กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 530.2 ทรัพย์สินของภูเขาลั่วพั่ว
คนทั้งสี่เดินขึ้นเขาไปด้วยกันช้าๆ
เจิ้งต้าเฟิงกดเสียงลงต่ำบ่นว่า “ไม่มีคุณธรรมขนาดนี้เชียวหรือ?”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “มาคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันก่อน”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างเดือดดาล “เรื่องใหญ่ในชีวิตของพี่น้อง จะไม่เรียกว่าเป็นการเป็นงานได้อย่างไร? มารดามันเถอะ ไอ้ที่ท่วมก็ท่วมทะลัก ไอ้ที่แห้งก็แห้งขอดเลย”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ “ในตำราย่อมมีความงดงามดุจหยก (เปรียบเปรยว่าการอ่านตำราศึกษามีความรู้ทำให้กอดสาวงามกลับบ้านได้) สาวงามในภาพวาดก็มีอารมณ์หลากหลาย”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ “แต่ถึงอย่างไรก็ขาดอะไรไปบางอย่างอยู่ดี”
เว่ยป้อตบไหล่เจิ้งต้าเฟิง พูดปลอบใจว่า “เป็นคนหล่อเหลามีความสามารถขนาดนี้ ยังกลัวว่าจะหาเมียไม่ได้อีกหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงศอกกลับเว่ยป้อ “คำพูดประเภทนี้หากเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอันที่เป็นคนพูด ข้าก็คิดว่าตัวเองคงมีความมั่นใจเปี่ยมล้น แต่เจ้าเป็นคนพูดเนี่ยนะ?”
ตอนที่สุยจิ่งเฉิงเดินขึ้นเขา นางกวาดตามองไปรอบด้าน ความคิดจิตใจจมจ่อมอยู่กับตัวเอง ที่นี่คือบ้านเกิดของผู้อาวุโส
ส่วนหรงช่างนั้นยังมึนงง เดาไม่ออกถึงประวัติความเป็นมาของชายฉกรรจ์หลังค่อม เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มหามรรคาขาดสะบั้น กลายเป็นคนไร้ค่าครึ่งตัว เหตุใดถึงได้สนิทสนมกับเว่ยป้อขนาดนี้? ประเด็นสำคัญคือคนทั้งสองกลับไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง?
สุยจิ่งเฉิงชะลอฝีเท้าให้เนิบช้า มีหญิงสาวคนหนึ่งฝึกวิชาหมัดเดินจากบนภูเขาลงมาด้านล่าง กระบวนท่าหมัดนั้นค่อนข้างจะคุ้นตาอยู่บ้าง สุยจิ่งเฉิงจึงเริ่มมองประเมินรูปโฉมของอีกฝ่ายอย่างละเอียด ยังดี สวย แต่ก็ไม่ได้สวยมากขนาดนั้น
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “น้องเฉิน ดึกขนาดนี้แล้วยังฝึกวิชาหมัดอยู่อีกหรือ ลำบากเจ้ามากแล้วจริงๆ พี่ใหญ่ต้าเฟิงว่าเจ้าผอมลงอีกแล้วนะ”
เฉินยวนจีเพียงแค่ฝึกท่าหมัดเดินนิ่งต่อไป แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน สมาธิแน่วแน่ไม่วอกแวก
เดินลงเขาไปตลอดทาง
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้าเอ่ยชื่นชม “ไม่เป็นไร ในสายตาไม่เห็นพี่ใหญ่ต้าเฟิงก็ถูกต้องแล้ว ฝึกวิชาหมัดต้องตั้งใจนี่นะ ถึงอย่างไรขอแค่ในใจมีพี่ใหญ่ต้าเฟิงก็เพียงพอแล้ว”
เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าอย่าถ่วงเวลาการฝึกหมัดของเฉินยวนจีอีกเลย”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “ข้ากำลังช่วยนางขัดเกลาสภาพจิตใจอยู่ต่างหาก เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ จะไปเข้าใจกะผายลมอะไร ทุกครั้งที่แม่หนูนี่ฝึกหมัดไปกลับระหว่างยอดเขากับตีนเขา ธรณีประตูด่านสำคัญที่แท้จริงอยู่ตรงไหน? ก็อยู่ที่ประตูใหญ่ตรงตีนเขาของข้านั่นอย่างไรล่ะ อย่าเห็นว่าทุกครั้งที่ข้านั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กไม่เคยได้ทำอะไร แท้จริงแล้วสายตาที่แฝงปราณสังหารของข้า ถ้อยคำที่แฝงความลี้ลับอำพราง สตรีผู้ฝึกยุทธทั่วไป จะมีสักกี่คนที่ต้านทานได้ไหว?”
