กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 506.1 สองเดือนสอง
ประตูใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองค่อยๆ แง้มเปิดช้าๆ
ศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ นอกจากเทพอภิบาลเมืองที่ตกอยู่ในสภาพเอาตัวเองรอดยังยากลำบากแล้ว ทุกคนในศาลล้วนถูกระดมกำลังออกมา ผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ ขุนนางผีแห่งโลกมืดในหน่วยงานทั้งหลาย ต่างก็ยืนอยู่ด้านในของประตูใหญ่อย่างระมัดระวัง
แม้จะบอกว่าตลอดทั้งเมืองสุยเจี้ยล้วนถือเป็นถิ่นของบ้านตัวเอง จะต้องมีโชควาสนาส่วนหนึ่งคอยปกป้องคุ้มครอง แต่ยืนอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองที่ควันธูปเข้มข้น ถึงอย่างไรก็สบายใจมากกว่า
เฉินผิงอันมองไปทางประตูใหญ่
ตอนนั้นหลังจากโศกนาฎกรรมครั้งนั้นผ่านพ้นไป ท่านเทพอภิบาลเมืองเลือกจะสังหารหนึ่งปล่อยหนึ่ง ดังนั้นแม่ทัพถือตรวนน่าจะเป็นคนใหม่ ขุนนางหลักของกองหยินหยางซึ่งเป็นผู้นำของหกกองในศาลเทพอภิบาลเมืองกลับยังคงเป็นคนเก่า
เฉินผิงอันถือเจี้ยนเซียนไว้ในมือ ก้มหน้าลงมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ “หลังจากที่ข้าออกกระบี่สองครั้งแล้ว คืนนี้ก็เชิญพวกเจ้าเล่นได้ตามใจชอบ”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปทางประตูใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมือง “ผู้ใดคือเป็นขุนนางหลักกองหยินหยางแห่งศาลเทพอภิบาลเมืองสุยเจี้ย?”
ผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ เทพท่องทิวาราตรี แม่ทัพถือตรวน รวมไปถึงขุนนางของกองงานต่างๆ ล้วนรีบหันไปมองยังขุนนางลักษณะเหมือนชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนคนหนึ่งอย่างไม่มีความลังเล
ขุนนางของศาลเทพอภิบาลเมืองขนาดเล็กใหญ่ในโลกมืด มีระบบพิธีการคล้ายคลึงกับราชสำนักในโลกสว่าง นอกจากภาพปักบนชุดขุนนางที่ไม่อาจนำมาใช้ได้อย่างส่งเดชแล้ว แต่ละสถานที่แต่ละเขตก็จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป อย่างในอุตรกุรุทวีปแห่งนี้ ชุดขุนนางส่วนใหญ่จะเป็นสองสีคือขาวและดำ อีกทั้งตรงเอวยังห้อยตราประทับอาคมทองสัมฤทธิ์ที่เป็นตราของแต่ละตำแหน่งเอาไว้
เขาเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ สายตาล่อกแล่ก พยายามสะกดกลั้นความหวาดกลัวลนลานในใจ โค้งกายคำนับ “คืนนี้เซียนกระบี่เดินทางมาเยี่ยมเยือนศาลเทพอภิบาลเมือง โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปรอต้อนรับแต่ไกล ไม่ทราบว่าเซียนกระบี่มาหาข้าน้อยด้วยเรื่องอันใด?”
