กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 532.2 หมัดของขอบเขตยอดเขาค่อนข้างหนัก
ตรงต้นป่ายโบราณ กิ่งไม้ส่ายไหวระริก
ภูตไม้โบราณที่ใกล้จะได้กลายร่างเป็นคนตนนั้นอัดอั้นตันใจจนเกือบจะน้ำตาไหล นึกอยากจะกดหัวทึ่มๆ ของเด็กประจำศาลผู้นั้นเอาไว้แล้วเขกมะเหงกลงไปแรงๆ ปลุกให้อีกฝ่ายคืนสติ
เจ้าเด็กโง่เง่า เหตุใดถึงได้สมองทึบแบบนี้ รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้ศาลเสียโชควาสนาที่ใหญ่ขนาดไหนไป?
หากเชื้อเชิญให้เซียนกระบี่ท่านนั้นเขียนบทกวีบทนั้นลงบนผนังของศาลได้ ไม่แน่ว่ามันอาจจะได้เดินขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว! ส่วนควันธูปและฮวงจุ้ยของศาล แน่นอนว่าต้องเป็นดั่งเรือที่ลอยสูงตามน้ำขึ้นได้อย่างไม่รู้จบรู้สิ้น
เหล่าขุนนางระดับสูงในราชสำนักแคว้นฝูฉวีสิบคนสามารถเทียบเคียงกับน้ำหมึกที่ตวัดอย่างง่ายๆ จากมือคนผู้นี้งั้นหรือ?
เพียงแต่ว่าเมื่อครู่นี้เซียนท่านนั้นส่ายหน้าให้มัน มันจึงไม่กล้าพูดอะไร หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำให้เซียนที่ข้ามดินแดนมาท่านนี้เกิดเดือดดาล กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี
กลางดึกของคืนนี้ เฉินผิงอันยังคงฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว ขณะเดียวกันก็ยังฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูและท่านอนนิ่งเชียนชิวไปพร้อมกันด้วย
ระหว่างที่กึ่งหลับกึ่งตื่น ปณิธานหมัดก็ไหลรินไปทั่วทั้งร่าง
ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างคนก็มีการฝึกตนอีกแบบหนึ่งเกิดขึ้น
ฝึกทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมกันโดยไม่เสียเวลา
จิตของเฉินผิงอันขยับไหวเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ลืมตาขึ้น ยังคงพาจิตใจจมจ่อมอยู่กับการฝึกเดินนิ่งต่อไป
วันนี้ผู้เฒ่าเฝ้าศาลได้พบบุรุษชุดเขียวคนหนึ่งในความฝัน ด้านหลังของเขาสะพายกิ่งของต้นป่ายโบราณกิ่งหนึ่ง ประหนึ่งจอมยุทธพเนจรที่พกกระบี่ คนผู้นี้บอกตัวตนของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เขาก็คือร่างจำแลงของแม่ทัพป่ายต้นที่อยู่ในเรือนด้านหลังของศาล เขาขอร้องให้คนเฝ้าศาลบอกให้คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นทิ้งบทประพันธ์บทหนึ่งเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอร้องให้เซียนซือที่เดินผ่านมาค้างแรมที่ศาลท่านนั้นทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ ถ้อยคำที่ใช้เต็มไปด้วยความจริงใจ บุรุษชุดเขียวแทบจะหลั่งน้ำตาระหว่างที่พูด
