กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 516.3 ขัดเกลา
ตลอดทั้งคืน ส่วนที่เดินนิ่งก็เดินนิ่ง ส่วนที่ฝึกตนก็ฝึกตน นี่ต่างหากจึงจะเรียกได้ว่าหนึ่งใจใช้สอง ไม่ถ่วงเวลาของทั้งสองเรื่องอย่างแท้จริง
กลางดึก เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่วางลงบนโต๊ะ หยิบเจี้ยนเซียนออกมาจากหีบไม้ไผ่ แล้วก็หยิบวัตถุสิ่งหนึ่งออกมาจากกระบี่บินสืออู่ ก่อนจะใช้ความเร็วประหนึ่งฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูชักกระบี่ออกจากฝักแล้วฟันฉับลงไป แบ่งหินลับกระบี่ทรงยาวก้อนหนึ่งออกเป็นสองท่อน ชูอีกับสืออู่ลอยตัวอยู่ด้านข้าง ท่าทางลิงโลดกระเหี้ยนกระหือรือ แขนข้างที่ถือกระบี่ของเฉินผิงอันชาไปทั้งแถบ สูญเสียความรู้สึกไปชั่วขณะ แต่กระนั้นเขาก็ยังรีบยกกระบี่ขึ้นมา เบิกตากว้าง เพ่งมองคมกระบี่อย่างละเอียด เห็นว่าไม่มีรอยบิ่นหรือตำหนิใดๆ ถึงได้ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มทำการหลอมเล็กให้กับแท่นสังหารมังกรทั้งสองก้อน คิดว่าจะเก็บพวกมันใส่ไว้ในช่องโพรงลมปราณสองช่อง ให้ชูอีกับสืออู่ออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วใช้มันลับคมกระบี่ ค่อยๆ กินแท่นสังหารมังกรสองก้อนที่แยกจากกันนี้ไปทีละนิด
แท่นสังหารมังกรก้อนนี้คือก้อนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาหินลับกระบี่สามก้อนที่พี่สาววิญญาณกระบี่มอบให้หลังจากปรากฎตัวที่นครมังกรเฒ่า
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยตัดใจให้ชูอีกับสืออู่กินมันได้ลง
ทว่าตอนนี้ในเมื่อเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนอย่างแท้จริงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังตัดสินใจแล้วว่าจะหลอมทั้งชูอีและสืออู่ให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ร่วมเป็นร่วมตายกับตนไปพร้อมกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีความลังเลใดๆ อีก
จากการประมือกับหลิ่วจื้อชิงที่เป็นคอขวดโอสถทอง เฉินผิงอันรู้สึกว่าวิชาอันเป็นสมบัติก้นกรุของตนยังขาดบางอย่างไป ยังไม่พอ อยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ
ทักษะมากไม่กลัวว่าจะทับตัวตาย
แม้แต่การใช้ยันต์ก็ยังสามารถนำมาทำเป็นเวทอำพรางตาชั้นหนึ่งได้
สวมชุดคลุมอาคม ในชายแขนเสื้อซ่อนยันต์ทั่วไปไว้ปึกใหญ่ แสร้งทำตัวเป็นผู้ฝึกตนที่หวังใช้ยันต์จำนวนมากเอาชนะศัตรู
พอต่อสู้ประชิดตัวก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง
ในช่วงเวลาที่เข่นฆ่ากันก็คอยประเมินสถานการณ์เพื่อรับการเปลี่ยนแปลง แล้วค่อยหาโอกาสเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ บวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่ความเร็วถูกเลื่อนระดับให้สูงขึ้น ทำให้อีกฝ่ายหลบพ้นชูอี แต่หนีไม่พ้นสืออู่
สุดท้ายจึงจะเป็นเจี้ยนเซียนเล่มนั้น
ในช่วงเช้าตรู่ เฉินผิงอันก็ไปเยือนที่ถนนเหล่าไหวมารอบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้เปิดร้านทำการค้า แต่ไปยังร้านเก่าแก่ที่ขายของตกแต่งในห้องหนังสือโดยเฉพาะแห่งนั้น หาโอกาสไปพูดคุยตีสนิทกับลูกจ้างร้านคนหนึ่ง บอกเรื่องความต้องการในการทำการค้าของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง ลูกจ้างหนุ่มคนนั้นรู้สึกว่าไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร แต่เขายืนกรานอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือจะให้เขาแกะสลักหินไข่ห่านสี่สิบเก้าก้อนที่มาจากหน้าผาอวี้อิ๋งเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ประณีตงดงามนั้น ย่อมได้ ภายในสามวัน อย่างมากสุดสิบวัน เป็นราคาสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่ไม่สามารถนำไปวางขายไว้ที่ร้านผีฝู ไม่อย่างนั้นวันหน้าเขาก็อย่าหวังว่าจะทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่บนถนนเหล่าไหวนี่ได้อีก เฉินผิงอันตอบตกลง จากนั้นคนทั้งสองก็นัดหมายกันว่าหลังจากปิดร้านแล้วจะไปคุยกันโดยละเอียดที่ร้านผีฝูอีกครั้ง
จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปเยือนเรือนเย่ฉ่าวที่ค่อนข้างห่างไกลรอบหนึ่ง ได้พบกับถังเซียนซือหนึ่งในสองเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสวนน้ำค้างวสันต์ คนผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกตนที่มหัศจรรย์คนหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์เช่นกัน แรกเริ่มพรสวรรค์ของเขาไม่โดดเด่นนัก อีกทั้งยังไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสามสายในศาลบรรพจารย์ สุดท้ายเพราะเชี่ยวชาญการทำการค้า อาศัยรายได้จากส่วนแบ่งก้อนใหญ่จึงสามารถฝ่าทะลุขอบเขตครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายจึงกลายเป็นขอบเขตโอสถทอง อีกทั้งยังไม่มีใครดูแคลนเขา เพราะถึงอย่างไรแต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์ก็ให้ความสำคัญกับการค้ามาโดยตลอด
แน่นอนว่าถังชิงชิงก็ต้องอยู่ด้วย
แต่เว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางและหญิงชราคนนั้นได้กลับไปยังราชวงศ์ต้ากวานแล้ว
ถังชิงชิงชงชาด้วยตัวเอง ระหว่างที่นั่งพูดคุยอยู่ตรงข้ามกัน ถังเซียนซือผู้นั้นรู้ว่าเซียนกระบี่หนุ่มคิดจะเป็นเถ้าแก่ที่ไม่ดูแลกิจการก็เป็นฝ่ายเสนอให้ผู้ฝึกตนที่มือเท้าคล่องแคล่วคนหนึ่งไปช่วยงานที่ร้านผีฝู
