กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 521.3 เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ รถม้ามาจอดอยู่ในจุดที่เงียบสงัดไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสยอมสิ้นเปลืองแรงกายและเวลาอย่างที่หาได้ยากเพื่อต้มเนื้อตุ๋นหน่อไม้อ่อนหม้อหนึ่ง
สำหรับข้อที่ว่าเหตุใดหน่อไม้แรกฤดูใบไม้ผลิถึงยังคงสามารถสดใหม่ได้ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนที่สุดเช่นนี้ แล้วเหตุใดถึงไม่ได้หยิบออกมาจากหีบไม้ไผ่ สุยจิ่งเฉิงคร้านที่จะคิดแล้ว
แต่สุยจิ่งเฉิงก็ยังรู้สึกได้ว่าการข้ามแม่น้ำคราวนั้น ทำให้ผู้อาวุโสที่อายุยังน้อยอารมณ์ดีอยู่มาก
เกี่ยวกับอายุของผู้อาวุโสเซียนกระบี่ ก่อนหน้านี้สุยจิ่งเฉิงเคยเอ่ยถาม แรกเริ่มผู้อาวุโสไม่ได้สนใจ ภายหลังนางทนความอยากรู้ในใจไม่ไหว จึงลองหลอกถามอีกสองครั้ง เขาถึงได้บอกว่าตนอายุประมาณสามร้อยกว่าปีแล้วกระมัง
สุยจิ่งเฉิงจึงมีใจมุ่งมั่นต่อการฝึกตนมากขึ้น
วันนี้เดินทางผ่านเมืองที่ครึกครื้นซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านภูเขาซ่าส่าวแห่งหนึ่งก็ได้เจอเข้ากับงานวัดพอดี
ทุกๆ ระยะทางช่วงหนึ่งจะมีร้านที่ลักษณะคล้ายคลึงกันปูผ้าวางตุ๊กตาดินเผาและคนจิ๋วเครื่องกระเบื้องไว้เต็มพื้น เงินหนึ่งอีแปะก็สามารถแลกเอาห่วงไม้ไผ่สานห่วงเล็กมาจากเจ้าของร้าน หรือไม่เงินสองอีแปะก็สามารถแลกมงกฎกิ่งหลิวอันใหญ่มาได้ ผู้คนเบียดเสียดกันเนืองแน่น แล้วก็มีผู้ใหญ่ที่คอยช่วยเด็กๆ โยนห่วงไม้ไผ่ มงกฎหลิว พอมีผู้ใหญ่ที่สามารถโยนห่วงครอบตุ๊กตาดินเผาหรือคนจิ๋วเครื่องกระเบื้องเหล่านั้นได้ พวกเด็กๆ ที่อยู่ข้างกายก็จะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
ตอนนั้นเฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “คนในยุทธภพแคว้นอู่หลิงของพวกเจ้าน้อยแค่นี้เองหรือ?”
แรกเริ่มสุยจิ่งเฉิงยังไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงถามเช่นนี้ จึงตอบพาซื่อไปว่า “แคว้นอู่หลิงของพวกเราฝ่ายบุ๋นรุ่งโรจน์กว่า ดังนั้นพอมีผู้อาวุโสหวังตุ้นปรากฎตัว คนทั้งราชสำนัก ต่อให้เป็นขุนนางบุ๋นอย่างบิดาข้าก็ยังรู้สึกเป็นเกียรติ หวังว่าจะอาศัยหูซินเหวยไปทำความรู้จักกับผู้อาวุโสหวังตุ้นให้ได้”
รอจนรถม้าขับออกมาได้ระยะทางช่วงหนึ่งแล้ว สุยจิ่งเฉิงถึงได้คิดจนกระจ่างถึงสาเหตุที่ผู้อาวุโสถามคำถามนั้น
หากผู้ฝึกยุทธมีเยอะ ร้านแผงลอยในงานวัดก็อาจจะยังมี แต่ไม่มีทางมีมากขนาดนั้น เพราะหากโชคไม่ดีก็เท่ากับว่าทำการค้าที่ขาดทุน ไม่เหมือนพ่อค้าในงานวัดตอนนี้ที่แต่ละคนได้กำไร เพียงแค่ต่างกันที่ว่าได้กำไรมากหรือน้อยเท่านั้น
สุยจิ่งเฉิงสะทกสะท้อนใจ
บางทีนี่ก็คงเป็นหนึ่งในเส้นสายที่ถูกอำพรางไว้ของโลกใบนี้กระมัง?
