กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 527.2 ดึงเส้นที่ซ่อนอยู่ขึ้นมาก็คือปราณสังหาร
สุยจิ่งเฉิงลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “เซียนกระบี่หรง ข้ารู้สึกว่าการเดินทางไกลเพื่อฝึกประสบการณ์ ถึงอย่างไรก็ควรระมัดระวังตัวไว้ก่อนจึงจะดี”
หรงช่างกลั้นยิ้ม พยักหน้ารับ “ตกลง”
กู้โม่เองก็พยักหน้าแล้วเอ่ยคล้อยตามว่า “เซียนกระบี่หรง ต้องระวังตัวนะ คำพูดเก่าแก่มากมายในยุทธภพ ถึงอย่างไรก็ควรต้องฟังเอาไว้บ้าง”
สุยจิ่งเฉิงไม่สนใจคำสัพยอกของกู้โม่ นางยังคงพูดต่อไปว่า “เซียนกระบี่หรง สายตาที่ท่านมองผู้โดยสารบางคนบนเรือข้ามฟาก ค่อนข้างจะชัดเจนไปสักหน่อย ตบะนั้นสามารถอำพรางไว้ได้ แต่ภาพบรรยากาศบางอย่างบนตัวของเซียนกระบี่กลับยากที่จะปกปิด หากตกอยู่ในสายตาของคนที่มีใจ ย่อมทำให้พวกเขาเกิดใจระแวงภัยมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วถ้าเป็นพวกอันธพาลไม่กลัวตายจริงๆ ไม่แน่ว่าด้วยพลังการต่อสู้ขอบเขตถ้ำสถิตก็อาจจะเรียกรวมพรรคพวกมา รวมตัวกันจนกลายเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร แล้วขอบเขตชมมหาสมุทรก็อาจกลายเป็นขอบเขตประตูมังกร อนุมานเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จากเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ก็จะกลายเป็นหายนะ”
สุยจิ่งเฉิงคิดแล้วก็เอ่ยอย่างเขินอายว่า “อาจเป็นเพราะตบะของข้าต่ำเกินไป ตลอดทางที่ท่องอยู่ในยุทธภพเคยพบเจอกับอันตรายอยู่หลายครั้ง บางทีเห็นลมพัดได้ยินเสียงนกร้องก็เลยหวาดผวาไปหน่อย เซียนกระบี่หรงก็คิดเสียว่าข้าคือกบใต้บ่อ พูดจาเหลวไหลก็แล้วกัน”
กู้โม่กลับไม่เหลือสีหน้าหยอกล้ออย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ไม่ใช่บอกว่าเหตุผลของสุยจิ่งเฉิงนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง มากพอจะทำให้หรงช่างกริ่งเกรง แต่ผู้ฝึกตนครึ่งตัวที่อายุตั้งสามสิบกว่าปีแล้วแต่กลับเพิ่งเคยออกท่องยุทธภพแค่เพียงครั้งเดียว กลับมีจิตใจเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่…ยินดีใช้สมองมากกว่านางกู้โม่อย่างแน่นอน
หรงช่างยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าย่อมมีแผนการเป็นของตัวเอง”
จะดีจะชั่วเขาก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง อีกทั้งยังลงมาจากภูเขาบ่อยๆ การเข่นฆ่าตัดสินเป็นตายระหว่างคนที่ขอบเขตต่างกันก็เคยมีประสบการณ์หลายครั้ง
แต่คำเตือนของสุยจิ่งเฉิงก็ไม่ได้แย่เลย
ดูเหมือนว่าการที่ศิษย์น้องหญิงเล็กกลายมาเป็นสุยจิ่งเฉิงตรงหน้าผู้นี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปทั้งหมด
ปีนั้นเมื่อศิษย์น้องหญิงเล็กสร้างหายนะใหญ่จนเป็นเหตุให้ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงแตกหักกับสกุลหยางแห่งตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียน ตัวนางเองก็ต้องจมอยู่ใต้ทะเลสาบครึ่งปี หลังจากนั้นมาลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่เคยให้ศิษย์น้องหญิงเล็กออกไปฝึกประสบการณ์นอกสำนักอีกเลย ตัวของศิษย์น้องหญิงเล็กเองก็ไม่ยินดีออกไปอีก เอาแต่ฝึกตนอยู่ในทะเลสาบกระบี่ฝูผิง กลายมาเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว ไม่สนใจเรื่องทางโลกอีกโดยสิ้นเชิง จากนั้นคนทั้งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงซึ่งรวมถึงตัวเจ้าสำนักอย่างลี่ไฉ่ต่างก็ต้องรู้สึกพรั่นผวา ไม่ใช่เป็นเพราะตบะของศิษย์น้องหญิงเล็กของหรงช่างหยุดชะงัก แต่เป็นเพราะฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป!