ผู้ที่มีเจตนาดีไม่มา ผู้ที่มามีเจตนาไม่ดี หลักการตื้นเขินเพียงเท่านี้ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เพื่อนร่วมงานทุกคนต่างก็เข้าใจ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่มีทางพร้อมใจจับมือกันปรากฏตัว
นาทีถัดมาเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นก็เข้ามายืนอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมือง ด้านหลังก็คือขุนนางหลักกองงานหยินหยางที่ยืนอึ้งค้างอยู่กับที่
ต่อให้คนผู้นั้นจะบุกเข้ามาในศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว แต่ทุกคนแม้กระทั่งผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ต่างก็ขยับเท้าหลบเป็นความหมายในเชิงสัญลักษณ์ เหมือนต้องการเปิดทางเส้นหนึ่งให้กับเขา จากนั้นแต่ละคนก็พากันหันไปมองเพื่อนร่วมงานคนนั้น
เห็นเพียงว่าตั้งแต่หน้าผากไล่ยาวลงไปจรดเบื้องล่างของขุนนางหลักกองหยินหยางผู้นั้นปรากฎเส้นตรงสีทองที่เล็กบางเส้นหนึ่ง
พริบตาเดียวร่างทองร่างหนึ่งก็ระเบิดปังแล้วแหลกสลายเป็นผุยผง
แม้แต่ผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ที่เชี่ยวชาญในการกำราบสังหารผีร้ายที่สุดในศาลเทพอภิบาลเมือง และแม่ทัพถือตรวนที่ชอบออกจากเมืองไปไล่ล่าผีเร่ร่อนก็ยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายออกกระบี่อย่างไร แล้วออกกระบี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
ชั่วขณะนั้นขุนนางทุกคนในศาลเทพอภิบาลเมืองต่างก็หน้าซีดเผือด
มองดูแล้วน่าสังเวชนัก
เป็นเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่จริงๆ ด้วย!
แค่เคยได้ยินว่าพวกเซียนกระบี่มักจะทำอะไรแปลกประหลาดและกำเริบเสิบสาน จนไม่อาจใช้หลักการเหตุผลทั่วไปมาวัดประเมินพวกเขาได้
เทวรูปของเทพอภิบาลเมืองที่ตั้งบูชาอยู่ในตำหนักหลังของศาลมีแสงสีทองอ่อนจางไหลวนระลอกหนึ่ง ก่อนที่ขุนนางวัยชราลักษณะสุภาพคนหนึ่งจะเดินออกมา สิ่งปลูกสร้างของตำหนักหน้าไม่อาจขัดขวางเขาไว้ได้ ร่างของเขาเดินผ่านทะลุล่องลอยมาถึงขั้นบันไดของตำหนักหน้า พอยืนนิ่งแล้วก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมา ตวาดกร้าว “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งแล้วก็จะสามารถสังหารขุนนางโลกมืดที่ได้รับการแต่งตั้งประทับตราลัญจกรจากฮ่องเต้ของหนึ่งแคว้นได้ตามใจชอบอย่างนั้นรึ?!”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปยังควันดำหนาหนักที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองสุยเจี้ย กลิ่นอายชั่วร้ายนั้นราวกับปีศาจที่กางเล็บแสยะเขี้ยว
ค่อนข้างคล้ายคลึงกับทะเลเมฆอาวุธกึ่งเซียนของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า เพียงแต่ว่าฝ่ายหลัง หากเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไปจะไม่สามารถมองเห็นได้ ทว่าในเมืองสุยเจี้ยของแคว้นอิ๋นผิงแห่งนี้ นอกจากผู้ฝึกตนแล้ว มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมองเห็น
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าจะพยายามต้านรับทัณฑ์สวรรค์แทนเจ้า เจ้าจะขอบคุณข้าอย่างไร?”
เทพอภิบาลเมืองตกตะลึงไปก่อน แต่จากนั้นก็เกิดความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง “จริงหรือ? เซียนกระบี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?”
