กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 515.2 อาจารย์เป็นผ้าห่อบุญ ลูกศิษย์ปั้นคนกระเบื้อง
หลิ่วจื้อชิงเงียบไปครู่หนึ่งก็เปิดปากเอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าก็คือต้องการให้ข้าใช้ขนบธรรมเนียมและใจคนของตำหนักจินอูมาเป็นสถานที่ชำระล้างกระบี่?”
บัณฑิตชุดขาวผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าวชนิดเดียวกันเลี้ยงคนได้ร้อยรูปแบบ คำพูดประโยคเดียวความหมายนับพัน เซียนกระบี่หลิ่วเป็นผู้มีพรสวรรค์และมีปัญญาฉลาดล้ำ ไปทำความเข้าใจเอาเองเถิด”
หลิ่วจื้อชิงมองเส้นตรงเส้นนั้นแล้วพูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร สุดท้ายข้าจะใช้สิ่งนี้มาล้างกระบี่หรือไม่ ลำพังเพียงแค่ความคิดนี้ก็มีประโยชน์มหาศาลแล้ว”
แล้วหลิ่วจื้อชิงก็เงยหน้า เอ่ยว่า “ตามข้อตกลง หน้าผาอวี้อิ๋งนี้เป็นของเจ้าแล้ว รับโฉนดไป แล้วเดี๋ยวข้าค่อยไปบอกกับบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์”
กระดาษหยกทองมูลค่าควรเมืองแผ่นหนึ่งลอยพลิ้วมาอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน มีการลงนามของทั้งสองฝ่ายเอาไว้ ของสวนน้ำค้างวสันต์คือตัวอักษรชุนโบราณที่ประทับด้วยหยกลัญจกร ส่วนของหลิ่วจื้อชิงคือตัวอักษรหลิ่วที่ลักษณะเหมือนกระบี่เล่มหนึ่ง สองร้อยปีผ่านมาแล้ว ในตัวอักษรย่อมมีปณิธานกระบี่ถูกฟูมฟัก
เฉินผิงอันไม่ได้เก็บโฉนดที่มีมูลค่าอย่างน้อยก็หกเหรียญเงินฝนธัญพืชแผ่นนั้นมาทันที เขาถามด้วยรอยยิ้มว่า “เซียนกระบี่หลิ่วมือเติบขนาดนี้ ข้าว่าอันที่จริงความคิดนั้นของข้าก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์เสมอไป ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นเรื่องร้ายด้วยซ้ำ ข้าคนนี้แต่ไหนแต่ไรมาก็ทำการค้าอย่างยุติธรรมมาโดยตลอด ไม่เคยรังแกเด็กและคนชรา ยิ่งไม่กล้าหลอกเซียนกระบี่ที่มีพลังพิฆาตไร้ที่สิ้นสุดคนหนึ่ง เซียนกระบี่หลิ่วโปรดเก็บโฉนดกลับไปเถิด ช่วงนี้แค่ให้ข้ามาดื่มชาที่นี่ได้โดยไม่ต้องควักเงินก็พอแล้ว”
ความคิดของหลิ่วจื้อชิงใสกระจ่าง เขายิ้มเอ่ยว่า “ออกจากหน้าผาอวี้อิ๋งไปแล้ว หากกลับไปที่ตำหนักจินอูแล้วใช้จิตใจสารพัดรูปแบบของคนมาล้างกระบี่จริง แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่สภาพจิตใจและวิธีการเช่นนี้ ดังนั้นเจ้ารับโฉนดไปได้เลย”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้พัดพับวาดเส้นตรงในแนวตั้งหลายเส้นลงมาจากเส้นในแนวขวางทั้งหลายก่อนหน้านี้ “เจ้าตำหนักจินอู ฮูหยินที่เป็นบุตรสาวของเจ้าแห่งขุนเขาใหญ่ จิ้นเยว่ ผู้ฝึกตนหญิงที่โน้มน้าวจิ้นเยว่ไม่ให้ออกกระบี่ใส่ข้า ชาติกำเนิด การสืบทอดจากอาจารย์ จุดเชื่อมต่อในการฝึกตน การลงภูเขามาหาประสบการณ์ มิตรสหายพันธมิตร ความเชื่อความศรัทธา บุญคุณความแค้นของพวกเขาแต่ละคน…เจ้าหลิ่วจื้อชิงสนใจอยากจะรู้จริงๆ หรือ? หากเจ้าเลือกล้างกระบี่ก็จำเป็นต้องชี้ตรงไปที่จิตดั้งเดิม ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ติดอยู่ในคอขวดของโอสถทอง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ตบะและลำดับอาวุโสในสำนักกลับจะกลายมาเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของเจ้า เจ้าจะสามารถสละพวกมันทิ้งได้ชั่วคราวจริงๆ หรือ? หากเจ้าหลิ่วจื้อชิงยอมแพ้กลางคัน ไม่อาจเดินไปถึงปลายทางอีกด้านได้ในรวดเดียว ก็มีแต่จะเป็นการทำลายเจตจำนงเดิม เป็นเหตุให้จิตแห่งกระบี่ถูกฝุ่นจับ ปณิธานแห่งกระบี่สกปรกไปด้วยจุดด่างพร้อย”
หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ “ข้าสามารถแน่ใจได้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ความยากลำบากในการฝึกตน พิบัติภัยทั้งหลายที่จะเข้ามาลดทอนกำจัดปณิธานในหัวใจให้สูญสลาย ตอนนี้เจ้าน่าจะยังไม่รู้ชัดเจนนัก การล้างกระบี่ของตำหนักจินอู ยากก็ตรงที่ว่ามีเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยมากมายดุจขนวัว แล้วก็ยากตรงที่จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ทว่าสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เมื่อเทียบกับความยากในการหล่อหลอมตัวอ่อนกระบี่ช่วงแรกเริ่มสุดก็ไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่น้อย มีส่วนที่คล้ายคลึงกันอย่างน่ามหัศจรรย์ ข้าก็แค่ต้องเดินบนเส้นทางการฝึกตนที่เคยเดินในช่วงแรกเริ่มสุดซ้ำอีกรอบเท่านั้น ตอนนั้นยังทำได้ ตอนนี้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว จะมีอะไรยากอีกเล่า?”
บัณฑิตชุดขาวกลับส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนบาง “เรื่องเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านพ้นไปย่อมกลายเป็นความยากสองอย่างที่ไม่เหมือนกัน”
หลิ่วจื้อชิงขบคิดคำพูดประโยคนี้อยู่พักหนึ่งก็ยิ้มบางๆ พยักหน้ารับ “ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าแสร้งทำเป็นมีภูมิ เซียนกระบี่หลิ่วก็เชื่อด้วยอย่างนั้นหรือ? ไม่กลัวจริงๆ หรือว่าข้าจะเอาทั้งรากภูเขาทั้งรากสายน้ำไปพร้อมกับจวนเซียนของเจ้าด้วย?”
หลิ่วจื้อชิงลุกขึ้นยืน “ไม่รบกวนแล้ว หวังว่าวันหน้าหากมีโอกาสได้มาเป็นแขกดื่มชาที่นี่ เจ้าของจะยังเป็นคนเดิม”
ในสายตาของหลิ่วจื้อชิง หน้าผาอวี้อิ๋งแห่งนี้ เขาได้กลายเป็นแขกไปแล้ว
เฉินผิงอันมองโฉนดที่ดินที่อยู่บนโต๊ะ แล้วจึงเงยหน้ามองเด็กหนุ่มชุดขาวอีกครั้ง “เหตุใดตำหนักจินอูถึงมีผู้ฝึกกระบี่เช่นเจ้าได้? บรรพบุรุษสั่งสมบุญกุศลกันมาหรือ?”
หลิ่วจื้อชิงยิ้มกล่าว “คำพูดประโยคนี้ของเจ้าไม่น่าฟังเอาเสียเลย แต่ข้าจะถือว่าเป็นคำพูดที่ดีแล้วกัน บอกตามตรง หาใช่ว่าข้าหลิ่วจื้อชิงชมตัวเองไม่ แต่ในอดีตผู้ฝึกตนอาวุโสของตำหนักจินอูมีชื่อเสียงดีกว่าตอนนี้มากนัก น่าเสียดายก็แต่ชื่อเสียงไม่อาจแลกเปลี่ยนมาด้วยตบะและกิจการบ้านเรือน เรื่องราวบนโลกที่ชวนให้คนจนใจก็หนีไม่พ้นสิ่งนี้เอง ดังนั้นในหลายๆ ครั้ง ข้าจึงคิดว่าศิษย์หลานคนนั้นก็แค่กระทำในสิ่งที่ไม่ตรงใจข้า แต่ใช่ว่าเขาจะทำผิดอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ข้าจะทำการค้ากับเจ้าอีกครั้ง เป็นอย่างไร?”
