กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 527.3 ดึงเส้นที่ซ่อนอยู่ขึ้นมาก็คือปราณสังหาร
สุยจิ่งเฉิงแค่ได้เห็นก็ถูกใจมงกุฎทองคู่นั้นทันที นางไม่ได้ต่อราคา แต่ขอให้หรงช่างควักเงินฝนธัญพืชจ่ายไปสามสิบสามเหรียญเต็มจำนวน
มือหนึ่งจ่ายเงิน อีกมือหนึ่งส่งของ
กอดกล่องไม้ไหวที่ทางเรือนเย่ฉ่าวช่วยสร้างให้อย่างประณีตบรรจงใบนั้นไว้ในอ้อมอก สุยจิ่งเฉิงที่เดินออกจากร้านผีฝูไปเดินอยู่บนถนนเหล่าไหว ฝีเท้าก็ล่องลอย อารมณ์ดีสุดขีด
เถ้าแก่หนุ่มค้อมเอวก้มหน้าส่งแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่านอยู่ที่หน้าร้าน มองส่งพวกเขาสองคนจากไปไกล
เขารู้สึกเพียงความเหลือเชื่อ
อันที่จริงตัวแทนเถ้าแก่ของร้านผีฝูผู้นี้รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะเล็กน้อย
แม้ว่ามงกุฎทองคู่นั้นจะเป็นสมบัติอาคมบนภูเขาของแท้คู่หนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถขายได้ด้วยราคาสูงเทียมฟ้าถึงสามสิบสามเหรียญเงินฝนธัญพืชจริงๆ
อันที่จริงทางเรือนเย่ฉ่าวได้เคยมีการประเมินราคาเป็นการส่วนตัวเอาไว้ก่อน แม้จะบอกว่าสมบัติอาคมทั้งสองชิ้นสามารถสั่งให้เทพีร่างทองสองท่านออกมาปกป้องคุ้มครอง ประสิทธิผลคล้ายคลึงกับชุดคลุมอาคม ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ป้องกันและโจมตีได้ในระดับหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นเท่าเทียมกับสมบัติอาคมจริงๆ ดังนั้นราคาประมาณยี่สิบห้าเหรียญเงินฝนธัญพืชจึงถือว่าค่อนข้างยุติธรรม ต่อให้เพิ่มราคาให้กับคนที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษจนรู้สึกว่าทองพันชั่งก็ยากจะซื้อหาได้ยาก ยกตัวอย่างเช่นว่าเซียนดินผู้เป็นสตรีถูกตาต้องใจมัน อย่างมากที่สุดก็แค่ประมาณยี่สิบแปดเหรียญเท่านั้น
มาถึงขอบเขตของเซียนดิน ความต้องการที่มีต่อสมบัติอาคม อันที่จริงนั้นง่ายดายอย่างมาก ยิ่งสุดโต่งเท่าไรก็ยิ่งดี
นี่ก็คือสาเหตุหลักที่มงกุฎทองทั้งสองชิ้นขายไม่ออกมาโดยตลอด ไม่ใช่ว่าไม่มีลูกค้าชอบ แต่เป็นเพราะราคาแพงเกินไปจนไม่อาจใช้คำว่าคุ้มค่าคุ้มราคาได้
แต่ราคาที่แน่นอนของมงกุฎทองและบัลลังก์มังกรล้วนเป็นเถ้าแก่ที่เป็นเซียนกระบี่ผู้นั้นกำหนดด้วยตัวเอง เหตุผลก็คือเผื่อเจอกับคนโง่ที่มีเงินมาก
สำหรับเรื่องนี้เรือนเย่ฉ่าวก็จนใจอย่างมาก ด้วยรู้สึกว่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่กินฝุ่นหนึ่งถึงสองร้อยปี
คิดไม่ถึงว่านี่เพิ่งจะผ่านไปได้เท่าไรเอง?