เฉินผิงอันบอกว่าส่วนแบ่งคือเก้าต่อหนึ่ง ถังเซียนซือจึงยิ้มเอ่ยว่าไม่มีเรื่องดีๆ เช่นนี้หรอก ส่วนแบ่งหนึ่งส่วนนั้นมากเกินไป ก็แค่งานง่ายๆ ที่แค่ไปนั่งรับเงินอยู่ในร้านทุกวันเท่านั้น ไม่สู้ตั้งค่าตอบแทนตายตัวไปเลย เวลาหนึ่งปี ผู้ฝึกตนที่ทางเรือนเย่ฉ่าวส่งไปอยู่ที่ร้านจะรับเงินค่าจ้างแค่สามสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็พอ เพียงแต่เฉินผิงอันคิดว่าอิงตามส่วนแบ่งเก้าต่อหนึ่งค่อนข้างจะสมเหตุสมผลมากกว่า ถังเซียนซือผู้นั้นจึงตอบตกลง แล้วก็เป็นฝ่ายสอบถามอย่างละเอียดว่า หากภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่ทำให้ลูกค้าเสียความรู้สึกและไม่ทำลายชื่อเสียงของร้านบนถนนเหล่าไหว อาศัยฝีปากและความสามารถของตัวเองจนขายของได้ในราคาที่สูงกว่าที่ตั้งเอาไว้ได้ ควรจะคิดอย่างไร เฉินผิงอันจึงบอกว่าให้แบ่งครึ่งจากส่วนของราคาที่เพิ่มขึ้นมา ถังเซียนซือยิ้มพลางพยักหน้ารับ จากนั้นก็ลองหยั่งเชิงเซียนกระบี่หนุ่มว่าจะอนุญาตให้ลูกจ้างที่ทางเรือนเย่ฉ่าวส่งตัวไปอยู่ร้านผีฝูในอนาคตสามารถเพิ่มราคาจากเดิมไปหนึ่งถึงสองส่วนได้หรือไม่ ลูกค้าจะได้หั่นราคาได้ แต่เส้นบรรทัดฐานของราคาที่ถูกหั่นย่อมไม่ต่ำกว่าราคาที่เซียนกระบี่หนุ่มตั้งไว้ตอนนี้ เฉินผิงอันยิ้มบอกว่าเป็นอย่างนี้ได้ย่อมดีที่สุด เป็นตนที่มีสายตาตื้นเขินในการทำการค้า มอบให้เรือนเย่ฉ่าวเป็นผู้ดูแลก็คือการเลือกที่ดีที่สุดอย่างแท้จริง
ดื่มชาและพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันเสร็จ ก็พูดคุยกันอย่างมีมารยาทด้วยถ้อยคำทำนองว่าเจ้าบอกว่าข้าดี ข้าบอกว่าเจ้าดียิ่งกว่าอีกครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็ขอตัวลาจากมา
ถังชิงชิงและบิดาของนางยืนอยู่นอกประตูใหญ่ นางถามอย่างคลางแคลง “ท่านพ่อ เรื่องบนเรือข้ามฟาก ข้าเล่าให้ท่านฟังครบถ้วนชัดเจนแล้ว อีกทั้งตอนนี้สวนน้ำค้างวสันต์ก็ให้ความสำคัญกับเขาขนาดนั้น แถมเขายังเป็นยอดฝีมือที่สามารถทำให้เซียนกระบี่หลิ่วออกจากหน้าผาอวี้อิ๋งไปเชิญให้เขาดื่มชาถึงที่จวนจิงเจ๋อ วันนี้เขามาหาพวกเราถึงที่ ดื่มน้ำชาของพวกเรา นี่ถือเป็นเกียรติยิ่งใหญ่เพียงใด เหตุใดท่านพ่อถึงยังต้องคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้? หากผูกมิตรกับเขาได้ อีกทั้งบ้านเราก็ไม่ขาดแคลนเงินเทพเซียน ก็แค่เหมาของในร้านมาทั้งหมดโดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ เขาได้เงินก้อนใหญ่ พวกเราแค่เสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการค้าที่ขาดทุนอะไร แบบนั้นจะไม่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ?”
