กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 525.4 เหตุผลของเฉินผิงอันและฉีจิ่งหลง
พอกู้โม่เห็นฉีจิ่งหลง เนื่องจากขอบเขตที่มีความแตกต่างจึงไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็คือ ‘หลิวจิ่งหลง’ เจียวหลงบนบก
แต่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นกลับมองทะลุเวทอำพรางตาไปเห็น จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หรงช่างแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงคารวะท่านหลิว”
เจ้าของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ก็คือลี่ไฉ่
สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าแปลกประหลาด เหตุใดเมื่อนางได้พบกับผู้ฝึกกระบี่ที่บอกว่าตัวเองมาจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิงผู้นี้แล้วถึงได้รู้สึกใกล้ชิดและคุ้นเคยนะ? นางสะบัดศีรษะ สลายริ้วคลื่นอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุนั้นทิ้งไป ขยับเท้าไปยืนอยู่ด้านหลังของฉีจิ่งหลงมากกว่าเดิม
หรงช่างเห็นภาพนี้แล้วก็หลุดหัวเราะพรืดอย่างอดไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่แค่รับฟังก็พอแล้ว จะได้ไม่กลายเป็นว่าตนวาดงูเติมขา ทำลายมหามรรคา
เพียงแต่ว่าเมื่อหรงช่างได้ ‘พบกับนางอีกครั้งหลังจากที่จากกันไปนาน’ ในใจก็รู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย
เดิมทีเรื่องการฝึกตนของ ‘สุยจิ่งเฉิง’ ไม่ควรจะต้องมีอุปสรรคมากมายขนาดนี้
แต่ใครเล่าจะคาดคิดได้ว่า หลี่อวี๋ไท่เสียหยวนจวินที่มีโอกาสว่าจะฝ่าด่านเป็นตายได้สำเร็จ ผู้ฝึกตนใหญ่ที่สนิทสนมกับอาจารย์ของตนจะลาจากโลกนี้ไปแล้ว
ดังนั้นการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ ในฐานะลูกศิษย์คนสุดท้ายที่หลี่อวี๋รักเอ็นดูและให้ความสำคัญมากที่สุด อารมณ์ของกู้โม่จึงเรียกได้ว่าเลวร้ายสุดขีด รังปีศาจที่มีพวกภูตผีอาละวาดล้วนถูกนางใช้วิชาอสนีของสำนักทำลายล้างจนภูเขาพังถล่มพื้นดินแตกแยก ครั้งหนึ่งในนั้นหากไม่เป็นเพราะหรงช่างออกกระบี่ นางก็คงต้องตกอยู่ในสถานการณ์อับจนสิ้นหวัง เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิดที่ต่อสู้จนเลือดขึ้นตาแล้ว ดังนั้นกู้โม่ที่บาดเจ็บไม่น้อยจึงยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินทาง นางไปที่แคว้นอู่หลิงมาก่อนรอบหนึ่ง ไล่ตามไปพบเบาะแสจึงย้อนกลับมายังท่าเรือหัวมังกรแคว้นลวี่อิงแห่งนี้ ไม่เคยมีเวลาได้พักผ่อนรักษาร่างกาย หรงช่างเกลี้ยกล่อมอยู่สองครั้งก็ยังไร้ผล จึงได้แต่ล้มเลิกความคิด เพราะถึงอย่างไรกู้โม่ก็ไม่ใช่คนในสำนักของตน
หลังจากที่รู้ว่าไท่เสียหยวนจวินลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรงช่างก็รีบส่งข่าวกระบี่บินไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งแจกันสมบัติทวีปซึ่งได้นัดหมายกับอาจารย์ไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วทันที
จากนั้นไม่นานอาจารย์ก็ส่งกระบี่บินกลับมาที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง บอกเขาว่าต้องดูแลความปลอดภัยของสตรีผู้นั้นให้ดี ห้ามให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดใดๆ ขึ้นอีก ไม่อย่างนั้นจะมาเอาเรื่องกับเขา
หรงช่างรู้จักนิสัยของลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ดียิ่งกว่าใคร รู้ดีว่านี่ต้องไม่ใช่คำพูดเพราะแรงโทสะอย่างแน่นอน