หลังเดินออกมาจากถนนเหล่าไหว หรงช่างก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ซื้อแพงไปแล้ว”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
แต่นางชอบมงกุฎทองคู่นี้มากจริงๆ นี่นา
สุยจิ่งเฉิงเอ่ยเสียงเบา “ศิษย์พี่หรง หลังจากนี้ข้าจะไม่ซื้ออะไรอีกแน่นอน”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวโทษศิษย์น้องหญิงเล็ก”
หรงช่างส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ของพวกเราซื้อของใจป้ำยิ่งกว่านี้เสียอีก นางเคยถูกใจชุดคลุมอาคมงดงามตัวหนึ่ง ก็เลยยืนกรานจะให้อีกฝ่ายโก่งราคาให้สูงให้ได้ ไม่อย่างนั้นนางจะไม่ยอมซื้อ ตอนนั้นอาจารย์ไม่ได้เปิดเผยตัวตน อีกฝ่ายตกใจแทบตาย นึกว่าได้เจอกับคนที่มาก่อกวนเสียแล้ว หลังจบเรื่องพอรู้ว่าเป็นอาจารย์ของพวกเราก็เสียใจจนไส้เขียว ตีอกชกตัว รู้สึกว่าควรจะโก่งราคาให้สูงไปอีกเท่าตัวเลยต่างหาก”
สุยจิ่งเฉิงทอดถอนใจจากใจจริง “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าควรจะไปดูที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงเสียก่อนสักรอบหนึ่ง”
หรงช่างพรูลมหายใจโล่งอก
มารดาข้า อาศัยแค่ประโยคนี้ของศิษย์น้องหญิงเล็ก หากอาจารย์ลี่ไฉ่อยู่ที่นี่ด้วย จะต้องถามเขาหรงช่างว่าช่วงนี้มีสมบัติอาคมที่อยากซื้อหรือไม่เลยกระมัง
กลับไปถึงท่าเรือ คนทั้งสองเพิ่งจะนั่งลง เกี่ยวกับเรื่องของการหล่อหลอมมงกุฎทองที่งดงามประณีตสองชิ้นนั้น หรงช่างจำเป็นต้องถ่ายทอดคาถาหลอมกระบี่วิชาหนึ่งของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงให้แก่นาง
หลอมกระบี่ได้ ก็สามารถหลอมหมื่นสรรพสิ่งได้
เพิ่งจะถ่ายทอดคาถาหลอมกระบี่ที่ยาวหลายพันตัวอักษรจบ สุยจิ่งเฉิงก็หลับตาลง พอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “จำได้แล้ว”
หรงช่างจึงไม่พูดซ้ำอีก
ศิษย์น้องหญิงเล็กในปีนั้น สุยจิ่งเฉิงในตอนนี้ แม้ว่าจะมีนิสัยแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน แต่ในเรื่องของพรสวรรค์ด้านการฝึกตนกลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ไม่มีทางทำให้คนผิดหวัง
แต่สุยจิ่งเฉิงก็ยังขอให้หรงช่างพูดซ้ำอีกหนึ่งรอบ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดช่องโหว่
ต่อมากู้โม่ก็มาเคาะประตูตรงระเบียงทางเดินแรงๆ เสียงดังปังๆๆ
หลังจากที่สุยจิ่งเฉิงเปิดประตูให้แล้ว
กู้โม่ก็พูดด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนว่า “สุยจิ่งเฉิง สุยจิ่งเฉิง ข้าจะเล่าความลับอย่างหนึ่งให้เจ้าฟัง หลิวจิ่งหลงอาจจะเป็นตัวปลอม ตอนนี้คนที่พวกเราเห็นอยู่อาจจะเป็นใครอีกคนหนึ่ง!”
สุยจิ่งเฉิงมึนงงไม่เข้าใจ นางหันหน้ามามองหรงช่าง
หรงช่างระอาใจเล็กน้อย พูดกับกู้โม่ว่า “อย่าพูดเหลวไหล”
กู้โม่นั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ ขมวดคิ้วคิดหนักอยู่เป็นาน ก่อนจะทำหน้าเหมือนคนที่เพิ่งกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็กำหมัดทุบลงบนโต๊ะ “ดีนักนะ เจ้าตะพาบหน้าไม่อายผู้นี้ ที่แท้เขาก็หยอกข้าเล่นนี่เอง!”
