กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 530.4 ทรัพย์สินของภูเขาลั่วพั่ว
เว่ยป้อลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “จะไม่ถามข้าหน่อยหรือว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงได้รู้สถานการณ์ของพื้นที่มงคลดอกบัวได้?”
จูเหลี่ยนโบกมือ “ไม่ต้องบอกข้า อะไรที่สามารถพูดได้ พวกเราสามคนก็เล่าให้กันฟังจนหมดเปลือกแล้ว อะไรที่ไม่สะดวกจะพูด ระหว่างพวกเราสามคนก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครถามหรือใครตอบ มันเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย”
เว่ยป้อยกถ้วยน้ำชาขึ้น “ขอใช้ชาต่างสุรา”
จูเหลี่ยนรีบเอาไหล่ชนกระทบอีกฝ่าย มือสองข้างชูถ้วยชาขึ้นสูง ยิ้มประจบเอ่ยว่า “เทพใหญ่เว่ยคารวะสุรา มิกล้ารับๆ”
หลังจากคนทั้งสองดื่มน้ำชาในถ้วยจนหมดแล้ว เว่ยป้อก็ยิ้มกล่าวว่า “น่าเสียดายที่พี่น้องต้าเฟิงไม่ได้อยู่ด้วย”
จูเหลี่ยนยื่นมือมาลูบคลำท้ายทอย “ในเรื่องของการวางตัวเป็นคน เจ้าและข้าล้วนสู้เขาไม่ได้”
เว่ยป้อไม่มีความเห็นต่าง
ถึงอย่างไรเขาเว่ยป้อก็ไม่ใช่คนอยู่แล้ว
ความได้เปรียบนี้ ล้วนเอาไปจากจูเหลี่ยนเต็มๆ
ได้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ไปจากร่างของพ่อครัวเฒ่าที่ทั้งเล่นหมากล้อมก็ดี ทำการค้าก็เก่งผู้นี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เว่ยป้อลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “ไม่รบกวนเวลาทำมื้อดึกของเจ้าแล้ว”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ แล้วถอนหายใจหนึ่งที “ตอนแรกเป็นข้าที่มั่นใจเกินไป เวลานี้ข้าเริ่มใจฝ่อแล้ว วันหน้าหากนายน้อยของข้ากลับมายังภูเขาลั่วพั่ว ข้าว่าข้าคงต้องไปหลบอยู่กับเจ้าด้วยแล้วหล่ะ”
เว่ยป้อรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น ขยับร่างวูบทีเดียวร่างก็หายลับไป
จูเหลี่ยนลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู
ตรงนั้นมีเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านที่ไหล่ทั้งสองข้างลู่ตกกำลังใช้ศีรษะเคาะประตู
สาเหตุน่าจะเป็นเพราะนางไม่อาจปลุกให้ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของตรอกฉีหลงตื่นขึ้นมาได้
จูเหลี่ยนเปิดประตู เผยเฉียนก็เดินโซเซข้ามธรณีประตูเข้ามา พูดเสียงสั่นว่า “พ่อครัวเฒ่า ข้านอนไม่หลับ มาขอคุยกับเจ้าได้ไหม?”
