กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 532.1 หมัดของขอบเขตยอดเขาค่อนข้างหนัก
คนชุดเขียวผู้หนึ่งเดินอยู่บนเส้นทางที่ทวนกระแสของลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทรเส้นนั้นขึ้นไปเบื้องบน ไม่ได้จงใจเดินเลียบริมน้ำฟังเสียงน้ำไหลมองผืนสายน้ำ เพราะถึงอย่างไรเขาก็จำเป็นต้องสังเกตการณ์ขนบธรรมเนียมและนิสัยใจคอของผู้คนในพื้นที่ ภูเขาน้อยใหญ่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำของแต่ละแห่งให้ละเอียด ดังนั้นจึงมักจะต้องเดินอ้อมเส้นทางไปบ่อยๆ การเดินทางจึงไม่ถือว่าเร็วนัก
ยามที่เขาตัดสินใจว่าจะทำเรื่องเรื่องหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ไม่เคยคิดว่ายากลำบาก แต่คนข้างกายกลับสามารถวางใจได้เต็มที่ หากเป็นคนที่อายุยังไม่มาก ยังเรียกได้ว่าอยู่ท่ามกลางโชคดีแต่ไม่รู้ว่าตัวเองมีโชคด้วยซ้ำ
คงเป็นเพราะเกิดและเติบโตมาในระดับล่างของหมู่ชาวบ้าน เฉินผิงอันจึงมีความอดทนและความยืดหยุ่นเป็นเลิศ
ระหว่างทางเฉินผิงอันพบเจอกับเรื่องราวหนึ่งที่ชวนให้ขบคิดอย่างลึกซึ้ง
มีครั้งหนึ่งเฉินผิงอันพักค้างแรมอยู่ในโรงเตี๊ยมใกล้กับศาลเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่งในแคว้นฝูฉวี ยามจื่อ (ห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง) ก็ได้ยินเสียงรัวกลองสนั่นฟ้าที่มีเพียงผู้ฝึกตนและภูตผีเท่านั้นที่ถึงจะได้ยินดังมาเป็นระลอก ปราการกีดขวางโลกมืดพลันถูกเปิดออก ภายใต้การนำทางของขุนนางผีกุ่ยไชจากแต่ละฝ่าย ผีและวิญญาณที่อยู่ใกล้กับเขตการปกครองก็ทยอยกันเข้ามาในเมืองอย่างมีระเบียบ มาเข้าร่วมการประชุมยามราตรีของเทพอภิบาลเมืองที่หนึ่งเดือนจะจัดสองครั้ง ซึ่งถูกเรียกขานว่าการไต่สวนยามราตรี โดยที่ท่านเทพอภิบาลเมืองจะทำการตรวจสอบคุณความชอบหรือความผิดพลาดของพวกภูตผีวัตถุหยินที่อยู่ภายใต้เขตการปกครองของตัวเอง
เฉินผิงอันออกจากโรงเตี๊ยมมาเงียบๆ มาหยุดอยู่นอกประตูของศาล เทพท่องทิวาราตรีสองท่านที่ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาล ป้องกันไม่ให้พวกภูตผีทำเอะอะเสียงดังเพ่งสายตามองมา แล้วก็รีบโค้งตัวคารวะ ไม่ได้เรียกอย่างเคารพนอบน้อมว่าเซียนซืออะไร แต่เรียกคำหนึ่งว่าท่านอาจารย์ด้วยสีหน้าท่าทางที่เคารพยำเกรง
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน แล้วก็ถามว่าตนสามารถเข้าร่วมรับฟังการไต่สวนยามราตรีของท่านเทพอภิบาลเมืองได้หรือไม่
เทพท่องทิวารีบหมุนตัวกลับไปรายงานทันที พอได้รับคำอนุญาตจากท่านเทพอภิบาลเมือง ขุนนางผู้พากษาฝ่ายบุ๋นและขุนนางฝ่ายหยินหยางซึ่งเป็นขุนนางหลักทั้งสามท่านแล้ว ถึงได้รีบมาเชื้อเชิญให้ผู้ฝึกตนจากต่างถิ่นผู้นี้เข้าไปด้านใน
