กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 510.3 แสงไฟโลกมนุษย์สว่างไสว
เซียนซือแปดท่านของจวนชิงชิ่งที่มารวมตัวกันอยู่ข้างกายสตรีสวมหมวกม่านเห็นว่าแสงกระบี่สองเส้นนั้นหายไปแล้ว ต่างก็ถอนหายใจโล่งอก เพียงแต่พอคิดถึงคำของจิ้นเยว่ที่บอกว่าจะไปเยือนสำนัก แต่ละคนก็ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน โดยเฉพาะหญิงสาวสวมหมวกม่านที่ยิ่งอารมณ์หนักอึ้ง แต่พอคนทั้งเก้ามองไปยังบัณฑิตชุดขาวที่เวลานี้กำลังปาดเหงื่อบนหน้าผากแรงๆ แล้ว ในใจก็อดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะคนผู้นี้ช่วยออกหน้ามาดึงดูดความสนใจไปจากคุณชายจิ้นเยว่แห่งตำหนักจินอูผู้นั้น พวกเขาเก้าคนก็คงต้องเจอปัญหามากกว่านี้ ไม่แน่ว่าคืนนี้อาจจะหนีหายะไปไม่พ้น ต้องเปิดฉากต่อสู้กันหนึ่งครั้ง ถึงแม้กองกำลังของจวนชิงชิ่งจะเป็นรองตำหนักจินอูอยู่หนึ่งระดับ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าเห็นผู้ฝึกกระบี่สองคนแล้วต้องลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับ
ไม่ว่าจะอย่างไร การลงภูเขาออกจากสำนักมาจับปีศาจครั้งนี้ ก็ต้องเรียกว่าโชคไม่ดีซวยตลอดปีอย่างแท้จริง
ในอนาคตหากสำนักคิดจะขัดขวางไม่ให้จิ้นเยว่ขึ้นเขาไปประชันกระบี่ ด้วยรากฐานของจวนชิงชิ่ง แน่นอนว่าไม่ยาก แต่นับจากนี้ไปจวนชิงชิ่งก็จะต้องไม่ถูกกับตำหนักจินอูแล้ว ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เลย
สตรีสวมหมวกม่านคลุมหน้ากุมหมัดยิ้มกล่าว “คุณชายเฉินท่านนี้ ข้าชื่อว่าเหมาชิวลู่ มาจากจวนชิงชิ่งแห่งแคว้นเถาจือทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นเป่าเซียง ขอบคุณคุณชายเฉินที่ช่วยพูดจาผดุงคุณธรรม”
คนผู้นั้นยิ้มกล่าว “ไม่ได้พูดจาผดุงคุณธรรมอะไร ก็แค่อยากจะขอซื้อภูตน้ำของทะเลสาบคนใบ้ตนนั้นจากพวกเซียนซือ”
แม่นางน้อยชุดดำที่ยังคงยกสองแขนกอดอก ยามนี้ได้ยินก็ตะโกนอย่างไม่พอใจ “ภูตน้ำใหญ่!”
เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มกล่าว “เมื่อครู่ตอนที่เจอกับเซียนกระบี่ของตำหนักจินอู ทำไมเจ้าไม่เรียกตัวเองว่าภูตน้ำใหญ่เล่า?!”
แม่นางน้อยกลอกตา “เมื่อครู่นี้ข้าเจ็บคอ เลยพูดไม่ได้ หากเจ้าแน่จริงก็บอกให้เซียนกระบี่ผายลมสุนัขของตำหนักจินอูนั่นกลับมาสิ ดูสิว่าข้าจะพูด…”
ไม่รอให้แม่นางน้อยชุดดำเอ่ยจบ
เห็นเพียงว่าขอบม่านฟ้าที่ห่างไปไกลปรากฏเส้นแสงสีทองที่ยาวประมาณพันจั้งกว่าเส้นหนึ่งสาดยิงพุ่งตรงมายังจุดลึกบางจุดในหุบเขาลมเหลือง
เฉินผิงอันหรี่ตาลง ชำเลืองตามองแวบเดียวก็ถอนสายตากลับ
โอ้ เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองเสียด้วย
ดูท่าบรรพจารย์อาน้อยที่ผู้ฝึกตนชายหญิงของตำหนักจินอูคู่นั้นเรียกขานจะลงมือด้วยตัวเองแล้ว?