จูเหลี่ยนปิดประตูแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “มีอะไรที่ไม่ได้กันเล่า”
เผยเฉียนนั่งลงบนม้านั่ง แล้วก็ต้องแสยะปาก รู้สึกเหมือนเนื้อที่ก้นปริแตกเป็นลายพร้อย
คืนนี้ไม่ใช่ว่านางนอนไม่หลับอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเพราะเจ็บปวดทรมานจนข่มตาหลับไม่หลง ตอนนี้นางนึกอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ นัก เมื่อก่อนจะพูดทำไมว่าผ้าห่มถึงจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของตน เวลานี้ก็สมพรปากแล้วไหมเล่า? ผ้าห่มบางๆ ผืนเดียว ยามที่ห่มลงบนตัวกลับเหมือนใบมีดคมกริบอย่างไรอย่างนั้น
จูเหลี่ยนถาม “ไม่หิวหรือ? กินอาหารมื้อดึกไหม? ข้าทำได้เร็วนักล่ะ”
เผยเฉียนส่ายหน้า พูดอย่างอ่อนระโหยว่า “ไม่รู้สึกอยาก”
จูเหลี่ยนถามอีก “มีเรื่องในใจหรือ?”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่ง แต่กลับไม่เปิดปากเล่าอะไร
จูเหลี่ยนถาม “เป็นเพราะติดหนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ จิตใจก็เลยวุ่นวายไม่สงบสุข?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ พูดอย่างอัดอั้นว่า “ตาเฒ่าบอกว่าอีกตั้งหลายวันกว่าข้าจะฝ่าทะลุขอบเขตสาม ถึงเวลานั้นจึงจะพอมีเวลาว่างเอามาใช้คัดตัวอักษรได้ แต่ก็แค่ไม่กี่วันเท่านั้น อีกเดี๋ยวมือเท้าก็ต้องกลับมาอ่อนแรงไม่คล่องแคล่วอีกครั้ง น่ารำคาญชะมัด”
จูเหลี่ยนเพียงแค่ฟังแม่หนูน้อยถ่านดำพูดโดยที่ตัวเขาไม่เอ่ยแทรกอะไร
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้นมองถาดหยกใบใหญ่ (เปรียบเปรยถึงดวงจันทร์) บนท้องฟ้า “เมื่อก่อนน่ะ ตอนอยู่ในตรอกฉีหลงมักจะคิดอยากให้วันใดวันหนึ่งอยู่ดีๆ อาจารย์ก็กลับมาบ้าน แต่เวลานี้ข้าก็ทั้งอยากให้อาจารย์กลับมา แต่ก็กลัวว่าเขาจะกลับมาด้วย หากให้อาจารย์รู้ว่าข้าไม่ได้คัดตัวอักษรมาตั้งหลายวัน…แล้วเขาโมโหจนขับไล่ข้าออกจากสำนัก ข้าจะทำอย่างไร?”
แม่นางน้อยยู่หน้า ปากเบะ ในกรอบดวงตามีน้ำตามาเอ่อคลอ พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ใช่ว่าอาจารย์ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เสียหน่อย ตอนที่เพิ่งออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวใหม่ๆ ตอนอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าราชวงศ์ต้าเฉวียนของใบถงทวีปนั่น เขาก็เคยไม่ต้องการข้าแล้วครั้งหนึ่ง พ่อครัวเฒ่า เจ้าคิดดูนะ อาจารย์ของข้าเป็นคนอย่างไร ขนาดรองเท้าสานขาดๆ เขายังเก็บเอาไว้ อยู่ดีๆ พูดว่าไม่ต้องการข้าแล้วจะไม่ต้องการจริงๆ ได้อย่างไร ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ความ อาจารย์ไม่ต้องการข้าแต่ก็ยังเปลี่ยนใจได้ แต่ตอนนี้ข้ารู้ความแล้ว หากอาจารย์ไม่ต้องการข้าอีก ก็คือไม่ต้องการจริงๆ แล้ว”
จูเหลี่ยนถามเบาๆ “กลัวเรื่องนี้หรือ? เพราะฉะนั้นถึงได้ไม่กล้าเติบโตมาโดยตลอด?”
เผยเฉียนยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าอย่างยากลำบาก “จะไม่กลัวได้อย่างไร เติบโตมีอะไรดีกันเล่า”
อันที่จริงเกี่ยวกับเรื่องของการคัดตัวอักษร จูเหลี่ยนเคยอธิบายให้เผยเฉียนฟังไปแล้ว นางต้องฟังเข้าหูแน่
ดังนั้นสาเหตุที่แท้จริง เป็นเพราะเผยเฉียนไม่อาจพูดมันออกมาได้ เป็นเรื่องที่ถูกนางกดไว้ลึกสุดใจ
จูเหลี่ยนพอจะเดาออกได้คร่าวๆ แต่กลับไม่ได้พูดเปิดโปง
ปีนั้นเฉินผิงอันเคยพูดกับเผยเฉียนเองว่า คนที่เขาต้องการพาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวที่แท้จริง คือเฉาฉิงหล่างผู้นั้น
เวลานั้นสำหรับเผยเฉียนที่มีนิสัยอยู่อีกขั้วหนึ่ง อย่าว่าแต่ชอบเลย แม้แต่รังเกียจเฉินผิงอันก็ยังเคยรู้สึก อีกทั้งยังไม่เคยปิดบังความรู้สึกนั้นต่อนางด้วย
ในสายตาของจูเหลี่ยน คำว่าเติบโตก็เป็นแค่การชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียให้ได้มากกว่าเดิมเท่านั้น
เผยเฉียนจึงอยู่ในสภาพการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เด็กกำพร้าที่เผชิญกับความยากลำบากมาอย่างเต็มกลืน มักจะเชี่ยวชาญการสังเกตคำพูดสีหน้าการกระทำของคนและคิดคำนวณผลได้ผลเสียได้เก่งที่สุด
แต่หลังจากที่นางติดตามอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นางกลับค้นพบว่าเรื่องที่นางถนัดที่สุดเหล่านั้นกลับมีแต่จะยิ่งทำให้นางห่างไกลจากเฉินผิงอันมากขึ้นทุกที
ดังนั้นนางจึงหวาดกลัวการเติบโตมาโดยตลอด แล้วก็คอยเลียนแบบเฉินผิงอันอยู่เงียบๆ มาโดยตลอด เผยเฉียนพยายามจะกลายเป็นเผยเฉียนที่ได้รับการยอมรับจากเฉินผิงอัน
อันที่จริงนี่ไม่มีอะไรที่ไม่ดี
เพราะเฉินผิงอันมีความอดทนมากพอที่จะรอให้เผยเฉียนเติบโตไปอย่างช้าๆ ยิ่งยินดีที่จะถ่ายทอดกฎเกณฑ์มารยาทและวิธีการวางตัวในสังคมรูปแบบต่างๆ ท่ามกลางกาลเวลาที่แตกต่างกันให้กับเผยเฉียน
แต่ใครก็คาดคิดไม่ถึงว่า พื้นที่มงคลดอกบัวจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน หลังจากที่จูเหลี่ยนและเผยเฉียนเข้าไปข้างในนั้น นางกลับได้เห็นภาพนั้นเข้าพอดี
ในความเป็นจริงแล้ว หากภาพที่เผยเฉียนเห็นเป็นเพียงแค่ภาพของเด็กหนุ่มชุดเขียวที่เหมือนเติบใหญ่ภายในค่ำคืนเดียวปรากฎตัวด้วยการเดินถือร่มอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ยังพูดได้ง่าย
ทว่าปัญหานั้นอยู่ที่ในอดีตเผยเฉียนเคยเห็นภาพที่เฉินผิงอันเดินกางร่มเดินกับเฉาฉิงหล่างอยู่ในตรอกที่หน้าตรอกเล็กแห่งนั้นกับตาตัวเองมาก่อน
พอมาถึงใต้หล้าไพศาล ตอนที่ชุยตงซานให้ดูภาพม้าวิ่งของม้วนภาพกาลเวลา ก็ได้เห็นภาพที่คล้ายคลึงกันอย่างถึงที่สุด เป็นภาพของเด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะคนหนึ่งกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่เขาเคารพรักมากที่สุดกางร่มเดินเคียงไหล่กันไปท่ามกลางสายฝน
ดังนั้นเผยเฉียนถึงได้บอกว่า นางจะแพ้ใครก็ได้ มีเพียงเฉาฉิงหล่างที่นางไม่อาจพ่ายแพ้ให้ได้
เพราะเผยเฉียนกลัวว่าเฉาฉิงหล่างที่เติบโตแล้ว และยังโดดเด่นอย่างถึงที่สุดผู้นั้นจะแย่งชิงเอาทุกอย่างที่ความจริงแล้วควรเป็นของเขาเฉาฉิงหล่างกลับคืนไป
เผยเฉียนกลัวว่าวันหนึ่ง ท่ามกลางสายฝน อาจารย์จะถือร่มเดินเคียงไปกับเฉาฉิงหล่าง เดินไกลห่างไปเรื่อยๆ แล้วเฉินผิงอันก็ไม่หันหน้ากลับมาอีก
ถ้าเช่นนั้นเผยเฉียนที่ตัวอยู่บนภูเขาลั่วพั่วและในใต้หล้าไพศาลก็จะเหมือนกลับคืนไปยังหน้าตรอกเล็กของพื้นที่มงคลดอกบัวในปีนั้นอีกครั้ง
ไม่เหลืออะไรเลย
นาทีที่ได้เห็นเฉาฉิงหล่างในพื้นที่มงคลดอกบัวอีกครั้ง
เผยเฉียนเหมือนร่วงตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง มือเท้าเย็นเฉียบ อีกทั้งยังเกิดจิตสังหาร!
