กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 527.1 ดึงเส้นที่ซ่อนอยู่ขึ้นมาก็คือปราณสังหาร
เรือข้ามฟากของท่าเรือหัวมังกรที่มุ่งหน้าไปยังชายหาดโครงกระดูกที่อยู่ทางทิศใต้ค่อยๆ ทะยานขึ้นสู่กลางอากาศช้าๆ รัศมีแสงที่อาบทออยู่ริมขอบฟ้าเรื่อเรืองดุจแพรต่วนสีแดงสด
กู้โม่ที่นอนฟุบตัวอยู่บนราวระเบียงหลั่งน้ำตาเงียบๆ อาจารย์เคยบอกว่า ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของนางก็คือการได้บินทะยานท่ามกลางแสงระยิบระยับริมขอบฟ้าเช่นนี้
ตอนนั้นกู้โม่ยังเป็นเพียงเด็กสาวที่ไม่รู้ความ จึงถามอาจารย์ไปว่าบินทะยานมีอะไรดี?
ตอนนั้นอาจารย์เพียงแค่มองไปยังแสงสนธยาที่จับขอบฟ้า ไม่ได้บอกอะไรแก่เด็กสาว
ไม่ใช่ว่ากู้โม่เสียใจที่ตัวเองสูญเสียที่พึ่งไป นักพรตชายหญิงของสายไท่เสียลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมาร ขอแค่ยังไม่ตายก็อย่าได้หวังว่าจะกลับมาร้องทุกข์กับอาจารย์และเหล่าผู้อาวุโสได้ แต่ตายไปแล้วจะยังมาร่ำร้องฟ้องทุกข์อีกได้อย่างไร? กู้โม่รู้สึกว่าอาจารย์พูดจาไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่ก็คล้ายว่าจะมีเหตุผลอย่างมาก
สุยจิ่งเฉิงยืนอยู่ข้างกายกู้โม่
หรงช่างไม่ได้ปรากฏตัว กลับเป็นฉีจิ่งหลงที่ยืนอยู่ห่างจากพวกนางไปไม่ไกล เพราะว่าเรือข้ามฟากต้องเดินทางลงใต้ ถือว่าเป็นทางผ่าน เนื่องจากเส้นทางการเดินเรือจะต้องผ่านอาณาเขตของราชวงศ์ต้าจ้วน
แต่เพียงไม่นานฉีจิ่งหลงก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
บนพื้นดิน ชุดเขียวของเฉินผิงอันเริ่มเดินเท้าไปทางทิศเหนือ มุ่งหน้าไปยังจุดที่ลำน้ำสายใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรแล้ว
กู้โม่กับสุยจิ่งเฉิงเป็นเพื่อนบ้านกันบนเรือข้ามฟาก เวลานี้อาการบาดเจ็บของกู้โม่ได้กลับคืนมาเป็นปกติแล้ว นางเดินเข้าห้องไปพร้อมกับสุยจิ่งเฉิงอย่างเปิดเผย รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกแม้แต่น้อย ทั้งยังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าที่บอกว่าข้าต้องการฝึกตนเพียงลำพังของสุยจิ่งเฉิง ใบหน้ากู้โม่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ด้วยสภาพจิตใจที่วุ่นวายของเจ้าสุยจิ่งเฉิงในตอนนี้ ยังจะสามารถสงบจิตใจเข้าฌานทำสมาธิได้อีกหรือ? ไปหลอกผีเถอะ
กู้โม่ถาม “คนแซ่เฉินผู้นั้นไม่ได้มอบของแทนใจไว้ให้เจ้าบ้างเลยหรือ?”