หากไม่เป็นเพราะได้เจอกับผู้อาวุโส บางทีชั่วชีวิตนี้ตนก็อาจจะไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้
ไม่คิด ก็ไม่มีความเสียหายใดๆ ชีวิตยังคงดำเนินต่อ คิดแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลประโยชน์ที่เห็นผลในทันตาอะไร
มีครั้งหนึ่งผ่านสวนแตง รถม้าหยุดลง เฉินผิงอันไปนั่งยองอยู่ข้างคันดินของสวน เหม่อมองผลแตงที่เป็นสีเขียวสดปลั่งน่ารักเหล่านั้น
หวนนึกไปถึงในอดีต ใต้ต้นไหวโบราณจะต้องมีคนหลายคนยกตะกร้าสานไม้ไผ่ออกมาจากในบ่อโซ่เหล็ก พวกคนเฒ่าคนแก่เล่าเรื่องเก่าแก่ พวกเด็กๆ ก็กินแตงโมที่เย็นฉ่ำ ร่มเงาต้นไหวครึ้มเย็น จิตใจคนก็ปลอดโปร่งเย็นสบายตามไปด้วย
สุยจิ่งเฉิงกระโดดลงจากรถม้า ถามอย่างประหลาดใจว่า “เซียนบนภูเขาอย่างผู้อาวุโสก็อยากกินแตงโมด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันเงียบไปนาน สุดท้ายกล่าวว่า “หากวันใดข้าสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจปรารถนา สามารถขโมยแตงโมลูกหนึ่งแล้ววิ่งหนีไป นั่นก็หมายความว่าข้าสามารถฝึกจิตใจได้สำเร็จอย่างแท้จริงแล้ว ผลกระทบด้านจิตใจที่ถังหูลู่ไม้นั้นมีต่อข้าในอดีตถึงจะถือว่าหายไปอย่างสิ้นเชิง”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกว่านี่คือคำพูดประหลาดที่ประหลาดยิ่งกว่าเรื่องประหลาด คิดร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ
บนเส้นทางริมภูเขาสายน้ำที่ใกล้จะไปถึงเมืองหลวง พวกเขาได้เจอกับคนกลุ่มหนึ่งที่มาดักปล้นกลางทาง ขนาดสุยจิ่งเฉิงก็ยังรู้สึกว่าเจ้าพวกคนที่โอ้อวดตัวอย่างโอหังพวกนี้ช่างโชคดีจริงๆ …
เฉินผิงอันให้สุยจิ่งเฉิงลงมือได้ตามสบาย ปิ่นทองชิ้นหนึ่งจึงพุ่งออกไปราวกระบี่บิน ทำเอาพวกเขาตกใจจนขี้หดตดหาย
ภายหลังผู้อาวุโสพาสุยจิ่งเฉิงแอบลอบเข้าไปยังบริเวณใกล้เคียงกับหมู่บ้านรังโจร ก็เห็นว่าที่นั่นมีกระท่อมที่สร้างง่ายๆ ตั้งกระจาย เสียงหมาเห่าไก่ขันดังระงม กลิ่นควันไฟจากการหุงหาอาหารลอยโชยกรุ่น มีเด็กผอมแห้งกำลังเล่นว่าวกระดาษที่เก่าขาด โจรที่มาดักปล้นกลางทางคนหนึ่งในนั้นนั่งยิ้มกว้างมองดูอยู่ด้านข้าง ข้างกายเขายังมีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยสวมชุดสีเขียวขาดวิ่นกำลังด่าเสียงดังว่าชายฉกรรจ์ไม่ได้เรื่อง หากยังไม่มีรายรับเข้ามา คนในหมู่บ้านก็จะต้องอดตายกันแล้ว เจ้าพวกลูกกระต่ายหลายคนยังต้องเรียนหนังสือกะผายลมอะไรนั่นอีก เวลาท่องหนังสืออยู่ในโรงเรียน แต่ละคนท้องร้องดังโครกคราก เสียงดังเสียยิ่งกว่าเสียงท่องหนังสือ ชายฉกรรจ์เกาหัว บอกว่าสตรีผู้นั้นร้ายกาจยิ่งนัก มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเทพเซียนในตำรา วันนี้หากไม่เพราะพวกเราวิ่งได้เร็วก็คงไม่ได้หิวตาย แต่เป็นถูกตีตายแทน
