคมคาย แอบทำร้ายคนลับหลังเป็นที่สุด นังนั่นทำร้ายให้ควันธูปของตนต้องเบาบางมานานหลายปี แล้วยังคิดจะเข่นฆ่าตนให้ตายกันไปข้าง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่วันสองวันแล้ว คนทั้งทะเลสาบชางอวิ่นต่างก็มองดูเรื่องสนุกกันอยู่
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าไปเรียกเจ้าแห่งทะเลสาบผู้นั้นมา บอกว่าข้าช่วยเขาสังหารตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผี ให้เขามาขอบคุณข้าด้วยตัวเอง จำไว้ว่าเตือนใต้เท้าเจ้าทะเลสาบของเจ้าสักคำว่า ข้าคนนี้ชายแขนเสื้อสองข้างมีแต่ลมเย็น ทนรับกลิ่นเหม็นทองแดงไม่ได้มากที่สุด ดังนั้นจึงถูกชะตากับแค่สมบัติวิเศษแห่งแม่น้ำลำคลองเท่านั้น”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำอึ้งตะลึงไป “ให้ข้าไป?”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “หรือจะให้ข้าไปล่ะ?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำลุกขึ้นเตรียมจะโคจรวิชาอภินิหาร จำแลงร่างกลายเป็นไอน้ำที่หนีไปไกล
เฉินผิงอันชี้ไปยังสาวใช้สองคนที่นอนกองอยู่บนพื้น “รูปโฉมของพวกนางงดงามกว่าเจ้าที่เป็นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่น้อย หลังจากที่เจ้าแห่งทะเลสาบมาขอบคุณข้าแล้ว ข้าจะไปที่เมืองสุยเจี้ย เมื่อได้วัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินที่กำลังจะเผยตัวบนโลกมาครองแล้ว จะต้องไปเยี่ยมหาเขาที่วังมังกรใต้ทะเลสาบอย่างแน่นอน ข้าท่องอยู่ในยุทธภพมาได้ไม่นาน อ่านหนังสือมาไม่มาก ในนิยายส่วนใหญ่ก็มักจะบันทึกไว้ว่า นับแต่โบราณมามังกรเพศเมียหลายใจ สาวใช้ข้างกายก็ยิ่งเย้ายวนมีเสน่ห์ ข้าจะต้องไปเปิดหูเปิดตาให้รู้สักหน่อย ดูสิว่าจะงามพิลาสได้มากกว่าสาวใช้สองคนข้างกายฮูหยินหรือไม่ หากมังกรหญิงและเหล่าสาวใช้ในวังมังกรงดงามยิ่งกว่า ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็ไม่ต้องหาสาวใช้คนใหม่แล้ว แต่หากหน้าตาพอๆ กัน ถึงเวลานั้นข้าจะขอตัวพวกนางไปทั้งหมด ยามที่เดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นอิ๋นผิงจะได้เอาพวกนางไปขายในราคาสูง”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรีบเอ่ยคล้อยตาม “สาวใช้ต่ำต้อยทั้งสองคนนี้ได้ปรนนิบัติรับใช้เซียนซือก็ถือเป็นวาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าของพวกนาง…”
เฉินผิงอันตัดบทคำพูดของนางด้วยเสียงหัวเราะดูแคลน “แต่หากข้าได้เห็น แล้วรู้สึกผิดหวังกับพวกนางอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำกับเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่เป็นพี่น้องที่สนิทกับเจ้า คงต้องเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับข้าแล้ว”
สำหรับเรื่องพวกนี้ ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่ได้เป็นกังวลมากนัก เพราะถึงอย่างไรก็มีใต้เท้าเจ้าทะเลสาบคอยต้านรับให้ ขอแค่ตนสามารถกลับไปถึงวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นได้อย่างปลอดภัย ได้พบกับเจ้าแห่งทะเลสาบ ไม่ว่าเรื่องใดก็พูดง่ายทั้งนั้น
สุดท้ายแล้วผลประโยชน์จะตกอยู่ในมือใครก็ยังไม่อาจบอกได้
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรีบสะบัดชายแขนเสื้อ ปราณวิญญาณโชคชะตาน้ำสีเขียวมรกตสองกลุ่มก็พากันบินไปยังใบหน้าของสาวใช้ทั้งสอง ทำให้ทั้งสองคืนสติ จากนั้นนางก็เอ่ยขอตัวลากับเซียนซือผู้นั้นหนึ่งคำ บอกว่าจะรีบไปรีบกลับอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันพลันเรียกฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้นเอาไว้
