กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 503.3 กดเส้นเส้นหนึ่งลงไป
ตู้อวี๋เงียบงันไร้คำตอบ
คนหนุ่มที่สะพายหีบไม้ไผ่ ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือผู้นี้พูดจาอ่อนโยนเหมือนการคุยเล่นทั่วไปของสหายที่สนิทสนมกัน “รู้เหตุผลของพวกเจ้า แล้วค่อยมาพูดเหตุผลของข้า ก็คุยกันได้ง่ายขึ้นเยอะเลย”
ตู้อวี๋หยุดเดิน “ผู้อาวุโสจะรับประกันได้อย่างไรว่า หากข้าบอกวิธีการเขียนยันต์แบกศิลาและยันต์รอยหิมะไปแล้วจะไม่ฆ่าข้าปิดปากและทำลายศพของข้าทิ้ง?”
เฉินผิงอันหยุดเดินตามเขา หันหน้ากลับมาเอ่ยว่า “เจ้าได้แต่เดิมพันด้วยชีวิตเท่านั้น”
ตู้อวี๋กล่าวอย่างน่าเวทนา “ผู้อาวุโส! ข้าให้คำสัตย์สาบานไปแล้ว! เหตุใดถึงยังต้องบีบบังคับกันไม่เลิกราเช่นนี้?”
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นทำสีหน้าตกตะลึง “เจ้าอาศัยความสามารถของผู้ฝึกตนที่เป็นผู้สืบทอดสายตรงของสำนักใหญ่ลงจากเขามาเที่ยวเล่นในยุทธภพ เห็นชีวิตคนอื่นไร้ค่าดุจต้นหญ้า ข้าหมัดแข็งกว่าเจ้า เห็นเจ้าเป็นมดตัวหนึ่งที่จะเอามาบี้เล่นอยู่ในมืออย่างไรก็ได้ นี่ก็คือหลักการเดียวกันไม่ใช่หรือ? มันเข้าใจยากนักหรือไง? เจ้าโง่ขนาดนี้ พ่อแม่เจ้าไม่ร้อนใจบ้างเลยหรือ?”
ตู้อวี๋อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก
มาเจอกับผู้อาวุโสบนภูเขาที่ ‘ตรงไปตรงมา’ เช่นนี้ หรือต้องโทษที่ออกเดินทางครั้งนี้ตนไม่ได้เปิดปฏิทินเหลืองดูฤกษ์ให้ดีก่อนจริงๆ?
เฉินผิงอันมองไปยังทะเลสาบชางอวิ๋นที่อยู่ห่างไปไกล “รอให้เจ้าแห่งทะเลสาบขึ้นฝั่ง ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะมีโอกาสได้เปิดปากอีกแล้ว ใช้ยันต์สองแผ่นมาซื้อชีวิต ขนาดข้ายังรู้สึกว่าการค้าครั้งนี้ คุ้มค่าแล้ว”
ตู้อวี๋กัดฟัน “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเดิมพันว่าผู้อาวุโสไม่ยินดีจะให้มือตัวเองสกปรก ต้องเจอกับเวรกรรมตามติดตัวอย่างเปล่าประโยชน์”
เฉินผิงอันย้ายสายตามองไปยังทิศทางของเมืองสุยเจี้ย ใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
ตู้อวี๋ไม่กล้าชักดาบ ได้แต่หักกิ่งไม้อันหนึ่งออกมา ย่อตัวลงนั่งยองแล้วเริ่มวาดยันต์พลางใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในหัวใจบอกคาถาแก่คนผู้นั้น
เมื่อมียันต์แบกศิลาอยู่ติดกายจะสามารถอำพรางเรือนกายและลมปราณได้อย่างดีเยี่ยม เหมือนเต่าชราที่แบกศิลาหนักอึ้งซึ่งสามารถอยู่นิ่งไม่ขยับคล้ายตายไปแล้วนานเป็นพันปี
แต่การที่ตัวผู้ฝึกตนจะสำรวจตรวจสอบโลกภายนอกก็มีขีดจำกัดด้วยเหมือนกัน อาณาเขตที่สามารถสังเกตการณ์ได้จะหดเล็กลงมาไม่น้อย เพราะถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็มีเรื่องที่มีแต่ได้กับได้อยู่น้อยนัก