ในห้องโถงใหญ่ ท่านเทพอภิบาลเมืองนั่งอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ตำแหน่งสูง ขุนนางผู้พิพากษาบุ๋นบู๊และขุนนางหลักของฝ่ายงานทั้งหลายประจำศาลเทพอภิบาลเมืองต่างก็นั่งเรียงกันตามลำดับ เป็นระเบียบเรียบร้อย ช่วยกันตัดสินลงโทษภูตผีและวัตถุหยินมากมาย หากมีใครที่ไม่ยอมรับคำตัดสิน อีกทั้งยังไม่ได้เป็นพวกอำมหิตชั่วร้ายที่มีโทษใหญ่ชัดเจน ก็จะอนุญาตให้พวกมันไปร้องทุกข์กับผู้บังคับการของตัวเองเช่นซานจวิน (คำเรียกผู้ปกครองภูเขา) แห่งขุนเขาใหญ่ หรือฝู่จวิน (คำเรียกผู้ปกครองประจำพื้นที่/ประจำศาล อย่างเช่นพวกเจ้าเมือง) แห่งศาลเทพวารี ถึงเวลานั้นซานจวินและฝู่จวินก็จะส่งขุนนางโลกมืดให้มาตรวจสอบคดีนี้ซ้ำอีกครั้ง
เฉินผิงอันไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่เทพอภิบาลเมืองตั้งใจสั่งให้คนยกออกมาให้ แต่นำเก้าอี้ไปวางไว้ด้านหลังเสาสีแดงตนหนึ่ง แล้วนั่งอยู่ตรงนั้น หลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา
เมื่อวัตถุหยินตนหนึ่งตะโกนเสียงดังว่าตัวเองถูกใส่ร้าย ไม่ยินดีรับคำตัดสิน เฉินผิงอันถึงได้ลืมตาขึ้น เงี่ยหูรอฟังคำตอบโต้ของเทพอภิบาลเมืองท่านนั้น
ที่แท้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ วัตถุหยินตนนั้นก็คือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ยังไม่ได้รับตำแหน่งหน้าที่อย่างเป็นทางการ เคยไปขุดเจอโครงกระดูกใหญ่กองหนึ่งที่นอกเมืองโดยบังเอิญ เขาจึงเก็บเอามาทำพิธีฝังให้เรียบร้อย วัตถุหยินรู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำเป็นการสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ จึงเกิดกังขาว่าเหตุใดนายท่านทั้งหลายของศาลเทพอภิบาลเมืองถึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่สามารถใช้สิ่งนี้มาลดทอนความผิดพลาดของตนเองได้ นี่ก็คือความอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้า เขาจะต้องไปร้องทุกข์ต่อฝู่จวินของศาลเทพวารี หากฝู่จวินยังไม่สนใจ ขุนนางของแต่ละฝ่ายปกป้องพรรคพวกกันเอง เขาก็จะขอเสี่ยงเอาโอกาสที่จะได้กลับไปจุติใหม่มาเดิมพัน แต่ก็ต้องไปตีกล้องร้องทุกข์ให้จงได้ จากนั้นก็จะฟ้องร้องต่อซานจวินของขุนเขากลางแคว้นฝูฉวี ให้นายท่านซานจวินช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้กับตน ลงโทษเทพอภิบาลเมืองที่บกพร่องต่อหน้าที่อย่างหนัก
เทพอภิบาลเมืองตวาดอย่างเดือดดาล “เทพอภิบาลเมืองในโลกคอยตรวจสอบดูแลสรรพชีวิตในโลกคนเป็น การกระทำของพวกเจ้าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ มีใจทำความดีก็ควรทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ตั้งใจทำความชั่วก็ไม่ควรถูกลงโทษ! เจ้าจะไปตีกลองร้องทุกข์กับฝู่จวินซานจวินที่ไหนก็ช่างเถิด เพราะพวกเขาก็ต้องอิงตามการตัดสินของคืนนี้ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้แน่นอน!”
