กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 508.1 ประหนึ่งองค์เทพประทับบัลลังก์สูง
เหอลู่สีหน้าเขียวคล้ำ
ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งที่มีหญิงชราฟ่านเหวยหรานเป็นผู้นำ รวมไปถึงผู้ฝึกตนของแต่ละฝ่ายที่พึ่งพาพวกเขาต่างก็มีสีหน้าซับซ้อน
ตามหลักแล้วนี่คือเรื่องสนุกที่ยากจะได้เห็น อีกทั้งยังเป็นเรื่องครึกครื้นที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่กลัวก็แต่ว่าดูเรื่องสนุกเสร็จแล้ว ตัวเองจะต้องกลายเป็นที่ขบขันของคนอื่นไปด้วย
ส่วนผู้ฝึกลมปราณทางฝั่งของเย่หานแห่งนครหวงเยว่กลับมองดูเหมือนจะโกรธแค้นแทนเหอลู่ ทว่ากลับไม่มีใครกล้าออกเสียง ไม่มีสักคนเดียว
ในใจของผู้ฝึกตนทั้งสองกลุ่มเคียดแค้นทะเลสาบชางอวิ๋นอย่างถึงที่สุด ค่ายกลใหญ่แห่งวังมังกรกับผายลมสุนัขอะไรถึงได้เหมือนก้อนเต้าหู้ถูกมีดหั่น เหมือนดินโคลนถูกกระบี่ฟันอย่างนี้?!
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบไม่เอ่ยอะไรสักคำ เขายืนอยู่ที่เดิม หลุบตาลงต่ำ เอาแต่มองพื้นอย่างเดียว
นี่เป็นท่าทีที่ค่อนข้างจะน่าขบคิดแล้ว คนมีเงินหากถูกใครมาทุบกำแพงดินเหลืองของบ้านตัวเองแตกยังต้องตวาดด่าสักสองสามคำ แต่นี่ค่ายกลใหญ่วังมังกรที่เป็นบ้านตนถูกคนผ่าทำลายบุกเข้ามาอย่างนี้ สิ่งที่สูญเสียไปคือเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ ทว่าเจ้าแห่งทะเลสาบผู้นี้กลับไม่กล้าแม้แต่จะผายลม? ไหนบอกว่าทะเลสาบชางอวิ๋นคือมือวางอันดับหนึ่งของแคว้นอิ๋นผิงอย่างไรเล่า? ภายในหนึ่งแคว้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าขุนเขาที่อยู่บนภูเขา หรือแม่ทัพอัครเสนาบดีที่อยู่ด้านล่างภูเขาก็ล้วนเคารพนับถือทะเลสาบชางอวิ๋นอย่างถึงที่สุด ต่อให้เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะสวมชุดคลุมมังกรของจักรพรรดิอย่างเกินสถานะตัวเองก็ยังไม่เคยมีใครกล้าคิดเล็กคิดน้อยกับเขา
กลับกลายเป็นว่ายิ่งเป็นคนขอบเขตต่ำก็ยิ่งใจร้อนวู่วาม ใช่ว่าจะไม่มีใครอยากยืดอกเดินออกมาตวาดสั่งสอนเซียนกระบี่หนุ่มที่อยู่กลางวงล้อมสักคำสองคำ เดิมทีผู้ฝึกตนตัวเล็กตัวน้อยยังอยากจะเป็นผู้นำช่วยออกหน้า เพราะหวังว่าจะได้ผูกสัมพันธ์ควันธูปกับเซียนซือน้อยเหอโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดง เพียงแต่ว่าไม่รอให้พวกเขาส่งเสียงก็ถูกพวกผู้ฝึกตนนิสัยสุขุมหนักแน่น ผู้อาวุโสในสำนัก หรือไม่ก็สหายบนเส้นทางการฝึกตนที่อยู่ข้างกายพากันใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในใจบอกเตือน ที่ต้องทำแบบนี้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็เพราะกลัวว่าหากหวังดีออกเสียงเตือนผู้อื่น จะต้องถูกพวกคนบุ่มบ่ามข้างกายพาให้ซวยไปด้วย วิชากระบี่ของเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง ในเมื่อแม้แต่ทัณฑ์สวรรค์ยังต้านรับไว้ได้ ถ้าอย่างนั้นแค่แสงกระบี่ของเขาเปล่งวาบง่ายๆ สักครั้ง ไม่ทันระวังฆ่าผิดไปทีละหลายคน ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
มุมปากของฟ่านเหวยหรานไม่เหลือรอยยิ้มเย็นชาอีกต่อไป สีหน้ามองดูแล้วค่อนข้างทึ่มทื่อด้วยซ้ำ
เย่หานเจ้าแห่งนครหวงเยว่หันหน้ามามองเซียนกระบี่ชุดขาวที่ฟันกระบี่ครั้งเดียวก็ทำลายค่ายกลใหญ่ได้ติดกันถึงสองค่ายกล แล้วถามว่า “เซียนกระบี่จะต้องดึงดันไม่ยอมเลิกรา ต้องให้ปลาตายตาข่ายขาดถึงจะยอมหยุดมืออย่างนั้นหรือ?”
เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นเพียงแค่โยนฝักกระบี่ในมือไปบนพื้นง่ายๆ ฝักกระบี่ก็เสียบลงไปใต้ดิน เขาหยิบเอาพัดพับที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมา ทั้งไม่มองเย่หาน แล้วก็ไม่มองเหอลู่ เพียงใช้พัดพับตบฝ่ามือของตัวเองเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตากวาดมองไปเรื่อย เริ่มจากผู้เฒ่าผมขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ทางฝั่งขวามือ ไล่มองไปจากตำแหน่งที่นั่งด้านบนขยับมาถึงที่นั่งด้านล่างที่ติดกับประตูตำหนักใหญ่ของวังมังกร “ได้ยินมาว่ามีเซียนซือจากยอดเขาเมิ่งเหลียงท่านหนึ่งที่ความคิดอัศจรรย์อย่างยิ่ง ถึงขนาดจ้างให้ปรมาจารย์ในยุทธภพคนหนึ่งไปนั่งกินขี้ในถังอาจม ใครกัน ลุกขึ้นมาให้ข้าชื่นชมหน่อยสิ หากคร้านจะลุกขึ้นยืน แค่ยกมือก็ได้”
ทางฝั่งของดินแดนเซียนเป่าต้ง ชายหญิงสะพายกระบี่อายุน้อยคู่หนึ่งหันมองหน้ากันเอง
เซียนกระบี่ท่านนี้ไม่ใช่ว่าคือบุรุษชุดเขียวสวมงอบที่นั่งกินโจ๊กอยู่ในร้านข้างทางนอกเมืองสุยเจี้ยยามเช้าตรู่ของวันนั้นหรอกหรือ? เปลี่ยนชุดใหม่ สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไป แต่ใบหน้านี้กลับไม่ผิดแน่!
สตรีผู้นั้นได้แต่ยิ้มขื่น ศิษย์น้องของตนช่างปากอีกาจริงๆ ตอนอยู่หน้าประตูเมือง ผู้เฒ่าที่มีลิงนั่งอยู่บนไหล่ก็คือตัวการร้ายที่แย่งชิงสมบัติหนักของตระกูลเซียนชิ้นนั้นไป ตอนนี้จอมยุทธพเนจรหนุ่มคนนี้ก็ยิ่งกลายเป็นเซียนกระบี่ฝีมือล้ำโลกคนหนึ่ง!