หลังจากที่ผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลสะดุ้งตื่นจากความฝันก็ถอนหายใจหนึ่งที ราวกับไม่ต้องการจะทำให้คนอื่นลำบากใจ รู้สึกว่ายากเกินกว่าจะเปิดปากขอตัวอักษรจากบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นได้ แต่ใคร่ครวญอยู่นาน นึกถึงว่าต้นป่ายอยู่เคียงข้างศาลมานานเป็นพันปี และในประวัติศาสตร์ก็เคยแสดงความศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ผู้คนเล่าลือกันไปว่ามันให้การปกป้องคุ้มครองศาลมามากมาย ดังนั้นผู้เฒ่าจึงสวมเสื้อสวมรองเท้า เดินออกจากห้องท่ามกลางม่านตรี เพียงแต่ว่าพอไปถึงห้องรับรองแขกเขาก็เดินวนเวียนอยู่อีกนาน สุดท้ายผู้เฒ่าก็ไม่ได้เคาะประตู แต่หมุนตัวเดินไปทางต้นป่ายโบราณแล้วพูดเบาๆ ว่า “เซียนป่าย ขอโทษที่ข้าไม่ได้เปิดปากขอร้องคนเขาอย่างที่ท่านบอก การกระทำของเซียนยากจะคาดการณ์ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ยินดีทิ้งผลงานเอาไว้ด้วยตัวเอง คิดดูแล้วก็คงเป็นเพราะศาลแห่งนี้สะสมบุญมาไม่มากพอ โชควาสนาจึงยังไม่ได้รับการเติมเต็ม”
ต้นป่ายโบราณเงียบงัน มีเพียงเสียงถอนหายใจที่ดังลอยมา แต่กระนั้นก็ไม่ได้บังคับให้ผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลเปลี่ยนความคิด
จนกระทั่งบัดนี้ เฉินผิงอันถึงได้หยุดท่าหมัด แล้วยิ้มอย่างเข้าใจ
เฉินผิงอันเชื่อมาโดยตลอดว่า สถานที่แห่งหนึ่งหากลมและน้ำไม่ถูกต้องเที่ยงตรง สาเหตุนั้นก็ยังคงอยู่ที่คน ไม่ได้อยู่ที่ความขลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยังต้องเอาเรื่องของลำดับขั้นตอนมาพูดกัน สมกับคำที่คนในโลกกล่าวว่าภูเขาเขียวยังอยู่ก็ไม่ต้องกลุ้มว่าจะไม่มีฟืนให้เผาไฟ
และคำว่าภูเขาเขียวนั้นก็หมายถึงใจคน
นี่จึงเป็นเหตุให้มีคนชุดเขียวพลิ้วกายล่องลอยไปดุจสายลม พริบตาเดียวก็มาหยุดยืนอยู่ข้างกายคนเฝ้าศาล แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แค่เรื่องง่ายๆ ไม่ต่างจากการยกมือ”
ภูตต้นป่ายโบราณที่ฝึกตนมาเป็นพันปี แต่ก็ยังไม่อาจจำแลงร่างเป็นคนได้อย่างสมบูรณ์ปรากฎกายด้วยรูปลักษณ์ของบุรุษชุดเขียว ร่างกายและจิตวิญญาณยังคงล่องลอยไม่หยุดนิ่ง เขาคุกเข่าลงโขกหัวคำนับ “ขอบพระคุณท่านเซียนที่มีเมตตา”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลก็รู้สึกหวั่นเกรงเล็กน้อย เตรียมจะค้อมเอวคำนับขอบคุณ
แต่เฉินผิงอันที่รับการกราบไหว้จากภูตไม้โบราณตนนั้นอย่างเปิดเผย
กลับยื่นมือออกไปขัดขวางการคารวะขอบคุณของผู้เฒ่า
นี่ไม่ใช่เพราะว่าภูตไม้ไม่ใช่คน จึงต่ำต้อยกว่าคนหนึ่งระดับ
แต่เป็นเพราะเมื่ออยู่บนมหามรรคาแล้วได้รับความเมตตากรุณา การกราบไหว้แสดงการขอบคุณของภูตพืชหญ้าทั้งหลาย แท้จริงแล้วก็มีสำหรับโชควาสนาบนมหามรรคาที่ได้มาไม่ง่ายนั้น
ก่อนหน้านี้ได้ฟังการไต่สวนยามราตรีของศาลเทพอภิบาลเมือง เฉินผิงอันจึงเข้าใจเรื่องหนึ่งได้อย่างกระจ่างแจ้งเหมือนเมฆหมอกที่บดบังเคลื่อนออกเผยให้เห็นแสงจันทร์
ผู้ฝึกตน ยิ่งคาดหวังให้ความคิดใสกระจ่างมากเท่าไร ก็ยังจำเป็นต้องมีต้นกำเนิดที่ใสสะอาดเสียก่อน