วัตถุหยินตนนั้นทรุดตัวลงนั่งอย่างห่อเหี่ยว
ช่วงปลายยามอิ๋น (ตีสามถึงตีห้า) ไก่กำลังจะขัน
การไต่สวนยามราตรีของเทพอภิบาลเมืองก็ปิดฉากลง
เฉินผิงอันถึงได้ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมเสามายืนอยู่ในห้องโถง หันน้าไปทางท่านเทพอภิบาลเมืองที่สวมชุดขุนนางซึ่งลายปักมีแค่สองสีคือสีขาวและสีดำ แล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะขอตัวลากลับไป
ท่านเทพอภิบาลเมืองมาส่งเขาถึงหน้าประตูใหญ่ของศาลด้วยตัวเอง
พอมาถึงหน้าประตู เทพอภิบาลเมืองที่ลังเลอยู่ชั่วขณะก็หยุดเดินแล้วถามว่า “ท่านอาจารย์เข้ามาในเขตชวีเจียงก็เพื่อเข้าไปเปิดเส้นทางลงเขาของต้นไม้ยักษ์ให้กับคนงานตัดไม้ของเชื้อพระวงศ์ที่เข้าไปตัดไม้ในภูเขาลึกหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยทำอย่างนั้นจริง เห็นว่าเส้นทางคดเคี้ยวสายนั้นมีปราณสกปรกแผ่อบอวลก็เลยอดไม่ไหว”
เทพอภิบาลเมืองถอนหายใจ “เดิมทีคนงานสองคนในนั้นควรจะตายระหว่างการขนไม้ คนหนึ่งถูกไม้ยักษ์บดทับจนตาย อีกคนหนึ่งผลัดตกหน้าผาตาย ดังนั้นการกระทำนี้ของท่านอาจารย์จึงเท่ากับว่าช่วยชีวิตคนทั้งสองเอาไว้ แต่ท่านอาจารย์รู้หรือไม่ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการสะสมบุญกุศลมากกว่า หรือเป็นการสร้างผลกรรมมากกว่ากันแน่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อท่านเทพอภิบาลเมืองเอ่ยปากเช่นนี้ ก็แสดงว่าต้องเป็นอย่างหลังที่มากกว่า”
เทพอภิบาลเมืองมองผู้ฝึกตนคนนี้อยู่พักหนึ่ง แล้วจึงยิ้มเอ่ยว่า “การที่ท่านอาจารย์ได้เป็นอาจารย์ เทพน้อยอย่างข้าก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มองโลกมนุษย์ ทั้งมองเรื่องราว และยิ่งเป็นการมองจิตใจ
เทพอภิบาลเมืองถอนหายใจ “คนบนโลกกระทำการดั่งการสะสมน้ำให้เป็นลำคลอง น้ำในลำคลองก็สามารถไหลเข้าสู่ผืนนา หล่อเลี้ยงช่วยเหลือชาวประชา ทว่าหากไม่ระวังน้ำก็อาจเอ่อล้นกลายเป็นอุทกภัย บางทีน้ำที่ทะลักทำนบก็อาจทำให้คนจมน้ำตายนับไม่ถ้วน พริบตาเดียวความชอบและความผิดพลาดก็พลิกกลับสลับตำแหน่งจนคนไม่ทันตั้งตัว ในเมื่อท่านอาจารย์ขึ้นเขาฝึกตนก็ควรจะต้องระมัดระวังให้มาก แน่นอนว่าเทพน้อยฐานะต่ำต้อยคำพูดไม่มีน้ำหนัก ไม่ถือว่ามีวิสัยทัศน์ใดๆ ยังคงหวังว่าคำพูดเหล่านี้ของเทพน้อยจะไม่ทำให้จิตใจของท่านอาจารย์วุ่นวายสับสน ไม่เช่นนั้นเทพน้อยย่อมมีโทษมหันต์”
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
