กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 531.4 เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเขากับเหล่าลูกศิษย์
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 531.4 เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเขากับเหล่าลูกศิษย์
จูเหลี่ยนพลันเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ตอนนี้เงินเทพเซียนนั้นมีค่าที่สุด คนไม่มีค่ามากที่สุด แต่ช่วงเวลาอันยาวนานต่อจากนี้ไป กลับบอกได้ยากแล้ว พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของพี่น้องโจวเฝยมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ แน่นอนว่าย่อมร้ายกาจมาก ขนาดพื้นที่ของพื้นที่มงคลรากบัวอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้ติด ทว่าประชากรนั้น แคว้นหนันเยวี่ยนยี่สิบล้านคน อีกสามแคว้นที่เหลือซึ่งรวมถึงแคว้นซงไล่ด้วย รวมกันแล้วก็มีสี่สิบล้านคน ไม่ถือว่าน้อยเลยจริงๆ”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง รีบสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมาปกคลุม แล้วจึงเอ่ยเนิบช้าว่า “คำพูดแบบนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนนอก บางทีเจ้าสำนักผู้เฒ่าสวินท่านนั้นของพวกเราอาจจะเชื่อ น่าเสียดายที่บังเอิญยิ่งนัก ข้าคือเจ๋อเซียนที่เดินออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว จึงพอจะเดาวิธีการของเจ้าอารามผู้เฒ่าคนนั้นออกได้คร่าวๆ ดังนั้นนอกเหนือจากแคว้นหนันเยวี่ยน พื้นที่อิทธิพลที่เป็นดั่งกระดาษเปียกและคนกระดาษในแคว้นต่างๆ ซึ่งรวมถึงแคว้นซงไล่ด้วยนั้น ในระยะเวลาสั้นๆ จิตวิญญาณของคนยังบางเบากระจัดกระจาย โชคชะตาของภูเขาแม่น้ำก็ยิ่งอ่อนจางจนสามารถมองข้ามไปได้โดยตรง ได้แต่อาศัยแคว้นหนันเยวี่ยนที่เป็นของแท้แน่นอนมาช่วยแบ่งเบา ชดเชย ดังนั้นทุกคนและวัตถุทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือจากแคว้นหนันเยวี่ยนในทุกวันนี้จึงไม่มีค่าพอให้พูดถึง ไม่มีค่าแม้แต่น้อย ได้แต่รอคอยไปอย่างช้าๆ นานวันเข้า ถึงจะมีค่ามากขึ้นในทุกขณะ ดังนั้นข้าถึงได้ยืนกรานในคำว่า ‘ตลอดกาล’ อย่างไรเล่า”
จูเหลี่ยนทั้งไม่ยอมรับแล้วก็ไม่ปฏิเสธ เขายิ้มกล่าวว่า “สองส่วน อีกทั้งยังเป็นผลประโยชน์ที่ได้รับไปตลอดกาล ค่อนข้างจะมากไปสักหน่อย”
แต่สำหรับพี่น้องโจวเฝยผู้นี้ เขายังคงมองอีกฝ่ายสูงขึ้นมาอีกหน่อย
นี่เรียกว่าใช้การคำนวณของคนมาเดาการคำนวณฟ้า เมื่อเดาได้แล้ว ก็ถือว่าเป็นความสามารถ ต้องยอมรับ
แต่ในขณะเดียวกัน แท้จริงแล้วในใจของเจียงซ่างเจินก็มีความคิดที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร
จูเหลี่ยนเองก็เดิมพันด้วยการเอาสถานการณ์ใหญ่มากดราคาเช่นกัน
ประเด็นสำคัญคืออีกฝ่ายเดาถูกแล้ว
เจียงซ่างเจินสลายฟ้าดินขนาดเล็กออก ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะออกไปเดินเล่นดูสักหน่อย เมื่อไหร่ที่มีข่าวแน่ชัดแล้ว ข้าค่อยออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว ถึงอย่างไรทะเลสาบซูเจี่ยนจะมีหรือไม่มีข้าก็เส็งเคร็งอยู่ดี”