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ยี่สิบปี กลับฝ่าทะลุสองคอขวดอย่างประตูมังกรและโอสถทองติดต่อกัน เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดโดยตรง นี่ก็คือความมั่นใจที่ทำให้ลี่ไฉ่กล้าพูดว่าลูกศิษย์ที่ตนเองภาคภูมิใจคนนี้ย่อมต้องได้ติดอันดับคนหนุ่มสาวสิบคนรุ่นถัดไปของอุตรกุรุทวีปอย่างแน่นอน ทว่าแม้แต่หรงช่างก็ยังรู้สึกได้ถึงความไม่มั่นคงเสี้ยวหนึ่ง เพราะเขาคิดว่าการฝ่าทะลุขอบเขตเช่นนี้ หากมองในระยะยาวแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะนำพาภัยแฝงยิ่งใหญ่มาให้ แน่นอนว่าลี่ไฉ่อาจารย์ของเขาต้องมองความจริงได้ชัดเจนยิ่งกว่า นี่ถึงได้มีการปิดด่านของศิษย์น้องหญิงเล็ก และการลงจากภูเขาไปเยือนแคว้นอู่หลิงอย่างเงียบเชียบของหลี่อวี๋ไท่เสียหยวนจวิน
วันนี้สุยจิ่งเฉิงคืนปิ่นทองที่สลักคำว่า ‘ไท่เสียอี้กุ่ย’ ให้กับกู้โม่ แต่ว่าอิงตามสัญญาลับที่นางกับเซียนกระบี่ลี่ไฉ่มีต่อกัน กู้โม่จะไม่นำปิ่นทองชิ้นนี้กลับสำนัก แต่จะมอบให้หรงช่างเก็บรักษาไว้ชั่วคราว ส่วนเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ กู้โม่ไม่รู้ความหมายที่ลึกซึ้ง ทว่าเซียนกระบี่ลี่ไฉ่เป็นสหายรักกับหลี่อวี๋ผู้เป็นอาจารย์ของนาง อีกทั้งกระบี่บินเล่มหนึ่งที่กู้โม่หล่อหลอมก็เป็นอย่างที่เฉินผิงอันเดาไว้จริงๆ นั่นคือสิ่งของที่เซียนกระบี่ท่านหนึ่งซึ่งลาจากโลกนี้ไปแล้วของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงทิ้งไว้ แล้วถูกลี่ไฉ่นำมาส่งต่อให้แก่กู้โม่ ดังนั้นกู้โม่จึงสนิทสนมกับเซียนกระบี่หญิงที่เป็นดั่งผู้ใหญ่ในครอบครัวตนเองผู้นี้อย่างมาก
ไม่เพียงเท่านี้ ในที่สุดสุยจิ่งเฉิงก็ได้ ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มกลางและเล่มหลังมาอีกสองเล่ม
เล่มแรกนั้นอธิบายถึงรากฐานวัตถุประสงค์ของวิชาบนมหามรรคาวิชานี้ เมื่ออยู่ในมือของเซียนดินทั่วไปก็ยังเป็นได้แค่ตำราลับที่เหมือนซี่โครงไก่ ทว่าสุยจิ่งเฉิงกลับใช้มันฝึกตนจนมาถึงคอขวดของขอบเขตสองได้ แม้แต่หรงช่างก็ยังรู้สึกว่าพรสวรรค์ของสุยจิ่งเฉิงคู่ควรกับคำว่ามหัศจรรย์แล้ว เล่มกลางจึงจะเป็นคาถาในการฝึกตนตามลำดับขั้นตอน คือ ‘ตำราลับโอสถทอง’ สมชื่อเล่มหนึ่ง ส่วนเล่มสุดท้ายก็ยิ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบน
อีกทั้งหรงช่างยังมอบป้ายหยกพิเศษของศาลบรรพจารย์ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงให้กับสุยจิ่งเฉิงแผ่นหนึ่งด้วย ไม่เพียงแต่เป็นการบ่งบอกถึงสถานะผู้สืบทอดของนาง ยังเป็นวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งที่มีเพียงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั่วไปเท่านั้นถึงจะได้ครอบครอง ขนาดตัวหรงช่างเองยังมีวัตถุฟางชุ่นแค่หนึ่งชิ้น