เซียนกระบี่ชุดเขียวที่มองดูแล้วอายุยังน้อยผู้นั้นผงกศีรษะรับ
เทพอภิบาลเมืองรู้สึกเพียงว่าสวรรค์ไม่เคยไร้ทางให้คนเดิน เมื่อต้นหลิวร่วงโรยบุปผาย่อมผลิบาน! เทพอภิบาลเมืองตะโกนเสียงดัง “ขอแค่เซียนกระบี่สามารถรับรองว่าศาลเทพอภิบาลเมืองของข้าจะปลอดภัย เซียนกระบี่ก็สามารถเปิดปากมาได้เลย สมบัติวิเศษกองใหญ่ เชิญเซียนกระบี่เลือกไปได้ตามใจชอบ หากเซียนกระบี่รังเกียจว่ายุ่งยาก ก็แค่เอ่ยมาคำเดียว คนตลอดทั้งศาลเทพอภิบาลเมืองพร้อมจะยกสองมือประคองส่งให้ จะไม่ชักช้าอืดอาดแม้แต่น้อย…”
แสงสีทองเส้นหนึ่งฟันผ่าลงมาแสกหน้า
ขุนนางโลกมืดทั้งหลายของศาลเทพอภิบาลเมืองที่มองดูอยู่ต่างอกสั่นขวัญแขวน ร่างทองไม่มั่นคง เห็นเพียงว่าท่านเทพอภิบาลเมืองที่สูงส่งเหนือผู้ใดมาหลายปีจนนับเวลาไม่ถ้วนผู้นั้น สภาพเหมือนกับเพื่อนร่วมงานของกองหยินหยางก่อนหน้านี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน อันดับแรกคือปรากฏแสงสีทองจุดหนึ่งตรงหน้าผากก่อน จากนั้นก็เป็นเส้นตรงเส้นหนึ่งที่ค่อยๆ แผ่ลามไปอย่างเชื่องช้า
ไม่เสียทีที่เป็นท่านเทพอภิบาลเมืองซึ่งถูกตั้งบูชาได้เสวยสุขอยู่กับควันธูปมานานหลายปี ร่างทองหนาหนักที่อาบไล้อยู่ท่ามกลางแก่นควันธูปจำนวนนับไม่ถ้วนไม่ได้แหลกสลายไปในทันที ไม่เพียงเท่านี้ ท่านเทพอภิบาลเมืองยังสามารถยกมือสองข้างขึ้นกดสองซีกบนผากของตัวเองเอาไว้แน่น ร้องโหยหวนขึ้นว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร? หากข้าตายไป ทัณฑ์สวรรค์ก็จะเยื้องกรายลงมาทันที หรือเจ้าคิดจะอาศัยกำลังของคนคนเดียวต้านทานทัณฑ์สวรรค์? หากข้าไม่ตาย เจ้ากับข้ายังสามารถร่วมมือกันต้านรับ ผ่านหายนะไปด้วยกันได้ เจ้ามันคนเสียสติ! เจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”
เส้นสายตาของเฉินผิงอันมองเลยผ่านท่านเทพอภิบาลเมืองไปยังแท่นบูชาเทพที่อยู่ตำหนักหน้า เทวรูปสูงตระหง่านที่ได้รับควันธูปของทั้งเมืองเหมือนกัน แต่กลับไร้แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่าง
ไม่รู้ว่าเป็นพวกหนูและงูที่อยู่รูเดียวกัน รู้ว่าหายนะใหญ่กำลังจะมาเยือนหรือไม่ ถึงได้สลายความศักดิ์สิทธิ์เสี้ยวสุดท้ายออกไปจากเทวรูปในศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้
เฉินผิงอันกล่าว “ขอโทษที เมื่อครู่นี้ลืมบอกไปว่า ข้าต้องการให้เจ้าขอบคุณข้าด้วยความตาย”
สองมือของเทพอภิบาลเมืองกดหน้าผากของตัวเองเอาไว้แน่น สี่ด้านแปดทิศเริ่มมีควันธูปที่ไม่แยกว่าบริสุทธิ์หรือไม่ ปะปนด้วยความคิดอันชั่วร้ายหรือไม่ พากันกรูเข้ามาหาเขาอย่างไม่ขาดสาย ขอแค่เป็นควันธูปของคนที่มาจุดธูปกราบไหว้ ไม่ว่าความคิดจะบริสุทธิ์หรือสกปรกก็ล้วนถูกเขากักไว้ในศาลเทพอภิบาลเมืองอย่างคุ้นชินมานานแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าการทำเช่นนี้จะเป็นการดื่มยาพิษดับกระหายหรือไม่ เขาไม่มีเวลามาสนใจแล้ว ขอแค่เพิ่มตบะขึ้นมาได้ ความเป็นไปได้ที่จะสามารถรักษาร่างทองเอาไว้ได้หลังจากที่ทัณฑ์สวรรค์ผ่าลงมาก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่วนศาลเทพอภิบาลเมืองจะย่อยยับหรือไม่ พวกขุนนางภูตผีที่คอยช่วยเหลือเขาจะเดือดร้อนติดร่างแหเพราะตบะที่ไม่มากพอหรือเปล่า หรือแม้กระทั่งความเป็นความตายของชาวบ้านในเมือง นับตั้งแต่วันแรกที่ ‘บุญกุศลถดถอย ร่างทองเสื่อมโทรม’ ท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นี้ก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้เขายังส่งผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่สนิทสนมกันมานานให้ไปเยือนเมืองหลวง พกพาของขวัญชิ้นใหญ่ แวะเวียนไปหากรมพิธีการ กองงานโหราศาสตร์ เกลี้ยกล่อมขอให้ฮ่องเต้แคว้นอิ๋นผิงระงับเรื่องนี้ไว้ในราชสำนัก ไม่อนุญาตให้เมืองสุยเจี้ยและชาวบ้านในเมืองหนีตายกันไปทั่วทิศ ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่ฮวงจุ้ยของหนึ่งแคว้นและของเทพอภิบาลเมืองในหนึ่งพื้นที่ต่างก็พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ระหว่างนี้ลูกหลานคนรุ่นหลังของคนที่ได้รับจดหมายในเมืองหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าประมุขคนปัจจุบันยังถือว่าพอรู้ความหนักเบาของเรื่องนี้ดี จึงช่วยออกแรงไปมาก ใช้เครือข่ายผู้คนและความสัมพันธ์ควันธูปที่สะสมไว้ในวงการขุนนางมาหลายชั่วอายุคน ช่วยกันขอร้องแทนศาลเทพอภิบาลเมือง ถึงได้ทำให้ท่านเทพอภิบาลเมืองมองเห็นโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งซึ่งได้มาอย่างยากลำบาก
คนตายทั้งเมือง เพื่อรักษาร่างทองเอาไว้
หากคนไม่ทำเพื่อตัวเอง ย่อมถูกฟ้าดินลงโทษ!
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในฐานะที่ข้าเป็นเทพอภิบาลเมืองของเมืองแห่งหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นเทพร่างทองที่มองกษัตริย์ในโลกมนุษย์เป็นพวกคนขี้โรคอายุสั้นอยู่แล้ว!
เทพอภิบาลเมืองใช้สองมือกดหน้าผาก สายตาหลุบลงต่ำเล็กน้อย แม้ว่าความเร็วในการเลื่อนลงของเส้นสีทองจะชะลอช้าลง แต่ก็ไม่มีแววว่าจะหยุดนิ่งเลย ในใจของเทพอภิบาลเมืองหวาดผวาอย่างหนัก ถึงขั้นพูดด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดควันธูปตั้งมากมายขนาดนั้นถึงขวางเอาไว้ไม่อยู่? เซียนกระบี่ นายท่านเซียนกระบี่…”
เทพอภิบาลเมืองที่ยืนอยู่บนขั้นบนสุดของบันไดไม่เหลือสีหน้ามากบารมีน่ากริ่งเกรงใดๆ อีกแล้ว เขาพูดวิงวอนว่า “ขอร้องนายท่านเซียนกระบี่โปรดไว้ชีวิต เรื่องราวทั้งหลายบนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่ปรึกษากันดีๆ ไม่ได้?”
เทพอภิบาลเมืองไม่กล้ายื่นมือชี้ไปที่เหนือศีรษะ “นายท่านเซียนกระบี่โปรดเงยหน้าดู หากไม่มีควันธูปที่เทพอภิบาลเมืองอย่างข้าคอยควบคุม ไม่มีโชคชะตาของหนึ่งพื้นที่ให้เอามาช่วยต้านทานทัณฑ์สวรรค์ นายท่านเซียนกระบี่ตัวคนเดียว ไม่กลัวบ้างเลยหรือว่าจะเป็นการลดทอนตบะที่ได้มาไม่ง่ายนี้ของตัวเอง?”