เจียงซ่างเจินพายาเอ๋อร์ทะยานลมไปเยือนจังหวัดหลงโจว หรือก็คืออดีตที่ตั้งของเขตการปกครองหลงเฉวียน
เขาคิดว่าจะไปหาเพื่อนเล่นอายุต่างกันไม่มากให้กับเด็กที่พาออกจากอุตรกุรุทวีปไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนคนนั้นสักหน่อย
ยาเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย เห็นได้ชัดว่าแก่เกินไป แล้วก็โง่เกินไปหน่อย
เจิ้งต้าเฟิงมองสายตาของจูเหลี่ยนที่เหลือบมา
แล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ยอดฝีมือที่ข้าเชื้อเชิญมาผู้นั้น น่าจะใกล้มาถึงแล้ว ถึงเวลานั้นก็จะสามารถช่วยพวกเรากดราคาเจียงซ่างเจินได้แล้ว”
พูดถึงก็มาทันที
หญิงสาวคนหนึ่งพลิ้วกายลงในลานบ้านขนาดเล็ก
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “กิ่งหลิวน้อย (ชื่อของหลี่หลิ่ว คำว่าหลิ่วก็คือต้นหลิวในภาษาไทย แต่ภาษาจีนจะออกเสียงว่าหลิ่ว) ตอนนี้โตเป็นสาวแล้วหน้าตางดงามนัก งดงามสุดๆ ไปเลย”
หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “สวัสดีท่านอาเจิ้ง”
จูเหลี่ยนเองก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำที่เกรงอกเกรงใจอะไร เขาพูดเรื่องกิจธุระในพื้นที่มงคลรากบัวกับหญิงสาวแปลกหน้าผู้นี้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าเรื่องน้อยเรื่องใหญ่ก็ล้วนยกมาพูดคุยด้วยหมด สถานการณ์ของสี่แคว้น จูเหลี่ยนก็พูดทอดยาวอย่างต่อเนื่อง
ส่วนข้อที่ว่านางมีสถานะประวัติความเป็นมาอย่างไร จูเหลี่ยนไม่สนใจแม้แต่น้อย คนเฝ้าประตูแห่งภูเขาลั่วพั่วอย่างเจิ้งต้าเฟิงย่อมจัดการให้เอง
หลี่หลิ่วเองก็ไม่ได้แกล้งอุบเรื่องที่ตัวเองรู้ นางบอกให้จูเหลี่ยนเรียกเว่ยป้อมา เมื่อร่มใบถงถูกกางออก นางก็เดินทางเข้าไปในอดีตพื้นที่มงคลดอกบัวพร้อมกับจูเหลี่ยน
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ผู้ฝึกตนใหญ่ที่สามารถเลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้อย่างง่ายดายคนหนึ่ง ร่วมกันหลุบตาลงต่ำมองแผ่นดินของพื้นที่มงคล
หลี่หลิ่วกระตุกมุมปาก “ไม่เสียแรงที่เป็นนักพรตจมูกโค มรรคกถาลึกล้ำและสูงส่งไม่น้อย มิน่าเล่าถึงกล้าไปงัดข้อกับใต้หล้ามืดสลัวแล้ว”
จูเหลี่ยนนั่งขัดสมาธิ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
หลี่หลิ่วยื่นนิ้วชี้ไปยังภูเขาสายน้ำหมื่นลี้ใต้ฝ่าเท้า พูดเนิบช้าว่า “การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่มงคลแห่งนี้ หากอิงตามคำกล่าวในอดีต ถือเป็น ‘ภูเขาสายน้ำเปลี่ยนสี’ อาณาเขตนอกเหนือจากแคว้นหนันเยวี่ยน ได้ถูกเทพยดาบนสรวงสวรรค์ท่านนั้นของพวกเจ้าใช้วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่สร้างรูปลักษณ์ภายนอกให้เป็นของพื้นที่มงคลกระดาษขาว แต่เป็นความหมายของถ้ำสวรรค์ควันธูปขึ้นมา พูดง่ายๆ ก็คือภูเขาสายน้ำ ต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่นอกเหนือจากแคว้นหนันเยวี่ยน ล้วนเป็นเพียงกระดาษขาว มีชีวิตอยู่ก็จริง แต่กลับไม่มี ‘ความหมายแม้แต่น้อย’ นั่นก็หมายความว่าต่อให้กระดาษขาวเหล่านี้จะซื่อสัตย์จริงใจแค่ไหน ยามที่ไหว้พระขอพรองค์เทพก็ไม่สามารถฟูมฟักแก่นควันธูปออกมาได้แม้แต่เสี้ยวเดียว แต่ก็ไม่ถ่วงรั้งการกลับไปเกิดใหม่ในพื้นที่มงคลของพวกเขา ขอแค่ปราณวิญญาณของพื้นที่มงคลแห่งใหม่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ควันธูปของแคว้นหนันเยวี่ยนยิ่งนานวันก็ยิ่งโชติช่วง กระดาษทั้งหมดก็จะเพิ่มระดับความหนาหนักมากขึ้น สุดท้ายก็จะไม่ต่างอะไรจากคนปกติทั่วไป ถึงขั้นยังสามารถมีพรสวรรค์ในการฝึกตน หรือมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นองค์เทพแห่งภูเขาสายน้ำ”
จูเหลี่ยนพูดอย่างเฉยเมย “จากภาพวาดสีสันงดงามน่ามอง กลายมาเป็นลายเส้นขาวดำ”
หลี่หลิ่วยิ้มเอ่ย “สามารถพูดเช่นนี้ได้”
หลี่หลิ่วเพ่งสายตามองไป แล้วก็ยื่นมือชี้ไปสองสามตำแหน่งอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเจ๋อเซียนทั้งหลายได้ถอนตัวออกไปจากพื้นที่มงคลที่ปริแตกแห่งนี้แล้ว อีกทั้งผู้ฝึกตนบางคนที่เริ่มขึ้นเขาแล้วก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในพื้นที่มงคลรากบัวของพวกเจ้าแล้ว ยกตัวอย่างเช่นพรรคหูซานที่เคยมีอวี๋เจินอี้เป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ โชคชะตาสายน้ำขุนเขาว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด สะดุดตามากเป็นพิเศษ นี่ก็คือผลลัพธ์จากการที่อวี๋เจินอี้ถูกนักพรตเฒ่าหมายตา ตอนนี้อวี๋เจินอี้น่าจะอยู่ในหนึ่งในสี่ส่วนของพื้นที่มงคลดอกบัวที่แท้จริง ลู่ไถผู้นั้นก็อยู่อีกที่หนึ่ง ตระกูลบัณฑิตของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนั้น เห็นหรือไม่ ที่นั่นก็ว่างเปล่าโล่งโจ้งมากเช่นกัน ต้องเป็นเพราะในตระกูลนี้มีคนที่นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าน่าสนใจปรากฏตัวอย่างแน่นอน ดังนั้นหลังจากที่พื้นที่มงคลดอกบัวแบ่งออกเป็นสี่ส่วน เจ้าของที่ได้ครอบครองจึงค่อนข้างจะชัดเจน แบ่งออกเป็นเฉินผิงอัน อวี๋เจินอี้คนแรกในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวที่หันไปฝึกตนได้ประสบความสำเร็จ ลู่ไถเจ๋อเซียนผู้รวบรวมลัทธิมาร และตระกูลแห่งนั้นที่เฉินผิงอันเคยไปเยือนหอเก็บตำราของพวกเขามาสองครั้ง”
จูเหลี่ยนไม่แม้แต่จะปรายตามอง เขาเกาหัวแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำอะไรสักหน่อย มองภาพปรากฎการณ์แห่งฟ้าดินพวกนั้นไม่ออกหรอก”
หลี่หลิ่วหัวเราะ “ไม่ต้องหยั่งเชิงข้า ไม่มีความจำเป็น อีกอย่างระวังว่าจะกลายเป็นการวาดงูเติมขา”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตกลง”
หลี่หลิ่วถาม “หากเจ้าเป็นหมากของนักพรตจมูกโคผู้นั้น เฉินผิงอันจะต้องตายอย่างอนาถมากแน่ๆ”
จูเหลี่ยนเอาสองหมัดค้ำยันไว้ที่หัวเข่า สายลมพัดโชยมา ร่างของเขาโน้มไปด้านหน้าน้อยๆ “ในเมื่อโชคดีได้เกิดเป็นคน ก็ควรพูดจาภาษาคน ทำตัวเป็นคนให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นการเดินทางมาเยือนโลกมนุษย์ครั้งนี้จะมีความหมายหรือ?”