สุดท้ายสายตาของเฉินผิงอันไปหยุดอยู่บนร่างของผู้ฝึกลมปราณกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลาง
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้กับประตูใหญ่ของตำหนักมากที่สุดทำคอย่น
ถามคำถามไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะคำตอบได้ถูกเปิดโปงออกมาแล้ว การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่เหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายของพวกเพื่อนร่วมงานทั้งหลายในศาลเทพอภิบาลเมือง เรียกได้ว่าไม่อืดอาดยืดยาดแม้แต่น้อย
ตอนนี้ก็เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ควันดำจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่เดิมทีมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นได้ถูกพายุลมกรดพัดทอนให้สลายหายไปจนเหลือขนาดเท่าแค่เม็ดพุทรา เขาใช้นิ้วข้างหนึ่งบิดหมุนเบาๆ พายุลมกรดเป็นเส้นๆ ก็รัดพันควันดำกลุ่มนั้นเอาไว้ ประหนึ่งเครื่องโม่ที่กำลังบดขยี้มัน เฉินผิงอันยิ้มถาม “ผู้ฝึกตนอิสระที่ข้าลืมถามชื่อคนนี้บอกว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของยอดเขาเมิ่งเหลียงพวกเจ้า จึงจะเป็นผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอาจไม่ได้มีสมองและความกล้านั้นเสมอไป ดังนั้นสรุปว่าเป็นเจ้านครใหญ่เย่ หรือเซียนซือน้อยเหอกันแน่?”
ผู้ฝึกลมปราณสี่คนของยอดเขาเมิ่งเหลียงโมโหจนกัดฟันกรอด แต่ท่านั่งก็ยังคงมั่นคงดุจหินผา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ข้าแค่อยากรู้เรื่องหนึ่ง เย่หานแห่งนครหวงเยว่ที่วางแผนก่อนลงมือก็ดี เหอลู่ที่มีสติปัญญาโดดเด่นเหนือผู้ใดก็ช่าง ตอนที่มอบหมายให้พวกเจ้าทำเรื่องนี้ เขาได้ให้เงินพวกเจ้าหรือไม่? หากไม่ นครหวงเยว่ก็ไม่ค่อยจะมีคุณธรรมเท่าไรแล้ว”
เหอลู่ลุกขึ้นยืนช้าๆ สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ใครทำคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ แล้วก็ไม่ต้องพูดว่า ‘เหอลู่มาก่อน’ อะไรอีกแล้ว บุญคุณความแค้นทั้งหมดของเมืองสุยเจี้ย ขอให้ยุติลงที่ข้าเหอลู่ หากข้าเหอลู่ตายไป แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะเซียนกระบี่มีวิชาสูงส่งกว่า ข้าเหอลู่ไร้ความแค้นไร้ความเสียใจ เซียนกระบี่รู้สึกว่าอย่างไร?”
เย่หานยิ้มบางๆ
หากไม่เดิมพันเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงของทะเลสาบชางอวิ๋นวันนี้ก็จะเหมือนทรายหนึ่งถาดที่กระจัดกระจาย จิตใจผู้คนแตกแยก กองกำลังบนกระดาษสามฝ่ายที่น่าจะเทียบเท่าได้กับเซียนคนหนึ่งก็จะหายไปกลายเป็นพวกหัวมังกุท้ายมังกรแทน
ฟ่านเหวยหรานรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย นางเหลือบตาขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่บรรพจารย์ของดินแดนเซียนเป่าต้งท่านนี้มองเด็กหนุ่มจากนครหวงเยว่สูงขึ้น
