กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 509.1 แม่นางน้อยคนดี
แคว้นไหวหวงคือแคว้นเล็กทางทิศเหนือ คือสถานที่แร้นแค้นแห่งหนึ่ง นับตั้งแต่บนจรดล่างราชสำนักล้วนยากจน เป็นเหตุให้กษัตริย์ไม่สามารถส่งขุนนางไปบวงสรวงองค์เทพห้าขุนเขาได้ตรงตามเวลา ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่บอกว่าขุนนางสองกรมอย่างกรมพิธีการ กรมการคลังไม่ขึ้นเขา
อาจเป็นเพราะราชสำนักไม่ให้ความเคารพแก่เจ้าของขุนเขาทั้งห้ามากพอ บวกกับที่ศาลประจำท้องถิ่นก็บางตา ควันธูปไม่โชติช่วง ตามหมู่บ้านร้านตลาดหรือชนบทของแคว้นไหวหวงจึงมักจะมีภูตผีปีศาจออกอาละวาดอยู่เสมอ เป็นเหตุให้มักจะมีเจินเหริน ภิกษุสมณศักดิ์สูงของต่างถิ่นที่เดินทางท่องเที่ยวผ่านมา คอยมาช่วยชาวประชาให้พ้นทุกข์ เพียงแต่ว่ายอดฝีมือที่ค่อนข้างจะได้รับความนิยมตามพื้นที่ต่างๆ เหล่านี้ไม่เคยเดินเข้าไปในจวนของชนชั้นสูงที่มีอำนาจอย่างแท้จริงของแคว้นไหวหวง ภายหลังก็เลือกจะเดินทางอ้อมผ่านเมืองหลวงไปเสียเลย หลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องไปชนตอเข้า
วันนี้ตรงด่านชายแดนของแคว้นไหวหวงที่เชื่อมติดอยู่กับแคว้นอิ๋นผิงมีบัณฑิตชุดขาวสวมงอบคนหนึ่งยื่นส่งเอกสารผ่านทาง พอเข้าเมืองมาได้ก็เดินเที่ยวชมเมืองไปรอบหนึ่ง ก่อนจะมานั่งอยู่บนหีบไม้ไผ่บนสะพานลอยของตลาดแห่งหนึ่ง กำลังกินขนมแป้งย่างโรยต้นหอมที่เพิ่งซื้อมา นั่งฟังเรื่องราวลึกลับแปลกประหลาดทั้งหลายที่นักเล่านิทานเล่าให้ฟังพร้อมกับพวกชาวบ้านในพื้นที่และพ่อค้าเดินเท้าที่ทำการค้าไม่ใหญ่นัก นักเล่านิทานอายุมากแล้ว วัยประมาณเจ็ดสิบปี ทว่ากำลังวังชากลับเปี่ยมล้น เสียงที่เขาตะเบ็งพูดออกมาสามารถสะเทือนท้องฟ้าได้ กำลังพูดจ้อจนน้ำลายแตกฟอง บอกว่าก่อนหน้านี้เมืองปู้เหยามีปีศาจใหญ่ที่ดุร้ายตนหนึ่งปรากฏตัว ยึดครองภูเขาเป็นของตัวเอง พอถึงช่วงค่ำคืนก็จะกลายร่างเป็นควันดำแฝงตัวเข้าไปในเมืองเพื่อลักพาตัวคุณหนูสาวๆ โดยเฉพาะ ทางการไม่สามารถขัดขวางได้เลย ผลกลับถูกเจินเหรินผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ท่านเจ้าเมืองเชื้อเชิญมาตั้งปะรำทำพิธีชักนำอสนีบาต เห็นเพียงว่ากลางดึกที่แสงจันทร์สว่างดวงดาวบางตาพลันมีฟ้าร้องและฝนฟ้าตกกระหน่ำ ภูเขาที่ปีศาจใหญ่ตนนั้นซ่อนตัวอยู่เกิดเสียงดังเปรี้ยงหนึ่งครั้งก็มีสายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าลงไปกลางภูเขาลึก หลังจบเรื่องมีคนตัดฟืนที่ใจกล้าไล่ตามความเคลื่อนไหวขึ้นภูเขาไปดู ก็พบว่าเป็นงูใหญ่ที่ขนาดเท่าปากบ่อตัวหนึ่งถูกสายฟ้าผ่าตายทั้งเป็น น่าเสียดายก็แต่หญิงสาวทั้งหลายได้กลายเป็นโครงกระดูกขาวโพลนที่กระจายเกลื่อนอยู่ท่ามกลางภูเขา ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นสตรีที่โชคร้ายเหล่านั้น