สุยจิ่งเฉิงไม่สนใจผู้ฝึกตนหญิงที่ปากไร้หูรูดผู้นี้
กู้โม่ชำเลืองตามองไม้เท้าเดินป่าที่ผ่านการหลอมเล็กในมือของนาง ด้วยตบะขอบเขตคอขวดประตูมังกรของนาง แน่นอนว่าย่อมมองเวทอำพรางตาระดับขั้นต่ำเตี้ยของเจ้าหมอนั่นออกในปราดเดียว “ของเล่นชิ้นนี้น่ะหรือ? คุณภาพวัสดุไม่ธรรมดา รูปร่างก็ถือว่าพอจะใช้ได้ แต่เจ้าสุยจิ่งเฉิงหน้าตางดงามปานนี้ นี่เห็นได้ชัดว่าไอ้หมอนั่นไม่มีความจริงใจเอาซะเลย สุยจิ่งเฉิง ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าจริงๆ นะ แต่เจ้าอย่าได้ถูกคำหวานของไอ้หมอนั่นมอมเมาจิตใจเด็ดขาดเชียว”
สุยจิ่งเฉิงปลดผ้าคลุมหน้าออก วางไม้เท้าไว้บนโต๊ะ นางนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกู้โม่ ฟุบตัวนอนกับหน้าโต๊ะ
กู้โม่มองประเมินสาวงามตระกูลสุยผู้นี้แล้วก็จุ๊ปากดังๆ
ใต้หล้านี้ขอแค่เป็นสตรีที่งดงามอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะพูดหรือไม่ก็ล้วนเป็นทัศนียภาพที่น่ามองได้ทั้งสิ้น
รอจนสุยจิ่งเฉิงเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง รูปโฉมของนางมีแต่จะยิ่งเพริศพริ้งเจิดจรัสมากกว่าเดิม ถึงเวลานั้นจะไม่ยิ่งงามยิ่งกว่านี้หรอกหรือ? กู้โม่อดไม่ไหวยื่นมือออกไปหมายจะลูบใบหน้าที่อ่อนนุ่มของสุยจิ่งเฉิง
สุยจิ่งเฉิงปัดมือกู้โม่ทิ้ง ยืดเอวนั่งตัวตรง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เทพธิดากู้ ขอเจ้าโปรดสำรวมตนด้วย!”
กู้โม่กลอกตามองบน ดื่มน้ำชารวดเดียวหมดถ้วย พอวางถ้วยชาลงแล้วก็ถามเบาๆ ว่า “ได้ยินมาว่าเจ้ากับเจ้าคนแซ่เฉินเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันมาหลายแคว้น หากต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เวลาปกติจะอาบน้ำอย่างไร? อีกอย่างเจ้าคงยังไม่ได้สังหารมังกรแดงกระมัง (มังกรแดงคือคำเปรียบเปรยถึงประจำเดือนของสตรี) จะไม่ยุ่งยากหรือ?”
สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างเฉยเมย “เทพธิดากู้คือเทพเซียนที่ฝึกบำเพ็ญตน ถามเรื่องพวกนี้คงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรกระมัง?”
กู้โม่หัวเราะคิก “ฝึกตนก็ไม่ใช่คนแล้วหรือ? ผู้ฝึกตนหญิงก็ยังเป็นสตรีอยู่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือไร? ข้าถามเรื่องพวกนี้ ข้าไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว เจ้าเองก็ไม่ต้องเสียเหรียญเกล็ดหิมะสักเหรียญเหมือนกัน ลองเล่าให้ฟังบ้างสิ”
สุยจิ่งเฉิงพูดเสียงหนัก “ผู้อาวุโสคือวิญญูชนที่เที่ยงตรง เทพธิดากู้ ข้าจะพูดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ข้าไม่อยากได้ยินคำพูดประเภทนี้อีก!”
กู้โม่มีสีหน้าตกตะลึง “นี่เจ้าโกรธแล้วก็จะให้เซียนกระบี่หรงฟันข้าให้ตายด้วยกระบี่เดียวเลยหรือไม่?”
