กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 531.3 เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเขากับเหล่าลูกศิษย์
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 531.3 เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเขากับเหล่าลูกศิษย์
พื้นที่มงคลอยู่ที่พื้นอยู่ที่คน อยู่ที่วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดิน ถ้ำสวรรค์อยู่ที่การฝึกตนได้บรรลุมรรคา
นี่ก็คือ ‘ความต่างราวฟ้ากับดิน’ ตามความหมายของตัวอักษร
แน่นอนว่าสถานการณ์ที่ดีที่สุดก็คือสำนักแห่งหนึ่งได้ครอบครองถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นสำนักโองการเทพที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลชิงถาน ขณะเดียวกันก็ยังมีถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่ในอันดับสามสิบหกแห่งอย่างถ้ำสวรรค์หลีจู ถ้ำสวรรค์วังมังกร เพราะระดับขั้นไม่สูงมากพอ แต่ถึงอย่างไรถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กก็ยังคงเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก เทียบกับสถานที่วิเศษฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์แล้ว นอกจากปราณวิญญาณจะมีมากยิ่งกว่า กุญแจสำคัญก็คือยังมีความลี้ลับอีกหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นลมปราณแห่งมหามรรคา และยังมีวัตถุสีทองบางอย่างที่ถูกแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลรินผ่านชะล้างให้กลายเป็นตะกอนทับถม ลักษณะของมันจะเป็นเม็ดเล็กๆ ส่องแสงสว่างเรืองรอง
ถ้ำสวรรค์นาข้าวแห่งนี้ยังมีความลี้ลับมหัศจรรย์คล้ายกับบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำด้วย ดังนั้นจึงเหมาะให้หลิวเสี้ยนหยางนำมาใช้ฝึกกระบี่ได้ในระดับหนึ่ง
อันที่จริงผู้เฒ่ายังมีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่เหมาะสมกับคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นมากกว่านี้อยู่อีก
แต่ยังไม่เหมาะให้เอาออกมาในเวลานี้
ทำการค้ากับคนอื่น อย่าได้เอาแต่เสนอตัวทุ่มของดีมากเกินไป เพราะจะทำให้ขายได้ราคาไม่สูง
หร่วนซิ่วขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “ไม่มีเศษซากพื้นที่ลับที่เป็นธาตุไฟหรือ?”
หลี่หลิ่วเอ่ย “ต่อให้ตาเฒ่ามีก็ไม่มีทางมอบให้เจ้า เจ้ากล้ารับไว้ พ่อของเจ้าก็ต้องเอากลับไปคืนอยู่ดี และข้าก็ยิ่งไม่มีทางเสียเวลาเดินทางกลับมาเพราะเรื่องแบบนี้แน่”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ “ขอบใจเจ้ามาก”
หลี่หลิ่วไม่ได้ตอบรับ
หร่วนซิ่วหยิบขนมที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าออกมาอีกครั้ง “กินหรือไม่?”
หลี่หลิ่วลังเลอยู่เล็กน้อย แล้วจึงหยิบขนมหนึ่งชิ้นขึ้นมาวางใส่ปาก
หร่วนซิ่วยิ้มตาหยี รู้สึกดีใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็เอ่ยว่า “วันหน้าก่อนจะฆ่าเจ้าตาย เจ้าสามารถกินได้อีกครั้ง”
หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “ข้ากินขนม เจ้ากินข้า ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเจ้าที่ได้กิน นับว่าเป็นการค้าที่ดี”
หร่วนซิ่วเก็บขนมลงไป ยิ้มมองไปยังทิศไกล “แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เจ้าจะกินข้านี่นา ข้ารู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้ว ไม่ต้องมีพันธนาการมากมายพวกนั้น อยากกินก็ได้กิน”
เผาแม่น้ำต้มมหาสมุทร หมื่นสรรพสิ่งล้วนสามารถกินได้
หร่วนซิ่วเอ่ยถาม “เรื่องในอดีตข้าจำไม่ได้แล้ว ครั้งสุดท้ายที่พวกเราประมือกัน ใครแพ้ใครชนะ?”
หลี่หลิ่วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แพ้ทั้งคู่”
หลี่หลิ่วเอ่ยถาม “ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักกระบี่หลงเฉวียนทั้งสิบสองคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นหมากที่คนอื่นเอามาแทรกแซงไว้ เหตุใดเจ้าถึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น?”