เฉินผิงอันพาสุยจิ่งเฉิงจากมาเงียบๆ พวกเขาย้อนกลับมาที่รถม้าแล้วออกเดินทางกันต่อ
ยามค่ำคืน สุยจิ่งเฉิงไม่รู้สึกง่วงนอน นางมานั่งอยู่ด้านนอกห้องโดยสาร เอียงตัวหันข้างมองป่าข้างทาง
สุยจิ่งเฉิงพึมพำกับตัวเองว่า “ก่อนหน้านี้เห็นพวกเขามาดักปล้นสะดมก็นึกอยากจะฆ่าพวกเขาให้สิ้นซาก ผู้อาวุโส หากข้าทำแบบนั้นจริงๆ ก็คงจะผิดใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ผิดหรอก”
สุยจิ่งเฉิงถามอีก “แต่หากข้าได้เห็นการใช้ชีวิตของพวกเขาแล้ว แล้วได้มาเจอกับพวกเขาบนถนนอีกครั้ง ข้าเลือกจะโยนเงินทองถุงหนึ่งให้พวกเขา จะผิดอีกหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก”
สุยจิ่งเฉิงพลันรู้สึกใจฝ่อขึ้นมานิดๆ
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้บอกแล้วว่าข้าแค่ให้เจ้ายืมเงินทองพวกนั้นเท่านั้น เจ้าจะเอาไปทำอะไร ข้าไม่สนใจ ดังนั้นเจ้าแอบทิ้งพวกมันไว้ด้านนอกหมู่บ้านก็ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะตำหนิ”
สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยว่า “เรื่องราวทางโลกซับซ้อน ไม่ใช่แค่พูดง่ายๆ แต่ปากเท่านั้น เรื่องของเส้นสายที่ข้าพูดกับเจ้า การมองเส้นสายแต่ละเส้นในใจคน หากประสบความสำเร็จแม้เพียงน้อยนิด อาจมองดูเหมือนซับซ้อน แต่แท้จริงแล้วกลับง่ายดายมาก การทำตามขั้นตอน มองดูเหมือนง่ายแต่ความจริงกลับซับซ้อน เพราะไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับผิดถูก ยังเกี่ยวพันไปถึงความดีเลวของใจคนด้วย ดังนั้นข้าพูดถึงเรื่องเส้นสายในทุกสถานการณ์ สุดท้ายก็ยังคงเพื่อเดินไปตามลำดับขั้นตอน แต่สุดท้ายแล้วควรจะเดินอย่างไร ไม่มีใครสอนข้า ตอนนี้ข้าแค่พอจะบรรลุถึงวิธีการตัดแบ่งและวาดเส้นจำกัดซึ่งเป็นวิธีของจิตแห่งกระบี่ได้ชั่วคราว สิ่งเหล่านี้ล้วนอธิบายให้เจ้าฟังคร่าวๆ แล้ว ถึงอย่างไรเจ้าเองก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก็สามารถใช้วิธีการสามอย่างนี้มาลองเรียบเรียงสิ่งที่พบเจอในวันนี้ดูได้”
วันนี้เดิมทีพระอาทิตย์ลอยสูงเหนือศีรษะ อากาศร้อนอบอ้าว ต่อให้สุยจิ่งเฉิงสวมชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ นั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้าก็ยังคงรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ดี คิดไม่ถึงว่าชั่วเวลาไม่นานเมฆทะมึนจะมารวมตัวกัน จากนั้นฝนก็เทกระหน่ำลงมา ทางเล็กบนภูเขาเฉอะแฉะไปด้วยดินโคลนยากจะเดินทาง
ยังดีที่บริเวณใกล้เคียงมีจวนที่ปัญญาชนมาสร้างไว้กลางป่าเขาที่พอจะให้หลบฝนได้