ยันต์ประเภทนี้คือหนึ่งในท่าไม้ตายของผู้ฝึกตนสำนักการทหารตำหนักขวานผีที่เชี่ยวชาญการลอบฆ่า
ส่วนยันต์รอยหิมะนั่นก็ยิ่งเป็นยันต์ที่อาจารย์ค่ายกลบนภูเขาหลายคนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ยันต์ของตำหนักขวานผีที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์นกบินนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน คือวิชาถนัดของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของสำนัก เพียงแต่ว่าลูกศิษย์รุ่นหลังของตำหนักขวานผีส่วนใหญ่ล้วนรู้แค่เพียงผิวเผิน ยากที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ ตู้อวี๋ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ แต่มารดาของเขากลับเชี่ยวชาญยันต์ประเภทหนี้ คือคนแรกในรอบสามร้อยปีของสำนักที่สามารถวาดยันต์รอยหิมะได้ และก็เคยแอบถ่ายทอดยันต์นี้ให้แก่ผู้ฝึกตนใหญ่จวนเซียนอันดับต้นๆ ท่านหนึ่ง เป็นเหตุให้มรรคกถาของคนผู้นั้นเพิ่มพูน ภายหลังตำหนักขวานผีรู้เรื่องเข้า คนในบ้านของตัวเองยังไม่พูดอะไร กลับกลายเป็นว่าภูเขาลูกหนึ่งที่เป็นศัตรูกับผู้ฝึกตนคนนั้นวิ่งมาซักไซ้เอาความผิด ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันใหญ่โต แต่สุดท้ายก็ถือว่าเรื่องจบไปแบบค้างคา การลงโทษที่ทางศาลบรรพจารย์มีต่อมารดาเขาก็แค่ให้ปิดด่านทบทวนตัวเองสิบปี สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปี ดีดนิ้วทีเดียวก็ผ่านไปแล้ว จะนับเป็นการลงโทษกะผายลมอะไรได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่สถานที่ที่นางใช้ทบทวนตัวเองยังเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น หลังจบเรื่องตู้อวี๋ก็เพิ่งจะมารู้ว่าผู้ฝึกตนใหญ่สำนักลำดับต้นที่ได้รับยันต์รอยหิมะของสำนักไปนั้นได้แอบมาเยือนที่ตำหนักขวานผีครั้งหนึ่ง น่าจะมาเพื่อขอร้องแทนท่านแม่ของเขา
แรกเริ่มตู้อวี๋ยังกังวลว่าคนผู้นี้จะแค่อยากได้ยันต์ทั้งสองชนิดไปไว้เท่านั้น เพราะคิดว่ามีสมบัติมากก็ไม่กลัวว่าจะทับตัวตาย แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เชี่ยวชาญด้านวิชาของยันต์ ตู้อวี๋คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าเดี๋ยวตนคงจะต้องเปลืองน้ำลายมากหน่อย ทำตัวเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่น่ารำคาญใจดูสักครั้ง คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นแค่ฟังตนอธิบายไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่สาระสำคัญของยันต์ทั้งสองไปจนถึงเนื้อหาในคาถาแล้วก็ลงรายละเอียดไปถึงจุดสำคัญที่ยิบย่อย คนผู้นั้นกลับไม่เอ่ยถามอะไรสักคำ เพียงแต่บอกให้ตู้อวี๋พูดทวนซ้ำสามรอบ ตอนที่พูดซ้ำรอบที่สอง เนื่องจากตู้อวี๋ท่องคำอธิบายตัวอักษรของยันต์มาจนคล่องปาก เป็นเหตุให้พลาดประโยคหนึ่งที่ไม่สลักสำคัญไปโดยบังเอิญ ผลคือพบว่าคนผู้นั้นหรี่ตาลง ยกไม้เท้าเดินป่าที่ตอนแรกค้ำพื้นดินเอาไว้ขึ้นมา ทำเอาตู้อวี๋ตกใจจนเกือบจะตบปากตัวเอง รีบพูดเสริมชดเชยข้อผิดพลาดด้วยการทวนซ้ำอีกรอบโดยไม่ให้ขาดไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว
หลังจากพูดจบสามรอบ
คนผู้นั้นก็ก้มหน้าลงมองยันต์สองแผ่นที่อยู่บนพื้น
ตู้อวี๋ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
คนผู้นั้นใช้ไม้เท้าเดินป่าขีดเขียนตามแบบเขา วาดออกมาเป็นยันต์แบกศิลาและยันต์รอยหิมะที่เมื่อเทียบกับของเขาแล้วนับว่าหยาบกว่า แต่ตอนที่วาดยันต์เสร็จกลับมีแสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งวาบเชื่อมทุกขีดตัวอักษรบนยันต์ ส่องแสงเรืองรอง แม้ระดับขั้นของยันต์จะไม่สูง แต่ก็ถือว่าวาดได้สำเร็จแล้ว
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาจากหน้าผากของตู้อวี๋
มารดาข้า วิชาของการเขียนยันต์นี้ไม่ได้จะฝึกสำเร็จกันได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นเหตุใดบิดาเขาที่ขอบเขตก็สูง แต่บรรพจารย์ในสำนักแต่ละรุ่นยังให้คำวิจารณ์ที่บอกว่า บิดาของเขาวาดยันต์ได้ไม่ถือว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’ อยู่อีก? นี่ก็เพราะผู้ฝึกตนบางคนเกิดมาก็ไม่เหมาะกับการวาดยันต์ ดังนั้นสำนักหรือพรรคที่ใช้สายยันต์ของลัทธิเต๋ามาประเมินคุณสมบัติของลูกศิษย์ แต่ไหนแต่ไรมาจึงมักจะมีคำกล่าวที่โหดเหี้ยมว่า ‘ยกพู่กันครั้งแรกก็รู้แล้วว่าเป็นผีหรือเป็นเทพ’
ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งอย่างแน่นอน! ไม่แน่ว่าอาจเป็นยอดฝีมือแห่งวิถียันต์ที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำอีกด้วย!
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอะไรนั่นล้วนเป็นแค่เวทอำพรางตา…
เพียงแต่ว่าพอคิดมาถึงตรงนี้ ตู้อวี๋ก็รู้สึกเหลือเชื่อขึ้นมาอีก หากเป็นเช่นนี้จริง ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้านี้จะไร้เหตุผลเกินไปหน่อยหรือไม่?
เฉินผิงอันใช้ไม้เท้าเดินป่าสลายแสงศักดิ์สิทธิ์ของแก่นยันต์บนยันต์ทั้งสี่แผ่นที่สองฝ่ายวาดทิ้ง “เจ้ามีความจริงใจมากพอ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาทำการค้าที่เป็นจริงเป็นจังกันอีกสักครั้งหนึ่งดีไหม?”
ตู้อวี๋กล่าวอย่างสงสัย “การค้าอะไร?”
เฉินผิงอันหยิบเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารและโอสถปีศาจที่ถูกหลอมเรียบร้อยแล้วออกมาจากชายแขนเสื้อ “ต่างก็พูดกันว่าเดินทางตอนกลางคืนง่ายที่จะเจอผี วันนี้ข้าโชคไม่เลว ก่อนหน้านี้ข้าเก็บมันมาได้จากข้างทาง ข้ารู้สึกว่ามันค่อนข้างเหมาะกับการฝึกตนของเจ้า ถูกใจหรือไม่? อยากซื้อหรือไม่?”