เรือข้ามฟากเดินทางลงใต้ ระหว่างนี้เมื่อผ่านสวนน้ำค้างวสันต์ก็ได้หยุดพักเล็กน้อย ผู้โดยสารสามารถลงจากเรือไปท่องเที่ยวบริเวณโดยรอบท่าเรือได้เป็นเวลาสองชั่วยาม
ฉีจิ่งหลงเดินลงจากเรือ ทว่าผู้โดยสารส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะทะยานลม บ้างก็บินออกไป
กู้โม่ทำหน้าหนาติดตามไปด้านหลังเจียวหลงบนบกท่านนี้ ยังคงสอบถามข่าวลือบนภูเขาของฉีจิ่งหลงต่อไป นี่หากกลับไปยังสำนักจะไม่ทำให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงที่บ้าผู้ชายทั้งหลายอิจฉาตายหรอกหรือ? แต่ไม่เพียงแค่สายไท่เสียบ้านตนเท่านั้น ผู้ฝึกตนหญิงหลายคนในสายจื่อเสวียน สายป๋ายอวิ๋นต่างก็เลื่อมใสในตัวของเซียนกระบี่หนุ่มแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ไม่ใช่บัณฑิตแต่เป็นหนอนหนังสือยิ่งกว่าบัณฑิตผู้นี้จนถึงขั้นที่ว่าแค่พูดถึงชื่อเขาก็น้ำลายไหลแล้ว หลังจากซุบซิบนินทากันเสร็จ รอจนพวกนางหมุนตัวกลับ ยามไปอยู่กับศิษย์พี่ศิษย์น้องชายทั้งหลายของตัวเอง แต่ละคนก็ดีนัก แสร้งทำเป็นวางมาดเย็นชา ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้พวกเขาเห็น ทำเอากู้โม่ที่มองดูอยู่รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกกว้าง
ถึงอย่างไรกู้โม่ก็ตัดสินใจแล้วว่า เมื่อกลับไปถึงสำนักก็จะเล่าว่า แท้จริงแล้วหลิวจิ่งหลงผู้นี้คือคนบ้าตัณหาที่แสร้งวางมาดให้ดูภูมิฐาน ไม่ว่าเจอสตรีคนใด เส้นสายตาของเขาก็มักจะเหลือบไปยังหน้าอกและก้นของพวกนางเสมอ อีกทั้งยังไร้รสนิยมจนทำให้คนแทบทนไม่ได้ หลิวจิ่งหลงจะถูกใจพวกสตรีท่าทางเย้ายวนที่ชอบทาชาดบนใบหน้าหนาๆ ทำให้นักพรตหญิงที่แค่แอบทาชาดเล็กน้อยก็ไม่กล้าออกจากสำนักอย่างพวกนางโมโหตายไปเลย นี่ก็เท่ากับว่าได้ช่วยให้พวกนางได้สงบใจฝึกตนแล้วไม่ใช่หรือ? ถอยไปพูดหมื่นก้าว นี่ยังช่วยให้พวกนางประหยัดเงินซื้อเครื่องประทินโฉมด้วยไม่ใช่หรือไร?
ดังนั้นจากแรกเริ่มที่ไม่ว่ากู้โม่จะมองเซียนกระบี่หนุ่มจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยผู้นี้อย่างไรก็รู้สึกขวางหูขวางตา กลายเป็นว่าตอนนี้ไม่ว่าจะมองตรงไหนก็ชอบใจไปหมด
หลิวจิ่งหลงซื้อตำราบางส่วนที่วางขายในร้านหนังสือของท่าเรือฝูสุ่ยสวนน้ำค้างวสันต์ เขาลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังเปิดปากเอ่ยว่า “แม่นางกู้ แม้ว่าพูดแบบนี้จะไม่เหมาะสักเท่าไร แต่ข้าก็ไม่ได้ชอบเจ้าจริงๆ”
กู้โม่อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แล้วพลันเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ นางถามว่า “หลิวจิ่งหลง น้ำเข้าสมองเจ้าไปแล้วหรือไร?”