สุยจิ่งเฉิงรู้จักเจ้าของเรือนหลังนี้ เพราะในอดีตเคยไปมาหาสู่กับตระกูลสุย เขาเองก็เป็นปรมาจารย์วงการหมากล้อมเหมือนกับบิดาของนาง เพียงแต่ว่าตำแหน่งขุนนางของเขาไม่ใหญ่ ได้เลื่อนขั้นเป็นหลางจงของกรมกลาโหมก็ลาออกกลับบ้านเกิด ทว่าในบรรดาลูกศิษย์ของเขากลับมีผู้มีความสามารถอยู่มากมาย มีทั้งฉีไต้จ้าวที่ฝีมือการเล่นหมากล้อมเหนือกว่าครู และยังมีลูกศิษย์อายุน้อยอีกสองคนที่สอบติดเป็นจิ้นซื่อ ตอนนี้ได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางที่ว่างอยู่อย่างเป็นทางการแล้ว ดังนั้นภูเขาลูกนี้ที่เดิมทีไม่มีชื่อเสียงมากนักจึงเริ่มมีความหมายทำนองว่าต่อให้ภูเขาไม่สูง แต่เมื่อมีเซียนอาศัยก็ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาบ้างแล้ว ต่อให้จวนหลังนั้นจะตั้งอยู่ลึกในป่าเขา แต่ก็ยังคงมีแขกไปมาหาสู่อยู่ตลอดทั้งปี
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูของเรือนหลังนี้ได้ยินว่าสตรีสวมหมวกคือสายรองของสกุลสุยที่แต่งงานไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ครั้งนี้เดินทางกลับบ้านเกิดมาเยี่ยมญาติก็ปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท พอได้ยินว่านางไม่ต้องการพักค้างแรมก็ให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรรองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยก็เป็นเสาหลักมือสะอาดของแคว้นอู่หลิง อีกทั้งยังเป็นเทพเซียนในวงการหมากล้อมเหมือนกับเจ้านายของตน เป็นเหตุให้สถานะคนตระกูลสุยของสตรีไม่ใช่สิ่งที่เหล่าสตรีในครอบครัวขุนนางทั่วไปสามารถทัดเทียมได้
ระหว่างที่เฉินผิงอันหลบฝนอยู่กับสุยจิ่งเฉิง ต่อให้สุยจิ่งเฉิงไม่ได้ถอดหมวกคลุมหน้าออก คนเฝ้าประตูก็ยังสั่งให้คนยกน้ำชามาให้
ไม่รู้ว่าสาวใช้เอาข่าวไปบอกหรืออย่างไร เพียงไม่นานก็มีคุณชายท่วงท่าสง่างามคนหนึ่งเร่งรุดมาถึง เอ่ยถ้อยคำเกรงอกเกรงใจตามมารยาท และยังถามว่านางเชี่ยวชาญด้านการเล่นหมากล้อมบ้างหรือไม่ สุยจิ่งเฉิงรับมือได้อย่างเหมาะสมไร้ข้อตำหนิ คุณชายคนนั้นก็นั่งได้ทนนัก ทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุยกันแล้วก็ยังหาเรื่องมาชวนคุย ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนเลยแม้แต่น้อย ขนาดสารถีหนุ่มชุดเขียวเขาก็ยังชวนคุยด้วยสองสามคำ พอได้ยินว่าเป็นรุ่นหลานของคนในตระกูลที่เอาจดหมายจากทางบ้านไปส่งมอบให้ฮูหยินผู้นี้ก็กระตือรือร้นอย่างยิ่ง มองดูแล้วไม่มีมาดของลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงเลยแม้แต่น้อย
พอฝนหยุดตก คุณชายคนนั้นก็มาส่งคนทั้งสองถึงหน้าประตูจวนด้วยตัวเอง พอมองส่งพวกเขาจากไปแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะต้องเป็นโฉมสะคราญแห่งยุคคนหนึ่งอย่างแน่นอน ท่ามกลางป่าเขา ดอกกล้วยไม้ในหุบเขาร้าง น่าเสียดายที่ไม่มีใครได้ยลได้ดมกลิ่นหอม”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูคล้ายจะเคยชินกับนิสัยของคนหนุ่มแล้ว จึงพูดหยอกล้อว่า “เหตุใดคุณชายรองไม่เดินทางไปส่งพวกเขาสักช่วงระยะทางหนึ่งเล่าขอรับ?”