นิสัยของอาจารย์นั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง ไม่ต้องให้ลูกศิษย์ทั้งสำนักคาดเดากันไปส่งเดช ยกตัวอย่างเช่นเขาหรงช่างยังไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้เสียที ลี่ไฉ่เห็นเขาจึงขวางหูขวางตา ทุกครั้งที่พบหน้ากันจะต้องลงมือสั่งสอนเขาคำรบหนึ่ง ต่อให้หรงช่างจะแค่ขี่กระบี่ไปกลับ แต่ขอแค่ดันบังเอิญไปโผล่ให้อาจารย์ที่กำลังชมทัศนียภาพอย่างที่หาได้ยากมองเห็นเข้าพอดี ก็จะต้องถูกกระบี่หนึ่งฟันเข้าใส่
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่
แม้กู้โม่จะอารมณ์ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังคงทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้แก่หรงช่างแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ด้วยการพูดกับสตรีคนนั้นว่า “เจ้าก็คือสุยจิ่งเฉิงกระมัง? เจ้าถือเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของไท่เสียหยวนจวินผู้เป็นอาจารย์ข้า หลังจากนี้บนเส้นทางการฝึกตนของเจ้าจะมีผู้ปกป้องมรรคา ซึ่งก็คือข้ากู้โม่ แต่เจ้าวางใจเถอะ นอกจากนี้จะชี้แนะวิชาบังคับกระบี่วิชาหนึ่งให้แก่เจ้าแล้ว เจ้าจะไปไหนก็ได้ตามใจ ขึ้นเขาลงห้วย ล้วนไปได้หมด ไม่มีใครบังคับเจ้า ข้าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ที่อยู่บนร่างเจ้าตัวนั้น หลังจากนี้ก็จะเป็นของของเจ้าอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ปิ่นทอง ‘ไท่เสียอี้กุ่ย’ หนึ่งในปิ่นทองสามชิ้น เจ้าต้องเอาออกมา ในอนาคตทางสำนักจะมีการเตรียมการอย่างอื่นสำหรับเจ้า แต่ข้าก็จะนำสมบัติอาคมชิ้นอื่นมาแลกเปลี่ยนกับเจ้า ระดับขั้นย่อมเท่ากัน ไม่มีทางแย่กว่า”
ส่วนหลิวจิ่งหลงนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ร่ายเวทอำพรางตา กู้โม่จึงทำเป็นว่ามองไม่เห็น ไม่รู้จัก
ได้ยินมาว่าเขาเป็นคนประหลาดคนหนึ่งที่ตบะสูงมาก พรสวรรค์ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ชื่อเสียงก็โด่งดัง แต่กลับอืดอาดจู้จี้มากเป็นพิเศษ
กู้โม่ไม่ยินดีจะทักทายปราศรัยกับเขา
การคบค้าสมาคมกับผู้อื่น?
การคบค้าสมาคมกับผู้อื่นของสายไท่เสีย แต่ไหนแต่ไรมาจะคบค้ากับแค่พวกผู้ฝึกตนที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเท่านั้น ต่อให้เจ้าจะเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง ก็สามารถกลายเป็นแขกผู้สูงศักดิ์บนภูเขาได้เช่นกัน แต่นอกเหนือจากนี้ ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน แล้วจะเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า?
สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ครั้นจึงกัดฟัน เดินไปหยุดอยู่ข้างกายฉีจิ่งหลง ถามอย่างระมัดระวังว่า “ข้าอยากไปเที่ยวดูที่แจกันสมบัติทวีป ได้หรือไม่?”
กู้โม่ที่ยืนอยู่บนใบบัวชำเลืองตามองหรงช่างที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง
หรงช่างจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทางที่ดีที่สุดควรอยู่ในอุตรกุรุทวีป”
เพราะหากไม่ผิดไปจากที่คาด ลี่ไฉ่อาจารย์ของเขาคงอยู่ระหว่างการเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว
สุยจิ่งเฉิงรีบหยิบปิ่นทองสามชิ้นออกมา “ปิ่นทองสามชิ้นนี้ ข้าสามารถคืนให้กับพวกเจ้า หากเป็นไปได้ ข้าอยากจะติดตามผู้อาวุโสท่านหนึ่งฝึกตน ข้าพูดว่าหากเป็นไปได้ แต่ถ้าไท่เสียหยวนจวินไม่ตอบตกลง ยังคงจะให้ข้าเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปท่องเที่ยวแจกันสมบัติทวีปให้เสร็จก่อนได้หรือไม่? หลังจากการเดินทางจบลง ข้าย่อมกลับคืนมายังอุตรกุรุทวีป แล้วจะไปขออภัยหยวนจวิน…”
กู้โม่คำรามอย่างเดือดดาล “หยุดพูดจาเหลวไหลสักที!”