เขากลับมาถึงโรงเตี๊ยมแล้วก็จุดไฟตะเกียง คัดคัมภีร์ลัทธิพุทธที่หนึ่งหน้าเท่ากับหนึ่งเล่มแผ่นนั้นเพื่อทำจิตใจให้สงบ
พอหยุดพู่กันก็เก็บกระดาษ พู่กันและคัมภีร์แผ่นนั้นลงไป
ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว
เฉินผิงอันเป่าแสงไฟให้ดับ เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
กฎเกณฑ์บนมหามรรคาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำ หากศึกษาอย่างละเอียดจะค้นพบว่าอันที่จริงแตกต่างไปจากกฎที่ลัทธิขงจื๊อตั้งเอาไว้มาก ไม่ได้สอดคล้องกับความดีเลวตามความหมายของโลกมนุษย์
ค่อยๆ เดินขึ้นสูงไปบนภูเขา ยิ่งนานวันก็ยิ่งคล้ายกับผู้ฝึกตน นี่คือเส้นทางที่จำเป็นต้องเดิน
นี่ก็เหมือนที่ทุกคนล้วนต้องเติบโตในทุกๆ วัน
อันที่จริงเฉินผิงอันอารมณ์ไม่เลวนัก
เดินทางผ่านภูเขาสายน้ำมามากมายเพียงนั้น สั่งสมวัตถุน้อยใหญ่มาก็มาก ทรัพย์สมบัติเต็มเปี่ยมอุดมสมบูรณ์
เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อภูเขาลั่วพั่วในอนาคต
ไม้เด่นต้นเดียวมิใช่วสันต์ บุปผาเบ่งบานเต็มสวนต่างหากจึงจะเป็นทัศนียภาพอันงดงามที่เฉินผิงอันคาดหวังว่าจะได้เห็นมากที่สุด
เฉินผิงอันออกจากเขตการปกครองเดินทางไปในอาณาเขตของแคว้นฝูฉวีต่ออีกครั้ง
ไม่มีปิ่นหยก แล้วก็ไม่มีงอบไม้ไผ่ มีเพียงหีบไม้ไผ่ที่สะพายไว้ด้านหลัง ชุดเขียวไม้เท้าเดินป่า เดินทางไกลอยู่เพียงลำพัง
วันนี้ในศาลแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมน้ำ เฉินผิงอันเข้าไปจุดธูปไหว้แล้วก็เห็นว่าตำหนักด้านหลังของศาลมีต้นป่ายโบราณอายุพันปีอยู่ต้นหนึ่ง ขนาดใหญ่จนต้องให้ชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนโอบถึงจะโอบได้มิด ร่มใบหนาครึ้มปกคลุมไปครึ่งลานกว้าง ด้านข้างต้นไม้มีป้ายศิลาก้อนหนึ่งตั้งอยู่ เป็นผู้มีความสามารถด้านการประพันธ์ของแคว้นฝูฉวีที่เขียนเนื้อหา และที่ว่าการในท้องถิ่นทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างช่างให้มาแกะสลัก แม้ว่าจะถือเป็นป้ายใหม่ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองอันเก่าแก่ อ่านเนื้อหาบนป้ายศิลาแล้วถึงได้รู้ว่าต้นป่ายโบราณต้นนี้ต้องผ่านเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางสงครามมาหลายครั้งท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน แต่ก็ยังสามารถตั้งตระหง่านได้ดังเดิม
เฉินผิงอันชอบเนื้อหาที่อยู่บนป้ายศิลาจึงปลดหีบไม้ไผ่เขียวลงมา หยิบกระดาษ พู่กันและแท่นฝนหมึกออกมา ใช้หีบไม้ไผ่ต่างโต๊ะ แล้วเริ่มคัดลอกเนื้อหาเหล่านั้น