คนหนุ่มโคลงศีรษะเดินกลับเข้าไปในจวน ไปเล่นหมากล้อมกับสาวใช้คนงามผู้หนึ่งต่อ
บนถนน สุยจิ่งเฉิงนั่งอยู่ข้างม่านหน้าต่างของรถม้า ปลดผ้าคลุมหน้าลง เลิกผ้าม่านขึ้นเบาๆ ถามว่า “ผู้อาวุโส หากอีกฝ่ายเห็นความงามแล้วเกิดเจตนาร้าย จนก่อหายนะ ข้ามีความผิดหรือไม่? สุดท้ายแล้วข้าก็จะยังมีความผิดอยู่นิดๆ ใช่ไหม เพราะถึงอย่างไรข้าก็หน้าตางดงามเอง คนอื่นจับจ้องปรารถนาแล้วเกิดความคิดชั่วร้ายก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง”
เฉินผิงอันถอนหายใจ นี่ก็คือความยุ่งยากของการใช้เส้นสายและลำดับขั้นตอน แรกเริ่มคือง่ายที่จะทำให้คนตกสู่สภาพการณ์ที่วุ่นวายยุ่งเหยิง ราวกับว่าทุกที่ล้วนมีแต่คนเลว จิตใจทุกคนล้วนชั่วร้าย แต่ก็คล้ายว่าคนเลวที่ทำเลวจะยังพอมีเหตุผลอยู่บ้าง
หากเฉินผิงอันเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาหรือผู้ปกป้องมรรคาของนางจริงๆ โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีทางบอกคำตอบไปโดยตรง แต่จะปล่อยให้นางใช้ความคิดใคร่ครวญเอาเอง แต่ในเมื่อไม่ใช่ อีกทั้งเดิมทีตัวนางเองก็ฉลาดเฉลียว จึงไม่มีความกังวลในข้อนี้อีก เขาบอกไปตามตรงกว่า “ลำดับก่อนหลังไม่ได้ใช้อย่างที่เจ้าพูด ระหว่างฟ้าดินแห่งนี้มีถูกผิดอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนึ่งแคว้นหนึ่งทวีปสร้างขนบธรรมเนียมที่เห็นพ้องต้องกันขึ้นมา นั่นก็จะกลายเป็นสิ่งที่ตายตัวแล้ว เห็นทรัพย์สินแล้วเกิดความโลภ กระทำการชั่วร้าย เห็นความงามแล้วเกิดความคิดไม่ดี อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น ล้วนเป็นความผิดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่ว่าเจ้ามีเงินก็คือผิด แล้วก็ไม่ใช่ว่าสตรีหน้าตางดงามแล้วจะผิด หลังจากเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้วถึงจะสามารถไปพูดถึงลำดับก่อนหลังและผิดถูกน้อยใหญ่ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้สตรีในหมู่ชาวบ้านจะแต่งกายงดงามเฉิดฉันออกมาเดินตามตลาด ก็ไม่ใช่เหตุผลให้ฉุดคร่าสตรี คำกล่าวที่บอกว่าเด็กถือทองในตลาด เพราะมีหยกติดตัวจึงมีความผิดอะไรนั่น เจ้าคิดว่าเด็กผิดจริงๆ หรือ? เป็นคนที่มีหยกติดตัวที่ผิดหรือ? ไม่ใช่อย่างนี้ แต่เป็นเพราะวิถีทางโลกเป็นอย่างนี้ก็เท่านั้นเอง ถึงได้มีคำโบร่ำโบราณที่ชวนให้คนจนใจเช่นนี้ นี่ก็เพื่อเตือนคนดีและคนอ่อนแอว่าควรต้องระวังตัวให้มาก”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มถามว่า “เรื่องราวในโลกเป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ก็แปลว่าถูกต้องงั้นหรือ? ข้าว่าไม่ใช่”
ดวงตาของสุยจิ่งเฉิงฉายประกายระยิบระยับ “ผู้อาวุโสช่างปราดเปรื่อง!”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป ยิ้มกล่าวว่า “นี่ก็เรียกว่าปราดเปรื่องด้วยหรือ! หากหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในตำรามีชีวิตขึ้นมาได้ ข้าว่าในท้องของบัณฑิตจำนวนนับไม่ถ้วนในใต้หล้าจะต้องมีคนจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกทำให้โมโหจนตาย หรือไม่ก็แค้นเคืองจนอยากฉีกหนังหน้าท้อง หวังให้ตัวเองมีขาวิ่งกลับเข้าไปในหนังสืออีกครั้ง”
สุยจิ่งเฉิงถามอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโสมีอคติต่อการเรียนหนังสือหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าอ่านตำรามามากมายก็จะเป็นบัณฑิตได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือ อ่านหนังสือไม่ออกจะไม่ใช่บัณฑิต”
สุยจิ่งเฉิงกำลังจะทอดถอนใจ
เฉินผิงอันก็พูดขึ้นมาก่อนแล้วว่า “อย่าได้พูดประจบยกยออะไรเลย”
สุยจิ่งเฉิงอดพูดอย่างเขินอายไม่ได้ “ผู้อาวุโสล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริงๆ”
เฉินผิงอันหันหน้ามา
สุยจิ่งเฉิงกะพริบตาปริบๆ ปล่อยม่านรถม้าลงเบาๆ หลังจากกลับไปนั่งเรียบร้อยแล้ว นางอดทนอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ให้รอยยิ้มค่อยๆ กระเพื่อมแผ่ไปบนใบหน้าไม่ไหว
—–