เว่ยป้อทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่ๆๆ เจ้าพูดถูกทั้งหมดเลย”
หรงช่างอัดอั้นในใจยิ่งนัก ชายฉกรรจ์ผู้นี้ แค่ดูจากถ้อยคำและสายตาของอีกฝ่าย หากเกิดและเติบโตมาในเมืองเล็กจริงๆ เหตุใดถึงยังไม่ถูกคนตีตายนะ?
หรือจะบอกว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส เส้นทางของวิถีวรยุทธพังทลายลงกลางคัน ก็คือหายนะที่ออกมาจากปากนี้ของเขา? เพราะฉะนั้นถึงได้กลายมาเป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่ว? จำต้องมาพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของเฉินผิงอัน?
หรือจะบอกว่ามีความนัยอย่างอื่นแอบแฝง ความสามารถไม่เหมือนรูปลักษณ์?
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะร่าชอบใจ “เจ้าอย่าได้ไม่เชื่อเด็ดขาดเชียว สตรีแซ่ลี่ผู้นั้นนั่นไงที่ต้านรับไว้ไม่ไหว สักวันหนึ่งเฉินยวนจีจะต้องขอบคุณในความปรารถนาดีของพี่ใหญ่ต้าเฟิงของนาง ถึงเวลานั้นคงจะอดเช็ดน้ำหูน้ำตาลงบนร่างข้าไม่ได้ แค่คิดภาพนี้ก็ทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งไปถึงทรวงในแล้ว”
เว่ยป้อคร้านจะพูดอะไรอีก
ครั้งนี้อาการจิตกระบี่ไม่มั่นคงของหรงช่างค่อนข้างจะชัดเจนแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงอึ้งตะลึง ย้ายเส้นสายตามามอง พูดอย่างสงสัยว่า “เซียนกระบี่หรง มหามรรคาของเจ้าก็ได้รับผลประโยชน์เหมือนกันหรือ? แบบนี้ไม่สมเหตุสมผลเลย วิธีการเช่นนี้ของข้า โดยทั่วไปแล้วมีไว้ใช้กับสตรีเท่านั้นนะ”
หรงช่างคลี่ยิ้ม “ไม่มีอะไร จากบ้านเกิดมาไกลเป็นพันลี้ เมื่อครู่ก็เลยอดสะท้อนใจไม่ได้ก็เท่านั้น”
เพียงแต่หรงช่างไม่กล้ามองชายฉกรรจ์หลังค่อมเป็นคนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว
เสียงร้องเบาๆ ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตในทะเลสาบหัวใจของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง ปรมาจารย์วิถีวรยุทธทั่วไปจะสามารถรับรู้ได้ในเสี้ยววินาทีได้อย่างไร?
มาถึงกึ่งกลางภูเขา จูเหลี่ยนก็มายืนยิ้มรอต้อนรับอยู่ตรงนั้นแล้ว
ทุกคนเดินเข้าไปในเรือนของจูเหลี่ยนด้วยกัน หรงช่างจึงขอตัวลาจากมา เพราะเจิ้งต้าเฟิงพาเขาไปพักที่อื่น
หรงช่างไม่กังวลถึงความปลอดภัยของสุยจิ่งเฉิงแม้แต่น้อย
ภาพปรากฎการณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ แค่ดูแลภูเขาแม่น้ำของอาณาเขตแห่งหนึ่งก็ได้แล้ว
มหามรรคาของเว่ยป้อต้องยาวไกลมากอย่างแน่นอน
ถ้าเช่นนั้น ‘ผู้อาวุโส’ คนหนึ่งที่แค่พบเจอกับหลิวจิ่งหลงก็สนิทสนมเหมือนรู้จักกันมานาน อีกทั้งยังเป็นเจ้าขุนเขาหนุ่มที่มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับเว่ยป้อ ขนบธรรมเนียมของสำนักเขาจะดีหรือเลว ก็รู้ได้ไม่ยาก
หรงช่างและเจิ้งต้าเฟิงไปเจอกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคนหนึ่งกลางทาง
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “แม่หนูเฉิน ไม่ต้องตื่นขึ้นมาช่วยงานหรอก เรือนพักถูกเก็บกวาดสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดแล้ว ใช่แล้ว ท่านผู้นี้คือแขกที่มาจากอุตรกุรุทวีป เซียนกระบี่ใหญ่หรง”
เฉินหรูชูรีบประสานมือโค้งตัวคารวะ “สาวใช้น้อยแห่งภูเขาลั่วพั่วเฉินหรูชูคารวะเซียนกระบี่หรง”
หรงช่างหัวเราะ
งูเหลือมไฟที่มีโชคชะตาบุ๋นเข้มข้นตัวหนึ่ง?