ตู้อวี๋กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ผู้อาวุโสอุตส่าห์ตัดใจมอบของรักให้ข้า เชิญท่านเปิดราคามาได้เลย! ต่อให้ทุบหม้อขายเหล็ก ข้าตู้อวี๋ก็ยินดีที่จะทุ่มทองก้อนใหญ่ซื้อพวกมันมา!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมา ปลายนิ้วมีหยดน้ำสีเขียวมรกตหยดหนึ่งหมุนติ้วๆ เฉินผิงอันดึงแก่นโชคชะตาน้ำส่วนหนึ่งที่มีน้ำหนักประมาณหนึ่งตำลึงออกมา พอเก็บหยดน้ำลูกที่ใหญ่กว่าไปแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “นี่คือของที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำมอบให้ ถือเสียว่าเป็นความจริงใจของข้าแล้วกัน เจ้าบาดเจ็บ จำเป็นต้องมีปราณวิญญาณมาชดเชย หยดชะตาน้ำเม็ดนี้เป็นรากฐานมหามรรคาของเจ้าแม่เทพวารีท่านหนึ่งเลยทีเดียว รีบเอาไปหลอมใช้เสียเถอะ”
ตู้อวี๋ไม่มีทางเลือก ได้แต่รับไข่มุกหยดน้ำเม็ดนั้นมา ฝ่ามือตบลงบนหัวใจเบาๆ ทำการหล่อหลอมอย่างเงียบๆ จากนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนมาเป็นเหยเก
คือไข่มุกที่รวบรวมแก่นชะตาน้ำไว้จริงๆ หรือ?
ไม่เพียงแต่ไม่มีความรู้สึกไม่สบายตัวใดๆ กลับกันยังเหมือนมีฝนรสหวานพร่างพรมลงบนทะเลสาบหัวใจ จิตวิญญาณชุ่มชื้นสดชื่นขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เอาล่ะ มาพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน เสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างชิ้นหนึ่งที่ระดับขั้นสูงขนาดนี้ กับโอสถปีศาจเม็ดหนึ่งที่พลานุภาพในการโจมตียิ่งใหญ่เพียงนี้ เจ้าคิดจะใช้เงินเท่าไหร่มาเก็บตกของดีพวกนี้ไป?”
ตู้อวี๋ถามอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโส สามารถใช้สิ่งของแลกสิ่งของได้หรือไม่? บนร่างข้ามีเงินเทพเซียนอยู่ไม่มากจริงๆ แล้วก็ไม่มีวัตถุอย่างเนินฟางชุ่น หรือถ้ำสวรรค์จื่อชื่อในตำนานอะไรพวกนั้นติดตัวด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าย่อมได้”
ตู้อวี๋หยิบถุงผ้าปักลายใบเล็กที่มีลำแสงเรื่อเรืองรองใบหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อหน้าออก กิริยาของเขานุ่มนวล แกะเชือกออกแล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับทบกันออกมา พอคลี่ออกกลับมองไม่เห็นรอยพับแม้แต่น้อย
ตู้อวี๋กล่าว “วัตถุชิ้นนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง คือของที่ข้าได้มาโดยบังเอิญจากใต้ดินของวัดร้างที่ผุพังแห่งหนึ่งหลังจากต่อสู้กับคนอื่นในอดีต ท่านพ่อท่านแม่ของข้ากำชับข้าว่าต้องเก็บรักษามันเอาไว้ให้ดี บอกว่ามีมูลค่าควรเมือง การค้าขายของชิ้นนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เงินร้อนน้อยถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่อาจกักเก็คัมภีร์พุทธเก่าแก่หน้านี้เอาไว้ได้”
เฉินผิงอันรับหน้าหนังสือแผ่นนั้นมา แล้วก็เห็นว่าด้านบนคือพระคัมภีร์สีทอง
เฉินผิงอันยิ้มรับเอาไว้ แล้วส่งมอบเม็ดเสื้อเกราะกับโอสถปีศาจให้ตู้อวี๋
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันตัวกลับไปเผชิญหน้ากับทะเลาบชางอวิ๋น มือสองข้างค้ำยันอยู่บนไม้เท้าเดินป่า
ตู้อวี๋ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวตามจิตใต้สำนึก
สีหน้าของตู้อวี๋เผยความดุร้าย แต่ก็ยังคงไม่กล้าพูดอะไรออกมา
แต่ไหนแต่ไรมาการกำหนดความเป็นความตายของคนอื่นก็ไม่เคยเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายง่ายดาย