บุรุษส่ายหน้า “ใต้หล้านี้ไม่มีใครทำการค้าเช่นนี้ หากเซียนกระบี่หนุ่มตั้งท่าว่าจะมาเอาเงินถึงบ้านพวกเรา พ่อย่อมให้เขา แถมยังจะให้เป็นเงินก้อนใหญ่ด้วย จะไม่ขมวดคิ้วแม้สักครั้ง ถือเสียว่าจ่ายเงินฟาดเคราะห์ไป แต่ในเมื่อเขามาทำการค้ากับเรือนเย่ฉ่าวของพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็ควรต้องทำตามกฎของแต่ละฝ่าย ทำแบบนี้จึงจะยืนยาวได้อย่างแท้จริง ไม่มีทางเปลี่ยนเรื่องดีให้กลายเป็นเรื่องร้าย”
บุรุษเห็นว่าบุตรสาวของตนยังไม่เข้าใจอย่างกระจ่าง ก็ยิ้มกล่าวว่า “นอกจากสถานการณ์ที่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีภายในค่ำคืนเดียวที่จะไม่พูดถึงแล้ว การค้าขายที่ยาวนานทุกอย่างบนโลกใบนี้ คนทำการค้าหลากหลายรูปแบบ วิธีการหาเงินสารพัดรูปแบบ ล้วนมีจุดหนึ่งที่เชื่อมโยงถึงกัน”
บุรุษหยิบเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งที่ธรรมดาที่สุดในราชวงศ์ล่างภูเขาออกมาจากชายแขนเสื้อ เขาเก็บรักษามันไว้อย่างดีมานานหลายปี บุรุษวางมันไว้บนฝ่ามือ “นั่นคือให้ความเคารพวัตถุสิ่งนี้อย่างมาก”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปเยี่ยมเยือนหญิงชราคนหนึ่ง นางคืออาจารย์ผู้มีพระคุณของซ่งหลานเฉียวโอสถทองบนเรือข้ามฟาก หญิงชราก็เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองเช่นเดียวกัน แต่ว่ายังมีที่ว่างให้นางในศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ ทว่าซ่งหลานเฉียวกลับไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ พูดง่ายๆ ก็คือยามที่ศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์คิดจะปรึกษาเรื่องสำคัญกัน หญิงชราและคนอีกแปดคนซึ่งรวมถึงบรรพจารย์ถานหลิงจะมีเก้าอี้ให้นั่ง บิดาของถังชิงชิงก็มีที่นั่งเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าค่อนไปทางด้านหลัง แต่ซ่งหลานเฉียวกลับได้แต่ยืนเท่านั้น
หญิงชราเห็นเซียนกระบี่หนุ่มมาเยือน รอยยิ้มก็ค่อยๆ ผลิกว้าง รั้งตัวเฉินผิงอันไว้พูดคุยนานเกินครึ่งชั่วยาม เฉินผิงอันเองก็ไม่รีบไม่ร้อน จนกระทั่งหญิงชราเปิดปากด้วยตัวเองว่าไม่รบกวนเวลาการฝึกตนของเซียนกระบี่เฉินแล้ว เฉินผิงอันถึงได้ลุกขึ้นบอกลา
ของขวัญที่นำมาเยี่ยมเยือนหญิงชราคือวัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งที่ไม่มีวางขายในร้านผีฝู ไม่ดาษดื่น แต่ก็ไม่มีราคามากนัก ทว่ามองดูแล้วกลับชวนให้คนชื่นชอบอยู่มาก
หญิงชราอยากจะมอบของขวัญกลับคืนให้ แต่ถูกเฉินผิงอันปฏิเสธอย่างละมุนละมอม บอกว่าหากผู้อาวุโสทำเช่นนี้ คราวหน้าก็คงไม่กล้ามาเยือนมือเปล่าแล้ว หญิงชราหัวเราะอย่างเบิกบานใจ แล้วถึงได้ยอมล้มเลิกความคิด
รอจนเฉินผิงอันกลับมาถึงถนนเหล่าไหวก็เลยเที่ยงวันมาแล้ว เขาจึงเปิดประตูใหญ่ทำการค้า ยังคงนั่งอาบแดดอยู่บนม้านั่งตัวเล็กเช่นเดิม
การค้าค่อนข้างจะซบเซา
คนแวะเวียนไปมา มองดูเหมือนคึกคัก ทว่าหนึ่งชั่วยามถึงจะมีการค้าเกิดขึ้นหนึ่งครั้ง เงินเข้าบัญชีหกเหรียญเกล็ดหิมะ คือผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่มาซื้อของในห้องสตรีของเผ่าพันธุ์ตำหนักจันทราตัวนั้นไปหนึ่งชิ้น นางโยนเงินเทพเซียนไว้บนโต๊ะคิดเงินแล้ว พอออกจากประตูไปก็รีบสาวเท้าเดินอย่างเร่งร้อน
ทำเอาเฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าคราวหน้ามาเยือนใหม่
เฉินผิงอันเริ่มรู้สึกเสียใจแล้วที่ไม่ได้ลากหลิ่วจื้อชิงมาทำหน้าที่เป็นลูกจ้างร้าน
เซียนกระบี่ใหญ่หลิ่วยังกล้าขอภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มชุดหนึ่งไปเปล่าๆ แล้วทำไมเขาถึงได้ไม่กล้าขอให้เขามาช่วยหาเงินเข้าร้านบ้างล่ะ?