เป็นเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
เฉินหรูชูหยิบกุญแจพวงใหญ่ออกมา แล้วเลือกพวงเล็กที่อยู่ในนั้นออกมาอย่างงคล่องแคล่ว พอเปิดประตูเรือนแล้วก็ยื่นกุญแจพวงนั้นส่งให้หรงช่าง จากนั้นก็บอกกับผู้ฝึกกระบี่จากอุตรกุรุทวีปผู้นี้อย่างละเอียดว่ากุญแจดอกไหนใช้กับประตูบานใดบ้าง แต่ยังบอกด้วยว่าเมื่อเข้าพักแล้ว ต่อให้จะไม่ลงดาลประตูน้อยใหญ่ก็ไม่เป็นไร อีกทั้งทุกวันนางจะต้องมาทำความสะอาดเรือนเช้าเย็นสองครั้ง หากเซียนกระบี่หรงไม่อยากให้มีคนมารบกวนก็ไม่มีปัญหา แต่หากต้องการคนคอยช่วยยกน้ำส่งชา นางก็พักอยู่ห่างไปไม่ไกล แค่เรียกนางคำเดียวก็พอ หลังจากพูดเรื่องทั้งหมดนี้จบในรวดเดียวก็เดินตามคนทั้งสองเข้าไปในเรือนอยย่างเงียบๆ ในเรือนสะอาดสะอ้าน โล่งปลอดโปร่งจริงๆ แม้จะบอกว่าไม่มีปราณเซียนของจวนตระกูลเซียนอะไร แล้วก็ไม่มีกลิ่นอายความสูงศักดิ์ของตระกูลชนชั้นสูงในราชวงศ์โลกมนุษย์ แต่มองดูแล้วกลับให้ความรู้สึกสบายใจอย่างมาก
หรงช่างไม่มีอะไรที่ไม่พอใจ
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าวกับหรงช่างว่า “จูเหลี่ยนคือผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วเรา แม่หนูเฉินคือผู้ดูแลน้อย บางครั้งเรื่องบางอย่างจูเหลี่ยนก็ยังต้องยกให้นางเป็นดูแล เอาเป็นว่าข้าน่ะชอบแม่หนูเฉินมากเป็นพิเศษ”
เฉินหรูชูยิ้มอย่างเขินอาย
หรงช่างคิดแล้วก็เตรียมจะหยิบของขวัญพบหน้าชิ้นหนึ่งจากในวัตถุจื่อชื่อออกมามอบให้แม่หนูที่หน้าตาน่าเอ็นดูผู้นี้
แต่เฉินหรูชูกลับบอกลาเตรียมจะจากไปแล้ว
ทว่าเจิ้งต้าเฟิงกลับหัวเราะร่าแล้วกดศีรษะเล็กๆ ของนางเอาไว้ นางจึงได้แต่หยุดเดิน
หรงช่างหยิบเอาวัตถุวิเศษขนาดเล็กกะทัดรัดออกมาชิ้นหนึ่ง เป็นเตากำยานสีทองสลักลายปล้องไผ่ ไม่แพง ทว่าราคาไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อยก็ยังถือว่ามีค่า
เฉินหรูชูรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย นางคิดว่ามันล้ำค่าเกินไป ในวัตถุตระกูลเซียนมีปราณวิญญาณซุกซ่อนไว้กี่มากน้อย นางยังพอจะชั่งน้ำหนักได้คร่าวๆ
เจิ้งต้าเฟิงกลับยิ้มกล่าวว่า “ยืนอึ้งอยู่ทำไม รีบรับไว้สิ”
เฉินหรูชูจึงใช้สองมือรับเตากำยานใบน้อยมา จากนั้นก็โค้งตัวคารวะแสดงการขอบคุณ
หลังจากหรงช่างเข้าพักอยู่ในเรือนแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงก็ออกจากเรือน แล้วก็พบว่าแม่หนูชุดกระโปรงชมพูยืนอยู่ห่างจากประตูไปไม่ไกล
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มถาม “เฉินหลิงจวินล่ะ เหตุใดช่วงนี้ไม่เห็นเงาเขาเลย ไปเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหนอีกแล้ว?”