หร่วนซิ่วพูดด้วยสีหน้าเหลอหลา “คนอื่นเอามดสองสามตัวมาใส่ไว้ในเล้าไก่ เจ้าต้องไปสนใจด้วยหรือ?”
หลี่หลิ่วหัวเราะทันใด
มดที่น่าสงสาร
ในบรรดานั้นเกรงว่าคงจะเป็นเซี่ยหลิงที่น่าสงสารที่สุด
หร่วนซิ่วถามเหมือนไม่ใส่ใจ “เจ้าอยู่อุตรกุรุทวีปได้เจอคนคุ้นเคยหรือไม่?”
หลี่หลิ่วกล่าว “เคยเดินสวนกันในสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูก ไม่ได้ไปทักทาย เพราะถึงอย่างไรวันหน้าก็ต้องได้พบกันที่ยอดเขาสิงโตอยู่ดี”
หร่วนซิ่วร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่รู้จักเข้าสังคมสักเท่าไร”
หลี่หลิ่วหัวเราะหยัน “ไปสู้กันในพื้นที่มงคลพยับหมอกสักรอบไหมล่ะ?”
“ไม่ไป เห็นๆ กันอยู่ว่าต้องแพ้แน่นอน แล้วยังเป็นการค้าที่ต้องขาดทุนด้วย สู้กันไปสู้กันมา ปราณวิญญาณของพื้นที่มงคลกระจายหายไป ปีศาจใหญ่บาดเจ็บล้มตาย ไม่มีความหมาย”
หร่วนซิ่วส่ายหน้าเอ่ยว่า “นิสัยเช่นนี้ของเจ้า ปีนั้นข้าไม่ได้ฆ่าเจ้าตาย ก็หมายความว่าข้านิสัยดีมากจริงๆ”
หลี่หลิ่วทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ใช้สองมือรองต่างหมอน “ก็ค่อนข้างดีนั่นแหละ”
หร่วนซิ่วชำเลืองตามองไปยังทิศสูง มีคนสองคนทะยานลมมุ่งหน้าไปทางทิศใต้
นางมองแวบหนึ่งแล้วก็ไม่คิดจะสนใจอีก
……
บุรุษคนหนึ่งที่นั่งเรือข้ามฟากของตระกูลตนเองมาเยือนท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยว ข้างกายมีสาวใช้นามว่ายาเอ๋อร์คนหนึ่งติดตามมาด้วย
คนทั้งสองทะยานลมมุ่งหน้าไปยังภูเขาลั่วพั่วโดยตรง
เขามีป้ายกระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างขึ้น คราวก่อนที่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วก็ได้ถือโอกาสซื้อมันมาจากจวนตระกูลเซียนในพื้นที่แห่งหนึ่ง และเวลานี้ก็แขวนมันไว้ที่เอว
อาศัยสถานะของตัวเองมาซื้อขายในราคาเดิม เรื่องแบบนี้ เขาทำไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับว่ามีคุณธรรมหรือไม่มี
ราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวไม่ยอมขาย ให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นอีก อีกฝ่ายถึงจะขายยอมขายอย่างรวดเร็ว ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังมีราคาแค่หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น
พอมาถึงตีนเขาก็พลิ้วกายลงสู่เบื้องล่าง
เขาตะโกนเสียงดัง “พี่น้องต้าเฟิง!”
ชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งที่กำลังนั่งอาบแดดอยู่บนม้านั่งหน้าประตูใหญ่รีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งมาหา พร้อมเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “โอ้ พี่น้องโจวเฟยมาแล้วหรือนี่!”