แต่เมื่อต้องเลือกระหว่างหาโอกาสสังหารเฉาฉิงหล่าง แล้วจากนั้นก็ต้องสูญเสียอาจารย์ไปอย่างแน่นอน กับตัวเองเลือกที่จะเติบโต แล้วจะต้องเอาชนะเฉาฉิงหล่างให้ได้ เผยเฉียนที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วได้ซึมซับพฤติกรรมมาจากเขา หลังจากเดินออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวและร่มใบถง เมื่อนางกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วอีกครั้ง
นางก็เลือกอย่างหลัง
จูเหลี่ยนใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างระมัดระวัง แล้วถามว่า “หากอาจารย์ของเจ้ากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว ได้พบกับเฉาฉิงหล่างแล้วชื่นชอบเขามาก เจ้าจะเสียใจมากไหม?”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ตอบว่า “ขอแค่ชอบข้ามากที่สุด ข้าก็จะดีใจมาก หากชอบข้าพอๆ กับชอบเฉาฉิงหล่าง ข้าก็จะไม่ค่อยดีใจเท่าไร แต่หากชอบเฉาฉิงหล่างมากกว่าข้า ข้าจะ…เสียใจมาก”
จูเหลี่ยนหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็วางใจได้เลย หนึ่ง สอง สาม สามสถานการณ์นี้ ข้าไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็สามารถรักษาข้อสองและช่วงชิงข้อแรกมาได้”
เผยเฉียนกลอกตามองบน “เจ้าไม่ใช่อาจารย์ข้าสักหน่อย เจ้าเป็นคนพูดจะมีประโยชน์กะผายลมอะไร”
แม้ว่าปากนางจะพูดเช่นนี้ แต่อันที่จริงกลับเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาได้แล้ว
จูเหลี่ยนกลั้นยิ้ม “เชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า แต่ว่าฝึกหมัดมานานขนาดนี้ ติดหนี้มากมายขนาดนั้น ยังไม่ฝ่าทะลุขอบเขตสาม แบบนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไรแล้ว”
เผยเฉียนถอนหายใจแรงๆ ยู่ใบหน้าเล็กๆ ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ดำเกรียมมากสักเท่าไรแล้ว “ก็นั่นน่ะสิ ตาเฒ่าก็บอกเหมือนกันว่าพรสวรรค์ของข้าไม่ได้เลิศล้ำอะไร สู้อาจารย์ของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่ว่าพูดจาเหลวไหลหรอกหรือ ข้าจะเปรียบเทียบกับอาจารย์ได้อย่างไร? ช่างชวนให้คนกลุ้มใจตายจริงๆ!”
จูเหลี่ยนใจสั่นเล็กน้อย
ตนก็แค่พูดเล่นกับเผยเฉียนไปอย่างนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสท่านนั้นจะจิตใจอำมหิตยิ่งกว่า คำพูดระยำที่มโนธรรมในใจถูกหมาคาบไปกินเช่นนี้ เขาพูดออกมาจากปากจริงๆ หรือนี่?!