เฉินหรูชูพูดเสียงเบา “ช่วงนี้เขาไปอยู่แถวภูเขาหลังอ๋าวโน่นแน่ะ ชอบเอาแต่เล่นสนุกเรื่อยเปื่อยแบบนี้เสมอ”
ตอนนี้ภูเขาภายใต้ชื่อของนายท่านมีมากนัก
นอกจากภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาเฟิงอวิ๋นและภูเขาเซียนฉ่าวที่ให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนเช่าสามร้อยปีแล้ว
ยังมีภูเขาลั่วพั่วและภูเขาเจินจู
ภายหลังยังซื้อภูเขาฮุยเหมิงที่อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วมากที่สุด แล้วก็มีอาณาบริเวณมากที่สุดมาอีก ภูเขาหนิวเจี่ยวหลังจากที่ร้านผ้าห่อบุญจากไป ภูเขาจูซาที่สกุลสวี่นครลมเย็นย้ายออกไป แล้วยังมีภูเขาหลังอ๋าวกับยอดเขาเว่ยเสีย รวมไปถึงแท่นบูชากระบี่ที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุดของกลุ่มภูเขา ตอนนี้ภูเขาทั้งหกลูกล้วนเป็นเขตอิทธิพลของบ้านตัวเอง นอกจากครอบครัวของพี่หญิงซิ่วซิ่วแล้ว ในเขตการปกครองหลงเฉวียนก็ถือว่านายท่านของตนมีภูเขามากที่สุดแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงพูดโพล่งเปิดเผยความลับขึ้นมาในประโยคเดียว “เขาน่ะหรือ เป็นเพราะทนเห็นเผยเฉียนต้องเผชิญกับความยากลำบากตอนฝึกวรยุทธไม่ได้ บวกกับพอเอามาเปรียบเทียบกันก็ยิ่งรู้สึกว่าวันๆ ตัวเองไม่ทำอะไรที่เป็นการเป็นงาน ในใจรู้สึกผิด ถ้าตาไม่เห็นใจไม่หงุดหงิด ก็เลยออกไปเล่นสนุกมันเสียเลย”
เฉินหรูชูมีสีหน้าหม่นหมอง
เผยเฉียนฝึกวิชาหมัดได้น่าสังเวชยิ่งนัก
ไม่ได้ดีไปกว่านายท่านในอดีตเลยสักนิด
หลังจากเตรียมถังยาสมุนไพรไว้แล้ว ทุกครั้งที่แบกเผยเฉียนที่สลบไสลออกไปจากชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ ภายหลังนางก็ต้องหิ้วถังน้ำขึ้นไปล้างคราบเลือดบนชั้นสองให้สะอาด
บนพื้น บนผนัง ล้วนมีหมด
ทำเอานางที่ได้เห็นน้ำตาร่วงเผลาะๆ หลายครั้งที่เช็ดคราบเลือดไปก็หันไปมองผู้อาวุโสที่นั่งขัดสมาธิ หลับตาเข้าฌานไปด้วย
น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสแสร้งทำเป็นไม่รับรู้
เจิ้งต้าเฟิงตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ “รีบไปพักผ่อนเถอะ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องทำแต่เรื่องซ้ำๆ เหมือนเดิม แล้วต้องทำแบบนี้ไปร้อยปีพันปี ถ้าเจ้าไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อ ข้าล่ะก็นับถือเจ้าจริงๆ หากเฉินหลิงจวินมีความอดทนและมโนธรรมได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ป่านนี้เขาแม่งก็สามารถอาศัยความสามารถของตัวเองทำให้คนอื่นต้องมองเขาเสียใหม่ได้แล้ว ไหนเลยจะต้องมาคอยเสนอหน้าอยู่กับเฉินผิงอันและเว่ยป้อทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้”
เฉินหรูชูกล่าวอย่างละอายใจ “แต่ข้าฝึกตนได้ช้าเกินไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนช่วยไม่ได้เลย”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ “อย่าคิดแบบนี้ หากภูเขาลั่วพั่วไม่มีแม่หนูเฉิน กลิ่นอายความเป็นคนก็ขาดหายไปครึ่งหนึ่ง”
