กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 529.2 ปัจจุบันและอนาคตของแจกันสมบัติทวีป
ในใจหร่วนฉงกลัดกลุ้มไม่น้อย
เซียนกระบี่ใหญ่ในความหมายทั่วไป เวทกระบี่ของพวกเขาสูงหรือต่ำ ปณิธานกระบี่มากหรือน้อย อันที่จริงผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ขอบเขตด้อยกว่ากันเล็กน้อยยังพอจะมองเห็นระยะห่างคร่าวๆ ได้อย่างถูไถ
ทว่าการออกกระบี่บางครั้งของคนบางคนกลับจำเป็นต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะมองออกว่าจริงๆ แล้วพวกเขาออกแรงไปมากเท่าไร
พละกำลังมหาศาล แต่กลับไม่เด่นชัด
สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว บางทีกระบี่อาจต้องร่วงลงบนใจคนเสียก่อน ถึงจะมองเห็นทักษะ
หร่วนฉงหวังว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่ง สำนักกระบี่หลงเฉวียนจะมีผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ปรากฏตัว ต่อให้ช้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
เพียงไม่นานต่งกู่ก็บอกลาจากไป
หร่วนฉงทอดสายตามองไปยังทิศไกล
อาณาเขตของขุนเขาเหนือ ในฐานะที่เป็นสถานที่มังกรลุกผงาดของต้าหลี เทพแห่งขุนเขาเหนืออย่างเว่ยป้อนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถคานอำนาจกับเขาได้ ไม่ได้อยู่ที่ขุนเขากลาง แต่อยู่ที่ขุนเขาใต้ คือเทพภูเขาที่เป็นสตรีท่านหนึ่ง
ขุนเขากลางของต้าหลีในทุกวันนี้ก็คือขุนเขากลางเก่าของราชวงศ์จูอิ๋ง องค์เทพขุนเขาก็เป็นองค์เดิม เรียกได้ว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย เพราะขุนเขากลางของหนึ่งราชวงศ์กลับได้กลายเป็นขุนเขากลางของทวีปอย่างแจกันสมบัติทวีป
จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ ผู้ฝึกกระบี่สวี่รั่ว ตอนนี้ยังเฝ้าพิทักษ์อยู่บนขุนเขา เป็นเพื่อนบ้านกับองค์เทพแห่งขุนเขากลางท่านนั้น
ส่วนหร่วนฉงนั้นทำหน้าที่จับตามองภูเขากานโจวซึ่งเป็นขุนเขาตะวันตกแห่งใหม่ เนื่องจากอยู่ห่างจากศาลลมหิมะไม่ไกลเท่าไร บวกกับภูเขากานโจวไม่เคยอยู่ในอันดับของห้าขุนเขาประจำราชวงศ์ใดๆ มาก่อน ดังนั้นการเดินทางไปเยือนครั้งนี้ของหร่วนฉงจึงผ่อนคลายที่สุด อาจารย์หลอมกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแจกันสมบัติทวีปท่านนี้จึงถือโอกาสไปพบปะพูดคุยเรื่องในวันวานกับเหล่าผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องในศาลลมหิมะ อันที่จริงนี่ก็คือคุณความชอบของการช่วยประคับประคองมังกรที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าหลีตั้งใจมอบให้แก่สำนักกระบี่หลงเฉวียน
เมื่อเปรียบเทียบกับคลื่นใต้น้ำและปราณสังหารที่ซ่อนอยู่รอบทิศทางของฝ่ายสวี่รั่วแล้ว หร่วนฉงตัวเบาเพราะไร้ภาระงาน หันกลับมามองทางฝั่งของภูเขาอี้ซานขุนเขาตะวันออกแห่งใหม่ของต้าหลี ผู้ถวายงานลำดับต้นส่วนใหญ่ของต้าหลีล้วนเป็นเซียนดินอย่างโอสถทองและก่อกำเนิด ลำพังเพียงแค่ช่วงเวลาที่ต้าหลีจัดงานพิธีใหญ่แต่งตั้งห้าขุนเขาก็มีการเข่นฆ่าสังหารที่โหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุดเกิดขึ้น ผู้ฝึกตนของแคว้นต่างๆ พากันกรูมาจากสี่ด้านแปดทิศ พยายามที่จะบุกสังหารขึ้นไปบนภูเขา หมายสังหารทูตของต้าหลี สุดท้ายแม้แต่หนังสือแต่งตั้งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่ใช้ ‘โคลนทองเชือกเงิน ผนึกด้วยหยกลัญจกร’ ก็ยังเกือบจะถูกผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตคนหนึ่งซัดจนแหลกเป็นผุยผง หลังจากโจมตีให้ผู้ฝึกตนเหล่านั้นถอยร่นไปได้แล้ว ผู้ถวายงานของต้าหลีเองก็มีทั้งที่บาดเจ็บและล้มตายกันไปเป็นจำนวนมาก