เรือนกายของฝ่ายหลังแข็งทื่อ หมุนตัวกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงจืดเจื่อน “ไม่ทราบว่าเซียนซือมีอะไรจะสั่งความอีกหรือ?”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอแก่นโชคชะตาน้ำให้ข้ายืมใช้สักหน่อย ไม่มาก หนักแค่สองตำลึงก็พอ”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำทั้งตกตะลึงทั้งเสียดาย แล้วก็ทั้งรู้สึกว่าตัวเองโชคดี แก่นโชคชะตาน้ำคือวัตถุแห่งชะตาชีวิตอันเป็นรากฐานมหามรรคาในการฝึกตนของเทพวารี เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับการที่ต้องมาตายอยู่ที่นี่แล้ว ถึงอย่างไรก็คุ้มค่ากว่า นางรีบยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมากดลงตรงหว่างคิ้วของตัวเอง แสงสีเขียวครามก็พลันเปล่งประกาย จากนั้นแสงสีทองเส้นหนึ่งที่เหมือนกับธารน้ำไหลจากร่องน้ำบนยอดเขาลงมาเบื้องล่างก็วนอ้อมผ่านไหล่ของนาง ไหลรินมาตามลำแขน มุ่งตรงไปยังข้อมือ สุดท้ายบนฝ่ามือนางก็ถือประคองหยดน้ำสีเขียวมรกตหยดหนึ่ง นางผลักไปทางเฉินผิงอันเบาๆ ครั้นจึงปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วยิ้มกล่าวว่า “เซียนซือบอกว่าขอยืม ทำให้บ่าวรู้สึกละอายยิ่งนัก แก่นชะตาน้ำสามสี่ตำลึงนี้ ถือว่าเป็นของขวัญพบหน้าชิ้นเล็กๆ ที่บ่าวโชคดีได้มาพบเจอเซียนซือก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เมื่อเทียบกับถ้วยเลี่ยนเยี่ยนที่เป็นสมบัติประหลาดชิ้นนั้นแล้ว ของขวัญชิ้นนี้ก็นับว่าเล็กจริงๆ”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่กล้าพูดอะไรอีก
ถ้วยเลี่ยนเยี่ยนคือรากฐานชีวิตและมหามรรคาของนาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำนอกจากจะสามารถใช้ควันธูปหล่อหลอมร่างทองได้แล้ว วัตถุตระกูลเซียนที่จะนำมาเพิ่มพูนตบะของตนได้ก็มีเพียงหยิบมือเท่านั้น ทุกชิ้นล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าสูงสุด ถ้วยเลี่ยนเยี่ยนเคยเป็นสมบัติหนักในวังมังกรของเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น การที่เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีอาฆาตแค้นนางมากขนาดนี้ ก็เพราะต้องการถ้วยเลี่ยนเยี่ยนที่มีประวัติความเป็นมายาวนานชิ้นนี้ ตามคำบอกของนายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบ มันเคยเป็นภาชนะที่ใช้ในพิธีการที่สำคัญของอารามเต๋าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ถูกควันธูปอาบย้อมมานับพันปี ถึงทำให้มีประสิทธิภาพเช่นนี้ได้
เมื่อนายบ่าวสามคนออกไปจากศาล
เฉินผิงอันก็เก็บไข่มุกโชคชะตาน้ำเม็ดนั้นมา น้ำหนักสี่ตำลึง หากคิดจะดับกระหายชั่วครั้งชั่วคราวนั้น ย่อมได้ อีกทั้งประสิทธิภาพยังยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด เหนือกว่ายาวิเศษด้วยซ้ำ แต่นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาว
บนเส้นทางของการฝึกตน ทางลัดบางอย่างสามารถทำให้ผู้ฝึกตนเดินไปถึงกึ่งกลางภูเขาได้อย่างรวดเร็วก็จริง แต่ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ ก็จะยิ่งมีภัยแฝงตามมานับไม่ถ้วนมากเท่านั้น
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนหลอมไข่มุกน้ำเพื่อชดเชยปราณวิญญาณในจวนน้ำ เขานั่งอยู่ที่เดิม คิดเรื่องอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เฉินผิงอันรู้ดีว่าพวกนางไปครั้งนี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องกลับมา เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่ขึ้นฝั่งมาพบหน้ากัน ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีคนหนึ่งตายไป จะให้เขาที่เป็นผู้ร่วมครองทะเลสาบชางอวิ๋นวิ่งขึ้นมาเก็บศพให้อย่างนั้นหรือ? ขอแค่ขึ้นฝั่ง เข้ามาในศาล นั่นก็เท่ากับว่าถูกเขาเฉินผิงอันตบหน้าหนักๆ แล้วเอาขี้ป้ายหน้าซ้ำ ตำหนักขวานผีและคู่บำเพ็ญเพียรที่เป็นพ่อแม่ของตู้อวี๋จะยังสนใจอีกหรือว่าเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะเป็นปลาที่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย หรือจะต้องเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่คาดฝันหรือไม่? อีกอย่างเจ้าเป็นถึงผู้นำเทพวารีแห่งแคว้นอิ๋นผิงผู้ยิ่งใหญ่ ยังจะกล้าพูดว่าตัวเองเป็นปลาที่ติดร่างแหอย่างนั้นหรือ?