หรงช่างเองก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
คำกล่าวของสตรีผู้นี้ไม่มีปัญหาใดๆ ทว่ามันกลับแทงใจดำของกู้โม่พอดี
หยวนจวินท่านหนึ่งสิ้นชีพลาจากโลกไป ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อแห่งใดก็ล้วนถือเป็นความโชคร้ายใหญ่เทียมฟ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่กู้โม่ยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลี่อวี๋อีก
ฉีจิ่งหลงถอนหายใจอยู่ในใจ พอจะเดาออกแล้วว่าน่าจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นกับไท่เสียหยวนจวิน
แต่ฉีจิ่งหลงก็ยังพูดด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่งว่า “มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ”
สีหน้ากู้โม่เย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง สายตาจับจ้องฉีจิ่งหลงเขม็ง “เจ้าเป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง มีคุณสมบัติมาเอ่ยปากแทรกด้วยหรือ?!”
ฉีจิ่งหลงพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้กำลังหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต อยู่ในช่วงที่เป็นกุญแจสำคัญ แม่นางกู้กับเซียนกระบี่หรงก็น่าจะรู้ชัดเจนดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราสามารถนั่งลงแล้วคุยกันช้าๆ ได้หรือไม่?”
สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับอย่างแรง ยังคงค้างอยู่ในท่ามือหนึ่งยื่นออกไป ฝ่ามือของนางแบออก บนฝ่ามือก็คือปิ่นทองทั้งสามชิ้น
หรงช่างพลันขมวดคิ้วมุ่น
ขออย่าให้เป็นทัณฑ์หายนะนั้นเลย!
นั่นคือด่านบนภูเขาที่มองดูเหมือนไร้อันตรายที่สุด ทว่ากลับมีสายใยเชื่อมโยงไว้แนบแน่นที่สุด
การที่ไท่เสียหยวนจวินล้มเหลวในการปิดด่าน อันที่จริงก็เกี่ยวพันกับโชควาสนาในการฝึกตนของสตรีผู้นี้ด้วย หากสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องตกอยู่ท่ามกลางชะตาแห่งหายนะอีกครั้ง นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นปัญหาดั่งเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ
หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นหรงช่างก็ไม่อาจนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ได้อีก
ริ้วคลื่นบางอย่างในทะเลสาบหัวใจสามารถสยบไว้ได้แต่เนิ่นๆ แต่หากปล่อยให้เสี้ยวอารมณ์ใดๆ ถือกำเนิดอย่างกำเริบเสิบสาน ก็จะเหมือนสระน้ำข้างฝ่าเท้าที่กลายเป็นนาใบบัว แล้วจะตัดสะบั้นได้อย่างไร? หากต้องลงมือตัดขาดจริงๆ ก็ยังต้องทำลายรากฐานมหามรรคาอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
ฉีจิ่งหลงถอนหายใจ เอ่ยเบาๆ ว่า “มหามรรคาเดินได้ยากลำบาก ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะยิ่งใคร่ครวญอย่างช้าๆ ไม่ใช่หรือ? แค่รอสักชั่วครู่ชั่วยามก็คงไม่ถือว่าข้าทำให้พวกเจ้าลำบากใจหรอกกระมัง?”
กู้โม่หัวเราะเสียงหยัน “หนึ่งชั่วยามหรือว่าครึ่งวันกันล่ะ?”