ผู้พิพากษาบุ๋นที่ขวัญหายแตกกระเจิง แรกเริ่มยังรู้สึกเหลือเชื่อ แต่พอคิดดูอีกครั้งก็พลันกระจ่างแจ้ง เพียงแต่นี่กลับยิ่งทำให้ในใจของเขาสิ้นหวัง
เซียนกระบี่ต่างถิ่นผู้นี้กินอิ่มว่างง่านถึงได้วิ่งโร่มาเตรียมแบกรับทัณฑ์สวรรค์ แล้วเขาจะยังสนใจผลได้ผลเสียของตัวเองอยู่อีกหรือ? หากคิดจะสนใจจริงๆ ไยต้องเข้ามาในศาลเทพอภิบาลเมืองด้วยเล่า?
ท่านเทพอภิบาลเมืองชอบสั่งสอนเหล่าลูกน้องว่าเวลาพอเจอเรื่องใดๆ ต้องมีสติสุขุม อย่าได้แตกตื่นลนลานจนเกิดความผิดพลาดไม่ใช่หรือ? ดูท่าพอเกิดเรื่องเข้าจริงๆ ก็มีดีแค่นี้เอง
เพียงแต่ว่าผู้พิพากษาบุ๋นท่านนี้กลับร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ ตอนนี้ตนไม่ใช่คนที่ดูสถานการณ์อยู่ด้านนอกและไม่มีเรื่องตลกอะไรให้ดูแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้าพิทักษ์ลมและน้ำของพื้นที่หนึ่งอย่างพวกเขาหลุบตาลงต่ำมองเหล่าชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่เข้าศาลมาจุดธูป ข้าวเหมือนกันแต่ก็เลี้ยงคนได้ร้อยรูปแบบ ชายหญิงผู้ลุ่มหลงในรักที่โง่เขลา บุรุษฉกรรจ์ที่เกียจคร้านแต่กลับขอพรให้ตัวเองร่ำรวย สตรีที่จิตใจอำมหิตแต่กลับคาดหวังให้ตัวเองได้พบเจอคนรักที่ดี ลูกหลานที่ผู้ใหญ่ในบ้านป่วยหนัก ไม่ยอมจ่ายเงินจ้างหมอมารักษา แต่กลับมาจุดธูปขอพรภาวนาอยู่ที่นี่ โจรที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบที่คิดว่าเข้าศาลมาจ่ายเงินให้มากหน่อย จุดธูปกำใหญ่ก็จะสามารถขจัดกรรมชั่วที่ได้กระทำไป หลายสิ่งหลายอย่าง มีมากมายเกินคณานับ เห็นเรื่องตลกในโลกมนุษย์มาจนพอแล้ว เห็นจนชาชินแล้ว ตอนนี้กลับต้องเจอกรรมตามสนอง ก็คงถึงคราวที่ผู้ฝึกตนเหล่านั้นเป็นฝ่ายมาดูเรื่องตลกของศาลเทพอภิบาลเมืองของตนบ้างแล้วกระมัง?
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเทพอภิบาลเมืองท่านนี้ เพียงแค่เสียบเจี้ยนเซียนที่อยู่ในมือปักลงพื้นดิน จากนั้นก็ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นช้าๆ ไม่เหมือนตอนที่อยู่ทะเลสาบชางอวิ๋น คราวนี้ชายแขนเสื้อข้างซ้ายก็ถูกม้วนขึ้นด้วย เผยให้เห็นสร้อยข้อมือแกนลูกท้อ
ส่วนยันต์สามแผ่นที่ได้มาจากหุบเขาผีร้ายล้วนถูกเฉินผิงอันสอดเหน็บเอียงๆ ไว้ตรงเข็มขัดรัดเอว แบ่งออกเป็นยันต์แสงสว่างอวิ้ชิงที่เปิดประตูไว้แล้ว และยังมีอีกสองแผ่นที่เป็นยันต์พิฆาต ยันต์จวนปี้เซียวของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียน
ทำเรื่องพวกนี้เสร็จ เฉินผิงอันถึงได้มองไปยังเทพอภิบาลเมืองที่ดวงตาสีทองทั้งคู่เริ่มกลายเป็นสีหมึก
นึกถึงศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี แล้วก็เป็นเช่นนี้จริง เพียงแต่ว่าเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินนั้นถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาวางแผนเล่นงาน ทว่าคนตรงหน้ากลับรนหาที่เอง แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เฉินผิงอันมาถึงขั้นบนสุดของบันไดในชั่วพริบตา มือหนึ่งยันกระบี่ ยืนอยู่ข้างกายของเทพอภิบาลเมืองที่เหมือนผู้ฝึกยุทธที่ธาตุไฟเข้าแทรก คนทั้งสองยืนเคียงไหล่กัน เพียงแต่หันหน้ากันไปคนละทิศทาง
มือกระบี่ชุดเขียวหันหน้าเข้าหาตำหนักหน้า องค์เทพร่างทองที่มีเทวรูปว่างเปล่านั่งอยู่บนแท่นบูชาสูง บนร่างมีเส้นสีทองเส้นหนึ่งไล่ยาวจากบนจรดล่างหันหน้าเข้าหาประตูศาล เผชิญหน้ากับสรรพชีวิต
พยายามสุดกำลังที่จะรักษาร่างทองไม่ให้ระเบิดแตก นี่คือผลลัพธ์จากการพยายามสุดความสามารถของท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นั้นแล้ว ต่อให้ข้างกายจะมีตัวการที่ออกกระบี่ใส่เขา ท่านเทพอภิบาลเมืองก็ยังคงไม่มีเวลามาสนใจเขา
เส้นสีทองที่อยู่บนร่างของเทพอภิบาลเมืองเริ่มขยายใหญ่ไปอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งน้ำท่วมทำนบ ลำธารเล็กๆ เส้นหนึ่งจะรองรับไว้ได้ไหวอย่างไร
เขาพลันยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่ตัวดี เจ้าเองก็มาเพื่อสมบัติหนักที่จะเผยตัวบนโลกชิ้นนั้นกระมัง?”
ท่านเทพอภิบาลเมืองที่รู้ดีว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอนแผดเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ จากนั้นก็กดเสียงลงต่ำ “น่าเสียดายนัก ไม่อย่างนั้นต่อให้เทพอภิบาลเมืองเล็กๆ อย่างข้าร่างมอดม้วยมรรคาสิ้นสลาย แต่หากสามารถลากเทพเซียนบนภูเขากลุ่มใหญ่ให้ตายไปด้วยกันได้ จะไม่ยิ่งสาแก่ใจหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันพลันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมากดลงบนใบหน้าของเทพอภิบาลเมืองท่านนั้น จากนั้นก็งอนิ้วทั้งห้าเป็นตะขอพร้อมเอ่ยเนิบช้า “เจ้ายังมีหน้าอะไรไปมองโลกมนุษย์อีก?”
ร่างทองของท่านเทพอภิบาลเมืองพลันระเบิดแตกดังตู้ม ตำหนักหน้าของศาลเทพอภิบาลเมืองเหมือนมีคนโปรยผงสีทองกลุ่มใหญ่ลงมา
เสียงเคร้งดังหนึ่งครั้ง วัตถุชิ้นหนึ่งตกกระทบพื้นเสียงดังกังวาน
คือเศษชิ้นส่วนร่างทองที่สนิมเกรอะกรังชิ้นหนึ่ง ไม่ถือว่าเล็ก หากเอาเศษชิ้นส่วนร่างของทองเทพลำคลองทะเลสาบชางอวิ๋นสองคนนั้นมารวมกันก็ยังใหญ่กว่า
เฉินผิงอันกำลังจะใช้ปลายกระบี่ของเจี้ยนเซียนตีวัตถุชิ้นนี้ให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทว่าชูอีที่ไม่ได้เผยโฉมมานานกลับพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว แสงกระบี่สีขาวเส้นหนึ่งแทงไปยังเศษชิ้นส่วนร่างทองที่ขึ้นสนิมนั้น แล้วกระบี่บินชูอีกับเศษชิ้นส่วนร่างทองก็พากันหายวับเข้าไปใต้ดิน