ฉีจิ่งหลงไม่โกรธ กลับกันยังหลุดหัวเราะ ได้ผลจริงๆ ด้วย!
กู้โม่รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย ดูท่าน้ำคงเข้าสมองแล้วจริงๆ? เจ้าคนตรงหน้าผู้นี้คงจะไม่ใช่หลิวจิ่งหลงตัวปลอมหรอกกระมัง?
กู้โม่กลัวว่าไอ้หมอนี่จะเกิดเสียสติ จึงแอบชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ไม่กล้าเดินเคียงไหล่กับเขา ยิ่งไม่กล้าหัวเราะร่ามองเขาอีกแล้ว
ฉีจิ่งหลงหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “แม่นางกู้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกเรายังเป็นสหายกันได้”
กู้โม่เกือบจะอดใจไม่ไหวยกเท้าถีบอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าพอชั่งน้ำหนักของตบะทั้งสองฝ่ายแล้ว ในที่สุดก็ข่มกลั้นเอาไว้ได้ แต่กระนั้นก็ยังโกรธจนขบฟันดังกรอดๆ หมุนตัวได้ก็เดินจากไปทันที
ฉีจิ่งหลงรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันแล้ว ในเรื่องนี้ดูเหมือนว่าตบะของตนยังห่างชั้นจากเขาไกลนัก
แต่ว่าทิศทางก็น่าจะถูกต้องแล้ว
สุยจิ่งเฉิงไปที่ถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์มารอบหนึ่ง นางเดินวนทั่วร้านผีฝูที่ขนาดไม่ใหญ่หนึ่งรอบ
ตอนที่ผู้อาวุโสคุยกับท่านหลิว เขาเคยเล่าว่าที่นี่คือสมบัติส่วนหนึ่งของเขา
แน่นอนว่าหรงช่างต้องติดตามมาด้วย
สุยจิ่งเฉิงสวมหมวกคลุมใบหน้า ในมือถือไม้เท้าเดินป่าเข้ามาในร้าน เถ้าแก่ร้านต้อนรับขับสู้ลูกค้าอย่างกระตือรือร้น มีจิตแห่งการค้าเต็มเปี่ยม เอ่ยประโยคง่ายๆ แค่ไม่กี่คำก็พอจะแนะนำได้แล้วว่าร้านผีฝูนั้นดีอย่างไร ไม่ถึงขั้นทำให้คนรู้สึกเกิดความรำคาญเบื่อหน่าย
สุยจิ่งเฉิงถามเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หรง ข้าสามารถขอยืมเงินท่านได้ไหม?”
ตอนนี้แม้ว่านางจะได้รับป้ายหยกผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์มาแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของลี่ไฉ่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกหรงช่างว่าศิษย์พี่ได้ไม่มีปัญหา
หรงช่างใช้เสียงในใจยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ได้เตรียมเงินฝนธัญพืชไว้ให้เจ้าล่วงหน้าหนึ่งร้อยเหรียญ ศิษย์น้องสุยสามารถนำไปใช้จ่ายได้ตามสบาย ไม่ถือว่าต้องขอยืม และที่ศิษย์พี่หรงก็ยังมีทรัพย์สินอยู่อีกเล็กน้อยที่เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้คืน”
ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงและสกุลหยางตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนต่างก็ได้ครอบครองรายรับสองส่วนและสามส่วนจากถ้ำสวรรค์เล็กวังมังกร ส่วนที่เหลืออีกห้าส่วน แน่นอนว่าต้องเป็นของงูเจ้าถิ่น
ถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนั้นคือหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่ง ตั้งอยู่ใต้น้ำในตำแหน่งที่ลึกที่สุดของลำน้ำใหญ่ ทัศนียภาพในนั้นเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยแสงสีมหัศจรรย์ ทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีป และยิ่งเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่จะให้ผู้ฝึกลมปราณไปฝึกวิชาน้ำ ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนเซียนดินที่เช่าจวนฝึกตนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานก็มีสิบกว่าคนแล้ว รายรับมหาศาลของแต่ละปีจะมากมายเพียงใด แค่คิดก็พอจะรู้ได้ ต่อให้ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงจะได้ส่วนแบ่งมาแค่สองส่วนก็ยังถือว่าเป็นรายรับที่น่าเหลือเชื่อก้อนหนึ่ง