ฉีจิ่งหลงขมวดคิ้ว แต่กระนั้นก็ยังพูดด้วยสีหน้าเป็นมิตร “ขอร้องทั้งสองท่านโปรดรอให้การหล่อหลอมของสหายข้าสำเร็จเสียก่อน ถึงเวลานั้นพวกเจ้าสามฝ่ายก็ปรึกษากัน ใครผูกคนนั้นก็ต้องเป็นคนแก้ ไม่แน่ว่าเมื่อเทียบกับการตัดสินใจอย่างฉุกละหุกของพวกเจ้าในตอนนี้ สถานการณ์อาจจะดีมากกว่าเดิมก็ได้”
หรงช่างรู้สึกว่าคำพูดของฉีจิ่งหลงนั้นถูกต้องแล้ว
แต่ปัญหาก็คือ ใครผูกคนนั้นก็ต้องแก้ อันนี้ไม่ผิดก็จริง แต่หากคนผู้นั้นไม่รู้จักดีชั่ว ผูกแล้วยังไม่ยินดีจะแก้ กลับกันยังพูดจาท้าทาย ด้วยสภาพจิตใจของสตรีในเวลานี้ นี่ไม่ต่างจากการกระตุกเชือกให้แน่นเข้า ปมนั้นก็มีแต่จะยิ่งแก้ยากยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้นหรงช่างจึงรู้สึกลำบากใจอย่างยิ่ง
กู้โม่หลุดหัวเราะพรืด “ทำไม จะอาศัยว่าตัวเองมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียง อีกทั้งตบะยังสูงมาก ก็เลยรู้สึกตัวเองเป็นฝ่ายที่มีเหตุผลอย่างนั้นหรือ? ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ คนนอกอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาชี้มือชี้ไม้อยู่ที่นี่? เจ้าไม่รู้สึกอายบ้างเลยหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ตอนนี้คือสถานการณ์ที่เชื่อมโยงติดต่อกัน หากพวกเจ้าพิจารณาถึงมหามรรคาของสุยจิ่งเฉิงจากใจจริงก็ไม่ควรจะฟังเสียงในใจของนางบ้างหรือ? พวกเจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ความหวังดีของพวกเจ้าจะไม่กลายเป็นเรื่องร้าย? เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หายนะแอบแฝงหลายอย่าง คิดจะหนีก็คงหนีไม่พ้น คิดจะหลบก็หลบไม่ได้ ข้าเชื่อว่ารอให้เพื่อนคนนั้นของข้าเดินออกมาจากห้องแล้ว เขาย่อมฟังเหตุผลของพวกเจ้าแน่นอน หากสุดท้ายแล้วยังพบว่าเหตุผลของแม่นางสุยเล็กเกินไปจริงๆ และเหตุผลของข้าฉีจิ่งหลงก็เอนเอียงเกินไป ถ้าอย่างนั้นย่อมดีที่สุด เพราะหากว่าไม่ถูกต้อง ก็สามารถปรึกษากันจนกว่าจะได้วิธีรับมือที่เหมาะสม มีเพียงเรียบเรียงเส้นสายเหล่านี้ให้ชัดเจนเท่านั้นถึงจะสามารถคลายปมเงื่อนได้อย่างแท้จริง…”
กู้โม่พูดอย่างเดือดดาล “ฉีจิ่งหลง ไยเจ้าช่างน่ารำคาญนัก! เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ยังต้องให้เจ้ามาชี้แนะสั่งสอนอยู่อีกหรือ? นางมอบปิ่นทอง เดินทางออกไปจากท่าเรือหัวมังกรพร้อมกับพวกเรา นอกจากแจกันสมบัติทวีปแล้ว อยู่ในอุตรกุรุทวีป มีที่ใดบ้างที่นางจะไปไม่ได้?”
สุยจิ่งเฉิงหันหน้าไปมองทางห้องแห่งนั้นแวบหนึ่ง ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยว่า “ข้าจะไปกับพวกเจ้าก็ได้”
ฉีจิ่งหลงพลันหันหน้ามายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กังวลว่าจะทำให้ท่านเฉินเดือดร้อนหรือ? หรือว่าเปลี่ยนใจแล้วจริงๆ?”