คนที่ฟังผู้เฒ่าเล่าต่างก็พากันสูดลมเย็นๆ เข้าปอดดังเฮือก ขนลุกขนชัน เสียวไปทั้งสันหลัง
บัณฑิตสวมชุดขาวหิมะที่มาทัศนศึกษาผู้นั้นก็ทำท่าตกตะลึงไปพร้อมกับคนข้างกายด้วย
ติ๊งๆๆ มีคนฟังบางคนนำพาคนอื่นโยนเงินให้เป็นของรางวัล คนที่อยู่ด้านหลังก็ทยอยกันควักกระเป๋าเงิน โยนเงินเหรียญทองแดงส่วนหนึ่งใส่ลงในถ้วยสีขาวใบใหญ่ นักเล่านิทานชำเลืองตามองผลเก็บเกี่ยวในถ้วยแล้วก็ลูบหนวดยิ้ม พอให้ซื้อเหล้าได้สองกาแล้ว
สุดท้ายนักเล่านิทานก็เล่าอีกว่าที่เมืองอวี้ฮู่ก็มีปีศาจอาละวาดเช่นกัน ปีศาจตนนั้นไร้ขื่อไร้แป แต่น่าเสียดายที่เจ้าเมืองเป็นพวกยึดติดในทรัพย์สิน ทั้งไม่มีเส้นสายคอยช่วยเหลือ แล้วก็ไม่ยินดีทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างเจินเหรินหรือเซียนซือให้ลงจากภูเขามาปราบปีศาจ ชาวบ้านของเมืองอวี้ฮู่น่าสงสารยิ่งนัก ถูกเล่นงานจนไก่บินหมากระโดด โชคดีที่ถึงแม้ปีศาจที่ออกอาละวาดจะกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง แต่ตบะของมันก็ไม่สูง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับปีศาจงูในเมืองปู้เหยาที่ถูกฟ้าผ่าตัวนั้นได้ติด ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นโศกนาฎกรรมในโลกมนุษย์จริงๆ
พวกชาวบ้านชอบเรื่องสนุกครึกครื้น จึงมีชายฉกรรจ์ถามว่าปีศาจของเมืองอวี้ฮู่ตนนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากฝ่ายใดกันแน่ นักเล่านิทานพูดจ้อไม่หยุด บอกว่าที่เมืองแห่งนั้นมีผีชุดขาวที่ผูกคอตายชอบไปหลอกให้คนตีระฆังบอกเวลาตกใจกลัว กลางดึกก็จะชอบไปเคาะประตูบ้านคน เป็นเหตุให้ยามค่ำคืนไม่มีใครในเมืองนั้นกล้าออกมาข้างนอก และในสุสานร้างอันเป็นที่อยู่ของกระต่ายและหมาป่าก็มักจะมีสตรีหน้าตางดงามแต่งกายเฉิดฉันมาล่อลวงบุรุษเพื่อดูดดึงแก่นพลังชีวิตของพวกเขา และยังมีผีร้ายอำมหิตกลุ่มหนึ่งที่ขับไล่ภิกษุในวัดออกไป แล้วทำตัวเป็นนกพิราบที่ยึดรังนกกางเขน รวมไปถึงเด็กสาวชุดเขียวที่ท่าเรือซึ่งใช้น้ำในลำคลองต่างเรือนนอน คอยสร้างปัญหาและบ่อนทำลายผู้คนในเมือง
มีบางคนไม่เชื่อ บอกว่าแคว้นอิ๋นผิงและแคว้นไหวหวงของพวกเราปลอดภัยสงบสุขมาโดยตลอด ไม่มีภูตผีปีศาจปรากฏตัวให้เห็นหลายร้อยปีแล้ว ทำไมวันนี้จู่ๆ ถึงพากันโผล่มาเยอะขนาดนี้ คงไม่ใช่พวกที่กินอิ่มแล้วอยู่ว่างไม่มีงานทำเลยจงใจแกล้งทำเป็นผีหลอกเอาเงินคนกระมัง นักเล่านิทานเป่าหนวดถลึงตา บอกว่าตนเห็นศพของปีศาจงูเมืองปู้เหยาและใบหน้าขาวซีดของผีพรายชุดเขียวที่ท่าเรือด้วยตาตัวเอง
ทุกคนที่ได้ฟังหลุดหัวเราะพรืด ล้วนไม่มีใครเชื่อ
ผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายมองไปยังบัณฑิตชุดขาวที่เพิ่งกินขนมแป้งโรยต้นหอมเสร็จแล้วยื่นมือชี้ไปที่เขา “บัณฑิตต่างถิ่นที่เดินทางมาท่องเที่ยวผู้นี้ เชื่อว่าคงต้องอ่านตำรามามาก มีความรู้กว้างขวางอย่างแน่นอน พวกเจ้าลองถามเขาดูสิว่า ในโลกใบนี้มีภูตผีปีศาจหรือไม่ บัณฑิตหนุ่ม ต่อให้เจ้าไม่เคยเห็นเองกับตามาก่อน แต่แค่เคยได้ยินมาก็นับรวมได้เหมือนกัน”
ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองคนหนุ่มสวมงอบ คนผู้นั้นส่ายหน้ากล่าว “ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากรอบทิศ
นักเล่านิทานเห็นว่าท่าไม่ดีจึงรีบเก็บถ้วยขาวใบใหญ่ แล้วเก็บแผงของตัวเอง มารดามันเถอะ ไอ้พวกบัณฑิตนี่ไม่มีสักคนที่เป็นคนดี ไม่ช่วยโยนเงินให้ก็แล้วไปเถิด นี่ยังไม่ช่วยให้ความร่วมมืออีก แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่มีหวังจะสอบติดกระดานทองคำแม้แต่น้อย
พอแผงถูกเก็บ คนฟังคนดูทุกคนก็แยกย้ายกันไป
นักเล่านิทานถลึงตาใส่บัณฑิตต่างถิ่นที่สะพายหีบไม้ไผ่ออกทัศนศึกษาผู้นั้นดุๆ
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน สะพายหีบไม้ไผ่ให้เรียบร้อย เจี้ยนเซียน น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และพัดพับหยกถูกเขาเก็บใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ในมือจึงมีเพียงแค่ไม้เท้าสีเขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้ชิ้นนั้น ระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ เขาได้หลอมไม้เท้าเสร็จสิ้นแล้ว ขณะเดียวกันในชายแขนเสื้อก็ซ่อนยันต์กระดาษเหลืองธรรมดาเอาไว้หลายแผ่น ล้วนเป็นยันต์ระดับต้นทั่วไปใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ อย่างเช่นยันต์ปราณหยางส่องไฟ ยันต์กำจัดสิ่งสกปรกและยันต์ทำลายสิ่งกีดขวาง ฯลฯ
เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างกายผู้เฒ่า “ท่านผู้เฒ่า ข้าจะเลี้ยงเหล้าท่าน อยากดื่มหรือไม่”
นักเล่านิทานชำเลืองตามองเขา ดูแล้วเป็นพวกไม่มีแม้แต่แรงจะจับไก่ ไม่เหมือนคนเลวที่ชอบจี้ปล้นคนอื่น เพียงแต่ว่าเส้นทางในยุทธภพนั้นเดินได้ไม่ง่าย สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าวันใดบนทางจะมีบ่อน้ำขนาดเล็กที่มองดูเหมือนน้ำตื้น แต่กลับทำให้คนสะดุดล้มขาแผลงอยู่หรือไม่ ดังนั้นต่อให้จะอยากกินมากแค่ไหนก็ยังฝืนกลืนน้ำลายลงคง ปฏิเสธไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องๆ ความหวังดีของคุณชายข้ารับไว้แล้ว แต่ข้ายังต้องรีบเดินทางต่อเพื่อผ่านด่านไปหาเลี้ยงชีพที่แคว้นอิ๋นผิง โรงเตี๊ยมในเมืองแห่งนี้เก็บเงินเหมือนฆ่าหมู แต่หากไปนอนตามถนนก็ยุ่งยากอีก ไม่สู้ผ่านด่านไปนอนตามป่าเขา ฟ้าไม่สนดินไม่ใยดี”