ก่อนหน้านี้รู้สึกเพียงว่าเหอลู่คือตัวอ่อนของผู้ฝึกตนที่ไม่เป็นรองแม่หนูเยี่ยนของตัวเอง สมองเฉียบไว วางตัวเข้าสังคมได้ดี คิดไม่ถึงว่ายามที่ต้องเผชิญหน้ากับเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายจะยังนิ่งสงบได้ถึงขนาดนี้ นับว่าหาได้ยากทีเดียว
จิตใจมีปณิธานยิ่งใหญ่ แต่ภายนอกกลับเหมือนธรรมดา ต้องเป็นผู้ที่พัฒนาได้ไกลอย่างแน่นอน
ประโยคนี้คงจะกล่าวถึงเด็กหนุ่มคนนี้กระมัง
ผู้ฝึกตนที่มีทั้งพรสวรรค์และสภาพจิตใจที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ขอแค่ไม่ตายไปก่อนวัยอันควร มหามรรคาก็มารออยู่ตรงหน้าแล้ว! เย่หานช่างโชคดีนัก ถึงได้มีคนผู้นี้มาเป็นแขนขาให้
หญิงชราคิดอยู่ในใจ
หรือว่าหากงานเลี้ยงฉลองในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นครั้งนี้ผ่านพ้นด่านที่ยากลำบากไปได้ ตนก็ควรตอบตกลงให้แม่หนูเยี่ยนกลายเป็นคู่สร้างคู่สมกับเขา? ถึงอย่างไรเหอลู่ก็เป็นคนต่างแซ่ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถสืบทอดดูแลนครหวงเยว่ของเย่หานได้ ไม่แน่ว่าอาจจะยังอาศัยแม่หนูเยี่ยนให้นำพาเขาเข้ามาอยู่ในดินแดนเซียนเป่าต้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทั้งสามารถทำให้เย่หานโมโหแทบตาย แล้วก็ทั้งสามารถทำให้สำนักของตนพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น หากกุมารทองกุมารีหยกที่ไม่ว่าใครก็อิจฉาคู่นี้ได้กลายเป็นคู่รักเทพเซียน ถึงเวลานั้นภูเขาของหลายสิบแคว้นก็ต้องมีเกินครึ่งที่อาจจะกลายเป็นเขตอิทธิพลของดินแดนเซียนเป่าต้ง เชื่อว่าด้วยสายตาและความกล้าหาญของเด็กหนุ่มผู้นี้ คงจะคิดบัญชีเล่มนี้ได้อย่างชัดเจน
“เย่หาน ขอแค่คนผู้นี้พูดจาไม่เหมาะสมสักหน่อยก็อาจจะชักนำให้ฝูงชนเดือดดาล พวกเราอย่าได้พลาดโอกาสที่เหอลู่ช่วงชิงมาอย่างยากลำบากนี้ไปเด็ดขาด”
ดังนั้นฟ่านเหวยหรานจึงรีบใช้เสียงในใจบอกกับเย่หาน “วันนี้เจ้าและข้าสองฝ่ายโยนความขัดแย้งเก่าก่อนทิ้งไป ร่วมมือกันอย่างจริงใจ! อย่าได้ปกปิดอำพรางฝีมือกันอีกเลย สถานการณ์คับขัน ไม่มีเวลาให้พวกเราแต่ละฝ่ายใช้อุบายอีกแล้ว”
เย่หานตอบรับอย่างเด็ดเดี่ยวทันควัน
“ข้ายังนึกว่าเจ้าจะเอ่ยประโยคที่ว่า อภัยคนได้ก็จงให้อภัย แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแผนการมากมายในเมืองสุยเจี้ย ผู้บงการตัวจริงก็คือเจ้าเหอลู่แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อเซียนซือน้อยเหอมีความรับผิดชอบเช่นนี้ ข้าก็นับถือในความเป็นชายชาตรีของเจ้า เอาล่ะ ขอให้ยุติที่เจ้าเหอลู่ หากเอากระบี่ไปไม่ได้ วันนี้ข้าที่อยู่ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นจะเอาแค่หัวของเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
เหอลู่อึ้งตะลึง
อย่าว่าแต่คนอื่นๆ เอาแค่ฟ่านเหวยหรานก็ยังรู้สึกโล่งอกได้เสี้ยวหนึ่ง
คำตอบของเซียนกระบี่ผู้นี้ทำให้คนรับมือไม่ทัน แต่หากการเข่นฆ่าในวันนี้หยุดลงเพียงเท่านี้จริงๆ ต่อให้เขาจะฆ่าคนมากกว่านี้อีกสักสองสามคน แต่ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับดินแดนเซียนเป่าต้งมากนัก เหตุใดฟ่านเหวยหรานจะไม่ยินดีให้เป็นเช่นนั้นเล่า? ข้อตกลงอย่างลับๆ กับเย่หานและนครหวงเยว่ก่อนหน้านี้ก็แค่ให้เป็นโมฆะกันไปเท่านั้น