ส่วนสาวใช้สองคนในศาลนั้น
คนหนึ่งเป็นปฏิปักษ์กับเขาเฉินผิงอัน
ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นปฏิปักษ์กับฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ
ดังนั้นล้วนสามารถมีชีวิตรอดได้
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือก็มีลูกกลมๆ ลูกหนึ่งที่เกิดจากควันดำหลายสิบเส้นรวมตัวกันลอยขึ้นมา สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของบุรุษที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ก็คือตู้อวี๋
ทุกครั้งที่มีลมเย็นปกติโชยผ่าน ลูกกลมที่เกิดจากการรวมตัวกันของสามจิตเจ็ดวิญญาณนั้นก็จะเจ็บปวดทรมาน ราวกับผู้ฝึกตนที่เผชิญกับความทุกข์จากทัณฑ์สายฟ้า
วัตถุหยินบนโลกไม่ได้รับการยอมรับจากฟ้าดินเช่นนี้ ตู้อวี๋ที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งพยายามสุดความสามารถที่จะเปิดปากพูด แต่กระนั้นน้ำเสียงก็ยังเบาราวกับเสียงยุง “ขอร้องเจ้าล่ะ รีบเอาวิญญาณข้าใส่กลับเข้าไปในร่างเถอะ ยังพอจะแก้ไขได้ ยังพอจะแก้ไขได้ ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ข้าตู้อวี๋จะกรีดแก่นเลือดจากหัวใจสามหยด จุดธูปสามดอก กราบไหว้บอกแก่บรรพจารย์ในฟ้าดิน ตั้งคำสัตย์สาบานของตระกูลเซียนที่สืบทอดเป็นวิชาลับมาจากสำนัก จะไม่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับเจ้าอีกต่อไปแล้ว ไม่กล้าอีกแล้ว…”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พูดกับตัวเองต่อไปว่า “ค่ำคืนที่สายลมวสันต์พัดโชย (เปรียบเปรยถึงชายหญิงที่มีสัมพันธ์กัน) คำกล่าวที่ดีขนาดนี้ เหตุใดพอออกมาจากปากของเจ้าถึงได้ต่ำช้าขนาดนี้? หืม?”
เฉินผิงอันเกร็งห้านิ้วงอน้อยๆ เป็นตะขอก็มีพายุลมกรดหลายเส้นพัดหมุน ปกคลุมลูกกลมดวงวิญญาณลูกนี้ไว้พอดี
ตู้อวี๋พลันร้องโหยหวนคร่ำครวญขึ้นมา
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “รสชาติของจอมยุทธหญิงในยุทธภพเป็นรสชาติแบบใดกันแน่? ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิ ข้าเองก็เป็นคนที่เคยท่องยุทธภพมาเหมือนกัน แต่กลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย”
ตู้อวี๋กำลังจะเปิดปากพูด
เฉินผิงอันกลับผินหน้าออกไป ทว่ากลับเพิ่มกำลังลงบนฝ่ามือ ลมพายุยิ่งรวมตัวกันกระชับแน่น ถึงขนาดปรากฎภาพน่าตะลึงที่พายุเข้มข้นราวกับน้ำที่กำลังจะเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง เฉินผิงอันใช้หูเงี่ยฟังเสียงอีกฝ่ายแล้วถามว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ? เสียงดังหน่อยสิ ข้าได้ยินไม่ถนัด”
สามจิตเจ็ดวิญญาณของตู้อวี๋เพิ่งจะถูกวิชาลับดึงออกมาจากเรือนกาย เดิมทีก็อยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย ดวงวิญญาณฉีกขาด ควันดำสิบเส้นก็รัดพันเหมือนเชือกป่าน หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้หนีออกไปจากกรงขังนี้ได้ก็จะต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่สูญเสียสติไปอย่างสิ้นเชิง กลายไปเป็นผีร้ายที่เลอะเลือนไร้สติ ไม่ว่าผู้ฝึกตนตระกูลเซียนคนใดพบเจอก็คิดเข่นฆ่าสังหาร
เฉินผิงอันปล่อยนิ้วทั้งห้าแล้วยกมือขึ้นอ้อมไหล่ไป โบกมือไปด้านหน้าเบาๆ ศพที่อยู่ด้านหลังศาลก็ลอยมากระแทกลงในลาน