จูเหลี่ยนนวดคลึงหว่างคิ้ว
ไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรอีกแล้ว
คอขวดขอบเขตสามของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว นั่นคือด่านที่ใหญ่ที่สุดด่านแรก ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าเป็นด่านที่จะตัดสินถึงระดับความสูงต่ำในท้ายที่สุดของผู้ฝึกยุทธ
ความหมายนั้นยิ่งใหญ่ ไม่ต่างอะไรจากการที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาฝ่าทะลุธรณีประตูใหญ่ แล้วได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขอบเขตปลายทางเลย
หากเปลี่ยนมาเป็นการถ่ายทอดวิชาหมัดของคนทั่วไป มีความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตที่น่าตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้ ยังสามารถอธิบายได้ว่ารากฐานถูกปูมาได้ไม่มั่นคงมากพอ ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ต้องคาดหวังคำว่าแข็งแกร่งที่สุดอะไรแล้ว เป็นกระดาษเปียกหนึ่งก้าว ก็ต้องเป็นกระดาษเปียกไปทุกก้าว
ทว่าท่านผู้นั้นที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่ล่ะ?
อยู่ในมือของเขา ดูเหมือนว่าใต้หล้าแห่งนี้จะไม่มีรากฐานขอบเขตวรยุทธที่แข็งแรงมั่นคงที่สุดอะไร มีแต่คำว่าแข็งแรงมั่นคงยิ่งกว่า
เผยเฉียนพลันเงยหน้าขึ้นถามว่า “พ่อครัวเฒ่า เจ้าอยู่ขอบเขตที่เท่าไร?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ขอบเขตแปด ขอบเขตเดินทางไกล”
เผยเฉียนก้มหน้าลง นิ้วมือสั่นสะท้านเบาๆ ลองคำนวณดูแล้วก็ต้องถอนหายใจหนึ่งครั้ง พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง “พ่อครัวเฒ่า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรออีกตั้งสองสามปีกว่าข้าจะไล่ตามเจ้าทันน่ะสิ”
รอยยิ้มจูเหลี่ยนแข็งค้าง “ก็น่าจะใช่…กระมัง”
แต่จากนั้นจูเหลี่ยนก็ต้องถามอย่างสงสัย “เจ้าไม่รู้หรือว่าอาจารย์ของเจ้าขอบเขตอะไร?”
เผยเฉียนมองจูเหลี่ยนด้วยสีหน้าเหมือนมองคนโง่ “ตอนนี้อาจารย์ข้าก็ขอบเขตหกอย่างไรล่ะ”
จูเหลี่ยนยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ “นายน้อยก็มีขอบเขตต่ำกว่าข้าสองขอบเขตไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมเจ้าไม่ไล่ตามให้ทันขอบเขตของอาจารย์เจ้าก่อนเล่า?”
เผยเฉียนมีสีหน้าอึ้งค้าง ดูเหมือนกำลังบอกว่าเจ้าจูเหลี่ยนช่างสมองทึบจริงๆ จากนั้นนางก็ส่ายหน้า พูดเหมือนคนแก่ว่า “พ่อครัวเฒ่า เจ้าละเมออยู่หรือไร ขอบเขตของอาจารย์ข้าไม่ควรต้องคำนวณเพิ่มไปอีกเท่าตัวงั้นรึ?”