เฉินผิงอันพูดอย่างเสียดาย “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่รั้งตัวท่านผู้เฒ่าไว้แล้ว จะถือเสียว่าได้ประหยัดเหล้าอิ๋งฝู (ปัดแมลงวัน/ปัดหนอน) ของหอปี้ซานไปหนึ่งกา”
ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบดวงตาเป็นประกาย หนอนขี้เหล้าในท้องเริ่มก่อกบฏ รีบเปลี่ยนสีหน้าใหม่ เงยหน้ามองสีท้องฟ้า พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ดูจากสีท้องฟ้ายังเช้าอยู่มาก ไม่รีบร้อนๆ ให้พวกพี่น้องเงินทองที่รออยู่ในแคว้นอิ๋นผิงรอไปก่อนแล้วกัน คุณชายอุตส่าห์เชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ ข้าคงไม่ปฏิเสธแล้ว ไป ไปหอปี้ซานกัน เหล้าอิ๋งฝูนี้ข้ายังไม่เคยกินมาก่อน อาศัยใบบุญของคุณชาย วันนี้คงจะได้ดื่มดีๆ กับเขาสักจอก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ท่านผู้เฒ่าไม่เรียกลูกศิษย์ไปด้วยกันหรือ?”
ผู้เฒ่าทำหน้าแหย ก่อนจะหันหน้าไปกวักมือเรียกคนที่เป็นคนนำให้ชาวบ้านโยนเงินมาอยู่ข้างกาย พูดเสียงเบาว่า “คุณชายช่างสายตาดีนัก”
ไปถึงเหลาสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ภายใต้การนำทางอย่างขันแข็งของลูกจ้างร้าน คนทั้งสามคนก็ได้ขึ้นไปนั่งบนชั้นสอง เฉินผิงอันสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะและเหล้าอิ๋งฝูสามกา ผู้เฒ่ารอจนเหล้าทั้งสามกาถูกนำมาวางลงบนโต๊ะแล้ว ถึงได้แอบเอาเหล้าอิ๋งฝูกาที่บัณฑิตวางไว้ข้างกายลูกศิษย์มาวางไว้ตรงหน้าตัวเองเงียบๆ เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ลืมบอกคุณชายไปว่าลูกศิษย์คนนี้ของข้าไม่ดื่มเหล้า ทำให้คุณชายต้องสิ้นเปลืองแล้ว สิ้นเปลืองแล้ว”
เฉินผิงอันทำท่าเหมือนเพิ่งกระจ่างแจ้ง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกให้เสี่ยวเอ้อร์ของร้านเอาเหล้าอิ๋งฝูที่เกินมากานี้กลับไป ตั้งสองตำลึงเงินเชียวนะ”
ผู้เฒ่ารีบใช้แขนโอบกาเหล้าทั้งสองเอาไว้ “คุณชายช้าก่อน ไหนเลยจะมีหลักการที่เหล้าดีขึ้นโต๊ะแล้วยังเอาคืนกลับไปอีก นี่จะต่างอะไรจากการให้สาวงามปลดอาภรณ์ขึ้นเตียงแล้วไล่ให้ไสหัวกลับไป เป็นการทำลายบรรยากาศอย่างยิ่ง จะทำอย่างนี้ได้อย่างไร”