หลิ่วจื้อชิงถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันถามคำถามข้อหนึ่งก่อน “ผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์จะลอบมองที่แห่งนี้หรือไม่?”
หลิ่วจื้อชิงชี้ไปยังกระท่อมที่อยู่นอกศาลา “เห็นกระบี่ของข้าเป็นเพียงของตกแต่งอย่างนั้นหรือ? กฎเกณฑ์บางอย่างยังต้องพูดกัน ยกตัวอย่างเช่นข้ามาดื่มชาอยู่ที่นี่ก็ยังต้องเคาพกฎเกณฑ์ทุกข้อของสวนน้ำค้างวสันต์ ในอดีตเคยมีครั้งหนึ่งที่ข้าเจอกับศัตรูของตำหนักจินอูที่ข้าอยากออกกระบี่ใส่บนเทือกเขาเจียมู่ แต่ข้าก็แค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ถ้าเช่นนั้นก็ควรปฏิบัติต่อผู้อื่นเฉกเช่นที่เขาปฏิบัติต่อตนเอง หากแม้แต่กฎเล็กน้อยแค่นี้สวนน้ำค้างวสันต์ยังไม่เคารพ ข้าก็รู้สึกว่านี่ก็คือการรนหาที่ตายโดยขอให้ข้าออกกระบี่ของพวกเขา”
“เป็นเช่นนี้ได้ย่อมดีที่สุด”
เฉินผิงอันชี้มาที่ตัวเอง “เจ้ากำลังกลุ้มใจเรื่องหาหินลับกระบี่ไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”
หลิ่วจื้อชิงกวาดตามองไปรอบด้าน “ไม่กลัวว่าหน้าผาอวี้อิ๋งจะถูกทำลายหรือไร? ตอนนี้น้ำพุริมหน้าผาเป็นของเจ้าทั้งหมดแล้วนะ”
เฉินผิงอันกล่าว “เลือกสถานที่แห่งหนึ่งแล้ววาดพื้นที่ให้เป็นกรงขัง เจ้าออกกระบี่ข้าออกหมัด เป็นอย่างไร?”
หลิ่วจื้อชิงยิ้มกล่าว “ข้ากลัวว่าเจ้าจะตาย”
“หวังให้เป็นเช่นนั้น”
เฉินผิงอันเหน็ดพัดพับให้เรียบร้อย พูดซ้ำว่า “หวังให้เป็นเช่นนั้น”
หนึ่งประโยคสองความหมาย
……
ในงานเลี้ยงอำลาวสันต์ ผู้ฝึกกระบี่หลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอูไม่ได้ปรากฏตัว
ส่วนเซียนกระบี่หนุ่มที่พักอยู่ในจวนจิงเจ๋อก็ไม่ได้เผยกายเช่นเดียวกัน
นี่ทำให้คนของสวนน้ำค้างวสันต์ที่ทกุวันนี้ข่าวลือเล็กๆ แพร่กระจายไปทั่วพากันเสียดาย
ไม่ต้องพูดถึงหลิ่วจื้อชิงที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนลำดับสูงสุดของมหาสมุทรทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป แม้ว่าเพิ่งจะมีขอบเขตเป็นโอสถทอง แต่ถึงอย่างไรก็ยังหนุ่ม อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง
ป้ายอักษรทองของผู้ฝึกกระบี่ตำหนักจินอูนี้ หลังจากที่ปีนั้นเจ้าตำหนักที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดลาจากโลกนี้ไปก็แทบจะอาศัยหลิ่วจื้อชิงหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ประคับประคองไว้เพียงลำพัง
ทว่าหลิ่วจื้อชิงนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่รู้สึกว่าเขาแปลกหน้า ผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์เองและคนต่างถิ่นจึงเอาความสนใจส่วนใหญ่ไปไว้ที่ตัวของเซียนกระบี่หนุ่มต่างถิ่นที่มีเรื่องเล่าลือมากมายผู้นั้นมากกว่า
หนึ่งเพราะเขาใช้หนึ่งกระบี่ผ่าบ่อสายฟ้าพิทักษ์ภูเขาของตำหนักจินอู เล่าลือกันว่านี่เป็นสิ่งที่หลิ่วจื้อชิงพูดออกจากปากเอง ไม่อาจเป็นเรื่องโกหกไปได้ อีกทั้งเขายังเชิญคนผู้นี้ไปดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋งด้วย
สองเพราะจากคำเล่าลือของผู้คนบนเรือข้ามฟากลำนั้น คนผู้นี้อาศัยความเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดต่อยให้ผู้ถวายงานจวนเถี่ยชางที่หล่อหลอมเรือนกายได้แข็งแกร่งไม่เป็นรองผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองให้ร่วงลงจากเรือข้ามฟาก ว่ากันว่าหลังตกจากเรือไปแล้วก็เหลือแค่ครึ่งชีวิตเท่านั้น แต่คุณชายน้อยเว่ยป๋ายของจวนเถี่ยชางก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ไม่มีการปิดบังใดๆ ถังชิงชิงแห่งเรือนเย่ฉ่าวก็ยิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับสวนน้ำค้างวสันต์ เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของทั้งบิดานางและของซ่งหลานเฉียวแห่งเรือข้ามฟาก
ข้อสามเพราะเซียนกระบี่แซ่เฉินที่พักอยู่ในจวนจิงเจ๋อทะเลไผ่ผู้นั้นจะต้องไปกลับระหว่างทะเลไผ่และหน้าผาอวี้อิ๋งทุกวันวันละรอบ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลิ่วจื้อชิงเป็นอย่างไร คนนอกก็ได้แต่อาศัยการคาดเดาอย่างเดียวเท่านั้น
ระหว่างนี้ทางศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ก็ได้มีการประชุมลับกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากปรึกษากันแล้ว เกี่ยวกับข่าวลือบางอย่างที่เล่าลือกันไปเกินจริงก็ไม่มีการสั่งห้าม ยังปล่อยให้เล่าลือกันต่อไป แต่กลับเริ่มช่วยปิดบังร่องรอย รูปโฉมที่แท้จริงและรายละเอียดเหตุการณ์มรสุมที่เกิดขึ้นบนเรือข้ามฟากของเซียนกระบี่หนุ่มแซ่เฉินที่อยู่ในสวนน้ำค้างวสันต์คล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา ในสถานที่ต่างๆ ของเทือกเขาเจียมู่เริ่มมีข่าวลือผุดขึ้นหลากหลาย วันนี้บอกว่าคนผู้นั้นเข้าพักที่จวนกู่อวี่ พรุ่งนี้บอกว่าย้ายไปอยู่จวนลี่ชุนแล้ว วันมะรืนก็เล่ากันว่าเขาไปดื่มชาที่เรือนเย่ฉ่าว เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนหลายคนที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงไม่อาจได้เห็นมาดอันองอาจของเซียนกระบี่ท่านนั้นกับตาตัวเอง
หลังงานเลี้ยงอำลาวสันต์สิ้นสุดลงก็มีเรือข้ามฟากออกไปจากท่าเรือฝูสุ่ยมากกว่าเดิม ผู้ฝึกตนพากันเดินทางกลับ ซ่งหลานเฉียวผู้ฝึกตนโอสถทองของสวนน้ำค้างวสันต์ก็กลับขึ้นไปบนเรือข้ามฟากที่เดินทางไปกลับชายหาดโครงกระดูกมาแล้วรอบหนึ่งแล้วอีกครั้ง
ทว่าบนถนนเหล่าไหว (ต้นไหวโบราณ) ของเทือกเขาเจียมู่ได้มีร้านเล็กร้านหนึ่งที่เปลี่ยนเถ้าแก่ แล้วเริ่มเปิดกิจการอย่างเงียบเชียบ
เถ้าแก่คือคนหนุ่มที่สวมชุดสีเขียว ตรงเอวห้อยกาเหล้าสีชาด ในมือถือพัดพับคนหนึ่ง เขาจะมานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กหน้าประตู แล้วก็ไม่คิดจะเรียกลูกค้า วันๆ เอาแต่นั่งอาบแดด รอคอยให้เหยื่อที่เต็มใจมาติดกับด้วยตัวเอง
ทุกพื้นที่ของถนนเหล่าไหวที่การค้าเจริญรุ่งเรืองล้วนเป็นเงินเป็นทอง ผู้ฝึกตนที่สัญจรไปมามีมากมายเนืองแน่น ร้านค้าแห่งหนึ่งขนาดเท่าฝ่ามือ ทว่าค่าเช่าที่มอบให้แก่สวนน้ำค้างวสันต์ทุกปีกลับเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่