จูเหลี่ยนหรี่ตาลง เอ่ยเนิบช้าว่า “ฟ้าดินให้กำเนิดข้าจูเหลี่ยน ข้ามิอาจปฏิเสธ แต่ข้าจูเหลี่ยนจะตายอย่างไร กลับเป็นข้าที่ต้องตัดสินใจเอง”
หลี่หลิ่วหันหน้ามา เป็นครั้งแรกที่นางมองประเมินผู้ฝึกยุทธเต็มตัวซึ่งบนใบหน้าสวมหน้ากากผู้นี้อย่างละเอียด “จูเหลี่ยน มหามรรคาของเจ้ามีความหวังมากนัก”
จูเหลี่ยนเงยหน้าขึ้น หันหน้ามามองหญิงสาวที่อันตรายอย่างถึงที่สุดผู้นั้น “แม่นางหลิ่ว เจ้าไม่มาอยู่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
หลี่หลิ่วรู้สึกฉงนเล็กน้อย แต่กลับคร้านจะสืบหาคำตอบ จากนั้นก็อธิบายประเด็นสำคัญและข้อห้ามของการโคจรพื้นที่มงคลให้จูเหลี่ยนฟังต่อไป
ไม่ได้รู้น้อยไปกว่าเจียงซ่างเจินเลย
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก
ในประวัติศาสตร์ ต่อให้ไม่ยกเรื่องรากฐานของมหามรรคาในช่วงแรกเริ่มสุดมาพูด หลี่หลิ่วเองก็เคยดูแลถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลมาแล้วหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือถ้ำสวรรค์หนึ่งแห่งและพื้นที่มงคลหนึ่งแห่ง ถ้ำสวรรค์ริ้วคลื่น พื้นที่มงคลคลื่นมรกตของหลิวเสียทวีป พวกมันต่างก็เคยอยู่ในอันดับของสามสิบหกถ้ำสวรรค์และเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคล เพียงแต่ว่าจุดจบของมันนั้นอเนจอนาถยิ่งกว่าถ้ำสวรรค์หลีจูที่หล่นลงพื้นหยั่งรากสู่พื้นดินเสียอีก ตอนนี้ก็ปริแตกและถูกคนลืมเลือนไปแล้ว
……
หลายวันมานี้เผยเฉียนปิดด่านอยู่ตลอด
ทั้งวันทั้งคืนทำเพียงเรื่องเรื่องเดียว
นั่นคือก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษรอยู่บนโต๊ะในชั้นหนึ่ง
เร็วไม่ได้
นางจึงได้แต่ค่อยๆ เขียนอย่างเป็นระเบียบไปทีละตัวอักษร
เฉินหรูชูเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่เป็นผู้ดูแลน้อยของภูเขา โจวหมี่ลี่ที่มุ่งมั่นอยากควบตำแหน่งผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วด้วย ต่างก็คอยช่วยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเผยเฉียน บ้างก็ส่งน้ำยกชาให้นาง บ้างก็นวดไหล่ทุบหลังให้นาง
ในที่สุดเที่ยงวันของวันนี้ เผยเฉียนก็วางพู่กันลงเบาๆ ลุกขึ้นยืน ทำท่ารวบรวมลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน “ผลงานเทพประสบความสำเร็จ!”
เฉินหรูชูยิ้มถาม “คัดเสร็จแล้วจริงๆ หรือ?”