เฉินผิงอันบอกให้ผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลและภูตต้นป่ายโบราณรอคอยสักครู่ เขากลับไปที่ห้องพักรับรอง หยิบเอากระดาษยันต์สีทองแผ่นหนึ่งออกมา ทรุดตัวนั่งอย่างสำรวม กลั้นหายใจทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้ขีดเขียนบทกวีบทนั้นลงไปบนกระดาษยันต์ หลังจากสะพายหีบไม้ไผ่เรียบร้อยก็ย้อนกลับมายังที่ตั้งของต้นป่ายในตำหนักหลังของศาล มอบมันให้กับบุรุษชุดเขียวแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สามารถนำยันต์แผ่นนี้ไปฝังไว้ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างรากต้นไม้กับรากภูเขา วันหน้าก็แค่ค่อยๆ หล่อหลอมมันไป บนมหามรรคา โชคและเคราะห์ไม่แน่นอน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับจิตใจดั้งเดิม การฝึกตนวันหน้าก็จงปฏิบัติตนให้ดี เรื่องดีๆ ก็จะถือกำเนิด”
บุรุษชุดเขียวใช้สองมือประคองรับยันต์สีทองแล้วคำนับขอบคุณอีกครั้ง ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล พูดจาสะอื้นไม่เป็นคำ
เฉินผิงอันจึงบอกลาจากมา ไม่ได้พักค้างแรมอยู่ที่ศาลอีก แสงจันทร์กระจ่าง แสงดาวบางตา แสงจันทราอยู่บนไหล่แล้วก็อยู่บนหีบไม้ไผ่
หันกลับไปมอง ผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลและภูตไม้ชุดเขียวยังคงยืนมองส่งตนอยู่ตรงนั้น เฉินผิงอันจึงโบกมือแล้วออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง
ดีเลย ได้ประหยัดค่าธูปค่าน้ำมันไปก้อนหนึ่ง
ไม่ขาดทุน
เฉินผิงอันหัวเราะพลางเร่งเดินทางต่อ ยามดึกสงัดไร้เงาผู้คน เขาใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวเดินไปเบื้องหน้าช้าๆ
ไม่แบ่งแยกกลางวันกลางคืน ไร้ข้อต้องห้ามใดๆ
เรื่องราวทางโลกก็เป็นเช่นนี้ เรื่องของโชควาสนา ต่างก็มีจำนวนที่คงที่
ศาลแห่งนี้ได้พบเจอกับเขาเฉินผิงอัน บางทีนี่อาจจะเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่งของพวกเขา
แต่ศาลแห่งอื่นที่ต่อให้จะมีฮวงจุ้ยแตกต่างไปจากที่แห่งนี้ แต่เมื่อเจอกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่นิสัยแตกต่าง การมองโลกแตกต่าง ก็อาจได้เจอกับโชควาสนาที่เหมาะสมได้เช่นกัน กลับกลายเป็นว่าเจอกับเขาเฉินผิงอัน อาจได้แค่เดินสวนไหล่ผ่านกันไป
บนมหามรรคามีเส้นทางนับพันนับหมื่น ทุกเส้นทางล้วนมุ่งขึ้นสู่ที่สูง
ดังนั้นคนบนเส้นทางเดียวกันถึงได้มีน้อยและยากจะพานพบเช่นนี้