หญิงสาวหน้าตางามพิลาสที่อยู่ข้างกายเจียงซ่างเจินก็คือยาเอ๋อร์ที่ถูกพาตัวออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว
หลังจากมองรูปโฉมอีกฝ่ายแล้ว เจิ้งต้าเฟิงก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “ท่วมทะลักจริงๆ!” (มาจากประโยคว่าไอ้ที่แห้งก็แห้งแล้งจนตาย ไอ้ที่ท่วมก็ท่วมทะลักจนตาย เปรียบเปรยถึงสถานการณ์สองอย่างที่ต่างกันสุดขั้ว อย่างเช่นว่าบางคนที่รวยก็รวยค้ำฟ้า บางคนที่จนก็แทบไม่มีจะกิน ประโยคนี้เหมือนเจิ้งต้าเฟิงจะบอกว่าเจียงซ่างเจินมีสตรีรายล้อมไม่ขาด แต่ตัวเองกลับหาไม่ได้สักคน)
เจียงซ่างเจินถาม “ขึ้นไปบนภูเขาได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ได้สิ แต่ช่วงนี้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราค่อนข้างจะฝืดเคือง ก็เลยมีกฎบนภูเขาข้อใหม่ ใครที่เดินผ่านประตูขึ้นเขาจะต้องจ่ายค่าผ่านทางก้อนเล็กๆ ในเมื่อเป็นพี่น้องโจวเฝย ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องทำตัวหน้าไม่อาย ยอมบิดเบือนกฎเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวสักครั้ง พี่น้องโจวเฝยจะให้เท่าไรก็ตามสบายเถอะ ถึงอย่างไรสถานะของเจ้าก็วางอยู่ตรงนั้น เป็นคนกันเองครึ่งตัวที่ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะได้เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วเราแล้ว จะให้เท่าไรก็ได้”
เจียงซ่างเจินหัวเราะร่าพลางหยิบเงินฝนธัญพืชออกมาหนึ่งเหรียญ แล้ววางลงบนมือของเจิ้งต้าเฟิง
เจิ้งต้าเฟิงเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ “มิกล้ารับๆ นี่เยอะเกินไปแล้ว”
ยาเอ๋อร์มองชายฉกรรจ์หลังค่อมหน้าไม่อายผู้นี้แล้ว สมองที่เฉลียวฉลาดอย่างถึงที่สุดของนางก็แทบจะแล่นต่อไม่ได้
เจิ้งต้าเฟิงเดินขึ้นเขาไปพร้อมกับเจียงซ่างเจิน พลางถามว่า “มาครั้งนี้มีธุระอะไรหรือ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มตอบ “มาแสดงความขอบคุณต่อภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ตอนนี้ทะเลสาบซูเจี่ยนของข้ามีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าขุนเขาของพวกเจ้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขาทั้งสิ้น นอกจากนี้ก็ยังได้ยินมาว่าเทพภูเขาเว่ยจัดงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งที่สอง ข้าพลาดไปทั้งสองครั้ง รู้สึกผิดมากจริงๆ ในใจคันคะเยอ จึงจำเป็นต้องเดินทางมาเยือนด้วยตัวเองสักรอบ หนึ่งเพื่อขอบคุณ อีกหนึ่งเพื่อขออภัย ล้วนต้องชดเชยให้ทั้งสิ้น”
ทะเลสาบซูเจี่ยนมีสำนักแห่งใหม่ปรากฏขึ้นมา มีชื่อว่าสำนักเจินจิ้ง (เจินจิ้งจง มีตัวอักษรจงในชื่อ) นี่คือเรื่องใหญ่ที่คนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็รู้กันถ้วนทั่ว
หากไม่เป็นเพราะเสียงกีบเท้าม้าบนอาณาเขตของทวีปดังอึงอลเกินไป นี่ย่อมมากพอจะทำให้ผู้ฝึกตนบนภูเขานำมาพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินได้เนิ่นนานเป็นแน่
สำนักเจินจิ้งคือสำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของใบถงทวีปในทุกวันนี้
หัวหน้าผู้ถวายงานอย่างหลิวเหล่าเฉิงคือผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป
นอกจากนี้ผู้ถวายงานยังมีหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแห่งเกาะชิงเสีย
รวมไปถึงผู้ฝึกตนใหญ่ที่แข็งแกร่งอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเดินทางมาจากสำนักกุยหยก
และตอนนี้ยังมีลี่ไฉ่เซียนกระบี่หญิงแห่งอุตรกุรุทวีปมาเพิ่มอีกคนหนึ่ง กลายมาเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนัก
พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม
ในช่วงเวลานี้ทุกสถานที่บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็พากันย้ายสายตาไปมองสำนักโองการเทพมากขึ้น
ด้วยสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าระหว่างงูเจ้าถิ่นกับมังกรข้ามแม่น้ำจะตีกันบนเวทีหรือไม่ เพราะหากเป็นกระแสคลื่นใต้น้ำที่ไหลอยู่ใต้โต๊ะ ถึงอย่างไรก็ไม่ตระการตาน่าชมเท่ากับการที่ผู้ฝึกตนใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต่อสู้เอาเป็นเอาตายกัน
สำนักโองการเทพ เจ้าสำนักฉีเจินคือเทียนจวินที่มีตบะขอบเขตสิบสอง อีกทั้งยังได้รับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งมาจากเจ้าลัทธิระบบเต๋า นอกจากนี้สำนักโองการเทพที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็มีสำนักเบื้องบนเป็นที่พึ่งเช่นกัน และดูเหมือนว่าทุกวันนี้ศิษย์น้องของฉีเจินจะไปรับหน้าที่สำคัญอยู่ที่สำนักเบื้องบน
เพียงแต่ว่าจากการอนุมานวิเคราะห์ของผู้ฝึกตนแจกันสมบัติทวีป ในระยะเวลาร้อยปีต่อจากนี้สำนักเจินจิ้งคงยังต้องขยับขยายพื้นที่อย่างระมัดระวังอยู่ดี
สกุลซ่งต้าหลีย่อมไม่อนุญาตให้อยู่ดีๆ แจกันสมบัติทวีปก็มีสำนักใหญ่มีอิทธิพลโผล่ขึ้นมาอย่างแน่นอน
และในความเป็นจริงแล้วสำนักเจินจิ้งก็รักษากฎเกณฑ์เป็นอย่างดี ต่อให้จะจัดการกับเกาะมากมายในทะเลสาบซูเจี่ยนไปแล้วรอบหนึ่ง แต่นอกจากวิธีการนองเลือดที่ใช้ในช่วงแรกเริ่ม ตามคำกล่าวที่ว่าผู้ปฏิบัติตามรุ่งเรือง ผู้ขัดขืนมอดม้วยแล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าเริ่มเขาสู่สภาวะที่มั่นคง ความตึงเครียดเบาบางลง ผู้ฝึกตนและเกาะต่างๆ ที่ฉลาดมากพอต่างก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวแตกต่างกันไป แล้วพวกเขาก็ค้นพบว่าหลังจากหลิวจื้อเม่าถูกจัดการไปรอบหนึ่ง หากไม่พูดถึงเรื่องกฎเกณฑ์พันธนาการของสำนัก อันที่จริงศักยภาพและกำลังทรัพย์ของเกาะแต่ละแห่งก็ไม่เพียงแต่ไม่ลดลง กลับกันยังเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากก็คือ สถานที่ที่ผู้ฝึกตนปะปนกันหลากหลาย ไร้ขื่อไร้แปมากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ ดูคล้ายว่าจะเปลี่ยนแปลงไปภายในค่ำคืนเดียว อยู่ดีๆ แต่ละคนก็กลายมาเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล อีกทั้งยังเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อด้วย
ระหว่างนี้เกาะจูไชพยายามจะย้ายออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน สำนักเจินจิ้งได้ตัดแบ่งเกาะหลายแห่งที่มีภูเขาสายน้ำเชื่อมโยงกันอยู่แถบหนึ่งออกไป ทว่ายังไม่ได้ตัดสินใจเสียทีว่าจะยกให้เป็นของใคร ผู้ฝึกตนใหญ่บางท่านของสำนักเจินจิ้งปิดด่านกะทันหัน ก็ล้วนถือเป็นเรื่องเล็ก
จูเหลี่ยนมารับรองเจียงซ่างเจิน พูดคุยกันอย่างถูกคอ
เจียงซ่างเจินเอาสมบัติอาคมที่มีมูลค่าควรเมืองออกมาสองชิ้น เพื่อเป็นของขวัญกราบภูเขาชดเชยที่ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีทั้งสองครั้ง รบกวนให้จูเหลี่ยนช่วยส่งมอบต่อให้กับเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นอีกที