ร้านค้าเล็กๆ ที่แขวนป้ายคำว่า ‘ผีฝู’ (มดแดง/มดดำตัวใหญ่) แห่งนี้ ด้านในจัดวางสิ่งของบนและล่างภูเขาไว้มากมายหลากหลาย เพียงแต่ว่าของแต่ละชิ้นที่วางไว้บนชั้นวางสมบัติล้วนจัดวางอย่างเป็นระเบียบ บนโต๊ะคิดเงินของร้านแปะกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งที่ตัดมาจากกระดาษเซวียนจื่อ ด้านบนเขียนสี่คำใหญ่ว่า ‘ขออภัยที่ไม่ลดราคา’ ตรงหัวและท้ายของแผ่นกระดาษใช้ตราประทับสองชิ้นกดทับเอาไว้ นอกจากนี้บนชั้นวางสมบัติทุกชั้นยังแปะกระดาษไว้หนึ่งแผ่น บนกระดาษเขียนชื่อและราคาของวัตถุที่ขายไว้เต็มแผ่น
ในร้านมีแบ่งเป็นด้านนอกและด้านใน เพียงแต่ว่าห้องที่อยู่ด้านหลังร้านกลับปิดประตูแน่น แล้วก็มีกระดาษแปะไว้อีกว่า ‘สมบัติพิทักษ์ร้าน ผู้มีวาสนาได้ครอบครอง’ ตัวอักษรใหญ่เท่ากำปั้น แต่หากมีคนเพ่งตาอ่านอย่างละเอียดจะพบว่าด้านข้างคำว่า ‘ผู้มีวาสนาได้ครอบครอง’ ยังมีตัวอักษรบรรจงเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแมลงวันเขียนระบุไว้ว่า ‘ผู้ที่ให้ราคาสูงได้ไป’
เพราะถึงอย่างไรร้านที่สามารถมาเปิดอยู่บนถนนเหล่าไหวได้นั้น ราคาที่แท้จริงบอกได้ยาก แต่ของที่ขายเป็นของแท้หรือไม่กลับมีการรับรองอย่างแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่เป็นร้านเปิดใหม่ ตามหลักแล้วจะต้องเอาของดีๆ บางส่วนออกมาดึงดูดสายตาผู้คน ร้านเก่าแก่ที่มีที่พึ่งใหญ่หลายร้านบนถนนเหล่าไหวต่างก็มีสมบัติอาคมหนึ่งถึงสองชิ้นเป็นสมบัติพิทักษ์ร้าน เอาไว้ให้คนได้ชื่นชม ไม่ต้องซื้อ เพราะถึงอย่างไรหากคิดจะซื้อก็ต้องใช้เงินหลายสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช จะมีสักกี่คนที่ควักจ่ายได้ไหว แท้จริงแล้วก็เพียงแค่ช่วยเพิ่มความครึกครื้นให้กับร้านเท่านั้น
แต่ร้าน ‘ผีฝู’ แห่งนี้กลับค่อนข้างจะยากจนแล้ว นอกจากโครงกระดูกหยกขาวใสทั้งหลายที่ระบุไว้ว่านำมาจากชายหาดโครงกระดูกที่พอจะถือว่าหาได้ยาก รวมไปถึงภาพวาดเทพหญิงบนกระดาษไขครบชุดของนครปี้ฮว่าที่ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว แต่กระนั้นก็ยังขาดสมบัติหนักตระกูลเซียนแท้จริงที่ทำให้คนได้เห็นแล้วยากจะลืมลง ส่วนใหญ่คือของโบราณชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่ถือว่าเป็นวัตถุวิเศษด้วยซ้ำ อีกทั้ง…กลิ่นอายของเครื่องประทินโฉมก็ยังเข้มข้นเกินไป เพราะมีชั้นวางสมบัติถึงสองชั้นกว่าที่จัดวางสิ่งของในห้องส่วนตัวของสตรีชนชั้นสูงไว้จนเต็ม
ดังนั้นพอผ่านไปได้สิบวัน ลูกค้าส่วนใหญ่ก็แทบจะเป็นสตรีที่มาเยือนเพราะได้ยินข่าวแทบทั้งหมด มีทั้งผู้ฝึกตนหญิงจากภูเขาลูกต่างๆ แล้วก็มีสตรีของตระกูลมีอำนาจหลายแห่งซึ่งรวมถึงของราชวงศ์ต้ากวานอยู่ด้วย พวกนางจับกลุ่มกันมา ส่งเสียงพูดคุยหัวเราะต่อกระซิก พอมาถึงในร้านก็จับของพลิกไปพลิกมา หากเจอของที่ถูกตาต้องใจก็แค่ต้องตะโกนไปทางประตูร้าน หากสอบถามเถ้าแก่หนุ่มว่าลดราคาให้หน่อยได้ไหม เจ้าคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ก็จะโบกมือ ไม่ว่าสตรีทั้งหลายจะพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน คำพูดไพเราะนุ่มนวลแค่ไหนก็ล้วนไร้ประโยชน์ เถ้าแก่หนุ่มคนนั้นไม่สะทกสะท้าน ไม่ยอมลดราคาให้เด็ดขาด