จากนั้นกู้โม่ก็ใช้หัวโขกผิวหน้าโต๊ะแรงๆ ร่างโน้มเอียงมาด้านหน้า สองมือปัดป่ายสะเปะสะปะ “อย่านะ ข้ากลัวตาย…”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ หรงช่างที่อยู่ด้านนอกเอ่ยว่า “ข้าเอง”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก รีบเอ่ยว่า “เชิญเข้ามา”
กู้โม่กลับมานั่งตัวตรงอย่างสำรวมแล้ว เวลานี้กำลังจิบชาช้าๆ
ดูเหมือนว่าหรงช่างจะเห็นมาจนชินตา พอนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยกับสุยจิ่งเฉิงว่า “ต่อจากนี้พวกเราจะต้องไปที่ชายหาดโครงกระดูกซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของอุตรกุรุทวีป หลังจากนั้นก็ยิ่งต้องข้ามทวีปไปเยือนแจกันสมบัติทวีป ข้าจะบอกข้อห้ามบางอย่างบนภูเขากับเจ้า อาจจะเป็นเรื่องที่ยิบย่อยไปสักหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้ แม้ว่าแจกันสมบัติทวีปจะเป็นทวีปที่เล็กที่สุดของใต้หล้าไพศาล แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่ามีจะคนมหัศจรรย์น้อยกว่าที่อื่น พวกเรายังคงต้องเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม”
อันที่จริงหรงช่างรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ตอนอยู่ที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เขาเองก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนใจเย็นเท่าไรนัก เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอาจารย์อย่างลี่ไฉ่แล้วจึงดูอ่อนโยนน่าเข้าใกล้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
นิสัยที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร มีเพียงผู้ฝึกตนที่บ้างก็บาดเจ็บบ้างก็ตายอยู่ใต้คมกระบี่ของเขาหรงช่างเท่านั้นที่ถึงจะรู้ดีที่สุด
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่มีน้ำหนักความสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งในภาคกลางของอุตรกุรุทวีป อยู่ในทะเลสาบกระบี่ฝูผิง อันที่จริงเขาเองก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอยู่หลายคน ในหมู่ชาวบ้านด้านล่างภูเขามีคำกล่าวที่บอกว่าเด็กกตัญญูได้เพราะไม้เรียว และเมื่ออยู่กับเขาหรงช่าง ก็คือกินกระบี่หลายๆ ทีเพิ่มตบะ
แต่เมื่อต้องมาอยู่กับสุยจิ่งเฉิงที่เป็นศิษย์น้องหญิงเล็กครึ่งตัว แน่นอนว่าหรงช่างย่อมมีความอดทนมากกว่าอยู่กับคนอื่นๆ
สุยจิ่งเฉิงตั้งใจรับฟังคำอธิบายที่ยาวเหยียดของหรงช่าง