เฉินผิงอันแกะผนึกดินเหนียว รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ยิ้มถาม “ท่านผู้เฒ่าคงไม่ใช่คนแคว้นเมิ่งเหลียงกระมัง?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ข้าผู้อาวุโสมาจากแคว้นชิงจิงที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุด นับตั้งแต่อายุยี่สิบหกก็เริ่มมาเป็นนักเล่านิทาน เดินทางผ่านหลายสิบแคว้นมาเกินครึ่งแล้ว แคว้นเมิ่งเหลียงเคยไปเยือนมาครั้งหนึ่ง เป็นแดนสุขาวดีที่หาได้ยากยิ่งบนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง ข้าคิดว่าสถานที่ที่จะไปใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายก็คงเป็นแคว้นเมิ่งเหลียงนี่แหละ ถึงอย่างไรที่บ้านเกิดก็ไม่มีญาติมิตรเหลืออยู่แล้ว ไม่มีใครให้ต้องพะวงถึง หากลูกศิษย์ของข้าเอาถ่านเสียหน่อย หาเงินขาวหาทองคำมาได้ รอวันใดที่ข้าหลับตาไปชั่วนิรันดร์แล้ว ก็อาจจะให้เขาเอาศพไปฝังที่บ้านเกิด”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มเหล้าให้เต็มที่”
เฉินผิงอันเพียงแค่มองออกว่านักเล่านิทานตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามคนหนึ่ง แต่นี่ก็หมายความว่าผู้เฒ่าตรงหน้า หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่เดินทางท่องไปทั่วทิศอย่างแท้จริง ก็ต้องมีตบะและขอบเขตที่เหนือกว่าโอสถทองกระดาษเปียกอย่างเย่หานและฟ่านเหวยหรานสองคนนั้นแน่นอน บนอาณาเขตของหลายสิบแคว้น นอกจากผู้บงการสองคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว เย่หานและฟ่านเหวยหรานก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตน ‘บนยอดเขา’ ที่สมศักดิ์ศรีแล้ว
ก่อนหน้านี้มีอยู่วันหนึ่งปราณวิญญาณริมชายแดนของหลายสิบแคว้นสั่นสะเทือนไม่หยุดเหมือนเกิดฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ เป็นเหตุให้จิตของเฉินผิงอันสัมผัสได้ จึงขี่กระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศทันที แล้วก็เห็นเพียงว่ามีเส้นยาวสีทองที่ยาวมากเส้นหนึ่งโผล่พรวดขึ้นบนพื้นดิน จากนั้นก็เหมือนเถ้าธุลีที่ถูกเผาจนมอดไหม้ น่าจะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนใหญ่สลายตราผนึกอันเป็นวิชาสูงส่งค้ำฟ้าที่ใช้วาดอาณาเขตเป็นกรงขังทิ้งไป มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นคนเบื้องหลังที่ได้สมบัติประหลาดของเมืองสุยเจี้ยไปครอง ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่อีกคนหนึ่งที่ตอนนี้รู้แค่ว่าชื่อเซี่ยเจินนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยปรากฏตัวมาหาเรื่องตน ตามหลักแล้วนี่เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก ดินแดนเซียนเป่าต้งของฟ่านเหวยหราน นครหวงเยว่ของเย่หาน ภูเขาทั้งหมดที่กองกำลังทั้งสองฝ่ายเป็นผู้นำ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นดั่งนกในกรง ปลาในบ่อที่คนผู้นี้เลี้ยงเอาไว้ ในเมื่อเสียหายมากขนาดนี้ แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง สิงโตจับกระต่ายใช้กำลังทั้งหมดที่มี ตอนนี้เซี่ยเจินกำลังวางแผนบางอย่างเพื่อรอคอยตนอยู่ หรือไม่…ก็เป็นเจียงซ่างเจินที่ช่วยเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้ตั้งแต่ก่อนจะไปปรากฏตัวที่เมืองสุยเจี้ย บางทีเซี่ยเจินอาจจะตายไปแล้ว หรือไม่ก็โชคดีหนีรอดอันตรายไปได้ แต่พลังต้นกำเนิดกลับเสียหายอย่างหนัก ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้มาโจมตีตนถึงชีวิตอีก
หากนักเล่านิทานที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือยอดฝีมือแคว้นเมิ่งเหลียงที่ตั้งใจวิ่งมาพบหน้าตนโดยเฉพาะ เฉินผิงอันก็คร้านจะเล่นทายปริศนาธรรมให้หนักสมอง แค่ม้วนชายแขนเสื้อแล้วเปิดฉากสังหารกันอีกครั้งก็สิ้นเรื่อง
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ทำไม คุณชายมีคนรู้จักอยู่ที่แคว้นเมิ่งเหลียงหรือ? เป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า หรือว่าเป็นญาติสนิทมิตรสหายที่ผูกพันกันล่ะ? หากเป็นฝ่ายหลัง รอให้ข้าเดินทางท่องไปในแคว้นอิ๋นผิงเสร็จเมื่อไหร่ วันหน้าเมื่อไปท่องเที่ยวแคว้นเมิ่งเหลียงพร้อมกับลูกศิษย์ก็สามารถช่วยนำความไปบอกต่อแทนคุณชายได้ ก็แค่…”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่าพลางยื่นนิ้วสองนิ้วมาถูกันเบาๆ
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีความแค้นลึกล้ำใดๆ น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ก็แค่เลื่อมใสในฝีมือที่เลิศล้ำ ความคิดที่ละเอียดรอบคอบของยอดฝีมือของแคว้นเมิ่งเหลียงคนหนึ่งมานานแล้ว อยากจะเลี้ยงเหล้าเขาสักกาด้วยความจริงใจ ถึงอย่างไรตอนนี้สถานการณ์ใหญ่ก็มั่นคงดีแล้ว ก็เหมือนกับการทบทวนกระดานหมากล้อม ปีนั้นยอดฝีมือท่านนี้ได้เล่นก่อน มีพละกำลังมหาศาล ตอนเดินอยู่บนกระดานก็หนักแน่นมั่นคง ตอนปิดกระดานก็ยังวางหมากที่มหัศจรรย์ไว้หลายตัวขนาดนั้น แต่กลับไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครช่วยร้องสนับสนุนสักคำ ก็เหมือนท่านผู้เฒ่าเล่าเรื่องแล้วคนฟังเงียบสนิท ต่อให้ท้ายที่สุดจะได้เงินเหรียญทองแดงมาถ้วยใหญ่ แต่นั่นก็ยังถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่ใช่น้อยอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
ผู้เฒ่าดื่มเหล้า แล้วเอ่ยว่า “แม้จะไม่รู้ว่าคุณชายกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเหตุผลนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาชนกันสักครั้ง?”
เฉินผิงอันหยิบถ้วยเหล้าขึ้นมาชนกับผู้เฒ่า แล้วต่างคนก็ต่างดื่มเหล้าในถ้วยของตัวเองไป
ไม่ใช่ว่าต้องดื่มสุรากลมกล่อมกับคนที่ถูกชะตาเท่านั้น สุราจึงจะยิ่งมีรสชาติ
—–