ภายหลังตอนที่รองเจ้ากรมฝ่ายขวาของกรมพิธีการต้าหลีออกไปลาดตระเวนแทนจักรพรรดิ ก็เกิดสถานการณ์ล้อมสังหารที่วางกับดักหลุมพรางไว้อย่างชัดเจน ยังคงมีผู้ฝึกตนที่แคว้นล่มสลายจำนวนมากพากันกรูเข้ามาในสถานการณ์ กระโจนเข้าสู่ความตายอย่างกล้าหาญ นี่เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณในรัศมีพันลี้รอบภูเขาอี้ซานขุนเขาตะวันออกแห่งใหม่วุ่นวายอย่างถึงที่สุด ภายหลังก็มีการจลาจลจากผู้ฝึกตนที่กระจัดกระจายอีกบางส่วน ทว่าในที่สุดภูเขาอี้ซานก็สามารถข้ามผ่านอุปสรรคกลายมาเป็นขุนเขาตะวันออกแห่งใหม่ของต้าหลีได้สำเร็จ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้าพิทักษ์ขุนเขาแห่งนี้ก็คือเทพองค์เดิมของหนึ่งในห้าขุนเขาของต้าหลี
เรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่าการแต่งตั้งห้าขุนเขา ยังคงเป็นเรื่องการเลือกสถานที่ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปเพื่อสร้างเมืองหลวงแห่งที่สอง ซึ่งตอนนี้ได้เริ่มลงมือดำเนินการแล้ว
พื้นที่ศักดินาที่ซ่งจี๋ซินต้องไปประจำอยู่ก็คือนครมังกรเฒ่า รอให้เมืองหลวงแห่งที่สองสร้างเสร็จ ซ่งจี๋ซินที่ชื่อในทำเนียบของฝ่ายพลเรือนในพระองค์คือซ่งมู่ก็จะได้ปกครองเมืองหลวงแห่งที่สองอยู่ไกลๆ
หนึ่งในสถานที่ตั้งที่เป็นตัวเลือก ก็คือเมืองหลวงเก่าของราชวงศ์จูอิ๋ง ข้อดีก็คือไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองกำลังของแคว้นไปมากนัก แต่ข้อเสียที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คืออยู่ใกล้กับสำนักศึกษากวานหูมากเกินไป ส่วนที่เป็นข้อห้ามของทางราชสำนักซึ่งถูกเก็บไว้เป็นความลับ แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะมีคนบางคนไม่หวังให้อ๋องเจ้าเมืองคนใหม่อย่างซ่งจี๋ซินอาศัยการประสานรับกันระหว่างเมืองหลวงแห่งที่สองกับนครมังกรเฒ่ามาควบรวมแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปไปครอง
แต่ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกที่ตั้งเป็นที่ใด ราชสำนักต้าหลียังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด
ในฐานะผู้ถวายงานอันดับต้นของต้าหลี หร่วนฉงสามารถให้ข้อเสนอแนะได้ และฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของสกุลซ่งต้าหลีก็ต้องยินดีรับฟังอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าหร่วนฉงเลือกจะเงียบเฉยก็เท่านั้น
หร่วนซิ่วมาปรากฎตัวอยู่ข้างกายหร่วนฉง
หร่วนฉงที่ครั้งนี้ออกจากภูเขาแล้วได้ไปเยือนศาลลมหิมะมารอบหนึ่งเอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อก่อนตอนที่พ่อยังเด็ก เหล่าผู้อาวุโสในศาลลมหิมะต่างก็รู้สึกว่าวิถีทางโลกไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ขอแค่ตั้งใจฝึกตนให้ดีก็พอ ดังนั้นเด็กรุ่นหลังอย่างพวกเราจึงมีความคิดที่ไม่ค่อยต่างไปจากพวกเขาสักเท่าไร ตอนนี้คนแก่ทุกคนต่างก็กำลังทอดถอนใจ ไม่อาจมองออกได้เลยว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ อีกแค่ไม่กี่สิบปีให้หลัง แจกันสมบัติทวีปจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไรกันแน่ ซิ่วซิ่ว เจ้าว่านี่เป็นเรื่องดีหรือว่าเรื่องร้ายกันเล่า?”