กู้โม่ไม่ถือว่าเป็นคนนอก หรงช่างย่อมไม่มีทางขับไล่นาง นางเองก็ไม่มีความคิดที่จะออกไปด้วยตัวเอง เอาแต่นั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้นถ้วยแล้วถ้วยเล่า บางครั้งก็อ้าปากหาวหวอด ยอมรับฟังคำสั่งสอนที่จืดชืดน่าเบื่อหน่าย แต่ไม่ยอมไปอยู่ในห้องของตัวเอง
หรงช่างพรูลมหายใจยาวเหยียด ดูเหมือนว่าสุยจิ่งเฉิงจะเรียนรู้กฎเกณฑ์บนภูเขาหลายอย่างมากจากคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นแล้ว
อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับศิษย์น้องหญิงเล็กที่ตัวเองคุ้นเคย นางก็แตกต่างไปจริงๆ
ศิษย์น้องหญิงเล็กคือคนที่ใจเย็นที่สุด แล้วก็เป็นคนที่ใจร้อนที่สุดในทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เวลาที่อารมณ์ดีๆ ก็สามารถให้คำชี้แนะเรื่องเวทกระบี่ต่อพวกเด็กรุ่นหลังในสำนักได้เป็นเวลานาน ทุ่มเทแรงกายแรงใจยิ่งกว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาเสียอีก แต่เวลาอารมณ์เสีย ขนาดลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ก็ยังจนปัญญา มีครั้งหนึ่งเดินทางกลับมาจากการท่องเที่ยว หลังจากที่ศิษย์น้องเล็กที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ผิดจึงได้โต้เถียงกับอาจารย์ผู้เป็นเซียนกระบี่ที่คิดว่าตัวเองถูกมากกว่าแล้ว ศิษย์น้องหญิงเล็กก็ถูกอาจารย์ที่เดือดดาลอย่างหนักพันธนาการตบะจนเหลือเพียงขอบเขตถ้ำสถิต แล้วถูกทิ้งให้จมอยู่ใต้น้ำของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงนานถึงครึ่งปี
ตอนที่ถูกกระชากขึ้นฝั่ง ลมหายใจของนางก็รวยรินเต็มทีแล้ว อาจารย์ถามนางว่าสำนึกผิดแล้วหรือยัง ผลคือศิษย์น้องหญิงเล็กตอบว่า ทัศนียภาพด้านล่างทะเลสาบงดงามอย่างถึงที่สุด นางยังดูไม่พอเลย
สุดท้ายอาจารย์ก็เลยกวาดตามองไปรอบด้านด้วยสายตาเย็นชาปานน้ำแข็ง ดังนั้นเขาหรงช่างที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่จึงแข็งใจเป็นฝ่ายเดินออกมาจากกลุ่มคน แน่นอนว่ายังไม่ลืมใช้เสียงในใจเรียกพวกศิษย์น้องชายหญิงคนอื่นๆ ให้ทุกคนพากันพูดว่ายินดีรับโทษแทนศิษย์น้องหญิงเล็ก อาจารย์ถึงได้ผลักเรือตามกระแสน้ำ ตบรางวัลให้ทุกคนหนึ่งกระบี่ พอได้ระบายโทสะไปบ้างแล้ว นางถึงได้ไปจากชายฝั่ง
หลังจบเรื่องหรงช่างเกือบจะถูกศิษย์น้องชายหญิงจับมือกันมาไล่ฆ่า เขาหรงช่างเองก็ได้รับความอยุติธรรมเหมือนกัน อีกทั้งยังไม่อาจเปิดเผยความลับสวรรค์นี้ได้ ก็เลยได้แต่หนีออกจากสำนักมาหลบภัย ตอนนั้นท่านอาจารย์ผู้อาวุโสได้ใช้เสียงในใจบอกกับเขาคนเดียวว่าให้รีบไสหัวออกมารับโทษ หัดนำมาดของศิษย์พี่ใหญ่มาใช้เสียบ้าง แล้วข้าจะทำอะไรได้อีกเล่า?! วิธีการเล่นงานคนอื่นของอาจารย์นั้นไม่แย่ไปกว่าเวทกระบี่ของนางเลยใช่ไหมล่ะ?