เย่หานหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เฉินผิงอันใช้พัดพับชี้ไปยังเจี้ยนเซียนที่เสียบเอียงอยู่บนพื้น “เซียนซือน้อยเหอ อย่าได้เกรงใจ เชิญเอากระบี่ไปได้ตามสบาย หลังจากเจ้าตายไป ผู้ฝึกตนมากมายจะต้องซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้า ก็ถือว่าตายได้อย่างคุ้มค่าแล้ว”
เหอลู่เกร็งหน้าไม่อยู่อีกครั้ง สายตาขยับเคลื่อนเบนไปมองเย่หานผู้เป็นอาจารย์ที่นั่งอยู่ด้านข้างเล็กน้อย
ตรงม่านไข่มุกของประตูห้องข้างตำหนักใหญ่มีสตรีหน้าตางดงามคนหนึ่งเดินออกมา กล่าวอย่างมีโทสะว่า “เจ้าคนป่าเถื่อนผู้นี้! เหตุใดต้องใช้อำนาจรังแกคนอื่นเช่นนี้ด้วย เป็นเซียนกระบี่ที่ทุกคนต่างก็กลัวเจ้าแล้วอย่างไร ผู้ฝึกตนมีใครที่คิดกำจัดทุกคนให้สิ้นซากเช่นเจ้าบ้าง…”
เมื่อม่านไข่มุกถูกเลิกขึ้นและร่วงลงก็เกิดเสียงดังใสกังวานเหมือนเสียงเม็ดไข่มุกที่กลิ้งอยู่บนถาด
โทสะของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบพุ่งเทียมฟ้า ไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง เพียงยกมือขึ้นโบกชายแขนเสื้ออย่างแรง “ไสหัวกลับไป!”
แรงจากการโบกชายแขนเสื้อตบให้ร่างมังกรสาวผู้นั้นกระแทกม่านไข่มุกระเบิดแตก เสียงปังดังหนึ่งครั้งก็น่าจะกระแทกเข้ากับผนังของห้องด้านข้างนั้นอย่างแรง ฟังจากเสียงแล้ว ไม่มีเสียงอื่นตามมา นี่หมายความว่าเรือนกายอรชรนั้นไม่ได้ร่วงลงพื้น น่าจะฝังติดอยู่ในผนังไปแล้ว
การลงมือครั้งนี้ของเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นไม่ถือว่าเบา พละกำลังเต็มเปี่ยมอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันมองไปยังเจ้าแห่งทะเลสาบที่สวมชุดคลุมอาคมสีม่วงแล้วคลี่ยิ้ม ก่อนจะเงยหน้ามองไปรอบด้าน “เป็นสถานที่ที่ดี”
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบประสานมือค้อมตัวคารวะ “เซียนกระบี่มาเยือนสถานที่อัตคัดของข้า ก็นับเป็นเกียรติของเรือนน้อยๆ หลังนี้อย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันใช้พัดพับในมือชี้ไปสองที ยิ้มกล่าว “ศาลเทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีครั้งหนึ่ง บนทะเลสาบชางอวิ๋นเจ้าและข้าสองฝ่ายอุ่นมือตีกันเล็กๆ อีกครั้งหนึ่ง ใช้วังมังกรของเจ้าเป็นที่รวบรวมเหล่าผู้กล้าของสถานที่ต่างๆ ประลองมรรคกถากับข้าอยู่ไกลๆ ที่เมืองสุยเจี้ย ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง คำพูดเก่าแก่บอกไว้ว่าเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม บวกกับที่มังกรสาวผู้นี้ใช้เหตุผลผดุงคุณธรรม ถือเป็นครั้งที่สี่แล้ว จะทำอย่างไร?”
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบไม่ได้ยืดตัวขึ้น เพียงแค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พูดเสียงทุ้มหนัก “เซียนกระบี่บอกว่าต้องทำอย่างไร วังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นก็จะทำอย่างนั้น!”
เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ แต่พูดอย่างคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “เจ้าแห่งทะเลสาบไม่ต้องรีบร้อน รอให้เซียนซือน้อยเหอลงมือชักกระบี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากเขาชักกระบี่ออกมาได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องอึ้งตะลึงไปอีกหรือ ตอนนี้รีบเอ่ยประโยคที่ทำให้พันธมิตรเสียกำลังใจ ยามแบ่งทรัพย์สินกันหลังจบเรื่อง เงินส่วนที่วังมังกรของเจ้าได้ไปจะน้อยลงกว่าเดิมเยอะมาก”
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบมีสีหน้าน่าสงสาร ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ช่างมีอารมณ์ขัน”
เฉินผิงอันใช้พัดพับชี้ไปที่ผู้เฒ่าผมขาวซึ่งนั่งอยู่ข้างกายเหอลู่ “ถึงเวลาที่เจ้าต้องขึ้นเวทีมาคลี่คลายวิกฤตแล้ว หากยังไม่พูดอะไรที่เป็นการปลอบใจคน กอบกู้สถานการณ์ จะสายเกินแก้จริงๆ แล้ว”
เย่หานถอนหายใจเบาๆ
ผู้เฒ่าที่เมื่อครู่ได้รับการถ่ายทอดคำสั่งอย่างลับๆ จากเจ้านครพลันไม่รู้ว่าควรจะนั่งหรือควรจะลุกขึ้นยืนดี
สุดท้ายเขาที่ความดุดันเฉียบคมหายไปเกินครึ่งก็ได้แต่แข็งใจลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ตาแก่อย่างข้าที่ครึ่งร่างเข้าไปอยู่ในดินแล้วบังอาจพูดให้เซียนกระบี่ฟังสักสองสามประโยค?”
ทว่ากลับได้ยินเซียนกระบี่หนุ่มที่อยู่ในตำหนักใหญ่ของวังมังกรเอ่ยแค่สองคำว่า ‘เสียดาย’ และสีหน้าของเขาก็คล้ายจะยังไม่หายสนุก
การกระทำและคำพูดของเซียนกระบี่ไร้เหตุผลจริงๆ เสียด้วย
เยี่ยนชิงหันหน้ากลับมา เพราะแม่หนูชุ่ยเด็กสาวน่ารักซื่อใสที่อยู่ข้างกายนางคนนั้นแอบกระตุกชายแขนเสื้อของนางเบาๆ
เยี่ยนชิงยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาบอกเป็นนัยไม่ให้แม่หนูในสำนักที่แต่ไหนแต่ไรมามักจะพูดจาอย่างไร้ความยำเกรงออกเสียง
เด็กสาวยิ้มอย่างเข้าใจ พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบสื่อสารกับเยี่ยนชิง “อาจารย์หญิงเยี่ยน เขากำลังฝึกจิตใจของตัวเองอยู่ล่ะ ประหลาดมากเลย ต่อให้เป็นข้าก็ยังมองออกอย่างพร่าเลือน เหมือนกับว่า…คนตัดต้นไม้ผ่าฟืนที่ต้องลับมีดก่อน แต่ก็ยังพอจะมองเห็นได้เลือนรางว่าดูเหมือนเขาจะรังเกียจที่พวกเราคนน้อยไป หินลับมีดไม่ใหญ่มากพอ เค้าโครงของเมืองที่เป็นเงาดำๆ นั้น น่าจะเป็นเพราะเขากำลังคิดถึงชาวบ้านมากมายที่อยู่ในเมืองสุยเจี้ย…สรุปก็คือความหมายประมาณนี้แหละ เจ้าหมอนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนทะเลสาบชางอวิ๋น เขาจงใจเอาเจ้าพวกงูโง่เหล่านั้นมาหล่อหลอมเรือนกายตัวเอง ตอนนี้ก็เอาอีกแล้ว เฮ้อ อาจารย์อาหญิงเยี่ยน ท่านเองก็รู้ว่าในอดีตข้าเลื่อมใสเซียนกระบี่ที่ท่านบรรพจารย์รองชอบพร่ำพูดถึงเป็นที่สุด แต่ตอนนี้ไม่กล้าเลื่อมใสแล้ว กลัวว่าอาจจะต้องตายได้”