แล้วก็เพราะเหตุนี้ เฉินผิงอันถึงไม่ได้จงใจปิดบังสภาพจิตใจที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นไปทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอ หลังจากที่ฟู่ไห่หยวนจวินได้รับคำรับรองจากเฉินผิงอันไปแล้วก็ยังคงหันหน้าไปขอร้องบัณฑิตที่เห็นได้ชัดว่าพูดจาไม่น่าเชื่อถือยิ่งกว่า ยืนกรานจะให้บัณฑิตเอ่ยคำสาบานนางถึงจะยอมไปเปิดตราผนึกใต้ทะเลสาบ
นั่นคงเพราะนาทีนั้นนางสัมผัสได้ว่า แท้จริงแล้วความเป็นความตายของตนถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
และตู้อวี๋ในเวลานี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน
เมื่อเจอเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย ลางสังหรณ์ของผู้ฝึกตนมักจะแม่นยำเสมอ
ตู้อวี๋แบมือสองข้าง จ้องเป๋งไปยังสมบัติหนักสองชิ้นที่หายไปและได้กลับคืนมา แล้วเพียงชั่วพริบตาก็จะต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่นอีกครั้ง แล้วเขาก็ถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสยังบอกว่าจะทำการค้ากับข้า นี่ไม่เท่ากับว่าถอดกางเกงออกเพื่อผายลมหรอกหรือ? ยังจงใจบีบให้ข้าเป็นฝ่ายลงมือก่อน ต้องการให้ข้าตู้อวี๋สวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง ขว้างโอสถทองออกไป ผู้อาวุโสจะได้ฆ่าข้าได้อย่างสมเหตุสมผล เวรกรรมที่ติดตัวก็จะได้น้อยลง? ไม่เสียทีที่ผู้อาวุโสเป็นคนบนยอดเขา ช่างเป็นแผนการที่ดีนัก หากรู้แต่แรกว่าการลงภูเขามาท่องในยุทธภพที่น้ำตื้นเขินเหมือนบ่อน้ำครั้งนี้จะได้พบกับยอดฝีมืออย่างผู้อาวุโส ข้าจะต้องไม่มีทางประมาท มองไม่เห็นหัวใครอย่างนี้แน่นอน”
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล ถามว่า “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้นบอกว่าเจ้าก็คือบุตรของคู่รักเทพเซียน?”
ตู้อวี๋พยักหน้ารับ “คนหนึ่งแซ่ตู้ คนหนึ่งแซ่อวี๋ ข้าจึงชื่อตู้อวี๋”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “เป็นชื่อที่ไม่เลว”
แล้วเขาก็ยกมือขึ้นโบก “เจ้าไปซะเถอะ วันหน้าอย่าให้ข้าได้พบเจอเจ้าอีก”
ตู้อวี๋ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ข้ากลัวว่าหากหมุนตัวกลับแล้วจะต้องตาย ผู้อาวุโส ข้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่จริงๆ มันน่าอึดอัดเกินไป”
เฉินผิงอันจึงกล่าว “ก็ถูกของเจ้า ถ้าอย่างนั้นเดินไปกับข้าอีกช่วงระยะทางหนึ่ง? ข้าจะไปหาเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี เจ้ารู้ทางไหม?”
ตู้อวี๋พยักหน้า
คนทั้งสองจึงขึ้นเขาลงห้วยมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของลำธารจ่าวซีด้วยกันเช่นนี้จริงๆ
ตลอดทางที่เดินกันไป เฉินผิงอันถามถึงเรื่องสถานการณ์บนภูเขาล่างภูเขาของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นอิ๋นผิงเป็นหนึ่งในนั้นกับเขา
ตู้อวี๋ย่อมตอบทุกคำถาม
ผู้อาวุโสคนนั้นบินทะยานอยู่ท่ามกลางสันเขา ประหนึ่งกบกระโดดแตะผิวน้ำไปครั้งแล้วครั้งเล่า เรือนกายว่องไวดุจสายฟ้า จนแทบจะมองเห็นเป็นเพียงแค่เงาร่างสีเขียวจางๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น ส่วนเขาที่บังคับลมบินทะยานกลับค่อนข้างจะเปลืองแรง
แต่ระหว่างที่คนผู้นั้นเอ่ยถามจะเลือกใช้วิธีการเดิน มอบโอกาสให้เขาตู้อวี๋ได้ตอบอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยมากนัก
คนทั้งสองเดินกันอยู่ท่ามกลางป่าเขา เฉินผิงอันได้ยินเรื่องเล่าของกุมารทองกุมารีหยกคู่นั้นแล้วก็ยิ้มถามว่า “ทำไมเรื่องราวของเด็กหนุ่มเหอลู่ของนครหวงเยว่กับเทพธิดาเยี่ยนชิงจากดินแดนเซียนเป่าต้งคู่นี้ ถึงฟังดูคล้ายคู่บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญในนิยายจอมยุทธเลยละ เพียงแค่เพราะภูเขาทั้งสองเป็นศัตรูกัน เนื่องจากความแค้นร้อยปีของสำนัก ถึงทำให้พวกเขาไม่อาจกลายมาเป็นคู่รักเทพเซียนได้?”