จากนั้นเฉินผิงอันก็มาหยุดอยู่ริมลำน้ำสายใหญ่ที่เป็นอาณาเขตของขุนเขากลางแคว้นฝูฉวี นั่งตกปลาอยู่ข้างผู้เฒ่าคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าฝ่ายหลังก็เป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่ว่าขอบเขตไม่สูง มีขอบเขตแค่ประตูมังกรเท่านั้น ทว่ากลับจัดขบวนยิ่งใหญ่เอิกเกริก ข้างกายมีสาวใช้และเด็กรับใช้มากมาย คันเบ็ดตกปลาไผ่เขียววางเรียงรายเป็นแถว ส่วนเหยื่อตกปลาก็ยิ่งเตรียมมานับไม่ถ้วน ถาดใหญ่ๆ วางเรียงติดกัน คาดว่าต่อให้เป็นปลาที่ตัวใหญ่แค่ไหนในลำน้ำใหญ่แห่งนี้ก็สามารถถูกป้อนให้อิ่มหนำได้ ผู้เฒ่าตกปลาเห็นว่าคนหนุ่มชุดเขียวน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสี่ห้าคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นคนที่ชอบตกปลา จึงสั่งให้สาวใช้คนหนึ่งยกเหยื่อถาดใหญ่มาให้ สาวใช้ยิ้มเอ่ยว่าคุณชายไม่ต้องเกรงใจ นายท่านของตนมักใจกว้างกับสหายนักตกปลาที่พบเจอกันโดยบังเอิญเสอ และยังพูดอีกประโยคหนึ่งว่า หากไม่ปั้นเหยื่อถาดใหญ่ก็ยากที่จะตกปลาตัวใหญ่ได้ ตอนที่สาวใช้วางถาดใบใหญ่แล้วเอ่ยประโยคเหล่านี้กับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างแรง พูดคล้อยตามไปว่ามีเหตุผล ท่านผู้เฒ่าจะต้องเป็นยอดฝีมือด้านการตกปลาคนหนึ่งอย่างแน่นอน แรกเริ่มเฉินผิงอันยังรู้สึกไม่สบายใจที่ตนรับเหยื่อล่อตระกูลเซียนถาดใหญ่ขนาดนี้มาจากคนอื่น จึงตะโกนเสียงดังสอบถามฉายาของเซียนซือผู้เฒ่าคนนั้น
ผู้เฒ่าจึงหัวเราะร่าเอ่ยว่า “สหายบนภูเขาล้วนชอบเรียกข้าผู้อาวุโสว่าเถียนไห่เจินเหริน!” (เถียนไห่แปลว่าถมทะเล/เติมทะเลให้เต็ม)
เฉินผิงอันชำเลืองตามองถาดใบใหญ่เงียบๆ ในใจคิดว่าอยู่ในยุทธภพก็ดี อยู่บนภูเขาก็ช่าง มีแต่พ่อแม่ที่ตั้งชื่อผิด ไม่มีฉายาที่ตั้งผิดจริงๆ
ผู้เฒ่าตกปลาได้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่ายังตกปลาประหลาดของลำน้ำใหญ่ชนิดหนึ่งที่เขาต้องการไม่ได้
เข้าสู่ช่วงสนธยา มีเรือหอเรือนขนาดยักษ์ลำหนึ่งล่องเลียบชายฝั่งของลำน้ำใหญ่ผ่านมา บนเรือมีคนสวมเสื้อเกราะยืนเรียงรายอย่างน่าเกรงขาม เรือหอเรือนแล่นทวนกระแสน้ำ ความเคลื่อนไหวรุนแรง ทำให้คลื่นลูกยักษ์ตีกระทบชายฝั่ง คันเบ็ดตกปลาที่วางไว้บนฝั่งล้มระเนระนาดไปเจ็ดแปดอัน
ผู้เฒ่าจึงสบถด่าเสียงดังด้วยพลังเสียงเต็มเปี่ยม
มีแม่ทัพบู๊ร่างกำยำสวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานคนหนึ่งเดินออกมาจากในเรือหอเรือน ในมือถือทวนเหล็ก พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม เขาจ้องมองมายังผู้เฒ่าที่นั่งตกปลาอยู่ริมชายฝั่งเขม็ง
สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวังว่า “นายท่าน ดูเหมือนว่าจะเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นฝูฉวีคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างที่หาได้ยากมาก”
“คือเกาหลิงแม่ทัพใหญ่ของแคว้นฝูฉวี!”
ผู้เฒ่าเพ่งสายตามองไปให้เห็นชัดๆ แล้วก็ต้องกระทืบเท้าพูดอย่างรีบร้อนว่า “มารดามันเถอะ ดันไปเหยียบขี้หมาที่แข็งเหมือนเหล็กเข้าเสียแล้ว ได้ยินมาว่าไอ้หมอนี่นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร พวกเรารีบเก็บคันเบ็ดแล้วถอยกันเร็วเข้า!”