เยี่ยนชิงรู้สึกเพียงว่าเหลือเชื่อ จิตใจยิ่งทุกข์ตรม
นับตั้งแต่ที่นางฝึกตนมาก็ยังไม่เคยมีสภาพจิตใจที่วุ่นวายขนาดนี้มาก่อน
วิชาฝึกจิตของตระกูลเซียนที่สำนักนำมาใช้ซุกซ่อนความจริงไร้ประโยชน์ วิชาสงบจิตรวบรวมสมาธิของตัวเองก็ใช้ไม่ได้ผล
เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นพลันพึมพำคล้ายรู้สึกระอาใจ “ก็ได้ เจ้าบอกว่าได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าได้แล้วกัน”
อันที่จริงรูปโฉมของคนผู้นี้อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับเหอลู่ได้ติด แต่จนใจที่คนเขาคือเซียนกระบี่ที่มีพลังสังหารไร้ที่สิ้นสุดคนหนึ่ง
เวลานี้ทุกคนที่อยู่ในตำหนักใหญ่ของวังมังกรล้วนเงียบกริบ รู้สึกคลางแคลงสงสัย เพราะรู้สึกว่าทุกการกระทำทุกคำพูดของเซียนชุดขาวตรงหน้าผู้นี้มักจะแฝงไว้ด้วยมรรคกถาลึกล้ำ เซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้…สมกับเป็นเซียนกระบี่จริงๆ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองผู้เฒ่าผมขาวที่คิดเตรียมคำพูดไว้เรียบร้อยแล้ว “หุบปากคือดีที่สุด”
แสงกระบี่สีเขียวเส้นหนึ่งพลันเผยกาย ผู้เฒ่าหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัด ร่างทั้งร่างกลายเป็นนกกระดาษพับขนาดเท่าฝ่ามือที่เริ่มเผ่นหนีไปทั่วทิศ
กระบี่บินเล่มนั้นเหมือนเงาที่ตามติด
เส้นทางการหลบหนีของนกกระดาษสีขาวหิมะก็นับว่ามีส่วนพิถีพิถันอยู่มาก ครั้งหนึ่งพยายามจะพุ่งออกจากประตูของตำหนักใหญ่ แต่ถูกกระบี่บินแทงเข้าที่ปีกจนเป็นรู หลังจากนั้นก็เริ่มบินไปรอบๆ โต๊ะที่ตั้งวางอยู่ในงานเลี้ยง ใช้ผู้ฝึกลมปราณที่เอียงตัวหลบซ้ายหลบขวาและจอกเหล้าถ้วยชามบนโต๊ะเป็นอุปสรรคขัดขวางกระบี่บิน ประหนึ่งนกกระจอกปราดเปรียวตัวหนึ่งที่บินวนกิ่งไม้ ลอดทะลุไปตามซอกตามช่องต่างๆ ไม่หยุด มองดูแล้วน่าหวาดเสียว แล้วก็ยิ่งทำให้ผู้ฝึกลมปราณทั้งหลายตกใจจนหน้าซีดขาว แต่ก็ไม่กล้าสบถด่าต่อหน้านครหวงเยว่และเย่หาน ได้แต่อดกลั้นอย่างอัดอั้น ในใจเคียดแค้นว่าเหตุใดตาแก่หนังเหนียวผู้นี้ถึงได้ไม่ตายเสียที
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเหอลู่ “จะเตือนให้เจ้าดึงกระบี่เป็นครั้งสุดท้าย”
เหอลู่ปิดปากเงียบ เพียงแต่ว่ามือที่กำขลุ่ยไม้ไผ่เกร็งจนเส้นเอ็นสีเขียวปูดโปน
—–