กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 537.3 พื้นแผ่นดินของหนึ่งทวีปล้วนมีกระบี่ผุดพุ่ง
บนภูเขาลูกเล็กของแคว้นฝูฉวีแห่งนั้น เฉินผิงอันรอคอยอยู่อย่างสงบสามวัน ทั้งฝึกวิชาหมัด แล้วก็ฝึกบำเพ็ญตบะ
เกี่ยวกับเรื่องการเข้าฌานทำสมาธิของผู้ฝึกตน เฉินผิงอันไม่เคยตั้งใจขนาดนี้มาก่อน เพียงแค่นั่งขัดสมาธิก็สามารถเข้าสู่สภาวะลืมตนได้อย่างสัมบูรณ์
เมื่อเวลามาถึง ยันต์ค่ายกลที่สามารถต้านทานการโจมตีของก่อกำเนิดได้สามครั้งของฉีจิ่งหลงก็สลายหายไปด้วยตัวเอง
เพราะความเคลื่อนไหวเหล่านี้ถึงทำให้เฉินผิงอันลืมตา
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้ถอดชุดคลุมอาคมสีดำเปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวธรรมดาแล้ว เขาสะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นหลัง แล้วก็หยิบไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวธรรมดาชิ้นนั้นออกมา ครั้นจึงเดินลงจากภูเขาไป
กลับมาเป็นเหมือนบัณฑิตชุดเขียวที่สะพายหีบหนังสือออกทัศนาจรอีกครั้ง
การฝึกตนอย่างสงบของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง นอกจากจะหล่อหลอมปราณวิญญาณฟ้าดินที่รับเข้ามาไว้ใน ‘ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล’ ของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ได้แล้ว ยังสามารถทำให้เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแรงเกินกว่าคนปกติทั่วไป เมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต เส้นเอ็นและกระดูกก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น อวบอิ่มเปล่งปลั่งราวกับหยกเขียว เมื่อพละกำลังพุ่งไปถึงก็จะยิ่งเห็นได้เด่นชัด พอเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองก็จะพัฒนาไปอีกขั้น เส้นเอ็นและกระดูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันจนมีภาพปรากฎการณ์ของ ‘กิ่งทองใบหยก’ ในและนอกช่องโพรงลมปราณก็มีไอเมฆหมอกล้อมเวียนวนเนิ่นนานไม่สลายหายไปไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดแล้ว ก็จะเหมือนได้บุกเบิกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กอยู่ในช่องโพรงที่สำคัญ ทำให้ปราณวิญญาณฟ้าดินที่กลั่นหลอมจนเหมือนของเหลวสีทองรุดหน้าไปอีกขั้น จนสามารถบ่มเพาะคนจิ๋วก่อกำเนิดที่มรรคาสอดคล้องกับตัวเองขึ้นมาได้หนึ่งคน นี่ก็คือรากฐานของจิตหยางกายนอกกายของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน เพียงแต่ว่าต่างก็มีระดับสูงต่ำที่ต่างกันพอๆ กับขอบเขตโอสถทอง
นี่ก็คือฐานกระดูกและคุณสมบัติของผู้ฝึกลมปราณ
คำว่าฐานกระดูกของผู้ฝึกลมปราณนั้น ก็คือตัวที่บอกว่าภาชนะที่ใช้บรรจุปราณวิญญาณอยู่ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ใหญ่แค่ไหน