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมานั่งยองอยู่ข้างศพของตู้อวี๋ พลิกฝ่ามือกลับแล้วกดลงไปในฉับพลัน
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ตู้อวี๋ก็น้ำลายฟูมปาก ชักกระตุกไม่หยุด เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด มองดูน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องดี
หากไม่มีความเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็หมายความว่าเนื้อหนังมังสาร่างนี้ปฏิเสธไม่ให้ดวงวิญญาณเข้ามาพักพิงแล้ว และหากดวงวิญญาณไม่อาจเข้าไปอยู่ภายใน สามจิตเจ็ดวิญญาณก็ได้แต่ออกไปจากเรือนกาย ระเหเร่ร่อนไปทั่วทิศ หากไม่ต้องถูกลมจำนวนมากที่อยู่ในฟ้าดินพัดพาให้สลายหายไป ก็อาจจะโชคดีได้รับปราณวิญญาณหนึ่งเศษแสงวิญญาณหนึ่งเสี้ยว สุดท้ายก็พอจะฝืนอดทนกลายไปเป็นผีวัตถุหยินตนหนึ่งได้
ตู้อวี๋ลุกขึ้นนั่ง กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ จากนั้นก็รีบนั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มทำมุทรา จิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ภายในร่าง พยายามปลอบโยนช่องโพรงลมปราณสำคัญที่ส่ายไหวไม่หยุดให้ได้มากที่สุด
รอจนกระทั่งตู้อวี๋ที่เลือดท่วมร่างพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาแรงๆ ก็หันหน้ามามอง
คนผู้นั้นนั่งยองอยู่ห่างไปไม่ไกล สองมือสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ จ้องมองดาบที่อยู่บนพื้นเล่มนั้น
ความคิดของตู้อวี๋แล่นเร็วจี๋
คนผู้นั้นยังคงนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก
ตู้อวี๋ถอนหายใจหนึ่งที ล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้เอาชีวิตกับอีกฝ่าย เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ ใช้นิ้วกดลงตรงหัวใจสามที ใบหน้าพลันบิดเบี้ยว จากนั้นแก่นเลือดสามหยดของหัวใจก็เหมือนไส้ตะเกียงที่ถูกจุดไฟ ควันสีเขียวสามกลุ่มลอยกรุ่นเหมือนธูปสามดอก ตู้อวี๋ก้มหน้าลงเล็กน้อย สองมือถือธูปยกขึ้นเสมอคิ้ว พูดด้วยเสียงอันดังว่า “นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตู้อวี๋ลูกศิษย์สำนักการทหารแห่งตำหนักขวานผี ขอบอกกล่าวแก่ฟ้าดิน บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ขอสาบานว่าจะไม่แก้แค้น บุญคุณความแค้นครั้งนี้ให้เหมือนการจากลาระหว่างขุนเขาสายน้ำ นับจากนี้ไปจะไม่หันหลังกลับ…”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เท้าเหยียบอยู่บนด้ามดาบ กระทืบเบาๆ หนึ่งที แสงดาบเปล่งประกายวาบแล้วก็พุ่งกลับไปสอดอยู่ในฝักดาบตรงเอวของตู้อวี๋ได้อย่างพอดิบพอดี
ทำเอาตู้อวี๋ตกใจจนแข้งขาอ่อนอีกรอบ
นี่เรียกว่าโดนงูกัดครั้งเดียวกลัวเชือกไปสิบปี
เฉินผิงอันที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่าเดินไปทางประตูใหญ่ของศาล “พบเจอกันนับเป็นวาสนา ข้ามีเรื่องบางอย่างที่อยากจะขอความรู้จากเจ้าสักหน่อย”
ในใจตู้อวี๋คิดไม่ตก วาสนากับท่านปู่เจ้าเถอะ อีกนิดเดียวข้าผู้อาวุโสก็เกือบจะต้องกายดับมรรคาสลายอยู่ในคูน้ำเหม็นๆ นี่แล้ว แม้จะคิดอยู่ในใจเช่นนี้ แต่เขาก็ยังทำตัวว่าง่าย เดินตามด้านหลังคนผู้นั้นออกไปจากศาลสุ่ยเซียนแต่โดยดี