หร่วนซิ่วคิดแล้วก็ตอบไม่ตรงคำถาม “สำนักกระบี่หลงเฉวียนขาดพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ที่เป็นของตัวเองไปแห่งหนึ่ง”
สีหน้าของหร่วนฉงเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ก่อนจะใช้วิชาอภินิหารของอริยะร่ายฟ้าดินขนาดเล็กมาสกัดกั้นโลกภายนอก “มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรก หน้าผาหินแท่นสังหารมังกรของภูเขาหลงจี๋ในตอนนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยแบ่งให้กับสำนักกระบี่หลงเฉวียนของพวกเรา กับศาลลมหิมะ และภูเขาเจินอู่ แต่เจ้าอาจจะไม่รู้ว่า แท่นสังหารมังกรที่ศาลลมหิมะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลและขุดหา แท้จริงแล้วกลับแทบจะกลายเป็นเพียงเปลือกที่กลวงโบ๋แล้ว พ่อแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นมาโดยตลอด ดังนั้นครั้งนี้ที่ไปเยี่ยมเยียนบรรพจารย์ของศาลลมหิมะจึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา บรรพจารย์บอกกับข้าแค่ว่าไม่ต้องไปสนใจ เท่ากับเป็นการยอมรับเรื่องที่แท่นสังหารมังกรหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยปริยาย ดังนั้นตอนที่เจ้าไปฝึกตนอยู่ที่นั่นก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้เช่นกัน”
“เรื่องที่สอง ก็คือพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ที่เจ้าพูดถึง อันที่จริงสามารถไปทำการค้ากับทางร้านตระกูลหยางได้ เพราะมีแบบสำเร็จรูปอยู่แล้ว แต่คาดว่าราคาคงสูงจนเกินกว่าจะยอมรับได้ ทว่าอันที่จริงเรื่องราคาก็ยังพูดได้ง่าย อย่างมากก็แค่ต้องติดหนี้ไว้เท่านั้น”
พูดมาถึงตรงนี้ หร่วนฉงก็ชำเลืองตามองบุตรสาว พูดอย่างเป็นกังวลว่า “พ่อแค่ไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน”
จะไปว่าแล้วก็ยังคงเป็นเพราะไม่อยากให้หร่วนซิ่วเข้าสู่วังวนของสถานการณ์นี้เร็วเกินไป
ทุกอย่างที่หร่วนฉงทำลงไป ไม่ว่าจะเป็นออกจากศาลลมหิมะ ใช้การที่ตบะถูกลดทอนมาเป็นค่าตอบแทนสำหรับการเข้ารับหน้าที่อริยะผู้พิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจู จากนั้นก็สร้างภูเขาของตัวเอง ถูกสกุลซ่งต้าหลีเชื้อเชิญให้ไปรับตำแหน่งผู้ถวายงาน ฯลฯ ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเพื่อบุตรสาวทั้งสิ้น
หร่วนซิ่วกลับเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ไม่เป็นไร นิสัยของหยางเหล่าโถว ท่านพ่อเข้าใจด้วยหรือ?”
หร่วนฉงยิ้มเอ่ย “พ่อไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ นั่นแหละ”
นอกจากฉีจิ้งชุนแล้ว ในประวัติศาสตร์ของถ้ำสวรรค์หลีจูมีอริยะของสามลัทธิหนึ่งสำนักมากมายขนาดนั้นที่เคยมาเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ แต่เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าพูดว่าตัวเองเข้าใจความคิดของผู้เฒ่าคนนั้น
หร่วนฉงก็ยิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น
หร่วนซิ่วทอดสายตามองไปทางเมืองเล็ก นางควักผ้าเช็ดหน้าออกมา หยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้น พูดเสียงอู้อี้ว่า “ง่ายมาก ใครที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า ใครที่มีความหวังว่าจะเดินไปได้สูงยิ่งกว่า หยางเหล่าโถวก็ลงเดิมพันก้อนใหญ่กับตัวคนผู้นั้น ข้ารู้สึกว่าข้าเองก็ไม่ถือว่าแย่ ดังนั้นท่านพ่อสามารถลองดูได้ ส่วนค่าตอบแทนจะเป็นอะไร ไม่สู้พูดกับผู้อาวุโสท่านนั้นไปตามตรงเลย ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลสำเร็จรูป ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหน สำนักกระบี่หลงเฉวียนของพวกเราก็ต้องการ ส่วนวันหน้าจะต้องให้ข้าหร่วนซิ่วทำอะไร ก็ต้องดูที่อารมณ์ของหร่วนซิ่ว”
หร่วนฉงกล่าวอย่างกังขา “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
หร่วนซิ่วยิ้มตาหยี สาเหตุคงเป็นเพราะขนมรสชาติไม่เลว อารมณ์ของนางจึงไม่เลวตามไปด้วย นางปัดมือ เอ่ยว่า “ลองดูก่อนสิ”
หร่วนฉงลังเลอยู่เล็กน้อย “จะให้พูดคุยกันแบบนี้จริงๆ หรือ?”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ
นางเตรียมจะยื่นมือออกไป
หร่วนฉงกลับร่ายวิชาอภินิหารของอริยะ มาปรากฏตัวอยู่ที่เรือนด้านหลังของร้านตระกูลหยางอย่างเงียบเชียบแล้ว
หร่วนซิ่วถอนหายใจ ยังนึกอยู่ว่าอยากให้ท่านพ่อซื้อขนมกลับมาให้ด้วย
ไม่ถึงครึ่งก้านธูป หร่วนฉงที่มีสีหน้าปั้นยากก็กลับมาที่ภูเขาเสินซิ่วแห่งนี้ เขามองบุตรสาวของตนแล้วส่ายหน้า พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “หรือว่าจะมีเรื่องดีๆ เหมือนขนมเปี้ยะที่หล่นลงมาจากฟ้าอยู่จริงๆ?”