ทางฝั่งของเรือหอเรือน ข้างกายของแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แคว้นฝูฉวีมีสตรีคนหนึ่งเดินออกมา เกาหลิงก้มหน้าลงกระซิบข้างหูนาง ฝ่ายหลังพยักหน้ารับ แล้วจึงทะยานตัวเบาๆ ขึ้นไปยืนอยู่บนราวระเบียงของเรือ ตั้งท่าเตรียมพร้อม
เฉินผิงอันเก็บคันเบ็ดช้าๆ
บทสนทนาระหว่างแม่ทัพบู๊ร่างกำยำกับสตรีผู้นั้นบนเรือหอเรือน ดังเข้าหูเขาอย่างชัดเจน
สตรีผู้สูงศักดิ์ที่มีเรือนกายอ้อนแอ้นคนนี้ได้ยินว่าผู้เฒ่าตกปลาเป็นผู้ฝึกตนอิสระของแคว้นอื่น มีสมญานามว่าเถียนไห่เจินเหริน นิสัยเอื่อยเฉื่อย เป็นผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรที่มีแต่ขอบเขตที่ว่างเปล่า เพราะพลังการต่อสู้อ่อนด้อย นางจึงบอกให้แม่ทัพบู๊เกาหลิงไปลองประมือกับอีกฝ่ายดูสักหน่อย ไม่ต้องฆ่าเขา แค่สั่งสอนสักรอบก็พอ ยกตัวอย่างเช่นซ้อมให้เขาร่อแร่ปางตาย จากนั้นก็หาโอกาสดูสิว่าจะสามารถรับเข้ามาเป็นเค่อชิงของจวนนางได้หรือไม่
แม่ทัพบู๊ลังเลอยู่เล็กน้อย บอกว่าคนผู้นี้อาจไม่เต็มใจ เพราะเขาปฏิเสธการเชื้อเชิญให้ไปเป็นผู้ถวายงานของฮ่องเต้แคว้นชิงอวี้มาหลายครั้งแล้ว
สตรีร้องอ้อหนึ่งที
แม่ทัพบู๊เข้าใจความนัยจากน้ำเสียงนั้นได้ทันที
ตัวของแคว้นฝูฉวีเองไม่ได้มีอำนาจมากนัก แต่มีที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ และสตรีที่อยู่ข้างกายเขาซึ่งมีทั้งสถานะที่ร่ำรวยสูงศักดิ์ แล้วก็มีทั้งกลิ่นอายตระกูลเซียนผู้นี้ก็คือหนึ่งในตัวเชื่อมโยงระหว่างแคว้นฝูฉวีกับที่พึ่งแห่งนั้น
แม้ว่าเกาหลิงจะมองดูเหมือนคนอายุแค่สามสิบปี แต่แท้จริงกลับอายุหกสิบปีแล้ว ตำแหน่งขุนนางของเขาในแคว้นฝูฉวีไม่ถือว่าสูงที่สุด เป็นแค่แม่ทัพระดับสามชั้นโท แต่หมัดของเขาต้องแข็งที่สุดอย่างแน่นอน
วันนี้ปล่อยหมัดนี้ออกไป ไม่แน่ว่าอาจเลื่อนจากระดับสามชั้นโทมาเป็นระดับสามชั้นเอกก็ได้
ดังนั้นเกาหลิงจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ข้าว่าเจ้าอย่าหวังจะหนีเลย ไม่สู้ขึ้นมาดื่มสุราบนเรือสักจอกแล้วค่อยว่ากัน!”
แม่ทัพบู๊สวมชุดเกราะท่านนี้กดปลายเท้าลงหนักๆ เรือหอเรือนก็พลันโน้มเอียงไปข้างหนึ่ง เสียงเสื้อเกราะกระทบกันดังเคร้งคร้าง ทหารสวมชุดเกราะเหล่านั้นไม่มีเวลามามัวสนใจความเป็นระเบียบอะไรอีกแล้ว รีบยื่นมือออกไปจับราวระเบียงไว้แน่น
เกาหลิงพลิ้วกายลงบนผิวน้ำของลำน้ำใหญ่ เหยียบน้ำมุ่งหน้าไปยังชายฝั่ง
ปล่อยทวนหนึ่งออกไป
ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง หากรู้กาลเทศะสักหน่อยก็ควรจะยอมแพ้ แต่หากไม่รู้กาลเทศะก็ยิ่งดี ตนจะได้แสดงฝีมือต่อหน้าสตรีผู้นั้นสักคำรบหนึ่ง
เพียงแต่ว่าไม่รอให้เกาหลิงขึ้นฝั่ง เขาก็พลันตาพร่าลาย จากนั้นก็รู้สึกจุกตรงหน้าอก
ร่างถอยกรูดกลับไปทางเรือ
ที่แท้ก็เป็นคนชุดเขียวผู้หนึ่งที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับพุ่งเข้ามาอยู่เบื้องหน้าเกาหลิงในชั่วพริบตา ฝ่ามือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายตบลงบนเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของเขา ตอนที่เกาหลิงพุ่งตัวมารวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ตอนที่ถอยกรูดกลับไปก็ยิ่งว่องไวดุจพายุลมกรด ข้างหูเกิดเสียงลมดังหวีดหวิว