ชายแขนเสื้อของตู้อวี๋ว่างเปล่า ไม่มีเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างที่ยืมมาจากบิดาอีกแล้ว โอสถปีศาจที่ไปขอร้องจากมารดามาอย่างยากลำบากก็ไม่เหลืออยู่แล้วเหมือนกัน หัวใจที่เสียดายอย่างสุดแสนของเขาบีบรัดตัวจนแทบจะขมวดเป็นก้อนกลม เพียงแต่พอคิดถึงความทรมานยามที่สามจิตเจ็ดวิญญาณถูกคนกักขังไว้ในมือ ร่างของตู้อวี๋ก็สะดุ้งเฮือกอย่างอดไม่อยู่ จิตใจไม่สงบนิ่ง วิญญาณกระวนกระวาย นี่ก็คือโรคที่ทิ้งไว้เมื่อจิตวิญญาณออกนอกร่าง อีกหลายสิบปีต่อจากนี้ต้องรักษาตัวเองให้ดีถึงจะได้ การเดินทางมาเมืองสุยเจี้ยครั้งนี้ อยู่ดีไม่ว่าดีก็สะดุดล้มหัวทิ่ม ไม่เพียงแต่รากฐานมหามรรคาถูกทำร้าย ตอนกลับไปตำหนักขวานผีจะอธิบายให้ท่านพ่อท่านแม่ฟังอย่างไรก็ยิ่งเป็นปัญหาใหญ่
คนทั้งสองเดินตามกันไปบนทางเส้นเล็กที่มีกอหญ้ารกชัฏ
แสงจันทร์งามสงบ ไอหมอกเยียบเย็น
แต่อันที่จริงจิตใจของตู้อวี๋กลับเยือกเย็นยิ่งกว่า
คนผู้นี้เป็นเทพเซียนจากฝ่ายใดกันแน่? ผู้ฝึกตนบนภูเขาหลายสิบแคว้น ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธน้อยใหญ่เพียงใด ตู้อวี๋ที่เดินทางท่องไปทั่วทิศมีความรู้กว้างขวาง แต่กลับไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อนจริงๆ
ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่สามารถทำให้เขาตู้อวี๋อัดอั้นได้ขนาดนี้ก็ยิ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้
เฉินผิงอันใช้ไม้เท้าเดินป่าเปิดทาง เหมือนเดินเล่นอยู่ใต้แสงจันทร์ สภาพจิตใจจึงค่อยๆ เข้าสู่สภาวะสงบนิ่งมั่นคง เขายิ้มเอ่ยว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมวิญญาณของเจ้ายังสามารถกลับคืนเข้าร่างได้อีกครั้ง?”
ตู้อวี๋ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เพราะผู้อาวุโสต้องการยันต์สองชนิดของตำหนักขวานผีพวกเรา? หากเปิดเผยวิชาลับของศาลบรรพจารย์ ข้าจะต้องถูกสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะและถูกขับไล่ออกจากสำนัก”
เฉินผิงอันเอ่ย “ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ารู้ข้ารู้ จะต้องกลัวอะไร? อีกอย่างเจ้าท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ แม้แต่เจ้าแม่เทพวารีคนหนึ่งก็ยังกล้าล่อออกมา ยังจะกลัวกฎเกณฑ์พวกนี้อีกหรือ? คนอย่างพวกเจ้าน่ะ แหกกฎเพื่อความบันเทิงกันอยู่แล้ว”
ตู้อวี๋ยิ่งตกตะลึงอยู่ในใจ
คำพูดประโยคนี้มีเพียงคนที่บรรลุมหามรรคา คนที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้
ถ้อยคำและน้ำเสียงทำนองนี้ พ่อแม่ของเขาก็เคยพูดกับเขาเป็นการส่วนตัวมาก่อน
เฉินผิงอันกล่าว “คืนนี้ขอแค่เจ้าตายอยู่ในศาลสุ่ยเซียนบนทะเลสาบชางอวิ๋น ตำหนักขวานผีคิดจะตามตัวข้าไม่ใช่เรื่องง่าย ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำและเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะหาตัวข้าก็ยากอีกเหมือนกัน ถึงท้ายที่สุดแล้วจะไม่ใช่บัญชีเละเทะบัญชีหนึ่งหรอกหรือ? ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรเป็นกังวลไม่ใช่เรื่องที่ต้องเปิดเผยความลับของสำนักอะไร แต่ควรกังวลว่าเมื่อข้ารู้วิธีวาดยันต์และคาถาที่ใช้คู่กันแล้วจะฆ่าเจ้าปิดปากให้จบเรื่องจบราวกันไปหรือไม่”
นี่คือวิธีการสาดโคลนป้ายสีผู้อื่นที่เรียนรู้มาจากบัณฑิตในหุบเขาผีร้าย
—–