สตรีหลายคนที่ไม่ขาดเงินทองแต่กลับรังเกียจการที่ ‘ลดราคาหนึ่งหรือสองเหรียญทองแดง’ ไม่ได้มากที่สุดก็จะผิดหวังมีโทสะ แล้วออกจากร้านไปอย่างไม่สบอารมณ์
ทว่าเถ้าแก่หนุ่มคนนั้นอย่างมากก็แค่ยิ้มเอ่ยว่ายินดีต้อนรับลูกค้ามาเยือนใหม่ ไม่เคยรั้งตัวใครไว้ ยิ่งไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจ
นานวันเข้าร้านแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงเลวร้ายว่าชอบทำให้คนเสียอารมณ์
คิดไม่ถึงว่ายามสนธยาของวันหนึ่ง ถังชิงชิงจะพาผู้ฝึกตนหญิงของเรือนเย่ฉ่าวแห่งสวนน้ำค้างวสันต์ที่สนิทสนมกันกลุ่มหนึ่งมาเยือนที่ร้าน แต่ละคนเลือกเอาวัตถุที่ตัวเองถูกตาไปได้ก็ไม่ต่อราคา เพียงวางเงินเทพเซียนเอาไว้แล้วจากไป อีกทั้งยังแวะมาเยือนร้านผีฝูเล็กๆ บนถนนเหล่าไหวร้านเดียวเท่านั้น ซื้อเสร็จก็ไม่เดินเล่นต่อ หลังจากนั้นมากิจการของร้านก็ดีขึ้นมาได้เล็กน้อย ทว่าสิ่งที่ทำให้คนมากมายมาเยือนร้านนี้อย่างแท้จริงกลับเป็นเพราะเซียนกระบี่หลิ่วแห่งตำหนักจินอูที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าสาวงามผู้นั้น ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาเข้ามาในร้านแล้วถึงทุ่มเงินซื้อโครงกระดูกโครงหนึ่งของชายหาดโครงกระดูกไป ลากเดินไปด้วยกันตลอดทาง แล้วถึงได้ออกไปจากถนนเหล่าไหว
วันนี้ร้านแขวนป้ายปิด เถ้าแก่หนุ่มที่ไม่มีทั้งนักบัญชีและลูกจ้างร้านคอยช่วยเหลือนั่งฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงินเพียงลำพัง กำลังนับเงินเทพเซียน เงินเกล็ดหิมะวางกองกันเป็นภูเขา เงินร้อนน้อยก็มีอยู่หลายเหรียญ
เด็กหนุ่มชุดขาวที่ปักปิ่นทองบนมวยผมคนหนึ่งก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาในร้าน มองเถ้าแก่ที่ลุ่มหลงในทรัพย์สินเงินทองผู้นั้นแล้วก็พูดเสียงเบาอย่างระอาใจว่า “ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ เจ้าจำเป็นต้องเชี่ยวชาญในการหาเงินขนาดนี้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันไม่เงยหน้า “บอกกับเซียนกระบี่ใหญ่หลิ่วอย่างเจ้าไปนานแล้วว่า ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้รากอย่างพวกเรา หาเงินโดยเอาหัวไปผูกไว้บนสายรัดเอว เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเจ้าไม่เข้าใจหรอก”
หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า “ข้าต้องไปแล้ว เรื่องของหน้าผาอวี้อิ๋งข้าก็คุยกับบรรพจารย์ถานเรียบร้อยแล้ว แต่ข้ายังหวังว่าเจ้าจะไม่ขายทอดเปลี่ยนมือให้คนอื่น ทางที่ดีที่สุดก็อย่าให้คนอื่นเช่าด้วย ไม่อย่างนั้นวันหน้าข้าคงไม่มาเอาน้ำต้มชาที่สวนน้ำค้างวสันต์อีกแล้ว”
เฉินผิงอันเงยหน้ายิ้มกล่าว “นั่นมันตั้งหกเหรียญเงินฝนธัญพืชเชียวนะ ข้าไม่อาจปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ที่สวนน้ำค้างวสันต์ได้ ถึงเวลานั้นร้านผีฝูยังสามารถหาผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์มาช่วยดูแลให้ แล้วแบ่งส่วนแบ่งกัน ข้าก็ยังคงได้เงิน แต่หน้าผาอวี้อิ๋งนั่นไม่ขายไม่ให้เช่า แล้วจะให้ข้าเก็บโฉนดแผ่นหนึ่งไว้ทำอะไร? วางไว้ให้ฝุ่นจับให้ราขึ้นหรือ แล้วอีกสามร้อยปีก็เสียเปล่าไป?”