หากทำการค้ากับหยางเหล่าโถว มีอยู่ข้อหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ ถึงขั้นเรียกได้ว่ามั่นคงน่าเชื่อถือยิ่งกว่าคำสัญญาแห่งภูเขาแม่น้ำใดๆ เสียอีก นั่นก็คือคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของผู้อาวุโสท่านนี้ ล้วนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องกังขาใดๆ
หร่วนซิ่วชำเลืองตามองม่านฟ้า ในใจคิดว่าหากมีขนมร่วงลงมาก็ดีน่ะสิ
……
นครมังกรเฒ่าที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป หลังจากสองเรื่องใหญ่อย่างฝูหนันหัวแต่งงานกับบุตรสาวทายาทสายตรงของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน และเจ้านครต้องรับศึกประมือกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าผ่านไป สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว นั่นก็เป็นแค่ช่วงที่เวลาที่ได้แค่พอพักหายใจหายคอเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นก็ต้องเจอกับเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่า
ซ่งมู่แห่งต้าหลี ในฐานะน้องชายร่วมมารดาของฮ่องเต้ต้าหลีองค์ปัจจุบัน ตอนนี้ได้กลายมาเป็นอ๋องเจ้าแคว้นที่มีอำนาจบารมีมากที่สุดคนหนึ่ง และพื้นที่ศักดินาที่เขาย้ายมาปกครองก็คือนครมังกรเฒ่า โอรสคนอื่นๆ ของอดีตฮ่องเต้ต่างก็ได้รับพื้นที่ศักดินาและสมญานามเช่นกัน เพียงแต่ว่าล้วนเป็นอ๋องสามตัวอักษร ออกจากเมืองหลวงไปยังพื้นที่ของแคว้นใหญ่แต่ละแห่งที่ล่มสลาย ปกครองที่ดินของตัวเอง แต่กลับอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับซ่งมู่ที่เป็นอ๋องอักษรเดียวเคียงบ่าได้ (อ๋องอักษรเดียวเคียงบ่าก็คืออ๋องที่มีชื่อนำหน้าตัวเดียวซึ่งมีตำแหน่งที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับจักรพรรดิได้) ความมีหน้ามีตาถึงระดับนี้ มากพอจะทำให้คนตกใจตายได้
สำหรับคนนครมังกรเฒ่าที่มีชีวิตอิสระเสรีและเอ้อระเหยลอยชายกันมาจนชินแล้ว เดิมทีนี่ควรจะเป็นฝันร้ายอย่างหนึ่ง ทว่าตระกูลใหญ่ๆ หลายแห่งซึ่งรวมถึงตระกูลฝูดูคล้ายจะมีการเจรจากับราชสำนักต้าหลีมาก่อนแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่มีการต่อต้านใดๆ กลับกันแต่ละฝ่ายที่อยู่บนอาณาเขตอันกว้างขวางแถบทางเหนือของนครมังกรเฒ่า และแถบทางใต้ของราชวงศ์จูอิ๋ง กลับพากันทำการค้าอย่างกระตือรือร้น อีกทั้งเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่ต่างคนต่างแบ่งพรรคแบ่งพวก ขีดเส้นอาณาเขตออกจากกันอย่างชัดเจน ตอนนี้ตระกูลใหญ่ทั้งหลายในนครมังกรเฒ่าก็ได้เริ่มหันมาร่วมมือกัน ยกตัวอย่างเช่นตระกูลฟ่านกับตระกูลซุนที่มีความสัมพันธ์แนบแน่น ไม่ว่าใครคิดจะทำการค้าหาเงินจากใครก็ได้ทั้งนั้น ข้อที่เหมือนกันเพียงอย่างเดียวก็คือเส้นทางการค้าของตระกูลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าล้วนมีต้าหลีคอยช่วยเปิดเส้นทางให้ ขอเพียงได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยก็สามารถขอความช่วยเหลือจากกองทัพม้าเหล็กต้าหลี หรือไม่ก็แคว้นใต้อาณัติสกุลซ่งที่อยู่ระหว่างทางได้ทั้งหมด