เผยเฉียนเหล่ตามอง “ไม่เพียงแต่ใช้หนี้คืนจนหมด ยังเลียนแบบพี่หญิงเป่าผิงคัดเผื่อไว้อีกสิบวันด้วย”
เผยเฉียนยกสองมือกอดอก หัวเราะเสียงเย็นว่า “นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ยามที่ฝึกหมัด ผู้อาวุโสชุยก็จะรู้ว่า เผยเฉียนที่จิตใจแน่วแน่ไม่วอกแวกไม่ใช่เผยเฉียนที่เขาสามารถตำหนิติเตียนได้ตามใจชอบอีกแล้ว”
เฉินหรูชูทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของการฝึกหมัดเหมือนกัน
นางไม่สาดน้ำเย็นใส่อีกฝ่ายแล้ว
โจวหมี่ลี่รีบยกสองมือขึ้นปรบกันอย่างรัวเร็ว
เผยเฉียนฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะหนังสือที่วางกระดาษคัดลายมือกองทับกันเป็นภูเขา เล่นกับสมบัติสืบทอดของตระกูลตัวเองพวกนั้นอยู่พักหนึ่ง พอเก็บลงไปเรียบร้อยก็เดินอ้อมโต๊ะออกมา บอกว่าจะพาพวกนางสองคนออกไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์
เฉินหรูชูหยิบเมล็ดแตงไปเพิ่ม โจวหมี่ลี่แบกไม้เท้าเดินป่า
เผยเฉียนเดินอาดๆ ไปถึงเรือนของพ่อครัวเฒ่า หมายจะไปหาอาจารย์แม่เล็กที่ถูกอาจารย์หลอกมาจากอุตรกุรุทวีป แต่ยังไม่ได้เข้าเรือนอย่างเป็นทางการผู้นั้น
ผลกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่อยู่บ้าน
เผยเฉียนก็เลยไปหาพ่อครัวเฒ่า
ผลคือเจอหมาพื้นบ้านตัวหนึ่งที่วิ่งออกมากลางทาง เผยเฉียนกระโจนเข้าหามันอย่างรวดเร็ว เอาฝ่ามือข้างหนึ่งกดหัวหมาไว้กับพื้น มืออีกข้างหนึ่งจับปากของมันแล้วบิดอย่างคล่องแคล่ว หัวของหมาตัวนั้นบิดเอียงไปตามมือของนาง
เผยเฉียนนั่งยองลงบนพื้น ถามว่า “เจ้าคิดจะก่อกบฏรึ? ถึงได้ไม่โผล่หน้ามานานขนาดนี้? พูดมา! หากมีคำอธิบายจะละเว้นโทษตายให้เจ้า!”
สุนัขพันธ์พื้นบ้านตัวนั้นได้แต่ร้องหงิงๆ อยู่ในลำคอ
เผยเฉียนบิดมืออีกครั้ง หัวของสุนัขก็พลิกกลับเปลี่ยนทิศทางในเสี้ยววินาที นางพยักหน้าเอ่ยชื่นชมมันว่า “มีความกล้าหาญ เผชิญหน้ากับยอดฝีมือล้ำโลกที่ฆ่าคนเหมือนพลิกฝ่ามือแล้วยังไม่ยอมพูดอะไรสักคำ อาศัยความกล้าหาญนี้ เจ้าไม่ต้องตายก็ได้”
สุนัขพันธ์พื้นบ้านรีบส่ายหางทันใด
แต่เผยเฉียนกลับยังไม่ยอมปล่อยมันไป “โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นยากจะหลีกเลี่ยง”
นางยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น โจวหมี่ลี่ก็รีบยื่นไม้เท้าเดินป่าส่งไปให้ทันที จะตีหมาจำเป็นต้องมีไม้ตี ตอนที่ไปแหย่รังแตน ประโยชน์ของไม้เท้าเดินป่าก็ยิ่งมีมาก นี่เป็นสิ่งที่เผยเฉียนพูดเอง แต่อยู่ดีๆ เผยเฉียนกลับพูดขึ้นเสียงขุ่นว่า “เมล็ดแตง”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรีบวางเมล็ดแตงกำมือหนึ่งลงบนมือของเผยเฉียน มือหนึ่งของเผยเฉียนกำเมล็ดแตง อีกมือหนึ่งจับปากของหมาตัวนั้นไว้ตลอดเวลา “ไหน ลองเลียนแบบยอดฝีมือในตำรา หัวเราะเสียงเย็นชาดูสิ”
สุนัขพันธ์พื้นบ้านกระตุกมุมปาก
เผยเฉียนเอ่ยอีกว่า “เปลี่ยนใหม่ เลียนแบบคนเลวในนิยายจอมยุทธ แสยะยิ้มชั่วร้ายสิ”
สุนัขพันธ์พื้นบ้านจึงกระตุกมุมปากโดยเปลี่ยนแววตาเสียใหม่
เผยเฉียนขมวดคิ้ว หมาตัวนั้นรู้แล้วว่าท่าไม่ดีจึงเริ่มดิ้นรน
แต่กลับถูกเผยเฉียนกระชากตัวเอาไว้ นางลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวเป็นวงกลม เหวี่ยงสุนัขพันธ์พื้นบ้านตัวนั้นออกไปไกลเจ็ดแปดจั้ง
จากนั้นเผยเฉียนก็แทะเมล็ดแตง แล้วก็เห็นว่าห่างไปไม่ไกลมีบุรุษคนหนึ่งกับหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่
นางเอียงศีรษะ มองอยู่นาน แล้วทันใดนั้นก็พลันคลี่ยิ้มสดใส โค้งตัวคารวะอีกฝ่าย
เฉินหรูชูเองก็ค้อมเอวเอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าท่านโจว
โจวหมี่ลี่รีบทำตามอย่างเข้าท่าเข้าที
“พวกเราพบเจอกันเป็นครั้งที่สองแล้วกระมัง?”