แต่ถึงอย่างไรทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็ดีมากๆ
ยกตัวอย่างเช่นทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมีกฎของศาลบรรพจารย์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง ‘ลูกศิษย์ทุกคนที่ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ ห้ามใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงเด็ดขาด แต่หากเจอกับคนที่สู้ไม่ได้จริงๆ ก็ให้ใช้สามขั้นตอนนี้ ข้อแรก รีบหนีไป ข้อที่สอง หากหนีไม่รอดก็ให้บอกชื่อของลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ข้อสาม หากชื่อของลี่ไฉ่ใช้ไม่ได้ผล ก่อนตายก็อย่าลืมใช้ยันต์กระบี่ของศาลบรรพจารย์ส่งข่าวมาบอกชื่อแซ่ของศัตรู ในอนาคตเมื่อวิญญาณกลับคืนสู่จุดฝังกระบี่ของสำนัก ย่อมต้องมีศีรษะของศัตรูอยู่เคียงข้างอย่างแน่นอน’
หรงช่างย่อมหวังให้ศิษย์น้องหญิงเล็กพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดด อยากให้นางได้กลายเป็นเซียนกระบี่ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงคนที่สอง
ส่วนตนนั้น มีความหวังไม่มากแล้ว
ฝึกตนมาจนถึงขอบเขตก่อกำเนิด สุดท้ายแล้วจะสามารถเดินไปได้ไกลมากแค่ไหน อันที่จริงเขาเองก็รู้ดีอยู่ในใจ
ฝึกตนจนกลายเป็นโอสถทอง ก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า
แต่หากสร้างโอสถได้สำเร็จ นอกจากจะเป็นความโชคดีใหญ่เทียมฟ้าแล้ว จะยังเกิดเส้นแบ่งที่ยิ่งเด่นชัดมากกว่าเดิมอีกเส้นหนึ่ง
นี่ก็เหมือนกับปัญญาชนที่ร่วมสอบเคอจวี่ของราชวงศ์โลกมนุษย์ที่เหมือนกับปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร บางคนได้สถานะเป็นถงจิ้นซื่อ (ในยุคราชวงศ์ซ่ง จิ้นซื่อแบ่งออกเป็นห้าระดับ ถงจิ้นซื่อก็คือระดับห้า ส่วนยุคราชวงศ์ชิงและหมิงแบ่งจิ้นซื่อออกเป็นสามระดับ ถงจิ้นซื่อก็คือระดับสาม) ก็ดีใจเจียนคลั่งแล้ว รู้สึกว่าบนหลุมศพบรรพบุรุษมีควันเขียวผุดลอยขึ้นมา เหมือนอยู่กันคนละโลก ต่อให้ผ่านไปนานหลายสิบปีก็ยังคงจมจ่อมอยู่ท่ามกลางความรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่นั้น คนเหล่านี้ก็เหมือนผู้ฝึกตนอิสระ เหมือนจวนตระกูลเซียนบนภูเขาลูกเล็กๆ ที่ไม่เคยได้พบเจอผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนมาหลายร้อยปี
แต่บางคนที่ได้เป็นจิ้นซื่อระดับสอง บางคนอาจปิติยินดีเป็นล้นพ้น แต่บางคนอาจจะยังรู้สึกเสียดาย คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเทียบได้กับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาใหญ่
บางคนที่ได้เป็นปั้งเหยี่ยน ถั่นฮวาซึ่งเป็นสามระดับของจิ้นซื่ออันดับหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน เป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ คนกลุ่มเล็กๆ เพียงหยิบมือนี้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกศิษย์ผู้ได้รับการสืบทอดของตระกูลเซียนที่มีอักษรจงอยู่ในชื่อ
และยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่คว้าชัยชนะ ได้เป็นจ้วงหยวน แต่กลับเป็นเพียงแค่เพราะจ้วงหยวนคือลำดับที่สูงที่สุด เพียงแค่นี้เท่านั้น
หลิวจิ่งหลงสามารถนับเป็นคนหนึ่งในนั้น
ส่วน ‘ผู้ฝึกตนอายุน้อย’ สองคนที่อยู่เบื้องหน้าของหลิวจิ่งหลงนั้น แน่นอนว่ายิ่งเป็นเช่นนี้
กู้โม่ รวมไปถึงศิษย์พี่หญิงของหลิวจิ่งหลง และยังมีเขาหรงช่าง ตอนนี้ต่างคนต่างมีขอบเขตแตกต่างกันไป แต่ผลสำเร็จในท้ายที่สุดก็น่าจะไม่ต่างกันสักเท่าไร สามารถวาดหวังว่าจะเป็นขอบเขตหยกดิบได้ แต่นั่นก็มีแค่ความเป็นไปได้เท่านั้น
สุยจิ่งเฉิงพลันเอ่ยประโยคที่อยู่นอกเหนือบทสนทนา “เซียนกระบี่หรง พวกเราจะแวะไปที่ตำหนักเกล็ดทองสักรอบหนึ่งได้หรือไม่?”