นอกจากนี้แล้ว เจียงซ่างเจินยังเตรียมสมบัติหนักตระกูลเซียนเอาไว้ล่วงหน้าอีกสองชิ้นเพื่อนำมาเป็นของขวัญขอบคุณที่เจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วช่วยช่วงชิงผู้ถวายงานขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งมาให้กับสำนักเจินจิ้ง
จูเหลี่ยนจึงบอกว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ นั่นเป็นถึงเซียนกระบี่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังเป็นเซียนกระบี่จากอุตรกุรุทวีปด้วย พี่น้องโจวเฟยมอบของมาให้แค่สองชิ้น คงไม่เหมาะสักเท่าไร สามชิ้นจึงจะค่อนข้างสมเหตุสมผล
ตอนนั้นเจียงซ่างเจินที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินของลานบ้านขนาดเล็กตบเข่าฉาด บอกว่าทำไมตนถึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ ผิดไปแล้วๆ ดังนั้นจึงหยิบของออกมาอีก…สองชิ้นทันที
ยาเอ๋อร์ทนมองไม่ไหว
หลังจากที่นางออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็ทั้งเคยได้เห็นวิธีการที่มองดูเหมือนกำเริบเสิบสาน แต่แท้จริงแล้วล้วนเต็มไปด้วยกลอุบายของเจียงซ่างเจินตอนอยู่ในสำนักกุยหยก และยังเคยติดตามเจียงซ่างเจินไปยังพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ยิ่งเคยได้เห็นความเย็นชาไร้ปราณีของเขา ยามที่ฆ่าพวกเซียนดินของพื้นที่มงคลที่ไม่ยอมทำตามกฎเหมือนกับบิดคอลูกเจี๊ยบ ตาไม่กะพริบเลยสักครั้ง สุดท้ายพอไปถึงทะเลสาบซูเจี่ยน แม้ว่าเจียงซ่างเจินจะไม่เคยออกคำสั่งอย่างเป็นรูปธรรมมาก่อน ราวกับว่าทำตัวเป็นนายท่านใหญ่ที่ไม่สนใจฟ้าไม่แยแสดิน เป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านไม่สนใจจะทำงาน แต่ไม่ว่าจะเรื่องราวหรือผู้คนที่อยู่รอบตัว กลับทำให้ยาเอ๋อร์ที่มีชาติกำเนิดมาจากลัทธิมาร ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับการโคจรกฎเกณฑ์ของสำนักใหญ่ได้อย่างคร่าวๆ มองออกถึงตราประทับของการวางตัวในสังคมที่เจียงซ่างเจินนาบลงไปอย่างไร้รูปลักษณ์
ดังนั้นนางจึงยิ่งสงสัยใคร่รู้ว่า เจ๋อเซียนหนุ่มแซ่เฉินในปีนั้นคู่ควรให้เจียงซ่างเจินให้ความสำคัญกับเขามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? อีกอย่างตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้อยู่บนภูเขาบ้านตัวเองด้วยซ้ำ
ยาเอ๋อร์ในทุกวันนี้ไม่ใช่กบใต้บ่อของพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนั้นอีกแล้ว
นางเคยเห็นทัศนียภาพของจุดที่สูงที่สุดของใบถงทวีปมาแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงเห็นเช่นนี้ก็พลันอารมณ์ดี
ดีนักนะ
ภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาจูซา ภูเขาเว่ยเสีย ภูเขาหลังอ๋าว
วัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะของภูเขาสี่ลูกใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วล้วนมีครบแล้ว
และจุดที่พี่น้องโจวเฝยคนนี้ฉลาดมากที่สุดก็อยู่ที่ว่าวัตถุสยบความชั่วร้ายทั้งสี่ชิ้นที่ระดับขั้นไม่ธรรมดานี้ ในอนาคตสามารถนำมาเป็นวัตถุที่ช่วยส่งเสริมเกื้อหนุนได้ ซึ่งก็หมายความว่าขอแค่ภูเขาลั่วพั่วเจอสมบัติหนักตระกูลเซียนที่เหมาะสมยิ่งกว่า นำมาใช้พิทักษ์ขุนเขาสายน้ำของภูเขาเหล่านี้ การส่งถ่านท่ามกลางหิมะในวันนี้ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพรในวันหน้า
แน่นอนว่าการที่เจ้าสำนักเจินจิ้งผู้นี้ใช้วิธีการที่ฉลาดเฉลียวเช่นนี้ได้ มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
ต้องมีเงิน!