ดังนั้นเมื่อตระกูลฝูยอมยกพื้นที่เมืองชั้นในครึ่งหนึ่งของนครมังกรเฒ่าให้เป็นที่ตั้งจวนอ๋องของซ่งมู่ จึงไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจอีกแล้ว
แต่ในฐานะจุดศูนย์กลางที่สำคัญของทวีป ช่วงแรกเริ่มกิจการของนครมังกรเฒ่าย่อมได้รับผลกระทบในระดับหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้ฝึกลมปราณจำนวนไม่น้อยที่เห็นนครมังกรเฒ่าเป็นรังเงินรังทองดั่งดินแดนสุขาวดีนอกโลกได้พากันจากไปเงียบๆ เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลงแล้วประเมินสถานการณ์ แต่เมื่อสำนักใบถงและสำนักกุยหยกของทวีปใหญ่ทางทิศใต้พากันแสดงท่าที การค้าของนครมังกรเฒ่าก็พุ่งกลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง กิจการเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ถึงขั้นที่ว่าเฟื่องฟูยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ซ่งมู่เข้ามาพักอยู่ในนครมังกรเฒ่าแล้วก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ผู้ฝึกตนหลายคนจึงพากันกลับเข้ามาเสวยสุขอยู่ในเมืองอีกครั้ง
วันนี้คนหนุ่มที่ถอดชุดคลุมหม่างของอ๋องเจ้าแคว้นออกเรียบร้อยได้เดินออกจากจวน พาสาวใช้ไปเยือนร้านยาเก่าโทรมแห่งหนึ่งที่อยู่เมืองชั้นนอก
ไม่มีผู้ติดตามใดๆ เพราะว่าไม่จำเป็น
ในชายแขนเสื้อของคนหนุ่มมีงูสี่ขาที่บนหัวมีเขางอกตัวหนึ่งนอนขดตัวอยู่
แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าประมุขตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าก็เท่ากับว่าเป็นผู้ถวายงานส่วนตัวของเขาแล้ว
ร้านยาที่ปิดร้านมานานหลายปีเพิ่งจะเปิดร้านทำการค้าใหม่อีกครั้ง เถ้าแก่ก็คือผู้เฒ่าคนหนึ่ง และยังมีเด็กหนุ่มชุดขาวที่กลางหว่างคิ้วมีไฝแดงหนึ่งเม็ด รูปลักษณ์ภายนอกหล่อเหลาจนเกินจริง ข้างกายมีเด็กน้อยที่ลักษณะเหมือนคนทึ่มคนหนึ่ง หน้าตางดงามผิวขาวปากแดงเหมือนกัน ทว่าสายตากลับเลื่อนลอย พูดไม่เป็น น่าเสียดายนัก
ซ่งจี๋ซินเดินเข้ามาในตรอก อากาศในฤดูใบไม้ร่วงเยือกเย็น จื้อกุยสาวใช้ที่อยู่ข้างกายยิ่งนานวันความงามก็ยิ่งเจิดจรัส
เมื่อสองนายบ่าวก้าวข้ามผ่านธรณีประตูร้านยาเข้ามา เถ้าแก่ผู้เฒ่าเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้มานาน จึงไม่รู้สถานะของคุณชายหนุ่มคนนี้ เถ้าแก่ยิ้มถามว่า “มาซื้อยาหรือ? ลูกค้าเชิญเลือกได้ตามสบาย ราคาล้วนเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว”
ซ่งจี๋ซินขมวดคิ้ว ชำเลืองตามองผู้เฒ่าแวบหนึ่ง แล้วจึงเริ่มหันไปเลือกยาสมุนไพร
ส่วนจื้อกุยก็ไปยกม้านั่งของร้านมานั่งที่หน้าประตู
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม หนุ่มสาวสองคนนี้ไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกเลยจริงๆ
—-