ตู้อวี๋กล่าว “ในสายตาของผู้อาวุโสอาจจะรู้สึกว่าน่าขัน แต่ต่อให้เป็นข้าตู้อวี๋ ยามที่ได้เห็นพวกเขาทั้งสองก็ยังรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ เห็นพวกเขาแล้วถึงได้เข้าใจว่าหยกงามบนมหามรรคาที่แท้จริงนั้นคืออะไรกันแน่”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
คนทั้งสองมาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง ทอดสายตามองไกลไปทางทิศตะวันตกก็คืออาณาเขตของลำธารจ่าวซีแล้ว ศาลเทพวารีก็อยู่ห่างไปอีกไม่ไกล
เฉินผิงอันถาม “สมบัติหนักของศาลเทพอภิบาลเมืองจะเผยกายบนโลก เจ้ามาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้หรือ?”
ตู้อวี๋ไม่กล้าปิดบัง จึงกล่าวว่า “นอกจากข้ายังมีอาจารย์อาหนึ่งท่านและศิษย์น้องชายหญิงอีกสามคนเดินทางมาที่เมืองสุยเจี้ยพร้อมกัน เพียงแต่ว่าสมบัติชิ้นนั้นได้ถูกนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งหมายตาไว้เป็นการภายในนานแล้ว ตำหนักขวานผีของพวกเราก็แค่มาช่วยชูธงร้องให้กำลังใจ เพิ่มพลังอำนาจให้แก่ดินแดนเซียนเป่าต้งที่สนิทสนมกันก็เท่านั้น ส่วนข้า ไม่กลัวว่าผู้อาวุโสจะหัวเราะเยาะ ก็แค่คิดว่าระหว่างที่นครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งตีกันจนสมองไหล ก็อยากจะดูสิว่าเหอลู่และเยี่ยนชิงสองคนนั้น เมื่อเจอหน้ากันแล้วจะต้องฆ่ากันทั้งที่รักกันหรือไม่ คาดว่าไม่ว่าใครก็ต้องมีสีหน้าเหมือนกินอาจมกระมัง แค่คิดถึงข้อนี้ ข้าก็อารมณ์ไม่เลวแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้ม “อย่างเจ้าต้องเรียกว่าคนถ่อยตัวจริงหรือไม่?”
ตู้อวี๋ยิ้มประจบ “ผู้อาวุโสชมกันเกินไปแล้ว ผู้น้อยมิกล้ารับ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คำว่า ‘จริง’ นี้ มีน้ำหนักมากเกินไปจริงๆ”
ตู้อวี๋เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกจากใจจริงว่า “ถ้อยคำของผู้อาวุโสมองดูเหมือนเรียบง่าย แต่หากใคร่ครวญอย่างละเอียดจะรู้ว่าแต่ละคำล้วนลี้ลับมหัศจรรย์ ทำให้คนต้องทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง”
สีหน้าของเฉินผิงอันแปลกพิกล “คิดจะแย่งอาชีพกับข้างั้นหรือ?”
ตู้อวี๋มึนงงไม่เข้าใจ เขาที่ตัวสั่นขวัญผวาจึงได้แต่เงียบเสียงเหมือนจักจั่นในหน้าหนาว
—–