แต่นี่ก็ปกติ พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแห่งนั้นคือสถานที่ดีเยี่ยมที่สามารถทำให้พวกผู้ฝึกตนจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มีดวงตาแปะอยู่บนหน้าผากพากันไปเยี่ยมชมเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงมานาน
และยิ่งเป็นต้นกำเนิดของรายรับมหาศาลของตลอดทั้งสำนักกุยหยก
ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงฆ่าหมู ฆ่าหมูตัวอวบอ้วน (อวบอ้วนภาษาจีนใช้คำว่าโจวเฝย)
คนหนึ่งยินดีตี คนหนึ่งยอมถูกตี ทุกคนต่างก็ปิติยินดี คาดว่าพี่น้องโจวเฝยที่มีความกระตือรือร้นผู้นี้ยังรังเกียจด้วยซ้ำว่ามีดที่จูเหลี่ยนจ้วงแทงลงมาบนร่างของตนยังไม่เร็วพอ?
ในเมื่อมาถึงภูเขาสอพลอ อืม…ภูเขาลั่วพั่ว ทั้งสองฝ่ายก็ย่อมต้องวัดระดับความสูงต่ำของมรรคกถากันหน่อย
การเดินทางมาเยือนภูเขาลั่วพั่วครั้งนี้ เจียงซ่างเจินที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมกลับต้องพ่ายแพ้ตกเป็นรองอีกครั้ง
เพราะว่าท่าไม้ตายของจูเหลี่ยนก็คือประโยคที่บอกว่าเผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่ของเฉินผิงอันมีขอบเขตเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ประโยคเดียวตัดสินทุกอย่าง
เจียงซ่างเจินล่ะนับถือเขาจริงๆ
ยาเอ๋อร์ที่นั่งฟังอยู่ด้านข้างรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด
และในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็คุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันเสียที
ยาเอ๋อร์ระมัดระวังตัวอย่างมาก
เพราะสายตาของชายฉกรรจ์หลังค่อมผู้นั้นทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนจริงๆ
ทว่าบางครั้งที่เผลอไปสบตากับอีกฝ่าย สายตาของอีกฝ่ายกลับไม่ได้ชวนขนลุกสักเท่าไร
นี่จึงทำให้นางรู้สึกจนใจเล็กน้อย
ยาเอ๋อร์ตัดสินใจแล้วว่าวันหน้าจะไม่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วอีกเด็ดขาด
“ข้าต้องการผลเก็บเกี่ยวสองส่วนของพื้นที่มงคลรากบัว ไม่มีเวลาจำกัด แต่ต้องยาวนานตลอดไป”
เจียงซ่างเจินยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว “เงื่อนไขที่ข้าจะเสนอ ข้อแรก สำนักเจินจิ้งจะให้ภูเขาลั่วพั่วยืมเงินก่อนหนึ่งพันเหรียญเงินฝนธัญพืช พอเลื่อนเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางแล้วค่อยให้ยืมอีกสองพันเหรียญ หลังจากเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง จะยังให้ยืมอีกสามพันเหรียญ ไม่ต้องมีดอกเบี้ย แต่เงินฝนธัญพืชทั้งสามก้อน เฉินผิงอันกับภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องคืนให้กับสำนักเจินจิ้งของพวกเราภายในระยะเวลาร้อยปี ห้าร้อยปี และพันปี ไม่อย่างนั้นจะต้องมีส่วนต่างเพิ่มเติม ส่วนข้อที่ว่าจะใช้เงินคืนเงิน หรือใช้คนคืนหนี้ พวกเราทั้งสองฝ่ายสามารถปรึกษากันได้ ตอนนี้ยังไม่ต้องลงรายละเอียด ข้อที่สอง ข้าจะดึงกำลังคนมาจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาให้เข้าไปที่พื้นที่มงคลรากบัว รับผิดชอบช่วยจัดการงานเล็กๆ น้อยๆ ให้กับภูเขาลั่วพั่ว ข้อที่สาม ข้ายังสามารถนำพื้นที่แถบริมขอบด้านนอกของทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งเป็นเกาะทั้งหมดหกแห่งออกมาในรวดเดียว ไม่ได้ให้เช่า แต่มอบให้กับภูเขาลั่วพั่วโดยตรง”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด
เจียงซ่างเจินเองก็ไม่รีบร้อน
—-