ส่วนคุณสมบัตินั้นก็คือตัวตัดสินว่า หลังจากเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว ผู้ฝึกลมปราณจะได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินหรือไม่ รวมไปถึงข้อที่ว่าระดับขั้นของโอสถทองและก่อกำเนิดจะดีแค่ไหน นี่จะทำให้ความช้าเร็วในการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณเกิดความต่างราวฟ้ากับดิน
ส่วนเรื่องของนิสัยใจคอก็คือการฝึกจิตใจอย่างหนึ่ง เป็นมายาเลื่อนลอยมากที่สุด แต่ในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญมักจะเสียเรื่องได้ง่ายมากที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างน่าประหลาดใจ ยกตัวอย่างเช่นหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว เขาที่มีปณิธานแน่วแน่มั่นคงถึงเพียงนั้น แต่ทว่าจิตมารเล็กๆ ที่เกิดขึ้นมาเพราะความรักกลับเกือบจะทำให้ผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีปกายดับมรรคาสลาย ลู่ฝางในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ยิ่งถูกความรักพันธนาการ ในช่วงเวลาหกสิบปี โจวเฝยที่เป็นนามแฝงของเจียงซ่างเจินช่วยปกป้องมรรคาให้เขาถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่อาจคลายปมในใจของเขาออกได้
แล้วหันมามองเจียงซ่างเจิน ทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าเขาสัมผัสกับโคลนเลนแห่งความรักมากกว่า ทว่ากลับไม่มีมารในใจออกอาละวาด
ล้วนเป็นผลมาจากนิสัยของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
ส่วนเรื่องของโชควาสนา กลับเป็นเรื่องที่ต่อให้ไขว่คว้าอย่างยากลำบากก็ไม่ได้มาครอง ดูเหมือนว่าได้แต่พึ่งชะตาลิขิตเท่านั้น
เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ หวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป แน่นอนว่ายังมีหลี่ไหวที่เฉินผิงอันสนิทสนมด้วยมากที่สุด ล้วนถือเป็นคนประเภทที่ชะตาชีวิตดีจนไร้เหตุผล
ตอนนี้เฉินผิงอันหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จไปแล้วสองชิ้น นั่นคือตราประทับอักษรน้ำในจวนน้ำกับดินห้าสีของต้าหลี จึงเท่ากับว่าได้สร้างสถานการณ์ใหญ่ดีงามที่ขุนเขาแอบอิงกับสายน้ำ
การฝึกตนของเขาจึงเร็วกว่าเดิมมาก
การดึงดูดและการหล่อหลอมปราณวิญญาณก็ยิ่งเร็วขึ้น อีกทั้งยังมั่นคงอย่างมาก
ดังนั้นถึงได้บอกว่า ขอแค่เฉินผิงอันยินดีไปตามหาสถานที่ภูเขาสวยน้ำใสที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นสักแห่งหนึ่ง ต่อให้อยู่บนภูเขาลูกเล็กๆ นั้นโดยที่ไม่ต้องขยับทำอะไร เพียงแค่นั่งเฉยๆ แบบนี้ไปตลอด ก็สามารถฝึกบำเพ็ญตนได้ทั้งวันทั้งคืน และในความเป็นจริงก็ช่วยเพิ่มพูนตบะและขอบเขตให้กับเขา
ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเหตุใดยิ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนก็ยิ่งไม่ควรลงมาอยู่ล่างภูเขาบ่อยๆ มากเท่านั้น เว้นเสียจากว่าเจอกับคอขวด ถึงจะลงมาสักรอบหนึ่ง เพราะเมื่อชีวิตหยุดอยู่นิ่งอย่างถึงที่สุดแล้วก็ควรต้องหาจุดพลิกผัน ถึงได้หันไปฝึกจิตใจที่อยู่นอกเหนือจากการศึกษาวิชาคาถาตระกูลเซียน เรียบเรียงเส้นสายความคิดในหัวใจ หลีกเลี่ยงไม่ให้พลัดเดินเข้าไปทางผิด ชนกำแพงแล้วแต่กลับยังไม่รู้ตัว ด่านมากมายที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้นั้น มีความลี้ลับอย่างถึงที่สุด บางทีแค่เพียงขยับเท้าไปหนึ่งก้าวก็อาจเจอกับฟ้าดินแห่งใหม่ บางทีจำเป็นต้องเอาจิตออกไปท่องเที่ยวตามฟ้าดิน มองดูเหมือนว่าต้องเดินทางอ้อมไปไกลหลายพันหลายหมื่นลี้ถึงจะสามารถค่อยๆ สั่งสมทีละเล็กทีละน้อย แล้วเมื่อแรงบันดาลใจบังเกิดก็จะสามารถฝ่าทะลุคอขวดได้ทันที ด่านยากไม่ใช่ด่านยากอีกต่อไป
สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปแล้ว ขอบเขตที่สามคือด่านที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ถูกคนบนภูเขาเรียกว่า ‘ขอบเขตรั้งคน’
แต่คำกล่าวเช่นนี้ เมื่ออยู่ในตระกูลเซียนอักษรจงที่มีการถ่ายทอดอย่างเป็นระบบระเบียบกลับเป็นเรื่องน่าขันมาโดยตลอด
นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมผู้ฝึกตนอิสระถึงได้อิจฉาเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลขนาดนั้น
พวกเขาต้องโขกหัวจนเลือดไหล แต่ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะเดินออกไปจากด่านยากขอบเขตที่สามได้ ทว่าสำหรับลูกศิษย์ตระกูลเซียนขนาดใหญ่แล้ว นั่นกลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่ต่างจากการยกมือขึ้นดูลายมือตัวเองที่เส้นลายมือแต่ละเส้นล้วนปรากฎให้เห็นเด่นชัด
และขอบเขตสามของเฉินผิงอันก็คือขอบเขตสามของผู้ฝึกตนอิสระ
เพราะหากเกี่ยวกับเรื่องของการฝึกตน ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครให้คำชี้แนะอย่างเป็นรูปธรรมใดๆ แก่เขา
ในอดีตสะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้นและแหลกสลาย พูดถึงเรื่องนี้จึงไม่มีความหมาย
ภายหลังสะพายกระบี่ฝึกวิชาหมัด มุ่งมั่นตั้งใจ
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่มีชื่อว่านกกระเต็นของท่าเรือหัวมังกรแคว้นลวี่อิง อันที่จริงหลิวจิ่งหลงเคยอธิบายกุญแจสำคัญในการฝึกตนของห้าขอบเขตล่างให้ฟังอย่างละเอียดมาก่อน แต่ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็อยู่กันคนละสำนักคนละสาย อีกทั้งยังมีกฎเกณฑ์และข้อห้ามบนภูเขาขวางฉีจิ่งหลงอยู่ เขาจึงไม่สามารถลอบตรวจสอบสภาพการณ์ของช่องโพรงลมปราณใหญ่แห่งต่างๆ ของเฉินผิงอันแล้วชี้แนะเขาไปทีละอย่างได้ ดังนั้นถึงได้บอกว่าสำหรับเฉินผิงอันที่เพิ่งเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามแล้ว การไขข้อข้องใจมากมายของฉีจิ่งหลงนั้นยังคงถือเป็นเรื่องคร่าวๆ ในภายหลัง ไม่ใช่เรื่องละเอียดในตอนนี้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ คำกล่าวเหล่านั้นของฉีจิ่งหลงก็ยังคงเป็นถ้อยคำที่มีค่าดุจทองคำดุจหยกอยู่ดี
เพราะต้องไม่มีความผิดพลาดอย่างแน่นอน