หลังจากนั้นฟ้าดินก็กลับคืนมากระจ่างใส แสงกระบี่เส้นนั้นค่อยๆ สลายหายไป
แม่นางน้อยรีบยกมือกุมหัว ตะโกนเสียงดัง “ภูตน้ำน้อย ข้าเป็นแค่ภูตน้ำน้อยที่ตัวเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารเท่านั้น…”
สตรีสวมหมวกม่านยิ้มเจื่อนเอ่ยกับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มาจากสำนักเดียวกันกับนาง “หากคนผู้นี้ลงมือ ปล่อยกระบี่ใส่พวกเรา นั่นก็คงเป็นปัญหาใหญ่แล้ว”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “นิสัยของเซียนกระบี่ผู้นี้เย็นชา หยิ่งทระนงนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ทำอะไรไม่เหมือนกับจิ้นเยว่ที่ชอบโอ้อวดบารมี สมกับเป็นคนบนภูเขาอย่างมาก ในสายตาของเขาไม่เคยเห็นเรื่องราวทางโลก ทุกครั้งที่ลงจากภูเขามาเงียบๆ ก็เพียงแค่เพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร ใช้พวกปีศาจมาชำระล้างกระบี่เท่านั้น ครั้งนี้เกรงว่าคงมาเพื่อเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้แก่พวกจิ้นเยว่ เพราะถึงอย่างไรบรรพจารย์หวงเฟิงของที่แห่งนี้ก็คือโอสถทองตัวจริงเสียจริง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาการหลบหนี หากไม่ระวังก็อาจต้องเจอภัยพิบัติพาตัวไปตาย ข้าว่ากระบี่นี้ที่ปล่อยออกมา คาดว่าภายในสิบปีนี้บรรพจารย์หวงเฟิงคงไม่กล้าโผล่หน้าออกมากินภิกษุโดยเฉพาะอีก”
สตรีสวมหมวกม่านที่เรียกตัวเองว่าเหมาชิวลู่มองไปทางบัณฑิตชุดขาว ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า “หนึ่งเพราะจวนราชครูต่ายเงินซื้อปีศาจตัวนี้ด้วยราคาที่สูงมาก สองเพราะตอนนี้ไปมีเรื่องกับจิ้นเยว่แห่งตำหนักจินอูแล้ว หากคุณชายเฉินรับเผือกร้อนลูกนี้ไป ย่อมไม่เหมาะสม แม้จะบอกว่าจวนชิงชิ่งของพวกเราไม่แข็งแกร่งเท่าตำหนักจินอู แต่ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเพราะภูตน้ำทะเลสาบคนใบ้แห่งนี้ จะดีจะชั่วเราก็เป็นฝ่ายที่มีเหตุผล จึงไม่ต้องเกรงกลัวตำหนักจินอูมากเกินไปนัก”
เฉินผิงอันเก็บพัดพับมาเหน็บไว้ที่เอว ยิ้มบางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ตลอดทางที่ข้าเดินทางท่องเที่ยวขึ้นเหนือมานี้ หาเงินอย่างยากลำบากก็เพื่อเอามาใช้จ่าย เหมาเซียนซือเปิดราคามาได้เต็มที่เลย อีกอย่างข้าก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่หยุดอยู่กับที่เหมือนจอกแหนใบหนึ่ง ตำหนักจินอูคิดจะระบายไฟโทสะใส่ก็ต้องหาข้าให้เจอก่อนถึงจะได้ ดังนั้นขอแค่เหมาเซียนซือยินดีขาย ข้าก็เต็มใจซื้อ”
แม่นางน้อยชุดดำพูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่ยอมขายให้เจ้าหรอก บัณฑิตมีแต่พวกคนเลว ไม่สู้ให้ข้าไปจวนชิงชิ่งของพี่สาวคนนั้น ไปเป็นเพื่อนบ้านของเทพวารีองค์หนึ่งยังดีเสียกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะยังหลอกกินหลอกดื่มโดยไม่ต้องจ่ายเงินได้”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “ไม่กลัวแสงกระบี่ของเซียนกระบี่ตำหนักจินอูหรือ? หากเซียนกระบี่ใหญ่จิ้นผู้นั้นรู้ร่องรอยของเจ้า แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่การเป็นโจรพันวัน ไหนเลยจะมีหลักการที่ต้องป้องกันโจรพันวัน ทุกวันใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวน ภูตน้ำใหญ่อย่างเจ้าจะรับได้ไหวหรือ?”