เจียงซ่างเจินมองแม่หนูถ่านดำที่ปีนั้นเขาก็รู้สึกแล้วว่านางน่าสนใจอย่างมาก แล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ตอนนี้กลายเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอันแล้วหรือ? ดีมาก ข้ารู้สึกว่าสายตาของเฉินผิงอันไม่เลวอย่างยิ่ง ถึงได้ยินดีพาเจ้าออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว”
เผยเฉียนพยักหน้ารับแรงๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
ฝีมือการประจบสอพลอของเจ้าหมอนี่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
แต่เจ้าหมอนี่สามารถรู้จักกับอาจารย์ได้ หลุมศพบรรพบุรุษก็คงมีควันเขียวผุดลอยขึ้นแล้วจริงๆ ควรจะจุดธูปให้มาก
ดังนั้นเผยเฉียนจึงยิ้มกล่าวว่า “ผู้อาวุโสไปที่ศาลเทพภูเขาบนยอดเขาของพวกเรามาแล้วหรือยัง?”
เจียงซ่างเจินยิ้มตอบ “ไปมาแล้ว”
เผยเฉียนถามอีก “ถ้าอย่างนั้นศาลเทพอภิบาลเมืองของจังหวัดหลงโจวล่ะ?”
คนจิ๋วควันธูปของศาลเทพอภิบาลเมืองประจำจังหวัด ตอนนี้ถือเป็นลูกสมุนครึ่งตัวของนาง เพราะในอดีตเป็นมันที่นำทางพาไปหารังผึ้งขนาดใหญ่รังนั้น หลังจบเรื่องยังได้รับเงินเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งจากนางเป็นการตกรางวัล ตอนที่ท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นั้นยังไม่ได้มารับหน้าที่ ทั้งสองฝ่ายก็ได้รู้จักกันมาก่อนแล้ว ตอนนั้นพี่หญิงเป่าผิงก็อยู่ด้วย แต่ว่าช่วงที่ผ่านมานี้ เจ้าแมลงตามก้นตนนั้นกลับไม่ได้ปรากฏตัวเลย
ดังนั้นหากมีโอกาส นางก็อยากจะช่วยเพิ่มควันธูปให้กับศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนั้นสักหน่อย
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “ที่นั่นข้ายังไม่เคยไปมาก่อนจริงๆ”
หลังจากที่บอกลากับเจียงซ่างเจินแล้ว เผยเฉียนก็พาพวกนางสองคนไปนั่งบนยอดบนสุดของขั้นบันได
เฉินยวนจีเด็กสาวที่จูเหลี่ยนพาขึ้นมาบนภูเขากำลังฝึกหมัดเดินจากกึ่งกลางภูเขามาบนภูเขา
ตามคำบอกของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่เป็นเทพแห่งการรายงานข่าวผู้นี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานเฉินยวนจีจำเป็นต้องเดินขึ้นบันไดภูเขาจากตีนเขามาถึงยอดเขาให้ครบสามรอบภายในหนึ่งวัน
แม่นางน้อยสามคนนั่งเรียงเคียงไหล่ แทะเมล็ดแตงพลางซุบซิบพูดคุยกัน
—-