นี่จำเป็นให้ฉีจิ่งหลงต้องไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขาถึงจะสามารถพูดได้อย่างกระจ่างแจ้ง
แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมจดจำได้แม่นขึ้นใจ
เขาถึงได้ดื่มเหล้ากานั้นที่ฉีจิ่งหลงทิ้งไว้ให้แค่จิบเล็กๆ เพราะคิดว่าอย่างน้อยจะต้องเหลือไว้ครึ่งกาอย่างไรล่ะ
การหล่อหลอมชูอีสืออู่ยังค่อนข้างลำบาก
ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายดี ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเดินทางอย่างเชื่องช้าและระมัดระวังมากขึ้น
แต่เมื่อเฉินผิงอันขยับเข้าไปไกลชายแดนของเมืองลู่จิ่ว เขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง
เพียงแต่แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้ก็เท่านั้น
จัดการกับเรื่องที่ถูกสะกดรอยตามเช่นนี้ เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าตัวเองคุ้นเคยหรือมีฝีมือสูงส่งเท่าไร ทว่าในบรรดาคนวัยเดียวกัน ก็น่าจะไม่แย่กว่ามากนัก
ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่ฝูฉวีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของทะเลสาบซูเจี่ยนแอบสะกดรอยตามเขา เฉินผิงอันก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแต่เนิ่นๆ ภายหลังเขากับเกาเฉิงแห่งเมืองจิงกวานอุตรกุรุทวีปต่างฝ่ายต่างวางแผนเล่นงานกัน จนมาถึงนักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มที่สอง
แล้วนับประสาอะไรกับที่นักฆ่าที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ตอนนี้ก็ไม่ถือว่ามีตบะสูงสักเท่าไรจริงๆ ก็แค่คิดว่าตัวเองอำพรางตัวได้ดีก็เท่านั้น ทว่าความอดทนของอีกฝ่ายเป็นเลิศ มีหลายครั้งที่อยู่ในสถานการณ์ที่มองดูเหมือนเป็นโอกาสอันดี แต่ก็ยังอดทนไม่ยอมลงมือ
เฉินผิงอันจึงปล่อยให้นักฆ่าผู้นั้นช่วยเป็น ‘ผู้ปกป้องมรรคา’ ให้แก่ตนไป
เมืองลู่จิ่วคือบ้านเกิดของหลู่ตุนบัณฑิตตกอับที่พบเจอโดยบังเอิญผู้นั้น
แต่เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะไปเยี่ยมเยียนเขาที่บ้าน เพราะต่อให้มีความคิดเช่นนี้จริงก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหาตัวเขาพบ
บัณฑิตคนหนึ่งที่เด็กรับใช้ข้างกายไม่ได้แซ่หลู่แต่แซ่โจว อาจเกิดใจที่อยากป้องกันคนอื่น จึงไม่ได้บอกแซ่ที่แท้จริงแก่เฉินผิงอัน
แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าทำแบบนี้จึงจะถูก
การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง ไม่เคยอยู่แค่ที่ถ้อยคำที่เปิดเปลือยความรู้สึกเท่านั้น
การพูดความในใจกับคนที่ไม่สนิทสนม โยนความจริงใจออกไปอย่างง่ายๆ ย่อมง่ายที่จะทำให้ตัวเองเข้าใจผิด
แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รับผิดชอบต่อตัวเอง แล้วจะรับผิดชอบและมอบความหวังดีที่แท้จริงต่อคนอื่นและวิถีทางโลกใบนี้ได้อย่างไร?