แม่นางน้อยขมวดคิ้ว เริ่มใช้ความคิดอย่างหนัก หากอยากรู้ว่านางตั้งใจใช้ความคิดมากเพียงใดก็ดูแค่คิ้วที่ขมวดมุ่นของนางก็รู้แล้ว
เฉินผิงอันหันไปมองเซียนซือจากจวนชิงชิ่งกลุ่มนั้นแล้วยิ้มกล่าว “เปิดราคามาเถอะ”
สตรีหันไปมองยังผู้อาวุโสในสำนักท่านนั้น ฝ่ายหลังพยักหน้าให้เบาๆ
เหมาชิวลู่ยังคงถามเสียงเบาว่า “คุณชายเฉินไม่กลัวว่าตำหนักจินอูจะมาหาเรื่องไม่เลิกราจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าแค่หลบคนของตำหนักจินอูพวกเขาก็พอ”
เหมาชิวลู่พูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย “แต่ทางจวนราชครูให้ราคาเป็นเงินหนึ่งเหรียญฝนธัญพืชเพื่อซื้อภูตปลาน้อยตัวนี้ อันที่จริงก็ขายไม่ได้ราคาสูงขนาดนี้หรอก เพียงแต่ว่าเกี่ยวพันกับตำแหน่งแม่ย่าลำคลอง ก็เลย…”
แม่นางน้อยพูดอย่างเดือดดาล “ว่าไงนะ? แค่เหรียญเดียว? ไม่ใช่หนึ่งร้อยเหรียญรึ?! ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว! เจ้าบัณฑิตที่สวมชุดขาว เร็ว จ่ายเงินฝนธัญพืชให้แม่นางน้อยหมัดอ่อนนุ่มผู้นี้ไปหนึ่งร้อยเหรียญเลย หากเจ้ากะพริบตาสักครั้งก็ไม่ถือว่าเป็นวีรบุรุษชายชาตรี!”
เฉินผิงอันคร้านจะสนใจภูตน้ำน้อยที่น้ำเข้าสมองตนนี้ เขายื่นเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งส่งไป
ใบหน้าของเหมาชิวลู่ผู้นั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง กล่าวอย่างจนใจว่า “คุณชายเฉินซื้อจริงๆ หรือนี่?”