เฉินหรูชูเบิกตากว้าง สีหน้าสดใส “จริงหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะร่า “ห้ามลำพองใจ ต้องขยันตั้งใจให้มากขึ้น”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพยักหน้ารับอย่างแรง
บนภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันคนที่วิ่งไปวิ่งกลับมากที่สุดก็คงจะเป็นแม่นางน้อยคนนี้แล้ว ไปไหนมาไหนตัวคนเดียว แล้วก็ทำเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยอยู่คนเดียวเงียบๆ
ราวกับว่าไม่เคยมีใครสนใจนาง
ทว่าแท้จริงแล้วทุกคนต่างก็สนใจนาง
อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว หากพวกหลูป๋ายเซี่ยงที่อยู่ด้านนอกต้องเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวง แล้วเฉินผิงอันรู้เข้า ด้วยนิสัยดื้อรั้นเช่นนั้นของเขา บางทีอาจจะยังอธิบายเหตุผลกับคนอื่นดีๆ ก่อนตามนิสัยอืดอาดของตัวเอง
แต่หากแม่นางน้อยชุดกระโปรงชมพูถูกคนข้างนอกภูเขารังแก เจ้าคอยดูเถอะว่าเฉินผิงอันจะยังใช้เหตุผลอีกหรือไม่?
เจิ้งต้าเฟิงสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอยแล้วสาวเท้าเดินไปช้าๆ เขาไม่ได้ไปร่วมวงอะไรที่เรือนของจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนทำอะไร ขนาดเฉินผิงอันที่เป็นคนจิตใจละเอียดอ่อนขนาดนั้นก็ยังวางใจปล่อยให้จูเหลียนทำได้ตามสบาย เขาเจิ้งต้าเฟิงที่เป็นผู้ชายหยาบกระด้างคนหนึ่งจะมีอะไรให้ไม่วางใจเล่า
ส่วนสาวงามสวมหมวกที่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วคนนั้น เจิ้งต้าเฟิงมองแล้วก็มองผ่านเลยไป
ก็เหมือนทัศนียภาพในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่าในอดีต
ยามค่ำคืนของฤดูใบไม้ร่วง พระจันทร์ลอยสูงอยู่กลางนภา
เจิ้งต้าเฟิงเดินลงจากภูเขาช้าๆ
เขาเริ่มคาดหวังให้ในอนาคตเฉินผิงอันลงจากภูเขาไปใช้เหตุผลกับคนอื่นซะแล้วสิ
ยกตัวอย่างเช่นภูเขาตะวันเที่ยง และยังมีเมืองหลวงต้าหลี
จุดที่น่าสนใจที่สุดก็คือ เมื่อเฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะไป ก็เป็นช่วงเวลาที่ว่า หลักการเหตุผลของเขา ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูด ทว่าอีกฝ่ายไม่อยากฟังก็ยังต้องฟัง
แต่เจิ้งต้าเฟิงก็คาดหวังอย่างมากว่าในอนาคตภูเขาอื่นๆ นอกเหนือจากภูเขาลั่วพั่ว จะมีคนหลายๆ คนเข้ามาพักอาศัย
ทว่าสิ่งที่คู่ควรแก่การคาดหวังมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่ว่า หากวันใดวันหนึ่งภูเขาลั่วพั่วได้เปิดขุนเขาตั้งสำนักขึ้นมาจริงๆ จะตั้งชื่อว่าอะไรดี
ก่อนหน้านี้ตอนที่คุยกันถึงเรื่องนี้ เขา จูเหลี่ยนและเว่ยป้อต่างก็หันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะครืนขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เสียงหัวเราะไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย
—-