หรงช่างลุกขึ้นยืนแล้วจากไป
ตลอดทางมานี้สภาพจิตใจของกู้โม่ไม่ใคร่จะมั่นคงนัก แต่หรงช่างกลับไม่อาจพูดอะไรได้มาก
โชคดีที่การมาเยือนท่าเรือหัวมังกรครั้งนี้ สภาพจิตใจของกู้โม่เริ่มกลับคืนสู่สภาวะนิ่งสงบใสสะอาดดังที่ลัทธิเต๋าเชิดชูมาโดยตลอดอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องดี
และผู้ฝึกตนที่เหมือนอาจารย์สวมชุดเขียวสองคนนั้นก็มีคุณความชอบอย่างใหญ่หลวง
แน่นอนว่าตัวของสุยจิ่งเฉิงเองก็มีความดีความชอบเหมือนกัน
หลังจากที่หรงช่างปิดประตูลง กู้โม่ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สุยจิ่งเฉิงฟังหนึ่งรอบ
สุยจิ่งเฉิงใช้มือกุมขมับ ไม่อยากพูดอะไร
พวกเจ้าสองคนต่างก็ตบะสูงมาก ทว่ากลับเป็นคนสองคนที่สติไม่สมประดีอย่างนั้นหรือ
ท่านหลิวผู้นี้ก็จริงๆ เลย อ่านตำราจนทึ่มทื่อไปแล้วกระมัง? เหตุใดอยู่กับผู้อาวุโสมานานขนาดนั้นกลับไม่เรียนรู้ในสิ่งที่ดีๆ มาบ้างเลยสักนิด?
ผู้อาวุโสพูดถูกจริงๆ ด้วย ขอบเขตของผู้ฝึกตนไม่อาจเอามากินแทนข้าวได้จริงๆ
กู้โม่กล่าวอย่างสงสัยว่า “ทำไมล่ะ? ไหนเจ้าลองบอกมาสิ หรือว่ายังมีความลี้ลับอะไรอีก? ข้าเป็นสตรีบริสุทธิ์ที่ยังไม่เคยออกเรือน ประสบการณ์ในเรื่องนี้อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเจ้าได้จริงๆ”
สุยจิ่งเฉิงหน้าแดงก่ำ “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!”
กู้โม่ทอดถอนใจ “ช่างเถอะ”
กู้โม่ฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะ ผินหน้ามองไปยังทะเลเมฆที่อยู่นอกหน้าต่าง
สุยจิ่งเฉิงวางมงกุฎทองชิ้นเล็กที่น่ารักน่ามองลงบนโต๊ะ แล้วนางเองก็นั่งฟุบตัวนอนคว่ำเช่นเดียวกับกู้โม่ ซีกแก้มแนบอยู่บนแขนที่ใช้รองต่างหมอน ยื่นนิ้วออกมาเคาะมุงกฎทองชิ้นนั้นเบาๆ
กู้โม่เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าเริ่มคิดถึงอาจารย์แล้ว เจ้าล่ะ ก็คงจะคิดถึงบุรุษคนนั้นมากเหมือนกันสินะ?”
สุยจิ่งเฉิงพึมพำกับตัวเอง “หากเจ้าไม่พูดถึง ก็คงคิด แต่พอเจ้าพูดแบบนี้ ข้ากลับไม่คิดถึงสักเท่าไรแล้ว เจ้าว่าแปลกหรือไม่?”
กู้โม่กล่าวอย่างระอาใจ “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง”
คนทั้งสองพากันเงียบงันไป
กู้โม่พลันมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ลุกขึ้นยืน ย้ายเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างกายสุยจิ่งเฉิง แล้วกระซิบกระซาบเบาๆ ที่ข้างหูนาง “สุยจิ่งเฉิง ข้าจะบอกเจ้าให้นะ การฝึกตนคู่นั้นมีวิธีอยู่มากมาย อีกทั้งยังไม่ต่ำชั้นแม้แต่น้อย เดิมทีนี่ก็เป็นหนึ่งในสายรองของลัทธิเต๋า ถูกต้องตรงไปตรงมา ไม่อย่างนั้นเหตุใดคู่บำเพ็ญตนบนภูเขาถึงต้องเป็นสามีภรรยากัน ใช่ไหมล่ะ ข้าพอจะรู้มาบ้าง ยกตัวอย่างเช่น…”
สุยจิ่งเฉิงรับฟังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ผลักกู้โม่ออก พูดอย่างคนอับอายจนพานเป็นความโกรธว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้พูดจาเหมือนพวกอันธพาลแบบนี้นะ?!”