สุยจิ่งเฉิงน้ำตาคลอเจียนจะหยด กำปิ่นทองสามชิ้นในมือไว้แน่น
ฉีจิ่งหลงพยักหน้า แล้วถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นหากข้าบอกว่า ขอแค่ข้าฉีจิ่งหลงยืนอยู่ตรงนี้ ผู้อาวุโสของเจ้าก็สามารถหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้อย่างสบายใจ เจ้าจะตัดสินใจอย่างไร? ครั้งนี้ข้าสามารถให้คำตอบที่แน่นอนแก่เจ้าได้ ข้าสามารถรับรองได้ว่า เรื่องที่เกิดในห้องของเฉินผิงอัน เป็นเรื่องของเขาเอง จะสำเร็จหรือไม่ ข้าไม่กล้าพูดอะไร แต่เรื่องที่เกิดนอกห้องในวันนี้ มีข้าอยู่ ก็มั่นใจได้เต็มร้อยว่าไม่มีวันพลาด”
น้ำตาเอ่อคลอกลบดวงตาของสุยจิ่งเฉิง “ต่อให้ข้าจำเป็นต้องไปจริงๆ ก็จะต้องบอกลาผู้อาวุโสก่อนให้ได้ แต่ข้าก็ยังกลัวว่า…”
ฉีจิ่งหลงหันหน้ากลับมา พูดกลั้วหัวเราะว่า “กลัวอะไรเล่า เจ้าคิดว่าเหตุผลของท่านเฉินกับท่านหลิวไม่สามารถเอามากินแทนข้าวได้จริงๆ หรือ?”
สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าตื่นตระหนก
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า “ละวางสิ่งที่พึงละวางก็เพื่อกระทำสิ่งที่พึงกระทำ”
ฉีจิ่งหลงมองไปทางกู้โม่ที่โมโหจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “ข้ารู้ว่าแม่นางกู้ไม่ใช่คนป่าเถื่อนไร้เหตุผล เพียงแต่ตอนนี้จิตแห่งเต๋าไม่มั่นคง ถึงได้มีคำพูดและการกระทำเช่นนี้”
แล้วฉีจิ่งหลงก็หันหน้าไปมองผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิงผู้นั้น “ข้าเองก็รู้ว่าเซียนกระบี่หรงมีใจคิดคำนึงถึง ซึ่งเป็นความหวังดี”
กู้โม่หัวเราะเสียงเย็นชา “โอ้โห อีกเดี๋ยวก็ต้องพูดว่า ‘แต่ว่า’ ด้วยหรือเปล่าล่ะ?!”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้ายืนอยู่ตรงนี้ก็คือคำว่า ‘แต่ว่า’ นั่นแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดออกมา”
หรงช่างคิดแล้วก็เอ่ยว่า “แค่ประลองกระบี่หนึ่งครั้ง เป็นอย่างไร?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ จากนั้นก็ไม่มองหรงช่างอีก เขาเบนสายตามองไปยังกู้โม่ แล้วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว”
ในใจกู้โม่เกิดความหวาดผวาพรั่นพรึง พลันหันขวับกลับไปมอง
หรงช่างยืนนิ่งไม่ขยับ ได้แต่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ศึกบนภูเขาตี่ลี่ เป็นพวกเจ้าสองคนที่พากันหยุดมือจริงๆ”
เวลานี้ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิงผู้นี้เหมือนตกอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์นับไม่ถ้วน
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของฉีจิ่งหลงมีนามว่า ‘กฎเกณฑ์’ ว่ากันว่ามาจากคัมภีร์ของอริยะลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งในอดีต แต่ในอุตรกุรุทวีปแห่งนี้แทบจะไม่มีใครรู้แล้วว่ากระบี่บินที่มีชื่อประหลาดเล่มนี้มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตแบบใดกันแน่
กู้โม่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สีหน้าซีดขาวราวหิมะ มือสองข้างเริ่มสั่นสะท้านเบาๆ
ฉีจิ่งหลงตวาดเบาๆ “สงบสติอารมณ์ รวบรวมลมปราณและจิตใจให้สงบ อย่าได้ทำอะไรเหลวไหล!”
กู้โม่เหมือนถูกตวาดให้ได้สติ นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งถึงจะสงบสติอารมณ์ได้ แล้วมองไปยังผู้ฝึกกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นด้วยอารมณ์ซับซ้อนอย่างยิ่ง
และเวลานี้เอง คนหนุ่มที่สวมชุดเขียวเหมือนกับฉีจิ่งหลงก็เดินออกมาจากในห้องแห่งนั้น “ขอโทษที ทำให้ทั้งสองท่านรอนานแล้ว”
—–