คนผู้นั้นตบฝ่ามือออกมาเบาๆ ร่างของเกาหลิงก็ลอยขึ้นไปพลิ้วตกลงบนหัวเรือ โซเซอยู่สองสามก้าวกว่าจะหยัดยืนได้มั่นคง
หลังจากที่ปล่อยฝ่ามือหนึ่งออกมาเบาๆ คนชุดเขียวก็อาศัยแรงดันนี้ถอยออกไปหลายจั้ง ชายแขนเสื้อใหญ่พลิกตลบ ร่างหมุนกลับอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ย้อนกลับไปบนฝั่ง พลิ้วกายหยัดยืนนิ่ง
สีหน้าของเกาหลิงมืดทะมึน ลังเลว่าควรจะตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วนดีหรือไม่ เรื่องที่คิดจะเอาชนะอีกฝ่ายนั้นไม่ต้องหวัง แต่หากทำให้นางรู้สึกขายหน้า ก็เป็นเขาเกาหลิงที่ทำงานได้ไม่ดี แบบนั้นจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ชวนกระอักกระอ่วนมากที่สุด ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดีกับเขาทั้งนั้น
สตรีข้างกายเขาดวงตาเป็นประกาย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องถือสา ยิ่งไม่ต้องตอแยเอาเรื่อง อาจารย์เคยบอกเองว่า จะดูแคลนล่างภูเขาไม่ได้ ระหว่างสายน้ำขุนเขามักจะมียอดฝีมือปรากฏตัวอยู่เสมอ ไม่เสียแรงที่ข้าลงเรือที่ท่าเรือหัวมังกรแคว้นชิงหลวน จงใจเลือกเส้นทางน้ำที่ระยะทางยาวไกลนี้ ในที่สุดก็ทำให้ข้าได้เห็นคนมหัศจรรย์นอกโลกแล้ว แค่ได้เห็นก็ถือว่าได้กำไรแล้ว”
เกาหลิงระบายลมหายใจโล่งอก
บนชายฝั่ง
คนผู้นั้นกุมหมัดมาทางเรือหอเรือนคล้ายจะขออภัย
เกาหลิงอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางกุมหมัดคารวะกลับคืนไปเช่นกัน
ดวงตาของสตรียิ่งสาดประกายเจิดจ้า นางพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าตัวดี น่าสนใจจริงๆ เกาหลิง ข้าจะถือว่าเจ้าสร้างคุณความชอบหนึ่งครั้ง!”
เรือหอเรือนค่อยๆ จากไปช้าๆ
ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรผู้นั้นคิดจะผูกมิตรกับอีกฝ่าย แต่กลับเพิ่งสังเกตเห็นในฉับพลันว่าเงาร่างชุดเขียวนั้นหายไปแล้ว
จะทำอย่างไร?
ผู้ฝึกตนเฒ่านวดคลึงปลายคาง จากนั้นก็ออกคำสั่งให้เริ่มเคลื่อนย้ายสถานที่ สั่งความให้เด็กรับใช้และสาวใช้ย้ายถาดใหญ่ทั้งหมดไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งก็คือตำแหน่งที่เซียนชุดเขียวผู้นั้นนั่งตกปลา ที่นั่นต้องเป็นพื้นที่มงคลฮวงจุ้ยดีอย่างแน่นอน
พอเขาทรุดตัวลงนั่งก็พลันรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย สมกับเป็นสถานที่ที่ต้องตาเซียนผู้หนึ่งจริงๆ เห็นได้ชัดว่าลมแม่น้ำที่ลอยมาปะทะใบหน้าหอมหวานกว่าที่เดิมที่เขานั่งอยู่ตั้งหลายส่วน
ห่างไปไกล
เฉินผิงอันออกเดินทางต่ออีกครั้ง
เขาอ้อมเส้นทางเล็กน้อย ไปเดินอยู่บนพื้นที่ราบเรียบที่การมองเห็นเปิดกว้าง
เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน เก็บหีบไม้ไผ่ใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
ทว่าครู่หนึ่งต่อมา เฉินฺผิงอันก็ขมวดคิ้วคิดหนัก หรือว่าเขาแค่รู้สึกไปเอง?