จูเหลี่ยนยอมแพ้ทั้งกายทั้งใจแล้วจริงๆ
เผยเฉียนโคลงศีรษะ อารมณ์ดีขึ้นมาก
นางพลันลุกขึ้นยืน ดีดปลายเท้ากระโดดตัวเบาขึ้นไปบนหัวกำแพง จากนั้นก็กระโดดข้ามหลังคาไปอย่างเงียบเชียบ ก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็ไปยืนอยู่บนชายคาที่ตวัดงอน ทอดสายตามองไปทางทิศเหนือ
คาดว่าคงเป็นเพราะตอนนี้ตัวนางเองยังไม่รู้ว่า อะไรที่เรียกว่าปณิธานแห่งหมัดเขย่าขวัญเทพผี
คาดว่าอีกไม่นานนางก็คงไม่ต้องแปะยันต์ไว้บนหน้าผากของตัวเองอีกแล้ว
จูเหลี่ยนพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนในฉับพลัน เงียบงันไปครู่หนึ่งก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เผยเฉียน ก่อนหน้านี้มีสองครั้งที่เจ้าเรอไม่หยุด ผู้อาวุโสพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”
เผยเฉียนเพียงแค่ทอดสายตามองทิศเหนือ แต่ปากก็ตอบกลับมาอย่างขุ่นเคืองว่า “บอกว่าข้ากวนโอ้ย”
อันที่จริงตาเฒ่านั่นยังทำสีหน้ารังเกียจ บอกว่าขอบเขตวิถีวรยุทธของนางเหมือนมดย้ายรังกับเหมือนเต่าคลานต้วมเตี้ยม แต่ว่าคำพูดประเภทนี้ นางรู้คนเดียวก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยความปากมากของพ่อครัวเฒ่า ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้คนทั้งภูเขาลั่วพั่วอาจจะรู้เรื่องกันก็ได้
จูเหลี่ยนตบหน้าผากตัวเอง
เขารู้สึกเสียใจภายหลังจริงๆ ที่ปล่อยให้เผยเฉียนรีบฝึกวิชาหมัดเร็วขนาดนี้
จูเหลี่ยนใช้หัวเข่าคิดยังรู้เลยว่า รอให้เฉินผิงอันกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วค้นพบความผิดปกติของเผยเฉียน เขาและเจิ้งต้าเฟิง รวมไปถึงเว่ยป้อ ไม่ว่าใครก็หนีไม่รอดทั้งนั้น รับรองว่าต้องโดนด่าจนไม่เหลือชิ้นดีแน่นอน
บางทีในสายตาของคนนอก ภูเขาลั่วพั่วอาจมีคนแปลกและเรื่องประหลาดมากมาย แต่ในสายตาของคนบนภูเขาลั่วพั่วเอง คงจะเป็นเผยเฉียนที่ประหลาดที่สุด
แน่นอนว่ายังมีเฉินผิงอันที่ประหลาดยิ่งกว่า
อาจารย์ทุกคนในใต้หล้าแห่งนี้ล้วนปิติยินดีที่ตัวเองมีลูกศิษย์เฉลียวฉลาดอย่างเผยเฉียน
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ค่อยเหมือนคนอื่น
หาใช่ว่าเขาคิดคำนวณไม่เป็น ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ คนหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นนักบัญชีอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนมาสามปีผู้นี้ ถนัดเรื่องคิดคำนวณเป็นที่สุด
เขาก็แค่คาดหวังอย่างถึงที่สุดว่าข้างกายจะมีคน ต่อให้จะมีแค่คนเดียวก็ตาม แต่ก็หวังให้บนไหล่ของคนผู้นั้นแบกกิ่งหลิวกิ่งหยางและทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิอยู่ท่ามกลางกาลเวลาที่เดิมทีควรจะไร้ทุกข์ไร้กังวล
หลังจากนั้นถึงจะเป็นฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ มหามรรคายาวไกล
เผยเฉียนก้มหน้าพูด “พ่อครัวเฒ่า ข้าไปแล้วนะ”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ
เผยเฉียนจึงกระโดดขึ้นสูง พลิ้วกายลงบนหัวกำแพง แล้วก็ทะยานร่างขึ้นอีกครั้ง เพียงชั่วพริบตาร่างก็หายวับไป
ประหนึ่งถ้อยคำที่เขียนไว้บนหนังสือที่ชุยตงซานอ่าน
กระโดดขึ้นบนหลังคา แผ่นกระเบื้องไร้เสียง แสงจันทร์กระจ่าง ไปมาประดุจนกโบยบิน
—-