เนื้อหาบนแผ่นศิลามีมาก แต่เฉินผิงอันกลับตั้งใจคัดทุกคำ โดยไม่ทันรู้ตัวก็เข้าสู่ช่วงกลางคืนแล้ว
ทางศาลมีกฎห้ามเข้ายามวิกาล ทว่าคนเฝ้าศาลไม่เพียงแต่ไม่มาไล่เขา กลับกันยังช่วยกันกับเด็กประจำศาลยกม้านั่งมาให้สองตัว เอาวางไว้ฝั่งซ้ายขวาของป้ายศิลา แล้วจุดตะเกียง ช่วยส่องป้ายหินให้สว่างไสว รอบนอกของแสงไฟถูกคลุมด้วยกระดาษโปร่งบางที่ทำขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ประณีต ป้องกันไม่ให้ลมพัดไฟดับ
เฉินผิงอันเห็นภาพนี้แล้วก็รีบวางพู่กันลุกขึ้นยืน ประสานมือโค้งคารวะแสดงการขอบคุณ
ผู้เฒ่าผู้ดูแลศาลโบกมือด้วยรอยยิ้ม บอกเป็นนัยแก่แขกผู้นี้ว่าเชิญคัดลอกตัวอักษรต่อได้ตามสบาย และยังบอกอีกว่าในศาลมีห้องพักรับรองให้กับแขกที่จะมาค้างแรมด้วย
ผู้เฒ่าสั่งความเด็กน้อยหนึ่งคำ ฝ่ายหลังก็ถือกุญแจนั่งงีบหลับรออยู่ด้านข้าง
เด็กน้อยเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำจึงมายืนอยู่ด้านหลังคนผู้นั้นดูเขาคัดตัวอักษร ตัวอักษรน่ะหรือ ไม่ดีไม่เลว เพียงแต่ว่าตั้งใจคัดอย่างมาก ตัวอักษรที่เขียนเป็นระเบียบอย่างยิ่ง แต่ก็มองไม่ออกว่าดีสักเท่าไร เขาเคยไปเที่ยวที่ศาลของสถานที่อื่น เมื่อเทียบกับศาลบ้านตนแล้วก็มีหน้ามีตากว่ามาก ล้วนมีผลงานของนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงฝากไว้บนฝาผนัง นั่นต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าสง่างาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีนักประพันธ์ท่านหนึ่งที่เมามายถือจอกสุรา ตวัดพู่กันเขียนตัวอักษรแบบหวัดลงบนผนัง ทำให้คนมองจิตใจส่ายไหวได้อย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นตัวอักษรแบบหวัดที่เขียนลงบนผนัง แต่กลับถูกวงการนักประพันธ์ของแคว้นฝูฉวีขนานนามให้เป็นภาพมังกรเฒ่าโปรยพิรุณภาพหนึ่ง
ตัวอักษรของคนหนุ่มชุดเขียวลัทธิขงจื๊อผู้นี้ดูๆ ไปแล้วก็ไม่เท่าไร ธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันคัดลอกเนื้อหาบนแผ่นศิลาเสร็จแล้วก็เก็บหีบไม้ไผ่ เอากลับสะพายขึ้นหลังอีกครั้ง แล้วจึงเข้าพักที่ห้องรับรองแขก ส่วนข้อที่ว่าจะแสดงการขอบคุณอย่างไร คิดไปคิดมาแล้ว พรุ่งนี้ก่อนจะจากไปก็คงได้แต่บริจาคค่าธูปค่าน้ำมันให้ทางศาลเพิ่มขึ้นเท่านั้น