เฉินผิงอันเดินหน้าไปช้าๆ
……
หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของคนในยุทธภพแคว้นอู่หลิงทุกคน
เกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนี้ ในยุทธจักรต่างก็มีคำเล่าลือที่แตกต่างกันไป
บ้างก็บอกว่าการที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นไม่เคยแต่งภรรยาก็เป็นเพราะว่าตอนหนุ่มที่ออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังทิศเหนือเคยเจ็บปวดเพราะความรักมาก่อน ไปชอบสตรีที่ภายหลังได้เป็นไทเฮาของแคว้นจิ่งหนัน น่าเสียดายที่สวรรค์ไม่จับคู่ ผู้เฒ่าจันทราไม่ร้อยด้ายแดง คนทั้งสองจึงไม่อาจเคียงคู่อยู่ด้วยกัน ผู้อาวุโสหวังตุ้นเองก็เป็นคนที่รักเดียวใจเดียว จึงหันมาทุ่มเทด้านการเรียนวรยุทธแทน กลายเป็นความไม่โชคดีของหวังตุ้นเพียงคนเดียว แต่กลับเป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่ของยุทธภพแคว้นอู่หลิง
และยังมีคนบอกว่าเหล้าโซ่วเหมยที่หมู่บ้านภูเขาหมักเองนั้น แท้จริงแล้วเป็นสูตรเหล้าหมักที่เซียนทิ้งไว้ ผู้ฝึกยุทธดื่มหนึ่งไหก็จะสามารถเพิ่มพลังได้หลายปี ดังนั้นเหล่าลูกศิษย์ที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นเป็นผู้อบรมสั่งสอน แต่ละคนถึงได้โดดเด่นมากฝีมือ เพราะต่างก็ได้แช่ตัวอยู่ในถังเหล้าของเหล้าโซ่วเหมย
และยังมีเรื่องเล่าลือบอกว่าในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวมีพื้นที่ต้องห้ามที่การป้องกันเข้มงวด เต็มไปด้วยกลไกลับอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในวางวิชาลับการเรียนวรยุทธเล่มหนึ่งที่หวังตุ้นเป็นผู้เขียนเองเอาไว้ ไม่ว่าใครที่ได้ไปครองก็สามารถกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธภพได้ ได้วิชาดาบไปก็จะสามารถทัดเทียมกับวิชาดาบของฟู่โหลวไถ หากได้วิชากระบี่ไปครองก็จะไม่พ่ายแพ้ให้แก่วิชากระบี่ของหวังจิ้งซาน
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องโกหก คนนอกพูดกันจนน้ำลายแตกฟอง แต่กลับทำให้คนกันเองไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ลู่จัวหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหวังตุ้นระอาใจต่อเรื่องนี้อย่างมาก เพียงแต่ว่าดูเหมือนอาจารย์จะไม่เคยถือสาในเรื่องพวกนี้
ลู่จัวคือคนที่พรสวรรค์ไม่ได้เรื่องที่สุดในบรรดาเพื่อนร่วมสำนัก ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ช้า เวทกระบี่ วิชาดาบ วิชาหมัด ไม่เพียงแต่ช้า อีกทั้งคอขวดยังใหญ่เหมือนยอดเขา ล้วนไร้ความหวังที่จะฝ่าทะลุไปได้ มองไม่เห็นแสงสว่างแม้สักเสี้ยว แม้ว่าอาจารย์จะกล่าวปลอบใจเขาเป็นประจำ แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวอาจารย์เองก็อับจนปัญญาเหมือนกัน ถึงท้ายที่สุดลู่จัวเองก็ยอมรับชะตากรรม ตอนนี้ผู้ดูแลผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกเรือนไปอยู่ไกลบ้าน ตลอดหลายปีมานี้หวังจิ้งซานศิษย์พี่ที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมจึงจำเป็นต้องแบกรับภาระหน้าที่ต่างๆ ในหมู่บ้าน ถือเป็นการถ่วงเวลาการฝึกตนอย่างแท้จริง อันที่จริงลู่จัวร้อนใจยิ่งกว่าหวังจิ้งซานเองด้วยซ้ำ ด้วยรู้สึกว่าหวังจิ้งซานควรจะออกไปท่องยุทธภพ ไปลับคมกระบี่นานแล้ว ดังนั้นลู่จัวจึงเริ่มหันมาจัดการงานจุกจิกทางโลกที่มากมายดุจขนวัวของหมู่บ้าน คิดว่าในอนาคตจะได้ช่วยผู้ดูแลเฒ่าและศิษย์พี่หวังได้บ้าง ให้เขาช่วยแบกรับภาระมาสักสองส่วนก็ยังดี