หลักการเหตุผลเป็นเช่นนี้ก็จริง ทว่าเมื่อวิถีทางโลกกลายมาเป็นว่าการปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจทุกเรื่องก็ยังเป็นความผิด แบบนี้กลับไม่ค่อยดีเท่าไร
ตอนที่ผ่านเมืองเล็ก เฉินผิงอันกลับเดินอ้อมไป เขาไม่คิดจะพัวพันตอแยกับนักฆ่าผู้นั้นต่ออีก
ดังนั้นบนเส้นทางที่เงียบสงัดเส้นนี้ ร่างของเขาจึงพลันหายไป มาปรากฎตัวอยู่ข้างกายนักฆ่าที่นอนหมอบอยู่ในกอต้นกก เฉินผิงอันยืนอยู่บนยอดต้นกกต้นหนึ่ง เรือนกายพลิ้วไหวไปตามปลายยอดไม้ เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง ก้มหน้าลงมองไป อีกฝ่ายน่าจะยังเป็นเด็กหนุ่ม สวมชุดคลุมสีดำ บนใบหน้าสวมหน้ากากสีขาวหิมะ เป็นผู้ฝึกตนของภูเขาเกอลู่อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว เพียงแต่ว่านี่ต่างหากถึงเป็นจุดที่มีเลศนัยชวนให้ขบคิดมากที่สุด เด็กหนุ่มนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ผู้นี้แอบอำพรางตนสะกดรอยตามเฉินผิงอันมาอย่างยากลำบากตลอดทาง หากไม่เป็นเพราะว่าฉีจิ่งหลงหาตัวคนไม่เจอ หรือไม่ก็ยากจะใช้เหตุผลอธิบายได้เข้าใจ และแท้จริงแล้วภูเขาเกอลู่ก็ได้สั่งผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนมาลอบฆ่าตนแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นเพราะฉีจิ่งหลงอธิบายเหตุผลให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างกระจ่างแล้ว ภูเขาเกอลู่เลือกที่จะเคารพกฎเกณฑ์อีกข้อที่ใหญ่ยิ่งกว่า ต่อให้ผู้จ้างที่ให้ลงมือกับคนผู้นี้ทั้งสามครั้งจะเป็นคนละคนกัน แต่นับจากนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีคนใหม่มาเยือนภูเขาเกอลู่ ยินดีทุ่มเงินทองกองเป็นภูเขา ก็ไม่คิดจะมาลอบฆ่าคนผู้นี้อีกแล้ว
หากเป็นเช่นนี้
แล้วทำไมฉีจิ่งหลงถึงไม่ปรากฏตัวเสียที?
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เปิดปากเอ่ยว่า “ไม่เห็นตัวคนแล้ว ไม่ร้อนใจบ้างเลยหรือ?”
นักฆ่าภูเขาเกอลู่คนนั้นชะงักค้างตัวแข็งทื่อ หันหน้ากลับมาก็เห็นคนชุดเขียวผู้นั้นยืนอยู่บนยอดต้นกกข้างกายตัวเอง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหนี แต่ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่า หากหนีไปต้องตายแน่นอน แต่หากยังอยู่ที่เดิม ก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง
เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ปลดหน้ากากลง “ข้ากับคนแซ่หลิวเคยมีสัญญาต่อกัน ขอแค่ถูกเจ้าพบร่องรอยก็ถือว่าแผนการลอบฆ่าของข้าล้มเหลวแล้ว วันหน้าจะต้องติดตามเขาไปฝึกตน เรียกเขาว่าอาจารย์ เพราะฉะนั้นเจ้าห้ามฆ่าข้า”
เฉินผิงอันถาม “เขาอยู่ไหน?”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “เขาให้ข้าบอกเจ้าว่า เขาจะเดินทางไปเมืองหลวงต้าจ้วนก่อนรอบหนึ่ง แล้วจะกลับมาหาพวกเราช้าหน่อย”
เด็กหนุ่มพูดมาถึงตรงนี้ก็ปล่อยหมัดต่อยลงบนพื้น พูดอย่างอัดอั้นว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าลงจากภูเขามาลอบฆ่าคนอื่นนะ!”