เด็กน้อยอ้าปากหาวไม่หยุด เกือบจะรู้สึกว่ามีแมลงคลานเข้าไปนอนหลับในหูของตนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ตำหนิว่าแขกคนนี้อืดอาดชักช้า เพราะในศาลมีการแกะสลักก้อนหินและบทประพันธ์บนฝาผนังมากมาย ดังนั้นที่นี่จึงมักจะมีบัณฑิตมาคัดลอกตัวอักษรอยู่เป็นประจำ เด็กประจำศาลอายุไม่มาก แต่กลับมีประสบการณ์โชกโชน อีกทั้งนิสัยของท่านปู่คนเฝ้าศาลก็แปลกประหลาด เขาจะเลื่อมใสและปฏิบัติต่อบัณฑิตอย่างดีเสมอมา ฟังจากคำบอกเล่าของศิษย์พี่หลายคนในศาล ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของท่านปู่คนเฝ้าศาลไม่รู้ว่าได้รับรองบัณฑิตที่เดินทางไปสอบที่เมืองหลวงหรือไม่ก็ท่องเที่ยวผ่านทางมาแล้วกี่มากน้อย น่าเสียดายที่ฮวงจุ้ยของศาลธรรมดา ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ก็ยังไม่มีบัณฑิตคนใดสอบติดกระดานทองคำ ได้กลายเป็นขุนนางชั้นสูงของแคว้นฝูฉวี แต่ศาลแห่งอื่น มีที่ใดบ้างที่ไม่เคยมีบัณฑิตซึ่งมีเส้นทางอนาคตราบรื่นยาวไกลช่วยนำพาชื่อเสียงของศาลที่เคยไปเยือนไปป่าวประกาศให้เป็นที่รู้จัก
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในระเบียงแล้วก็ยืนนิ่ง หันหน้ากลับไปมองด้านหลัง
ใบของต้นป่ายพันปีระริกไหว
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พึมพำว่า “ลมเย็นแสงจันทร์กระจ่างกิ่งไม้ส่ายไหว สงสัยว่าจะเป็นแสงรัศมีแห่งกระบี่ของเซียนกระบี่”
เด็กประจำศาลอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย “เป็นบทกวีที่ดีเลยนี่นา คุณชายไปอ่านเจอมาจากตำราเล่มไหน?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลืมแล้ว”
เด็กประจำศาลกล่าวอย่างเสียดาย “หากเป็นบทกลอนที่เกิดจากความรู้สึกของคุณชายก็คงจะดี วันหน้าข้าจะได้บอกให้ท่านปู่คนเฝ้าศาลหาคนที่เขียนตัวอักษรสวยๆ มาเขียนไว้บนผนัง จะได้เป็นการเพิ่มควันธูปให้แก่ศาลของเราได้บ้าง”
เฉินผิงอันมองไปทางต้นป่ายโบราณแล้วก็ส่ายหน้า
เด็กเฝ้าศาลยังนึกว่าคุณชายต่างถิ่นที่สะพายหีบหนังสือออกทัศนาจรผู้นี้บอกว่าบทกลอนนั้นไม่ได้แต่งจากความรู้สึกของเขา จึงเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชาย ไปกันเถอะ ข้าจะพาท่านไปที่พัก รีบพักผ่อนแต่หัววัน ห้องรับรองไม่ใหญ่มาก แต่ว่าสะอาดสะอ้าน วางใจเถอะ ข้าเป็นคนเก็บกวาดเอง รับรองว่าไม่มีมดแมลงสักตัว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กเฝ้าศาลก็เอ่ยเบาๆ อีกว่า “หากคุณชายบังเอิญเห็นเข้าก็อย่าเอาไปฟ้องท่านปู่คนเฝ้าศาลล่ะ”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม พยักหน้าอืมรับหนึ่งที แล้วเดินตามเด็กประจำศาลเข้าไปยังห้องพักรับรอง
—-