หลิ่วจื้อชิงถอนหายใจ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงหากคิดจะมาต้มชาที่สวนน้ำค้างวสันต์ก็ไม่ใช่เรื่องยากเสียหน่อย เจ้าให้เงินข้าสามเหรียญเงินฝนธัญพืช สามร้อยปีข้างหน้าเจ้าก็มาได้ตามสบาย ก่อนข้าจะจากไปจะบอกกับคนดูแลของสวนน้ำค้างวสันต์ให้ชัดเจน ถึงเวลานั้นต้องไม่มีใครกล้าขวางเจ้าแน่”
หลิ่วจื้อชิงถาม “เจ้าคิดว่าเงินฝนธัญพืชหล่นมาจากฟ้าหรือไร?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า วันหน้าก็มาต้มชาได้ตามสบาย”
หลิ่วจื้อชิงยืนนิ่งไม่ขยับ
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ หรือว่ายังต้องให้ข้าจ่ายเงินจ้างเจ้ามาดื่มชา? แบบนี้จะเกินไปหน่อยไหม?”
หลิ่วจื้อชิงพูดอย่างมีโทสะ “หินไข่ห่านหลายร้อยก้อนที่อยู่ใต้บ่อน้ำ ทำไมไม่เหลือเลยสักก้อน? แค่เงินเกล็ดหิมะสองสามร้อยเหรียญเจ้าก็ต้องโลภด้วยหรือไง?!”
เฉินผิงอันตบโต๊ะ “โฉนดอยู่ในมือ ตลอดทั้งหน้าผาอวี้อิ๋งล้วนเป็นกิจการของบ้านข้า ข้าเก็บหินผุๆ มาใส่ไว้ในกระเป๋าก้อนสองก้อน เจ้ามายุ่งอะไรด้วย?!”
หลิ่วจื้อชิงกล่าวอย่างเอือมระอา “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้าขอซื้อหินไข่ห่านพวกนั้นมาจากเจ้า เอามันวางกลับไว้ใต้หน้าผาเหมือนเดิม ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “ห้าเหรียญเงินร้อนน้อย ร้านนี้ไม่ลดราคา!”
หลิ่วจื้อชิงเอามือตบลงบนโต๊ะคิดเงิน พอยกมือขึ้น บนโต๊ะก็มีเงินร้อนน้อยเพิ่มมาห้าเหรียญ เขาหมุนตัวกลับได้ก็เดินจากไปทันที “คราวหน้าที่ข้ามาเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ หากในน้ำขาดหินไข่ห่านไปแม้แต่ก้อนเดียว คอยดูเถอะว่าข้าจะฟันเจ้าให้ตายไหม!”
เฉินผิงอันเอานิ้วข้างหนึ่งกดลงบนโต๊ะคิดเงินเบาๆ ไม่อย่างนั้นเงินเกล็ดหิมะที่อุตส่าห์วางเรียงอย่างเป็นระเบียบจะเคลื่อนหลุดออกจากแถวได้
มีเงินร้อนน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกห้าเหรียญ ค่อนข้างจะหงุดหงิดใจแหะ
ทำการค้าเก่งเกินไปก็ไม่ค่อยดีเหมือนกันนะ
—–