ตื่นนอนยามเหม่า (ตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า) ฝึกเดินนิ่งหรือไม่ก็ฝึกกระบี่ ฝึกดาบจนถึงยามเฉิน (เจ็ดโมงถึงเก้าโมง) กินอาหารเช้าแล้วก็ไปหาผู้ดูแลเฒ่า ดูแลบัญชี จดบัญชี คำนวณบัญชี ดูจดหมายที่ส่งไปกลับระหว่างหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว สถานการณ์ของกิจการมากมาย ค่าใช้จ่ายของเหล่าลูกศิษย์ในจวน ล้วนจำเป็นต้องขอความรู้จากผู้ดูแลเฒ่าทั้งสิ้น ประมาณยามซื่อ (เก้าถึงสิบเอ็ดโมงเช้า) ก็จบบทเรียนที่เหมือนชั้นเรียนของเด็กประถม แล้วก็ไปดูศิษย์น้องเล็กฝึกกระบี่ หรือไม่ก็ศิษย์น้องหญิงฝึกดาบพักหนึ่ง สถานที่คือภูเขาด้านหลังของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว เพราะที่นั่นเงียบสงบ
ในหมู่บ้านมีลูกศิษย์ คนงานและคนในครอบครัวของพวกเขามากมาย ดังนั้นจึงเปิดโรงเรียนสอนหนังสือแห่งหนึ่ง
อาจารย์ทั้งหลายที่เคยมาสอนในอดีตล้วนมีความรู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับรั้งใครไว้ไม่อยู่สักคน
พวกเขาล้วนมาอยู่ที่นี่แค่ปีครึ่งปีแล้วก็จากไป บ้างก็เป็นคนที่ลาออกจากวงการขุนนางเพราะอายุมากเกินไป บ้างก็ไม่มีตำแหน่งขุนนาง แต่เป็นนักประพันธ์อิสระที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่ในวงการวรรณกรรมอยู่บ้าง สุดท้ายอาจารย์จึงจ้างจวี่เหรินคนหนึ่งที่ไม่มีความหวังในการสอบเคอจวี่มาสอน จากนั้นก็ไม่มีการเปลี่ยนอาจารย์อีก เวลาที่จวี่เหรินคนนั้นขอลาหยุดกับทางหมู่บ้าน ลู่จัวก็จะรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือแทน
ตอนกลางวันลู่จัวจะถ่ายทอดวิชาดาบ หมัดและกระบี่ของสำนักให้กับลูกศิษย์กลุ่มหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องรุ่นเดียวกับลู่จัวต่างก็ต้องมีเวลาในการฝึกตน ดังนั้นลู่จัวจึงกลายมาเป็นคนที่เรียกใช้งานได้ง่ายที่สุด แต่สำหรับเรื่องนี้ลู่ตัวกลับไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย กลับกันยังรู้สึกเป็นปลื้มที่ตัวเองพอจะช่วยเหลือคนอื่นได้บ้าง
ชีวิตทุกวันนี้ของลู่จัวก็คือการทำเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยพวกนี้ ดูเหมือนว่าเพียงแค่ชั่วไม่กี่พริบตา จากชั่วเวลาท้องฟ้าเป็นสีขาวเหมือนพุงปลาก็เปลี่ยนมาเป็นแสงสียามสนธยาที่นกกาพากันกลับรังแล้ว มีเพียงยามซวีผ่านไป (หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) ฟ้าดินมืดมัว สรรพสิ่งถูกปกคลุมภายใต้ความสลัวราง ลู่จัวถึงจะมีโอกาสทำเรื่องของตัวเองได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่นอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ด หรือไม่ก็พลิกเปิดรายงานภูเขาแม่น้ำของอาจารย์เพื่อทำความเข้าใจกับเรื่องราวแปลกประหลาดของเทพเซียนบนภูเขาบางคน พออ่านจบแล้วก็ไม่มีความเพ้อฝันคาดหวังอะไร มีเพียงแค่ความเคารพนับถืออยู่ห่างๆ เท่านั้น
—-