กู้โม่กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ฟังเขาเล่ามา ข้าก็ฟังเขาเล่ามาเหมือนกัน”
ใบหน้าของสุยจิ่งเฉิงแดงก่ำ พลันลุกพรวดขึ้นยืน รีบไล่กู้โม่ออกไปจากห้องทันที
เสียงประตูปิดลงดังปัง
กู้โม่กระแอมหนึ่งที แล้วเลียนแบบน้ำเสียงของคนแซ่เฉินเอ่ยว่า “จิ่งเฉิง ข้ามาแล้ว เปิดประตูเถอะ”
สุยจิ่งเฉิงคำรามอย่างขุ่นเคือง “กู้โม่!”
น้ำเสียงของกู้โม่ยังคงไม่แปรเปลี่ยน “จิ่งเฉิง เหตุใดถึงไม่เป็นเด็กดีเอาเสียเลย เรียกข้าว่าผู้อาวุโสสิ”
สุยจิ่งเฉิงกวาดตามองรอบด้าน แล้วก็คว้าไม้เท้าเดินป่าอันนั้นขึ้นมา พอเปิดประตูได้ก็เตรียมจะฟาดกู้โม่
กู้โม่กระโดดถอยออกห่างไปไกลนานแล้ว นางโผล่หัวออกมาจากมุมของระเบียง ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “โอ้โห ท่าทางของเจ้าตอนนี้ ขนาดข้าที่เป็นสตรี ได้เห็นแล้วก็ยังหวั่นไหว ข้าว่านะ ตลอดทางที่เจ้าหมอนั่นเดินทางมาพร้อมกับเจ้า เขาต้องไม่สามารถควบคุมดวงตาของตัวเองได้แน่นอน เพียงแต่ว่าตบะของเขาสูง ตบะของเจ้าต่ำ ก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นก็เท่านั้น เฮ้อ ก็แค่ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเจ้าขาดทุนอย่างหนัก หรือว่า…ได้กำไรก้อนใหญ่กันแน่”
สุยจิ่งเฉิงโมโหจนแทบจะวิ่งไล่ไปตีนาง
กู้โม่กลับถอยเข้าห้องของตัวเองด้วยสีหน้าแช่มชื้น อารมณ์ดีเป็นกำลังไปเสียแล้ว
สุยจิ่งเฉิงปิดประตูลง เอาหลังพิงประตูห้อง คลี่ยิ้มหวาน นางนั่งลงข้างโต๊ะ หยิบมงกุฎทองชิ้นนั้นขึ้นมาสวม ในมือถือกระจกทองแดง
หลังจากนั้นก็หยิบมงกุฎทองออก เก็บกระจก แล้วสุยจิ่งเฉิงก็เริ่มเปิด ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มกลางออกอ่านอย่างละเอียด
ผู้ฝึกตน
ไม่รู้กลางวันกลางคืน
ผู้ฝึกลมปราณที่เพิ่งจะเหยียบย่างลงบนเส้นทางของการฝึกตน ส่วนใหญ่มักจะไม่รับรู้ว่าเวลาผ่านไปช้าหรือเร็ว
กลางดึกของคืนนี้ สุยจิ่งเฉิงวาง ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มสุดท้ายลงบนโต๊ะ แล้วหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง
พระจันทร์เสี้ยวต้นอู๋ถง ฝนกระหน่ำใบกล้วย ห่านใหญ่สายลม หญ้าวสันต์กีบม้า หิมะใหญ่เรือลำน้อย เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ แม่ทัพผู้เลื่องชื่อกับดาบหยก สาวงามกับคันฉ่อง…
บนโลกมีคู่สร้างคู่สมมากมายถึงเพียงนี้
แล้วสุยจิ่งเฉิงกับผู้อาวุโสล่ะ?