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้น เขาเดินนำออกมาจากกอต้นกกก่อน ใช้ไม้เท้าเดินป่าช่วยเปิดทาง
เด็กหนุ่มคนนั้นลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็กัดฟัน โยนหน้ากากชิ้นนั้นทิ้ง เดินตามมาด้านหลังคนชุดเขียว เดินไปบนเส้นทางด้วยกัน
เฉินผิงอันชะลอฝีเท้าให้ช้าลง เด็กหนุ่มชำเลืองตามองแล้วก็แข็งใจไล่ตามไปเดินเคียงไหล่กับเขา
เกี่ยวกับเป้าหมายในการลอบฆ่าผู้นี้ อันที่จริงก่อนหน้านั้นภายในของภูเขาเกอลู่ก็มีข่าวลือบางอย่างแพร่ออกมา ในฐานะนักฆ่าที่ภูเขาเกอลู่ตั้งใจอบรมปลูกฝังมากเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเติบโตอยู่ข้างกายเจ้าขุนเขาเกอลู่มาตั้งแต่เด็ก เขาถึงได้มีโอกาสรู้เรื่องวงในพวกนี้
สรุปก็คืออย่าได้เห็นว่าไอ้หมอนี่ท่าทางนิสัยดี เหมือนบัณฑิตยิ่งกว่าบัณฑิตเสียอีก ทว่าเมื่อการลอบฆ่าที่มีโอกาสคว้าชัยชนะได้อย่างมั่นคงของภูเขาเกอลู่ล้มเหลวเป็นครั้งแรก และเพียงไม่นานก็มีคนออกเงินจ้างนักฆ่าให้ลอบฆ่าคนคนเดิมซ้ำอีกครั้ง เจ้าสำนักผู้เป็นอาจารย์ก็บอกกับเด็กหนุ่มกับปากตัวเองว่า เจ้าคนที่อยู่ข้างกายเขาในเวลานี้เป็นคนร้ายกาจที่ขยันหาเรื่องใส่ตัว แต่ก็เชี่ยวชาญการแก้ปัญหาอย่างมากด้วย
เฉินผิงอันถาม “เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่หรือ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้า “อาจารย์บอกว่าข้าคือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่มีค่ามากคนหนึ่ง ดังนั้นจึงบอกให้ข้าทะนุถนอมชีวิตเอาไว้ให้มาก ไม่ต้องรีบร้อนรับงาน ไม่อย่างนั้นเงินเทพเซียนมากมายที่เขาทุ่มลงไปบนร่างข้าก็จะต้องขาดทุน ดังนั้นข้าจึงอยากรับงานให้เร็วๆ หน่อย จะได้ช่วยอาจารย์และภูเขาเกอลู่หาเงินมาได้เร็วหน่อย ไหนเลยจะคิดว่าจะได้มาเจอกับเจ้าคนแซ่หลิวผู้นั้น เขาบอกว่าจะยืนอยู่เฉยๆ ให้อาจารย์ของข้าลงมือได้ตามสบาย แต่ทุกครั้งที่ลงมือไปแล้วจะต้องฟังเหตุผลข้อหนึ่งของเขาหลิวจิ่งหลง อาจารย์จึงลงมือสองครั้ง จากนั้นก็รับฟังเหตุผลของเจ้าหมอนั่นสองข้อ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง
ในความทรงจำของเขา ไม่เคยมีครั้งใดที่อาจารย์ลงมือแล้วต้องกลับมามือเปล่า
ไม่ว่าอีกฝ่ายมีตบะอะไรก็ล้วนต้องศีรษะกลิ้งหลุนๆ ทุกคน
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจขุ่นมัวที่อัดอั้นอยู่ในใจมานานแรงๆ แต่กระนั้นความอัดอั้นก็ยังไม่ลดน้อยลง เขาเอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรมาภูเขาเกอลู่ของพวกเราพูดคำไหนคำนั้นเสมอ สุดท้ายอาจารย์เองก็จนปัญญา จึงได้แต่ส่งตัวข้ามาสังหารเจ้า อีกทั้งวันหน้าข้าจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับภูเขาเกอลู่อีกแล้ว แถมยังต้องติดตามเจ้าคนแซ่หลิวผู้นั้นไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยผายลมสุนัขอะไรนั่นอีกด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พลางยื่นฝ่ามือที่แบกว้างออกไป
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “อะไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าไม่ควรต้องขอบคุณข้าดีๆ ที่ทำให้เจ้าได้ไปฝึกตนที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยหรอกหรือ?”
“เจ้าประสาทหรือไร?!”
เด็กหนุ่มกลอกตามองบน “ใครยินดีจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกัน?! ข้าก็แค่ความสามารถไม่มากพอ มีโอกาสมากมายขนาดนั้น แต่ข้ากลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่โอกาส ไม่อย่างนั้นก็คงลงมือจ้วงกระบี่แทงเจ้าให้ตายไปแล้ว รับรองว่าต้องแทงทะลุหัวใจแน่!”
—-