นี่เป็นการช่วยเจ้าหลิ่วจื้อชิงฝึกฝนจิตใจหรอกนะ
ยามสนธยามาเยือน ลูกศิษย์ของร้านเก่าแก่คนนั้นสาวเท้าเร็วๆ ก้าวตรงมา เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นไปแขวนป้ายปิดร้าน หยิบหินไข่ห่านสี่สิบเก้าก้อนออกมาจากห่อสัมภาระใบหนึ่ง วางกองไว้จนเต็มโต๊ะคิดเงิน
คนหนุ่มผู้นั้นกลืนน้ำลาย ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เป็นของจากหน้าผาอวี้อิ๋งจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ไม่ใช่ของร้อนลวกมือหรอก ส่วนข้อที่ว่าได้มาอย่างไร เจ้าก็อย่ารู้เลย เจ้ารู้แค่ว่า ข้าเป็นคนที่มีร้านไร้ขาอยู่บนถนนเหล่าไหวแห่งนี้หนึ่งร้าน อีกทั้งยังมีของล้ำค่ามากมายขนาดนี้วางอยู่ในร้าน เจ้าคิดว่าเพื่อเงินเทพเซียนเล็กน้อยแค่นี้ ข้าจะกล้าไปหยั่งเชิงว่ากระบี่บินของเซียนกระบี่ใหญ่หลิ่วเร็วหรือไม่เร็วอย่างนั้นหรือ?”
คนหนุ่มพรูลมหายใจโล่งอก
เขาหยิบหินไข่ห่านก้อนหนึ่งมาลองชั่งน้ำหนัก พินิจพิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นก้อนหินในน้ำพุวิเศษของหน้าผาอวี้อิ๋ง เนื้อหินแวววาวใสกระจ่างผิดจากที่อื่น อีกทั้งยังชุ่มชื้นอบอุ่น ไม่มีกลิ่นอายเปลวเพลิงที่ยากจะกำจัดให้เกลี้ยงเหมือนหินหยกบนภูเขาทั่วไป เป็นของดีทุกก้อนเลยจริงๆ หากอยู่ในสายตาของช่างล่างภูเขา เกรงว่าคงต้องเอ่ยประโยคหนึ่งว่าหินงามมิอาจแกะสลักอย่างแน่นอน เถ้าแก่ การค้าครั้งนี้ข้ารับทำแล้ว หลายปีมานี้กว่าจะเล่าเรียนจนได้วิชาดีๆ มาจากอาจารย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่ว่าของดีบนภูเขานั้นหาได้ยาก อีกทั้งร้านของพวกเราก็สายตาสูง อาจารย์ไม่ยินดีจะย่ำยีของดี ดังนั้นจึงชอบลงมือด้วยตัวเอง แค่ให้พวกเราคอยสังเกตลูบคลำดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น ลูกศิษย์อย่างพวกเราก็อับจนหนทาง คราวนี้สามารถนำมาฝึกซ้อมมือได้พอดี…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ คนหนุ่มก็มีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ความจริงที่ต่อให้จะไม่น่าฟังแค่ไหนก็ยังเป็นความจริง หวังเพียงว่าเจ้าเอาไปซ้อมมือแล้วจะทุ่มเทและตั้งใจให้มากหน่อย เพราะถึงอย่างไรก้อนหินในบ่อเก่าแก่ของหน้าผาอวี้อิ๋งก็มีเพียงเท่านี้แล้ว หากเจ้าแกะเสียหนึ่งก้อนก็น้อยลงไปหนึ่งก้อน”