……
ฉีจิ่งหลงเปิดตำราเล่มหนึ่งที่ซื้อมาจากท่าเรือฝูสุ่ยออกอ่าน เป็นตำราเบ็ดเตล็ดที่เขียนเกี่ยวกับการสร้างเครื่องกระเบื้องที่เชื่อพระวงศ์ใช้ของแต่ละแคว้นแต่ละทวีป เป็นฉบับพิมพ์จากสำนักฉงหลินที่ทำการค้าเก่งที่สุดของอุตรกุรุทวีป
เขาพลันขมวดคิ้ว
ปิดตำราลง
หลับตานิ่ง
ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมนกกระเต็นของท่าเรือหัวมังกร เฉินผิงอันเล่าเรื่องหลายอย่างให้ตนฝั่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการเล่าอย่างคร่าวๆ ไม่ลงรายละเอียด ไม่เปิดเผยร่องรอยใดๆ
มีเรือข้ามทวีปของภูเขาต่าเจี้ยวที่ตกลงมาจากฟ้า เรื่องเกี่ยวกับมดแดงที่อยู่แถบทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป และยังมีเรื่องของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจูอันเป็นบ้านเกิด
หัวข้อเหล่านี้แทรกซ้อนอยู่ในหัวข้อพูดคุยเรื่องอื่น ไม่สะดุดตา แล้วเฉินผิงอันก็ไม่ได้จงใจแสวงหาคำตอบใดๆ ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นการคุยเล่นของสหายที่หาเรื่องมาคุยกันเสียมากกว่า
แต่ฉีจิ่งหลงไม่ใช่คนโง่
ในการพูดคุยนี้ได้ซ่อนแฝงเส้นสายเส้นหนึ่ง บางทีตัวเฉินผิงอันเองก็อาจจะสัมผัสไม่ถึง
เรือข้ามทวีปของภูเขาต่าเจี้ยว เจี้ยนเวิงเซียนเซิงหนึ่งในสิบคนประหลาดของอุตรกุรุทวีป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เรือข้ามฟากตกลงในราชวงศ์จูอิ๋งซึ่งเป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป อุตรกุรุทวีปเดือดดาลอย่างหนัก เทียนจวินเซี่ยสือต้องลงใต้ไปเยือนแจกันสมบัติทวีป อันดับแรกก็ย้อนกลับคืนสู่บ้านเกิดอย่างถ้ำสวรรค์หลีจูของราชวงศ์ต้าหลีก่อน จากนั้นก็เดินทางไปยังภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป คุมเชิงอยู่กับสำนักศึกษากวานหูที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา แล้วต่อมาก็ทยอยได้รับการท้ารบจากคนสามคน กองทัพม้าเหล็กต้าหลีเคลื่อนพลลงใต้ สร้างภาพปรากฎการณ์ของอำนาจใหญ่ที่หอบไปทั่วทวีป เรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจูที่ไม่ถือว่าเป็นความลับอะไรในสำนักใหญ่ของอุตรกุรุทวีป แรกเริ่มสุดเฉินผิงอันเปลี่ยนชื่อเรียกตน เปลี่ยนจากท่านฉีมาเป็นท่านหลิว สุดท้ายก็เปลี่ยนชื่อเรียกอีกครั้ง เปลี่ยนมาเป็นฉีจิ่งหลง หาใช่หลิวจิ่งหลงไม่ ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม จำเป็นต้องอาศัยวัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งห้าธาตุมาสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะใหม่อีกครั้ง ความรู้ของเฉินผิงอันหลากหลาย แต่พยายามจะให้ทุกอย่างสมดุล และพยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับเรื่องของการฝึกจิตใจ
ฉีจิ่งหลงถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที ลุกขึ้นแล้วเดินมาที่หน้าต่าง
เขาเชื่อว่าการเดินทางมาท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปของเฉินผิงอันในครั้งนี้จะต้องมีแผนการที่วางแผนมาอย่างลึกล้ำและยาวไกลอย่างแน่นอน อีกทั้งยังวางแผนในทุกก้าวย่างอีกด้วย ระมัดระวังรอบคอบยิ่งกว่าการท่องอยู่ในยุทธภพของเขาที่มีเวทอำพรางตาให้ใช้นับไม่ถ้วนเสียอีก