ทว่าเจ้าสำนักลี่ไฉ่กลับไม่แบ่งเอาไปแม้แต่ส่วนเดียว
เงินเทพเซียนทั้งหมดของถ้ำสวรรค์เล็กวังมังกรจากการสรุปรวมบัญชีทุกหกสิบปี ล้วนจะกลายมาเป็นทรัพย์สินของศาลบรรพจารย์ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง และจะแบ่งให้กับผู้ฝึกตนในสำนักทุกคนยกเว้นนางโดยอิงตามขอบเขตการฝึกตนว่าสูงหรือต่ำ พรสวรรค์ว่าดีหรือเลว และคุณความชอบว่าใหญ่หรือเล็ก
นี่ก็คือทะเลสาบกระบี่ฝูผิง
หรงช่างสามารถรับประกันได้ว่า ต่อให้ลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ขอบเขตถดถอย ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่งอีกต่อไป แต่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็ยังคงเป็นลี่ไฉ่ แล้วก็เป็นได้แค่ลี่ไฉ่เท่านั้น
ไม่ว่าจะอย่างไร ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็ไม่ขาดเงินจริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่การปฏิบัติที่ลี่ไฉ่มีต่อลูกศิษย์หญิงล้วนเป็นการเชิดชูกฎที่ว่าจะต้องเลี้ยงดูลูกศิษย์หญิงให้ร่ำรวยอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบุรุษคนใดหลอกเอาได้
แต่เงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญนี้ อันที่จริงครึ่งหนึ่งเป็นเงินส่วนตัวของลี่ไฉเอง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นเงินส่วนแบ่งที่ทางศาลบรรพจารย์ควรจะมอบให้แก่ศิษย์น้องหญิงเล็กที่กำลังปิดด่านอยู่
สุยจิ่งเฉิงกวาดตามองดูชั้นวางสมบัติในร้านผีฝูครบทุกชั้นหนึ่งรอบ แล้วก็เลือกของมาสองสามชิ้น ล้วนไม่ถือว่าเป็นวัตถุวิเศษอะไร หลังจากต่อรองราคาไปแล้วก็จ่ายเงินแค่สิบเหรียญเกล็ดหิมะเท่านั้น
จากนั้นสุยจิ่งเฉิงก็ถามว่ามีสมบัติพิทักษ์ร้านหรือไม่ ต่อให้ราคาจะสูงสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
เถ้าแก่หนุ่มจากเรือนเย่ฉ่าวที่มาช่วยงานผู้นั้นยังคงกระตือรือร้นดังเดิม เขาไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเพียงเพราะก่อนหน้านี้สตรีสวมหมวกคลุมหน้าเลือกซื้อแค่ของราคาถูก เขาบอกถึงวัตถุราคาแพงสองสามชิ้นที่ไม่ได้วางไว้ด้านหน้าของร้านให้ฟังคร่าวๆ บัลลังก์มังกรตัวนั้นช่างเถิด เถ้าแก่หนุ่มไม่คิดจะพูดถึงสิ่งนี้แม้แต่น้อย แต่เขาเอ่ยซ้ำถึงมงกุฎทองคู่ที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคม บอกว่าหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก สามารถซื้อแยกได้ มงกุฎทองที่ใหญ่กว่านั้นมีราคาสิบแปดเหรียญเงินฝนธัญพืช อันเล็กสิบหกเหรียญ หากซื้อคู่กันสามารถลดให้ได้หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ราคารวมจึงเป็นสามสิบสามเหรียญเงินฝนธัญพืช
สุยจิ่งเฉิงถาม “ขอดูก่อนได้ไหม?”
เถ้าแก่หนุ่มยิ้มกล่าว “แน่นอน ต่อให้ดูแล้ว แล้วไม่ถูกใจลูกค้า ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร”
เขาเดินอ้อมออกมาจากโต๊ะคิดเงิน เดินไปเปิดประตู
หรงช่างชำเลืองตามองตัวอักษรที่อยู่บนประตูแล้วก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
สี่อักษรใหญ่ ผู้มีวาสนาได้ครอบครอง
สี่อักษรเล็ก ผู้ที่ให้ราคาสูงได้ไปครอง
หรงช่างไม่อาจเอาเจ้าของร้านแห่งนี้ไปจินตนาการรวมกับคนหนุ่มชุดเขียวที่ท่าเรือหัวมังกรคนนั้นได้เลย
—–