เมื่อร่างทองในศาลเทพอภิบาลเมืองระเบิดแตก กลางอากาศเหนือเมืองสุยเจี้ยก็พลันเกิดฟ้าร้องครืนครั่น เสียงนั้นดังเกินเสียงฟ้าผ่าทั่วไป ราวกับเสียงประทัดที่มาระเบิดเปรี้ยงข้างหู เป็นเหตุให้ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนของเมืองสุยเจี้ยสะดุ้งตื่นจากความฝัน
ทะเลเมฆสีดำกลิ้งตลบ ประหนึ่งมีเจียวสีหมึกมังกรสีดำที่พากันแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ไม่เพียงเท่านี้ ทะเลเมฆยังเริ่มลดระดับลงต่ำช้าๆ
แรกๆ ก็มีแค่บางครอบครัวที่หลังจากถูกเสียงฟ้าผ่าปลุกให้ตื่นก็เริ่มจุดตะเกียง
ครอบครัวคนมีเงินก็ยิ่งแขวนโคมไฟเอาไว้หลายดวง
ต่อมาตลอดทั้งเมืองที่เจริญรุ่งเรืองก็มีแสงสว่างประดุจแสงดาวบนท้องฟ้าที่พากันทยอยติดขึ้นเป็นแถบๆ มีเสียงเด็กร้องไห้กระจองอแงดังขึ้นๆ ลงๆ
สุดท้ายก็คือพวกผู้ฝึกลมปราณที่แอบเข้าเมืองสุยเจี้ยมาอย่างเงียบเชียบที่แต่ละคนปากอ้าตาค้าง หลังจากความตกตะลึงผ่านพ้นไปก็เริ่มผรุสวาทหยาบคาย พวกเขาหรือจะคิดได้ว่าสมบัติหนักยังไม่ทันเผยกายบนโลกอย่างแท้จริง ทัณฑ์สวรรค์สมควรตายนี่กลับมาถึงล่วงหน้าก่อนแล้ว
ในเรื่องนี้มีส่วนที่ต้องพิถีพิถันอยู่มาก
วัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกย่อมต้องมีสติปัญญาก่อนกำเนิดเป็นของตัวเอง ยากมากที่ผู้ฝึกลมปราณจะจับเอาไปได้ เจ้านครหวงเยว่เคยเดินสวนไหล่กับวัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งก็เพราะว่าวัตถุวิเศษตระกูลเซียนชิ้นนั้นมีความเร็วที่น่าตะลึงเกินไป
บนภูเขาเล่าลือกันว่าสมบัติประหลาดของเมืองสุยเจี้ยชิ้นนั้นมีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด เกิดจากการรวมตัวกันแล้วฟูมฟักขึ้นมาของโชคชะตาบุ๋นที่งดงามของเมืองแห่งหนึ่งนานเป็นพันปี ไม่เพียงเท่านี้ ว่ากันว่าช่วงแรกๆ ที่ก่อตั้งเมืองสุยเจี้ย อันที่จริงเดิมทีก็มีอาวุธเซียนของสำนักการทหารชิ้นหนึ่งถูกฝังลึกไว้ใต้ดิน สุดท้ายทั้งสองสิ่งจึงผสานรวมกันกลายเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งโลกมนุษย์ที่มีทั้งโชคชะตาบุ๋นและบู๊ครบถ้วน ได้ทั้งป้องกันและโจมตี ใครที่ได้ไปครองก็สามารถเดินขึ้นฟ้ากลายเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาได้ในก้าวเดียว ดังนั้นสองท่านจากนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งอันเป็นตระกูลเซียนบนยอดเขาสูงสุดถึงได้พร้อมใจกันลงมือ คิดว่าต้องครอบครองสมบัติประหลาดชิ้นนี้ให้จงได้ หากนครหวงเยว่ได้ไปครองก็จะสามารถนั่งบนเก้าอี้อันดับหนึ่งของเหล่าภูเขาในหลายสิบแคว้นได้อย่างมั่นคง สลัดดินแดนเซียนเป่าต้งทิ้งไปไกลได้ระยะใหญ่ แต่หากดินแดนเซียนเป่าต้งได้ไปครอง พลังอำนาจก็จะเหนือกว่านครหวงเยว่
—–