และเวลานี้เอง
ภิกษุเฒ่าใบหน้าและเรือนกายผอมซูบท่านหนึ่งก็พลิ้วกายมายืนอยู่บนเนิน ด้านหลังคือภิกษุสีหน้าเฉยชาอีกหลายสิบท่าน อายุแตกต่างกันไป มีทั้งเด็กและแก่
ด้านหน้าทุกคนห้อยลูกประคำเอาไว้ ทำมาจากวัสดุธรรมดาทั่วไป ทว่าแต่ละเส้นล้วนมีแสงสีทองไหลเวียนวน เมื่ออยู่ในม่านราตรีก็สะดุดตาอย่างถึงที่สุด
หลังจากยืนได้มั่นคงแล้ว ภิกษุเฒ่าก็พูดเสียงทุ้มหนัก “เซียนกระบี่ตำหนักจินอูจากไปไกลแล้ว ทว่าบรรพจารย์หวงเฟิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส นิสัยดุร้ายป่าเถื่อนกำเริบ ถึงขนาดไม่ยอมรักษาตัวอยู่ในรากภูเขาแต่โดยดี กลับกลายเป็นแว้งมาจับคนกิน อาจารย์ลุงของอาตมาได้คุมเชิงอยู่กับเขาห่างออกไปหลายสิบลี้แล้ว แต่คงกักตัวเขาไว้ไม่ได้นานนัก พวกเจ้ารีบตามอาตมาออกไปจากอาณาเขตของหุบเขาลมเหลืองแห่งนี้ รีบลุกขึ้นออกเดินทางเสีย ห้ามอืดอาดล่าช้าเด็ดขาด”
เฉินผิงอันโยนเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นให้สตรีสวมหมวกม่านเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ทำการค้าเสร็จ พวกเราก็หนีกันได้แล้ว”
เหมาชิวลู่กัดฟันรับเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นมา เมื่อกำไว้ในมือก็รู้ว่าเป็นเงินฝนธัญพืชจริงแท้แน่นอนเหรียญหนึ่ง
ภูตน้ำน้อยรีบตะโกนว่า “ยังมีกระพรวนเส้นนั้นอีก อย่าลืมล่ะ! เจ้าก็ต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งซื้อกลับมาด้วย!”
เฉินผิงอันยังคงไม่สนใจนาง
แม่นางน้อยพองแก้มป่อง บัณฑิตคนนี้ทำอะไรไม่รวดเร็วฉับไวเสียเลย
สตรีสวมหมวกม่านปลดกระพรวนเส้นที่อยู่บนข้อมือลงมามอบให้กับบัณฑิตชุดขาวที่นางยังคงมองไม่ออกว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณคนนั้น
ผู้อาวุโสของสำนักนางโบกมือหนึ่งครั้ง ค่ายกลยันต์แปดทิศที่กินอาณาบริเวณไปทั่วผิวน้ำทะเลสาบก็พลันหุบเข้าหากัน กักตัวแม่นางน้อยที่ร่างชักกระตุกเกร็งยามอยู่ในตาข่ายยักษ์ของยันต์สีเงินมาไว้บนฝั่ง เซียนซือคนอื่นๆ ของสำนักชิงชิ่งก็พากันควบคุมเอาเข็มทิศกลับไป
เหมาชิวลู่ยิ้มกล่าว “พวกเราถอนค่ายกลยันต์ออกแล้ว แต่คุณชายเฉินก็ต้องดูให้ดีล่ะ อย่าให้นางหนีลงทะเลสาบไปได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน”
แสงศักดิ์สิทธิ์ของค่ายกลสว่างวาบแล้วหายวับไปทันที
เฉินผิงอันก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว หิ้วคอเสื้อด้านหลังของแม่นางน้อยแล้วยกขึ้นสูง นางลอยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ยังคงตีหน้าเคร่ง ยกสองมือกอดอก
เหล่าชาวยุทธและขบวนพ่อค้าที่เดินทางผ่านมาซึ่งพักกันอยู่ตรงเนินเขาต่างก็เก็บสัมภาระของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเริ่มออกเดินทางยามค่ำคืนไปภายใต้การคุ้มกันของภิกษุเหล่านั้น
ส่วนเซียนซือจากจวนชิงชิ่งกลุ่มนั้นที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเหล่าภิกษุก็เดินเข้าไปในกลุ่มคนด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าต้องการช่วยเหลือภิกษุแคว้นเป่าเซียงคุ้มครองคนทั้งหลายไปส่ง
เฉินผิงอันตะโกนเสียงดัง “ผู้คุ้มกันท่านนั้น!”