หรงช่างยิ้มกล่าว “ไม่ผ่านทาง แต่ก็สามารถแวะไปได้”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกคลางแคลงไม่เข้าใจ หรือเขาจะพานางทะยานลมไปเยือนตำหนักเกล็ดทอง จากนั้นก็ค่อยรีบร้อนกลับขึ้นมาบนเรือข้ามฟากอย่างนั้นหรือ?
หรงช่างจึงอธิบายว่า “ก็แค่ทุ่มเงินน่ะ เรือข้ามฟากต้องรับปากแน่นอน และก็จะต้องมีการชดเชยให้แก่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็แค่ต้องเดินทางอ้อมไปสองสามวันเท่านั้น”
สุยจิ่งเฉิงถาม “หากผู้โดยสารบนเรือไม่ยินดีรับเงินล่ะ?”
หรงช่างยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดท่านหนึ่งมอบเงินให้พวกเขา พวกเขาก็ควรจะจุดธูปไหว้พระถึงจะถูก”
สุยจิ่งเฉิงส่ายหน้า
หรงช่างพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ก่อนหน้านี้ที่พูดกับเจ้า ส่วนใหญ่เป็นข้อห้ามและขนบธรรมเนียมของแจกันสมบัติทวีป ตอนนี้เรือข้ามฟากยังลอยอยู่เหนืออาณาเขตของอุตรกุรุทวีป นี่ก็คือกฎเกณฑ์บนภูเขาของพวกเรา”
สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าดีกว่า วันหน้ารอให้ข้าฝึกตนประสบความสำเร็จเมื่อไหร่ค่อยไปทวงความยุติธรรมคืนจากตำหนักเกล็ดทอง”
คราวนี้กลายเป็นหรงช่างที่ต้องส่ายหัวบ้างแล้ว
กู้โม่ก็ยิ่งหัวเราะจนปากกว้างจนหุบไม่ลง
ได้ยินมาว่าดูเหมือนตำหนักเกล็ดทองแห่งนั้นจะมีก่อกำเนิดไม่ทราบชื่อคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์อยู่ พลังการต่อสู้ที่แท้จริงย่อมต้องเป็นพวกเศษสวะในกลุ่มก่อกำเนิดแน่นอน แต่หากสุยจิ่งเฉิงคิดจะชำระแค้นด้วยตัวเอง นี่ก็หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดนางต้องกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองถึงจะได้
ผู้ฝึกกระบี่ชำระแค้นหรือคิดจะประลองกระบี่กับตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนเป็นเรื่องของหนึ่งคนหนึ่งกระบี่เสมอ คิดจะเป็นศัตรูกับภูเขาทั้งลูก อันดับแรกต้องทำลายค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาแม่น้ำให้ได้เสียก่อน จากนั้นก็ฝ่าค่ายกลใหญ่ล้อมสังหารที่เหล่าผู้ฝึกตนพร้อมใจกันโยนสมบัติอาคมออกมา สุดท้ายถึงจะเป็นการเข่นฆ่ากับพวกเสาคานที่ฝึกตนอยู่ในสำนัก นี่ก็เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธหนึ่งคนหนึ่งม้าที่ฝ่าทะลวงขบวนพลเดินเท้าสวมเกราะหนักบนสนามรบ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเอามาล้อเล่นกันได้ ในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป มีผู้ฝึกกระบี่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำที่ตายไปเพราะการประลองกระบี่กี่มากน้อย?
สุยจิ่งเฉิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลาที่ยาวนานมาก แต่ก็ไม่เป็นไร”
หรงช่างคิดในใจว่า นั่นก็ไม่แน่เสมอไปหรอก
ขอแค่วันใดเจ้าได้กลับไปเป็นศิษย์น้องหญิงเล็กแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่จิตวิญญาณครบถ้วนได้อีกครั้ง
—–