คนหนุ่มใช้สองนิ้วประกบกัน บิดข้อมือหนึ่งครั้ง สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เขาตบอกพูดรับรองกับเถ้าแก่หนุ่มว่า “นี่คือผลงานชิ้นแรกๆ นับตั้งแต่ข้าเข้ามาในวงการนี้ รับรองว่าจะไม่ทำเป็นเล่นแน่นอน”
เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะยกหินไข่ห่านก้อนแรกให้เจ้า ถือว่าเป็นการอวยพรให้กับช่างน้อยสวี่ที่ได้แสดงฝีมือเป็นครั้งแรก”
คนหนุ่มกล่าวอย่างเขินอาย “แบบนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไร”
เฉินผิงอันชี้ไปยังหินไข่ห่านคู่นั้น แล้วยิ้มกล่าวว่า “เลือกไปสักก้อนหนึ่ง แต่ต้องรับปากกับข้าว่า หลังจากแกะสลักหินไข่ห่านก้อนแรกที่จะเป็นของเจ้าเสร็จแล้ว ก้อนที่เหลือ การลงมีดหลังจากนั้นก็ต้องระวังและตั้งใจด้วย”
คนหนุ่มหน้าแดงก่ำ “เถ้าแก่วางใจได้เลย! รับรองว่าข้าจะตั้งใจอย่างเต็มที่ทุกก้อน และจะต้องทำสำเร็จทุกก้อน! ไม่แน่ว่าอาจจะมีก้อนสองก้อนที่เหมือนฝีมือของเทพเจ้า สรุปก็คือจะไม่ทำให้เถ้าแก่ร้านผีฝูรู้สึกว่าไหว้วานผิดคนเด็ดขาด”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
การแกะสลักก้อนหินก็เหมือนการขึ้นรูปเครื่องปั้น
พิถีพิถันในเรื่องของฝีมือที่คล่องแคล่วคุ้นเคยเช่นเดียวกัน ทุกเรื่องล้วนยากที่การเริ่มต้น
หินไข่ห่านก้อนแรกที่เป็นของคนหนุ่มเอง ขอแค่เขาตั้งใจจริงลงมือทำอย่างเต็มที่ ถ้าอย่างนั้นการลงมีดบนหินไข่ห่านก้อนต่อๆ ไปก็จะมีความหมายเหมือนน้ำมาคลองสำเร็จ ต่อให้จะวอกแวกไปบ้าง แต่เมื่อเทียบกับการแกะสลักที่ทำเพื่อการค้าอย่างเดียวก่อนหน้านี้แล้ว โดยภาพรวมรูปลักษณ์ของก้อนหินทั้งหมดก็ยังดีมากกว่า แน่นอนว่าร้านผีฝูก็จะขายได้ในราคาที่สูงกว่าเดิม สามารถชดเชยความเสียหายจากหินไข่ห่านก้อนแรกของหน้าผาอวี้อิ๋งได้อย่างสบายๆ หากไม่ผิดจากที่คาด ร้านผีฝูก็มีแต่จะได้กำไรมากกว่าเดิม
เรื่องราวบนโลกใบนี้ไม่เคยง่าย แค่ต้องดูที่ว่าจะยินดีขัดเกลาหรือไม่
ส่วนการที่มารับงานส่วนตัวจากร้านผีฝูแห่งนี้จะเป็นการทำลายอนาคตของลูกจ้างหนุ่มที่อยู่กับอาจารย์ของเขาหรือไม่
คนของสวนน้ำค้างวสันต์ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นคนฉลาดที่คิดคำนวณเก่งทั้งสิ้น