ผู้คุ้มกันหนุ่มคนหนึ่งที่ขี่ม้ามาถึงยอดเนินหันหน้าไปมอง
เห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นนอกจากมือหนึ่งหิ้วแม่นางน้อยไว้แล้ว อีกมือหนึ่งยังมีเหล้าอีกหนึ่งกาเพิ่มขึ้นมา จากนั้นเขาก็โยนกาเหล้าขึ้นสูงเต็มแรง
ผู้คุ้มกันหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้าคนนั้นแค่ยื่นมือออกไปก็สามารถรับเหล้ากาเอาไว้ได้
คนหนุ่มรับกาเหล้ามาแล้วก็คลี่ยิ้ม กุมหมัดแสดงการขอบคุณ
พบเจอกันในยุทธภพ เป็นเพียงแค่การพบเจออย่างผิวเผิน
ถูกชะตาก็ร่วมร่ำสุรา ไม่จำเป็นต้องโอภาปราศรัย หรือถามชื่อแซ่กัน
เหมาชิวลู่หันหน้ามาถาม “คุณชายเฉิน? ไม่ไปด้วยกันหรือ?!”
จากนั้นสตรีสวมหมวกม่านก็ได้ยินเหตุผลหนึ่งที่ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึง ได้ยินเพียงแค่คนผู้นั้นยิ้มกว้างเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจะเปลี่ยนเส้นทางหนี พวกเจ้าคนเยอะ บรรพจารย์หวงเฟิงต้องไปหาพวกเจ้าก่อนแน่”
เหมาชิวลู่โมโหจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว นางหันตัวกลับ หันหลังให้คนผู้นั้นแล้วชูแขนขึ้นสูง ก่อนจะยกนิ้วโป้งขึ้น จากนั้นก็คว่ำลงช้าๆ
แต่คนผู้นั้นกลับยังพูดต่ออย่างหน้าไม่อายว่า “วันหน้าหากมีโอกาสข้าจะไปเป็นแขกที่จวนชิงชิ่งของพวกเจ้านะ”
หลังจากลดมือลงมาแล้ว สตรีสวมหมวกม่านก็ก้าวยาวๆ จากไป แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
แม่นางน้อยที่ถูกหิ้วอยู่ในมือโคลงศีรษะ พูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “บัณฑิตเอ๋ย เจ้าคงมองไม่ออกสินะว่านางรู้สึกดีกับเจ้าอยู่นิดๆ แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่ว่านั้นกลับไม่เหลืออยู่แล้ว”
คอเสื้อด้านหลังถูกคลายออก สองเท้าของนางสัมผัสพื้น
เห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นยิ้มกล่าว “มองไม่ออก แต่เจ้านี่มีประสบการณ์โชกโชนจริงๆ เลยนะ”
แม่นางน้อยชุดดำเอาสองมือไพล่หลัง เบิกตากว้างมองกระพรวนที่อยู่ในมือของคนผู้นั้น
เฉินผิงอันโยนกระพรวนไปให้นาง จากนั้นก็สวมงอบลงบนศีรษะ ค้อมเอวเบี่ยงตัวสะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ขึ้นหลัง
แม่นางน้อยอึ้งตะลึงอยู่กับที่ จากนั้นหมุนตัวหนึ่งรอบ ไม่มีความผิดปกติใดๆ นางยืดคอออกไป ใบหน้าเล็กๆ และคิ้วบางๆ ขมวดยู่รวมอยู่ด้วยกัน แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ในหัวของนางเหลวเหมือนแป้งเปียกแล้ว นางถามว่า “อะไรกัน เจ้าไม่สนใจข้าแล้วหรือ? เจ้าไม่เห็นภูตน้ำใหญ่เป็นภูตน้ำใหญ่จริงๆ งั้นหรือ?”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือมาดันหน้าผากนาง “ไสหัวไป”
แม่นางน้อยกล่าวอย่างขุ่นเคือง “อะไรกันๆ!”
นางพลันอ้าปากกว้าง ปากใหญ่แสยะแยกออกกว้างบนใบหน้าเล็กๆ เผยให้เห็นฟันแหลมคมใสวาววับ แล้วนางก็อ้าค้างอยู่อย่างนั้น “กลัวหรือไม่?”
เฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่ เดินไปทางเนินเขาช้าๆ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “กลัวจะตายอยู่แล้ว”
ห่างจากทางเหนือของเนินเขาไปไม่ไกลนัก ความเคลื่อนไหวของที่นั่นยิ่งนานก็ยิ่งรุนแรง
แม่นางน้อยชุดดำลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะโยนกระพรวนเส้นนั้นลงไปในทะเลสาบอย่างง่ายๆ จากนั้นก็จับคางตัวเอง เริ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด ตาก็คอยมองบัณฑิตชุดขาวผู้นั้นเดินขึ้นเนินเขาไป
นางแค่นเสียงเย็นหนึ่งที หมุนตัวเดินอาดๆ ไปทางทะเลสาบสีมรกตขนาดเล็ก แต่จากนั้นก็พลันหยุดยืนนิ่ง หันหน้ากลับไปมอง ผลกลับเห็นเพียงว่าคนผู้นั้นได้ไปยืนอยู่บนยอดเนินเขาแล้ว ฝีเท้าของเขาไม่หยุดนิ่ง เดินจากไปทั้งอย่างนั้น
แม่นางน้อยเกาหัวอย่างแรง รู้สึกอยู่เนืองๆ ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
แต่จากนั้นนางก็กระโดดตัวขึ้นสูง ทิ้งตัวลงสู่ผืนน้ำ เผยร่างจริงกลายเป็นภูตปลาตัวหนึ่ง ไล่ตามกระพรวนที่ลดระดับลงเบื้องล่างอย่างต่อเนื่องเส้นนั้นไป ส่ายหัวสะบัดหาง แหวกว่ายไปยังก้นทะเลสาบ
ทางฝั่งของเนินเขา
เมื่อคนชุดขาวผู้หนึ่งเดินออกห่างมาได้หลายลี้
เขาก็หยุดเดิน ปลดงอบและหีบไม้ไผ่ลง
เห็นเพียงภิกษุเฒ่าที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดคนหนึ่งนั่งท่องพระคัมภีร์เงียบๆ อยู่ที่เดิม
พื้นทรายสีทองข้างกายเขาปักคักขราด้ามหนึ่งเอาไว้ ห่วงเงินตีกระทบกันอย่างรุนแรง
และเลือดสดทั่วร่างของภิกษุเฒ่าก็เป็นสีทองจางๆ
เมื่อภิกษุเฒ่าเข้าฌานทำสมาธิ พื้นที่โดยรอบก็มีดอกบัวสีทองดอกแล้วดอกเล่าเบ่งบานออกมาอย่างต่อเนื่อง
รอบกายของภิกษุเฒ่ามีพายุหมุนสีเหลืองพัดหอบไม่หยุด พอจะเห็นชุดคลุมสีเหลืองที่ผลุบโผล่อยู่ภายในพายุได้รางๆ
เมื่อถูกพายุหมุนทรายเหลืองลูกนั้นกระแทกชนอย่างบ้าคลั่ง กลีบของดอกบัวสีทองทั้งหลายก็ร่วงโรย
แม้ภิกษุเฒ่าจะหลับตาแน่น แต่กระนั้นก็ยังโบกชายแขนเสื้อ ตอนนี้ภิกษุเฒ่าเพียงแค่พอจะสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังมีคนนอกคนหนึ่งปรากฎตัว จึงค่อนข้างร้อนใจ เขาเอ่ยเสียงหนัก “รีบหนีไป! หยิบเอาคักขราของอาตมาไป มันจะช่วยให้เจ้าหนีไปไกลจากที่นี่ แล้วอย่าได้กลับมาอีก!”
คักขราชิ้นนั้นบินเข้าหาบัณฑิตชุดขาวในแนวเฉียง จากนั้นก็หยุดลอยอยู่ข้างตัวของคนผู้นั้น คักขราบินหมุนวนไม่หยุดคล้ายร้อนใจอย่างมาก และกำลังเร่งให้บัณฑิตรีบจับมันเอาไว้ รีบหนีไปจากสถานที่ที่อันตรายแห่งนี้
—–