ฉีจิ่งหลงพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าตอนนี้เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเจ้าถูกกุมอยู่ในสำนักใหญ่บางแห่งของอุตรกุรุทวีป? ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าก็ต้องระวังแล้วระวังอีก หลังจากนี้ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไรก็ยิ่งต้องระวังมากเท่านั้น”
อารมณ์ของฉีจิ่งหลงหนักอึ้ง หากอยู่ในธวัลทวีปที่การค้าเจริญรุ่งเรือง ทุกเรื่องล้วนปรึกษากันได้ด้วยเงิน ทว่าอยู่ในอุตรกุรุทวีปกลับซับซ้อนกว่ามากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนนอกคนหนึ่ง คิดจะใช้เหตุผลอยู่ในอุตรกุรุทวีปก็ยิ่งยากเป็นทบทวี
แน่นอนว่าฉีจิ่งหลงไม่ถือสาหากว่าการที่ตนเองยืนอยู่ฝั่งของเฉินผิงอันแล้ว ค่าตอบแทนคือหากเขาไม่ออกไปจากสำนักกระบี่ไท่ฮุย หรือไม่ก็ต้องเดือดร้อนให้ชื่อเสียงของสำนักกระบี่ไท่ฮุยพังทลาย
แต่หากเขาฉีจิ่งหลงเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เรื่องที่วุ่นวายก็จะยิ่งวุ่นวายมากกว่าเดิม
ไม่แน่ว่าอาจชักนำเซียนกระบี่ของฝ่ายต่างๆ ที่แต่เดิมเลือกจะมองดูดายอยู่เฉยๆ ให้เข้ามาร่วมวงมากกว่าเดิม
นี่ก็คือความน่ากลัวของกฎเกณฑ์
อุตรกุรุทวีปชอบจับกลุ่มรวมพรรครวมพวก ในช่วงเวลาที่เรื่องเรื่องหนึ่งอาจผิดหรือถูกก็ได้ แต่ไม่เกี่ยวพันกับความดีเลว ขอแค่คนนอกคิดจะอาศัยสถานะของตัวเองทำเรื่องใดๆ ก็ตาม เดิมทีก็เป็นเรื่องผิดอยู่แล้ว สำหรับเซียนกระบี่มากมายในอุตรกุรุทวีปแล้ว นั่นจะเป็นการบอกว่าเจ้าขอร้องให้ข้าออกกระบี่ ในประวัติศาสตร์เจ้าประมุขสกุลหลิวของธวัลทวีป นักพรตของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ต่างก็เคยอยากจะขึ้นฝั่งมาที่อุตรกุรุทวีปเพื่อตรวจสอบหาคนร้ายด้วยตัวเอง ผลลัพธ์เป็นอย่างไร เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนหลายสิบท่านพากันไปดักอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครที่ไปเรียกรวมคนขอร้องให้มาช่วยเลยแม้แต่น้อย ล้วนเป็นคนที่พากันไปรวมตัวอยู่ริมมหาสมุทรด้วยตัวเอง ทุกคนขี่กระบี่หยุดลอยตัวอยู่ ที่เหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้นก็คือ จะไม่พูดอะไรกับเจ้าสักคำ มีเพียงการออกกระบี่เท่านั้น
สำหรับเรื่องนี้ยอดฝีมือนอกโลกซึ่งรวมถึงฮว่อหลงเจินเหรินเป็นหนึ่งในนั้นไม่เคยให้ความสนใจ ต่อให้จะมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะเป็นเซียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ในตำนานก็ตาม แต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะออกหน้าหรือช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยให้
อีกทั้งหากประมือกันขึ้นมา เมื่อเซียนกระบี่เลือกที่จะปล่อยกระบี่แรกไปแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็จะกลายเป็นสถานการณ์ที่ถึงขั้นไม่ตายไม่ยอมเลิกรา
——