เฉินผิงอันบอกให้ลูกจ้างหนุ่มหอบเอาหินไข่ห่านพร้อมทั้งห่อผ้ากลับไปด้วยกัน ทุกครั้งที่แกะสลักของตกแต่งในห้องหนังสือมาได้หนึ่งชิ้น ขอแค่ตัวเขาเองหรือให้เพื่อนของเขานำมาส่งที่ร้านผีฝูก็พอ ให้บอกว่าตัวเองเป็นเพื่อนของเถ้าแก่ ถึงเวลานั้นเถ้าแก่คนใหม่จะไม่มีทางทำให้เขาลำบากใจอย่างแน่นอน หรือจะแกะสลักให้เสร็จก่อนหนึ่งชิ้นแล้วค่อยมารับไปต่ออีกหนึ่งชิ้นก็ได้ คนหนุ่มชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียดูแล้วก็รู้สึกว่าอย่างหลังมั่นคงกว่า จึงบอกให้เถ้าแก่หนุ่มที่พูดง่ายผู้นี้วางใจ หากหินไข่ห่านก้อนใดสูญหายไป เขาจะควักเงินตัวเองชดใช้ก้อนละหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่หนุ่มจะพูดอีกว่า หากทำหายไปแล้วชดใช้ไม่ไหวก็ไม่เป็นไร ขอแค่ฝีมือยังอยู่ ก็สามารถมาพูดคุยปรึกษากับร้านผีฝูได้
คนหนุ่มยิ้มแล้วบอกลาจากไป
เฉินผิงอันยืนอยู่หน้าประตูร้าน มองส่งคนผู้นั้นจากไป
คล้ายจะมองเห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานคนหนึ่งที่วิ่งส่งจดหมายได้รางๆ
จากนั้นวันต่อมา ร้านผีฝูที่แขวนป้ายปิดร้านมาถึงสองวันเต็มก็เปิดประตูร้านอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับเปลี่ยนเถ้าแก่คนใหม่แล้ว คนที่สายตาดีหน่อยก็จะรู้ว่าคนผู้นี้มาจากเรือนเย่ฉ่าวของถังเซียนซือ ใบหน้าประดับยิ้มอย่างกระตือรือร้น ต้อนรับขับสู้ลูกค้าอย่างเต็มใจ รอบคอบรัดกุมในทุกๆ เรื่อง อีกทั้งในที่สุดก็สามารถต่อรองราคาสินค้าในร้านได้แล้ว
วันนี้เฉินผิงอันที่ยังคงสวมชุดสีเขียวธรรมดาสะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นหลัง สวมงอบบนศีรษะ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า บอกกับสาวใช้สองคนของจวนว่าวันนี้เขาจะออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว
ผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้ฝึกตนโอสถทองบอกว่า บรรพจารย์ถานให้นำความมาบอกต่อแก่ทางจวนว่า ขอมอบเรือยันต์ลำนั้นให้แก่เซียนกระบี่เฉิน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณแล้วก็ไม่เกรงใจจริงๆ
เขาเรียกเรือยันต์ออกมา ไปเยือนถนนเหล่าไหวมารอบหนึ่ง ตรงสุดปลายของถนนมีต้นไหวโบราณเก่าแก่ที่พุ่มใบหนาดกกินอาณาบริเวณหลายไร่อยู่ต้นหนึ่ง
คนหนุ่มชุดเขียวยืนอยู่ใต้ต้นไหว เขาแหงนหน้ายืนมองมันอยู่นาน
เรื่องราวและผู้คนมากมายในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว สามารถคิดถึง ระลึกถึง อาวรณ์ถึง แต่ไม่อาจย้อนกลับคืนมาได้อีก
—–